วิธีคิดแบบพุทธศาสนา
ซึ่งคิดเมื่อไรได้ประโยชน์เมื่อนั้น
1) คิดแบบอริยสัจ หรือ คิดแบบแก้ปัญหา
มีแนวคิดว่า
ทุกปัญหาย่อมมีเฉลย มี 4 ขั้นตอน
คือ 1 ทุกข์ 2. สมุทัย 3. นิโรธ 4. มรรค ใช้
อย่างไร ?? เมื่อเกิดปัญหาขึ้น
1. ทุกข์ : ให้กำหนดรู้ ว่าความทุกข์ที่เกิด
อยู่นี้มันคืออะไรแน่ แต่คนส่วนใหญ่
เมื่อเกิดปัญหาหรือทุกข์จะ
หลอมรวมตัวเองเข้ากับปัญหา
แทนที่ทุกข์มีไว้สำหรับเห็น ก็กลายเป็น
ทุกข์มีไว้สำหรับเป็น คนที่ไม่
รู้จักกำหนดปัญหาของทุกข์อย่างถูกต้อง
เปรียบเสมือนคนที่เดินไปแล้วเหยียบตะปู
ตะปูที่ทิ่มในเท้าเราแล้วเกิดทุกข์
คนที่แก้ปัญหาไม่เป็นแทนที่จะ
เอาตะปูออก
กลับไปหยิบค้อนมาย้ำหัวตะปูให้ทิ่มหนัก
เข้าไปอีก เลยกลายเป็นทุกข์ซ้ำซ้อน
2. สมุทัย : ค้นหาสาเหตุ สาเหตุมันอยู่
ตรงไหนตามสาเหตุมันเข้าไป
3. นิโรธ : เมื่อค้นพบสาเหตุแล้ว
ตั้งสมมุติฐานขึ้นมา ว่าจะแก้อย่างไร
4. มรรค : แล้วลงมือแก้ทุกข์นั้น
ยกตัวอย่าง
ตามคำสอนของหลวงพ่อชา มีชายผู้
หนึ่งจูงควายไปเลี้ยงทุ่งนา
ขณะจูงควายไปนั้นเชือกไปพันกับตอไม้
เข้า ชายผู้นั้นเกิดทุกข์ไหม เพราะเขาไม่
สามารถจูงควายไปต่อได้(ทุกข์) เขาจึง
สาวเชือกไล่ไปว่าเชือกไปพันตอที่ไหน (
สมุทัย) เมื่อเจอต้นตอไม้นั้นแล้วเขา
คิดต่อว่าควรทำอย่างไรจะแก้เชือกได้ดี
ค่อยๆคลายปมออก หรือ
หามีดมาตัดเชือกเลย (นิโรธ) เมื่อคิดได้
แล้วเขาก็ลงมือแก้เชือกนั้นออกจากตอไม้
ได้ (มรรค) เห็นไหมวิธีแก้ปัญหา
แบบอริยสัจ ไม่ได้ยุ่งยากอะไรเลย
พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี กล่าวไว้ว่า
" ทุกข์สำหรับเห็น สุขสำหรับเป็น"
2) คิดสืบสาวหาเหตุปัจจัย หรือ
เรียกอีกอย่างว่า
"ทุกอย่างในโลกนี้ ล้วนมีที่มา"
ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ย่อมมีเหตุปัจจัยที่มา
ทั้งนั้น แต่คนส่วนใหญ่ไม่
ค่อยมองเห็นเหตุปัจจัยเพราะว่าจะ
คิดผิดวิธี มีหลักอยู่ 3 แบบคือ
1. คิดแบบกรรมเก่า 2.
