ถึงเวลาเอาคนดีขึ้นปกครองบ้านเมือง และกีดกันคนชั่วมิให้มีอำนาจเสียที!
เพราะนั่นเป็นพระราชดำรัสหรือคำสอนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ตรงและสอดคล้องกับสถานการณ์การเมืองไทยวันนี้ยิ่งนัก
เนื่องจากคนชั่วที่มาในคราบ “นักการเมืองกำมะลอ” ที่ใช้เงินซื้อเสียงเลือกตั้งเข้าสภาฯ ล้วนรู้ว่า ธุรกิจการเมืองนั้น..น่าลงทุนที่สุด เพราะนอกจากจะถอนทุนไวแล้ว..ยังเป็นธุรกิจที่ทำกำไรสูงอีกต่างหาก
เท่านั้นไม่พอ..ธุรกิจการเมืองในไทยนั้น ตัวบทกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ที่ตรวจจับการคอร์รัปชันอยู่ในสถานะอ่อนแอไร้ประสิทธิภาพ จนไม่อาจเอาผิดนักการเมืองใช้เงินซื้อเสียงเลือกตั้งได้อย่างรวดเร็วทันอก-ทันใจ-ทันการณ์-ทันท่วงที-มาโดยตลอด
ประเทศไทยจึงมีนักการเมืองใช้เงินซื้อเสียงเลือกตั้ง ระดับรัฐมนตรีแค่คนสองคนเท่านั้น ที่ถูกดำเนินคดีจนต้องติดคุกติดตะราง จากการคอร์รัปชันโกงกินชาติบ้านเมือง
ในขณะที่ประเทศเกาหลีและไต้หวัน ประธานาธิบดีของทั้ง 2 ประเทศนี้ ได้ถูกอัยการไล่ล่านำหลักฐานความผิดมาแสดงต่อศาล จนในที่สุด..ประธานาธิบดีก็ต้องคำพิพากษา ให้ต้องติดคุกติดตะรางจนทุกวันนี้
วันนี้..ประเทศและประชาชนคนไทยกำลังตกอยู่ในอันตราย เพราะบรรดานักการเมืองที่ใช้เงินซื้อเสียงเลือกตั้ง ได้เข้ายึดกุมอำนาจทั้งในสภาฯ และรัฐไทยเอาไว้ในกำมือแทบทุกมิติแล้ว!
การเลือกตั้งที่ใช้เงินซื้อเสียงหรือ “ธนาธิปไตย” ของกลุ่มบุคคลที่เรียกขานกันว่า “คณาธิปไตย” ที่เป็น “อภิโจรา” ธิปไตย ซึ่งมากทั้งเงินทองและทรงอิทธิพลในท้องถิ่น ได้จัดตั้งระบบหัวคะแนนและวิธีการซื้อเสียงอย่างแยบยล ผนวกกับกลโกงการเลือกตั้งอีกสารพัดวิธี
พวกธนา-คณา-อภิโจราธิปไตย จึงสามารถซื้อประชาชนคนไทย ที่ด้อยการศึกษาและด้อยสถานะทางเศรษฐกิจ มาลงคะแนนให้พรรคตนชนะการเลือกตั้งได้ไงล่ะครับ
ที่สำคัญ..ทุกครั้งที่นักใช้เงินซื้อเสียงเลือกตั้ง ได้ถูกสื่อมวลชนหรือประชาชนคนไทยจับได้ไล่ทัน ลากไส้ความชั่วของนักการเมืองกำมะลอ ทั้งจากการโกงกินบ้านเมืองอย่างตะกละตะกลามอีกทั้งยังปล่อยให้ขบวนการ “ล้มเจ้า”เหิมเกริม จนถึงขนาดบังอาจจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์กันอย่างโจ๋งครึ่มอีกด้วย
แต่ที่ชั่วร้ายสุดๆ ก็คือ การนำแผ่นดินของชาติไทย ไปยกให้ชาติกัมพูชาแบบดื้อๆ เพียงแค่นักใช้เงินซื้อเสียงเลือกตั้งหวังจะแลกผลประโยชน์ ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาทั้งบนบกและในทะเล ที่เต็มไปด้วยน้ำมันมูลค่ากว่า 5.5 ล้านล้านบาท เข้ากระเป๋าพวกนักใช้เงินซื้อเสียงเลือกตั้ง
เมื่อเข้าตาจนเช่นนั้น..นักใช้เงินซื้อเสียงเลือกตั้ง ก็จะดาหน้าออกมาปกป้องอาชีพนักการเมืองกำมะลอของพวกเขาทันที..ด้วยการ “ยุบสภา” เพื่อใช้เวทีเลือกตั้งมาฟอกความผิด ก่อนจะกลับเข้าไปยึดครองอำนาจ ทั้งในสภาฯ และรัฐไทยอีกครั้งหนึ่งนั่นเอง
ด้วยข้ออ้างอันชวนสะอิดสะเอียนว่า รัฐบาลนี้มาจากการ (ใช้เงินซื้อเสียง)เลือกตั้งของประชาชน ตามระบอบประชาธิปไตย (จอมปลอม) ไงล่ะครับ!