คิดแบบพระเจ้าบันดาล 3.คิดแบบแล้ว
แต่โชคชะตาจะพาให้เป็นไป
1. คิดแบบกรรมเก่า "
เด็กคนหนึ่งเรียนหนังสือไม่รู้เรื่อง
กลับไปบ้านไปบอกให้แม่ฟัง แม่บอกว่า
ช่างมันเถอะ เรียนไม่รู้ก็ช่างมัน
กรรมของเธอทำมาแค่นี้ เป็นไงล่ะโง่ก็
แล้วแต่กรรม แล้วปล่อยมันไปให้
ลูกโง่ต่อไป " "ทำมาค้าขายให้คนอื่นโกง
แทนที่จะหาวิธีแก้ กลับบอกตัวเองว่า
ทำไงได้
เกิดมามีกรรมทำมาค้าขายอย่างไรก็ไม่
รวย " ทั้งๆที่ทุกๆปัญหามันมีสาเหตุ แต่
เพราะเรามักโทษว่าแล้วแต่กรรมเก่า
โทษแต่กรรมเก่า ไม่หาสาเหตุกัน
วิธีคิดแบบกรรมเก่า จะทำให้
คนจำนนต่อชีวิต เกิดปัญหาอะไรขึ้นจะ
ไม่อยากแก้ไข จะก้มหน้ารับกรรมตลอด
และคนไทยชอบกันมาก
2. คิดแบบพระเจ้าบันดาล จะฝากตัวเอง
ไว้กับพระเจ้า กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์
คนไทยแปลกมาก ชอบบนบาน
ฝากชะตากรรมไว้กับสิ่งนั้นๆ เมื่อเกิดสิ่ง
ไม่ดีขึ้นก็จะโทษว่าพระเจ้าไม่เห็นใจ
สิ่งศักดิสิทธิ์ไม่ช่วย
หลวงพี่ ว.วชิรเมธีได้เล่าไว้ว่า มีฝรั่งผู้
หนึ่งได้เขียนไว้ "
มีชายคนหนึ่งศรัทธาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาก
เกิดน้ำท่วมหมู่บ้าน เพื่อนบ้านพากัน
ย้ายหนีออกหมด แต่เขาไม่ย้าย อยู่ใน
บ้าน รอดูน้ำขึ้นสูงขึ้นเรื่อยๆ ในระหว่าง
นั้นก็มีเจ้าหน้าที่ขับรถมาช่วยคนใน
หมู่บ้านนั้นไปที่สูง แต่ชายคนนั้นไม่
ขึ้นรถไป เจ้าหน้าที่ถามว่า "ทำไมไม่
ขึ้นล่ะ" ชายผู้นั้นตอบว่า "ผมรู้ว่าพระเจ้า
จะช่วยผม" เจ้าหน้าที่ก็ออกไป
น้ำท่วมสูงขึ้นเขาก็ขึ้นไปอยู่บนหลังคา
ก็มีเรือเจ้าหน้าที่มาช่วยเขา แต่เขาไม่ไป
เขาบอกว่าพระเจ้าต้องช่วยเขาแน่นอน
ไปช่วยคนอื่นเถอะ เรือเจ้าหน้าที่ก็ไป
สักพักน้ำท่วมมิดหลังคา เขาก็ยืนอยู่
บนหลังคา
ก็มีเฮลิคอปเตอร์ส่งบันไดลิงมาและ
ประกาศว่า "ปีนบันไดลิงขึ้นมาเร็ว" เขาก็
ไม่ยอมไปอีก เขายังยืนยันว่าอย่างไรเขา
ต้องรอด พระเจ้าต้องช่วยเขาแน่นอน
เฮลิคอปเตอร์ก็ไป หลัง
จากวันนั้นหนึ่งวัน เขาก็กลายเป็น
ศพลอยน้ำขึ้นไป วิญญาณเขาขึ้นได้
ขึ้นไปบนสวรรค์ เพราะเขา
ชอบสวดมนต์ไหว้พระ เขาได้เข้า
พบพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าถามเขาว่า
เอ้า..ทำไมเธอจึงตายล่ะ ชายผู้นั้นตอบ "
ผมก็งงเหมือนกันครับ ทำไมผมถึงตาย
แล้วทำไมท่านถึงไม่ช่วยผมล่ะครับ"
พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ช่วยซิ ทำไมจะไม่
ช่วย ครั้งที่ 1 ฉันส่งรถไปรับ เธอก็ไม่มา
ครั้งที่ 2 ฉันส่งเรือไปรับเธอก็ไม่ยอมมา
ครั้งที่ 3 ฉันส่งเฮลิคอปเตอร์ไปรับอีก
เธอก็ยังยืนยันไม่ยอมมา แล้วจะให้
ฉันทำอย่างไรล่ะ" ชายผู้นั้นได้แต่ มึนงง
"อ้าว..หรอครับ"
เห็นไหมเพราะความเชื่อผิดๆ แทนที่เขา
จะรอดกลับมาตายซะนี่ พระพุทธเจ้าจะ
ช่วยเรา ก็ต่อเมื่อเราช่วยตนเองซะก่อน
ไม่ใช่รอปฏิหารย์ คนส่วนใหญ่
มักเชื่อแบบผิด พระเจ้าไม่เคยบอกเลยว่า
จะช่วยแบบสำเร็จรูป เพราะอะไร
คนบนโลกนี้ก็ล้านล้านคน จะให้พระเจ้า
ช่วยทุกคนแบบสำเร็จเลยได้หรือ ท่านจะ
เลือกช่วยคนที่ช่วยตนเองก่อนเท่านั้น
ช่วยตนเองก่อนแล้วค่อยไปขอความ
ร่วมมือกับพระเจ้า
3. คิดแบบชะตาจะพาให้เป็นไป คนส่วน
ใหญ่มักคิดว่า อะไรจะเกิดมันก็เกิดอะไร
จะไม่เกิดมันก็ไม่เกิด อย่างจะคิดเวลาเขา
ยิงกันก็เดินเข้าไป ถึงเวลาตายมันก็ตาย
ยังไม่ถึงเวลาตายยิงก็ไม่ถูก ซะงั้น แบบนี้
คนพวกนี้จะใช้ชีวิตแบบสะเปะสะปะ
เลื่อนลอย ปล่อยไปวันๆ
คนส่วนใหญ่มักเข้าใจผิด ทั้งแบบทั้ง 3
แบบนี้ แต่พระพุทธศาสนาจะสอนไว้ว่า
ทุกสิ่งทุกอย่างทั้งความสุขและความ
ทุกข์ล้วนมีที่มา มีอะไรบ้างที่ไม่มีทีมา
แม้แต่พระนิพพานหลายคนบอกอยู่
นอกเหนือปัจจัย ก็ต้องมีที่มานั้นก็คือ ถ้า
พระพุทธเจ้าไม่ค้นพบ ชาวโลกจะ
รู้จักพระนิพพานไหม ก็ไม่รู้จัก มีก็มีอยู่
อย่างนั้นไป นี่แหละ
เพราะฉะนั้นเมื่อเกิดปัญหาใน
ชีวิตของเรา ย่อมมีที่มา สิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี,
สิ่งนี้เกิด สิ่งนี้จึงเกิด, สิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับ
เมื่อมีปัญหาอย่าพึ่งทุกข์ ตามหาสาเหตุ
ตามหาต้นน้ำของปัญหาแล้วจะค้น
พบวิธีแก้ คนส่วนใหญ่
เมื่อพบปัญหากลับโยนให้กรรมเก่า โยน
ให้พระพุทธเจ้า โยนให้ชะตาพาให้เป็น
ไป ปัญหาง่ายๆจึงแก้ไม่ได้
มนุษย์ทุกคนมีสักยภาพเท่าเทียมกันที่จะ
พ้นทุกข์ได้ แต่จะรู้วิธีพ้นทุกข์นั้นๆได้
ไหม มนุษย์ผู้ใดหาวิธีพ้นทุกข์ได้ก็จะ
หลุดพ้นความทุกข์ไป หลุดจาก