หลังการเลือกตั้งผ่านพ้นไป นักใช้เงินซื้อเสียงที่ชนะการเลือกตั้ง ทว่า..หากได้ ส.ส.หรือนักการเมืองชั่วเข้าไปนั่งในสภาฯ ไม่ถึงกึ่งหนึ่ง พวกเขาก็จะต้องต่อรองยื้อแย่งตำแหน่งสำคัญๆ กันอย่างสุดชีวิต
เมื่อการต่อรองผลประโยชน์ในตำแหน่งทางการเมืองลงตัวแล้วว่า พรรคไหนจะได้เป็นนายกรัฐมนตรี? พรรคไหนจะได้เป็นรัฐมนตรีกระทรวงไหน? นักใช้เงินซื้อเสียงเลือกตั้งที่จะทำธุรกิจการเมือง ก็จะยกมือด้วยเสียงข้างมากในสภาฯ เพื่อลากตั้งตัวนายกรัฐมนตรีหุ่นก่อนเป็นลำดับแรก
อันดับต่อมา..นายกรัฐมนตรีหุ่นที่มาจากการใช้เงินซื้อเสียงเลือกตั้ง ก็จะนำรายชื่อบุคคลจากโควตาของแต่ละพรรคร่วมรัฐบาล มาแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีตามกระทรวงต่างๆ ตามลำดับอีกที
จากนั้น..นายกรัฐมนตรีก็จะพาคณะรัฐมนตรี ที่ใช้เงินซื้อเสียงเลือกตั้งไปยืนถวายคำสัตย์ปฏิญาณ ต่อหน้าพระพักตร์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก่อนจะเข้าบริหารชาติบ้านเมืองอย่างเป็นทางการ
ภาษาชาวบ้านเขานินทากันว่า พวกเหล่านักการเมืองกำมะลอ ที่ใช้เงินซื้อเสียงเลือกตั้งมันบังอาจนัก ถึงขนาดกล้าไปยืนโกหกต่อหน้า “ในหลวง” ก่อนจะใช้อำนาจรัฐอย่างเต็มพิกัด เพื่อโกงกินชาติบ้านเมืองอย่างเป็นทีมหรือเป็นหมู่คณะไงล่ะครับ
หลังจากนั้น..นักใช้เงินซื้อเสียงเลือกตั้ง ก็จะเปิดมหกรรมโกงราษฎร์-โกงหลวง-โกงสารพัดโครงการ โกงงบประมาณแผ่นดินที่มาจากภาษีอากร ซึ่งรัฐรีดไถมาจากหยาดเหงื่อของประชาราษฎร์ ปฏิบัติการถอนทุน-บวกกำไรเพื่อหาเงินซื้อเสียงครั้งใหม่ จึงกลายเป็นธุรกิจการเมืองที่ไร้ทั้งคุณธรรม-ศีลธรรม-ไร้ความรับผิดชอบ-ชั่ว-ดี-ใดๆ ทั้งสิ้น
เมืองไทยวันนี้..ต้องรีบกำจัดต้นเหตุปัญหาวิกฤตชาติ นั่นคือ ขจัดนักการเมืองกำมะลอที่ใช้เงินซื้อเสียงเลือกตั้ง เข้ามายึดครองอำนาจรัฐ และใช้อำนาจรัฐอย่างอยุติธรรมโดยเร็วที่สุด!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น