วัฏฏจักรสงสารนั้น แต่หากมนุษย์ตนใด
ยังหาวิธีพ้นทุกข์ไม่ได้ ก็จะว่ายวนเวียน
อยู่วัฏฏจักรสงสารต่อไป
3) วิธีคิดแบบมองโลกในแง่ดี
มี 2 อย่าง มองโลกในแง่ดีแบบคนโง่,
มองโลกในแง่ดีแบบคนฉลาด มองโลกใน
แง่ดีแบบคนโง่ เช่น คนสอบตก มองโลก
ในแง่ดี สอบตกก็ดีได้สอบอีกได้มีความ
รู้เยอะๆ คิดแบบนี้ก็ดีเขาไม่ทุกข์ ไม่ทุกข์
ณ เวลานี้ แต่เขาจะทุกข์ในอีก 10 ปี 20
ปีข้างหน้า
การมองโลกในแง่นี้ ต้องมองแบบมีสติ
มีหลายท่านเป็นตัวอย่าง อย่างเช่น
พระพุทธเจ้า เกิดเหตุการณ์หนึ่ง
ตอนหนึ่งท่านโดนศาสนาอื่นต่อว่า
มีการจ้างกลุ่มคนไปลุมด่าว่าท่านเสียๆหายๆ
ลุมทำร้ายท่าน แต่พระพุทธเจ้ากับ
ยิ้มแย้มแจ่มใสดี ท่านอานนท์เห็นดังนั้น
จึงกราบทูลถามพระพุทธเจ้า เหตุใดท่าน
จึงยังยิ้มได้
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ดูก่อนพระอานนท์
เราเกิดมาในโลกนี้
ย่อมเปรียบเสมือนช้างศึก ที่ต้องพร้อมจะ
รับมือกับสารตราวุธต่างๆในสงคราม ใน
โลกนี้ย่อมเป็นธรรมดาที่มี ด่าว่า ยินดี
สรรเสริญ นินทา เราต้องพร้อมที่จะรับมือ
กับมัน หากเราเป็นช้างศึก เราไม่ใช่
ช้างแบบทั่วไป เราต้องอดทน เราถึงจะ
ผ่านพ้นกับศึกสงครามนั้นๆได้ จริงไหม
มีคนหนึ่งด่า
พระพุทธเจ้าว่า ท่านเป็นคนไม่ได้ผุดไม่
ได้เกิด
เหล่าภิกษุสงฆ์ต่างตื่นตระหนกที่ชายผู้
นั้นด่าพระพุทธเจ้าเช่นนั้น
แต่พระพุทธเจ้ากับชอบ ท่านตรัสว่า
ดูกรภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย จริงอย่างที่ชายผู้
นั้นกล่าวนะ เพราะต่อจากนี้ไปไม่มีกิเลส
ใดทำให้ข้าต้องกลับมาเกิดอีก
ต่อไปแล้ว ชายผู้นั้นจึงด่าใหม่ว่า ท่าน
เป็นผู้เผาผลาญ เป็นนักวางเพลิง
พระพุทธเจ้าก็ยังยิ้มได้ เออ..ใช่ กิเลสมี
เท่าไรข้าชวนภิกษุทั้งหลายเผาไหม้เป็น
จุลหมดเลย ชายผู้นั้นจึงเปลี่ยนคำด่าใหม่
อีก
ว่าพระพุทธเจ้าเป็นคนไม่มีรสไม่ชาติ
พระพุทธเจ้าก็ชอบใจอีก เออ..ใช่ๆ จริง
ฉันเป็นคนไม่มีรสไม่มีชาติ เพราะ รูป รส
กลิ่น เสียง ฉันตัดได้หมดแล้ว
จริงอย่างท่านว่า คำด่าใดๆ ไม่สามารถทำ
ให้พระพุทธเจ้าสะทกสะเทือนได้เลย
มีแต่รับ ยอมรับตลอดเพราะอะไร เพราะ "
มองโลกในแง่ดี"
การมองโลกในแง่ดีต้องมองแบบมีสติ
อย่ามองแบบโง่ๆ จะเสียเวลา
4) วิธีคิดแบบอยู่กับปัจจุบัน
เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "วิธีคิดรู้ตัวทั่ว
พร้อม"
ท่านเคยรู้ตัวทั่วพร้อมหรือเปล่า ส่วนมาก
จะรู้ตัวแบบเป็นพักๆ
หลายคนไปปฏิบัติวิปัสสนา
ตอนปฏิบัติดีมาก
แต่พอกลับมาบ้านเห็นสามีหน้าบึ่ง
โกรธที่เราไปนาน จึงโมโหใส่สามี
ทะเลาะกันดั่งน้ำมันกับไฟ แล้ว
ที่ปฏิบัติมาหายไปไหนซะแล้วล่ะ ส่วน
มากเราจะไม่ค่อยอยู่กับปัจจุบันกัน ไปอยู่
ไหนกันล่ะ จะไปอยู่กับอดีตบ้าง
อนาคตบ้าง อยู่กับคนที่มาทะเลาะกับ
เราบ้าง คนที่มาทะเลาะกับ
เราเปรียบเหมือนคนที่รถเสีย พาเขา
มาทะเลาะ เรารถดีๆอยู่กลายเป็น
รถเสียไปเลย ระบายของเสียใส่กัน
วิธีอยู่กับปัจจุบันนี้ เป็นการฝึกอยู่กับ
สติแบบแนววิปัสสนากรรมฐานนั้นเอง
หลวงพี่ว.วชิรเมธีได้ยกตัวอย่างให้ฟัง
ว่าครั้งหนึ่งท่านได้
อ่านหนังสือของหลวงพ่อชา ตอน
หลวงพ่อบินไปเมืองนอก แล้ว
เครื่องบินตกหลุมอากาศ
ญาติโยมตกใจมาก ญาติ
โยมคนหนึ่งไปกระซิบถามหลวงพ่อ
โยม :
ตอนเครื่องบินตกหลุมอากาศหลวงพ่อเอาใจ
ไว้ที่ไหน
หลวงพ่อ : อัตมาก็เอาใจไว้ที่ที่มันควรอยู่
แล้วโยมล่ะเอาใจไว้ที่ไหน
โยม : ใจโยมตกถึงพื้นนานแล้วค่ะ เครื่อง
ยังไม่ตกเลยนะ ใจตายซะก่อนยังไม่ตก
ที่ตกใจเพราะใจมันตก นี่คือคนที่อยู่กับ
ปัจจุบันไม่เป็น
คนที่มีสติอยู่กับปัจจุบันเป็น
เปรียบเหมือนน้ำไหลนิ่ง
ข้างบนดูเหมือนน้ำนิ่งๆ แต่ข้างล่างยัง
ไหล อยู่นิ่งๆแต่จิตตื่นอยู่เสมอ ไม่
ว่าภายนอกจะวุ่นวายเพียงใดเขาก็มี
ความสุข
หลวงปู่ดู่จะกล่าวไว้ว่า "ไม่
ส่งจิตออกนอก"
คือ ไม่
ส่งจิตออกนอกไปรับอารมณ์มาปรุงให้
ข้างในมันป่วน มั่วหมอง เพราะข้างใน
จิตใจใสอยู่แล้วอย่าเอาอะไรไปเติมไปใส่
ให้ใจมันขุ่น ใจเราใสอยู่แล้วเป็น
ธรรมชาติที่เศร้าหมองเพราะกิเลสที่เป็น
สิ่งแปลกปลอม เพราะฉะนั้นอยู่
แบบปัจจุบันให้เป็นแล้วเราจะมีความ
สุขมาก
5) วิธีคิดแบบรู้ทันธรรมดา
ทุกชีวิตในโลกนี้ไม่มีใครหนีพ้นไตรลักษ์
ไม่เที่ยง ไม่ทน ไม่แท้ ภาษาพระเรียกว่า
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
สิ่งเหล่านี้อย่าคิดว่าไกลตัวเรา ตัวเราเกิด
อยู่ตลอดว่า จิตของเราตื่นขึ้นเบิกบาน ถ้า
ไม่มีสติตลอดมันก็จะหดหู่ ทำไมถึง
หดหู่ ?? เพราะมันไม่เที่ยง ทำไมไม่
เบิกบานตลอด ?? เพราะมันไม่แท้ จะ
เห็นว่าจิตที่เบิกบาน มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่
และดับไป ความหดหู่เข้ามาแทน เราต้อง
รู้ทันความธรรมดา ซึ่งมันเกิดมาแล้ว
เราปฏิเสธไม่ได้
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คนทุกคนรู้จักกัน
ดี การรู้ทันความธรรมดานี้เหมาะที่นำมา
ใช้กับคนที่ใช้โลดแล่นกับชีวิต
ขณะเดียวกันก็เหมาะที่จะใช้กับ
คนที่ประสบกับความทุกข์ที่แสนสาหัส
6) วิธีคิดแบบคุณค่าแท้ คุณค่าเทียม
ปัจจัยทุกอย่างในโลกนี้ มีคุณค่าแท้
คุณค่าเทียม ชาวพุทธส่วนใหญ่จะ
บริโภคปัจจัย 4 จากคุณค่าแท้ไม่เป็น จะ
ไปบริโภคแต่คุณค่าเทียม คือ จะไม่คำนึง
ถึงประโยชน์ที่แท้จริงจาก
ปัจจัยที่บริโภคไป แต่จะ
ไปเน้นที่แสดงการเงินของผู้บริโภค
บุคคลที่เป็นตัวอย่างที่ดีใน
การบริโภคปัจจัย 4 ที่คุณค่าแท้ คือ ใน
หลวงของเรา เช่น ดินสอท่านจะใช้
จนหมดแท่งๆนั้นเลย หากมันสั้นจับไม่
ถนัดท่านก็จะนำแท่งอื่นมาต่อให้เป็นด้าม
และใช้ท่านนั้นจนหมด , คอมพิวเตอร์
ที่ท่านใช้ทรงงานอยู่ตอนนี้ ท่านใช้มา
แล้ว 17 ปี, รองเท้า ท่านจะใช้จนสึก จะ
เห็นได้ว่าพระองค์ทรงมัถยัทผ์
ทรงตระหนักถึงการใช้การบริโภคปัจจัย
4 ที่คุณค่าแท้ ใช้สิ่งนั้นเพราะว่าอำนวย
ความประโยชน์ให้เราได้อย่างแท้จริง ไม่
ได้ใช้เพื่อแสดงฐานะทางการเงิน
สังคมไทยทุกวันนี้ ที่เศรษฐกิจตกต่ำ
เพราะ วัตถุนิยม สังคมฟองสบู่ ชอบความ
สวยงาม อวดแข่งราคากัน สังคมไทยเรา
จึงแย่ เราควรจะอยู่แบบสังคมข้าวกล้อง
ข้าวกล้องนั้นดูภายนอกไม่
สวยงามแต่มีคุณค่ามากนัก
มีคุณค่าแท้จริง สังคมเราจึงจะอยู่รอดได้
คนทุกคนตั้งแต่เกิดมามีความคิด มีวิธีคิด
แต่ทั้งที่มีความคิดและวิธีคิด แต่จะ
มีบางคนเท่านั้นที่เห็นคุณค่าของความคิด
และคิดเป็น และ
ที่สุดของวิธีคิดตามพุทธศาสนาก็คือ การ
อยู่ในภาวะเหนือคิด แล้วก้าวข้ามความ
คิดมาเป็น ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานตลอดเวลา
นี่คือจุดมุ่งหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา...
แหล่งที่มา : เทศนาธรรมพระมหาวุฒิชัย
วชิรเมธี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น