สถานการณ์โลกช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา “สภาวะเปลี่ยนแปลงของโลก” ได้มีการแปรผันอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “กรณีโลกร้อน” ที่ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติอย่างมหาศาล และยิ่งเมื่อปี 2553 ได้เกิดการแปรเปลี่ยน “ฤดูกาล” เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวหนาว จนชาวโลกจับทางไม่ถูกว่า “ฤดูใดกันแน่!”
เราคงจำกันได้ว่า ปีที่แล้ว เกิดฤดูหนาวด้วย “หิมะตกหนัก” ในหลากหลายประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป ไม่ว่า อังกฤษ ฝรั่งเศส อิตาลี เรียกว่า “โดนเหมารอบ!” ก็ว่าได้ แถมตามด้วยประเทศสหรัฐอเมริกา
และที่สำคัญคือ “หิมะหนา” มากเป็นพิเศษ ชนิดที่ไม่เคยตกหนักแบบนี้มาก่อน เท่านั้นยังไม่พอ ยังเกิดสภาวะตกถี่อีกต่างหาก จนประชาชนที่ไม่เคยประสบพบเจอสถานการณ์เช่นนั้น ต่างหวาดผวากันเป็นแถว
ในขณะเดียวกัน ประเทศออสเตรเลียเจอพายุไซโคลนถล่มอย่างหนัก จนบ้านเมืองได้รับความเสียหายติดต่อกันนานหลายเดือน ส่วนประเทศไทยเรานั้น ก็เข้าฤดูหนาวยาวนานที่สุดประมาณ 3 เดือนกว่า จนใบไม้ร่วงกันเป็นทิวแถว ทั้งๆ ที่อาจจะไม่ได้หนาวมาก แต่อุณหภูมิร่วงลงมาติดต่อกันประมาณ 20 กว่าๆ องศาเซลเซียส
สภาวะอากาศโลกเปลี่ยนแปลงอย่างมาก และถ้าเราคอยสังเกตปี 2554 นี้ ตั้งแต่เดือนมีนาคมนี้เป็นต้นไป “ภัยร้อน-ภัยแล้ง” จะเข้มข้นเอาเรื่องกันเลยทีเดียว ซึ่งคาดการณ์ได้ว่า อุณหภูมิปีนี้น่าจะสูงถึง 45 องศาเซลเซียสกันอย่างแน่นอน
คงไม่ต้องดูอื่นไกล ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคอีสาน น้ำเริ่มแห้งขอดตามแม่น้ำหลักๆ กันบ้างแล้ว เนื่องด้วยฝนไม่ได้ตกชุกกันมายาวนาน น่าจะไม่ต่ำกว่า 5 เดือน ประกอบกับปัญหาสำคัญของบ้านเมืองเราใน “การชลประทาน” ไม่ได้มีการปฏิบัติการสร้างฝายสร้างเขื่อนเพื่อกักเก็บน้ำแต่ประการใด
พูดง่ายๆ ก็หมายความว่า ช่วงฤดูน้ำท่วมนั้น แทบจะท่วมกันทั้งประเทศ ชนิดมิดหลังคาบ้านกันเลยทีเดียว จนต้องมีการระดมสรรพกำลังจากทุนทรัพย์ในการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนทั่วประเทศจาก “ภัยน้ำท่วม” แม้กระทั่งปัจจุบันเม็ดเงินยังไปไม่ถึงประชาชนอย่างถ้วนหน้า
พอมาถึง “ภัยแล้ง” เราก็เร่งระดมทุนเตรียมบริจาคประชาชนกันอีกแล้ว ชนิดที่เรียกว่า “ภัยน้ำท่วม” ยังไม่จางหาย “ภัยแล้ง” ตามหน้าหนังสือพิมพ์เริ่มกระจายออกสู่สายตาประชาชนแล้ว และต้องเรียนว่า ปี 2554 นี้ หนักแน่!
แต่ประเด็นสำคัญที่เราต่างต้องตระหนักกันว่า “สถานการณ์โลก” นั้น เรากำลังเดินหน้าเข้าสู่ “วิกฤตอาหารโลก” กันเรียบร้อยแล้ว ที่นอกเหนือจาก การเสาะแสวงหาอาหารมาปรนเปรอชาวโลกที่น่าจะขาดแคลนแล้ว แต่ปัญหาหลักคือ “ราคาอาหาร” ที่นับต่อแต่นี้ไป ราคาจะพุ่งพรวด น่าจะเกินร้อยละ 15 หรือดีไม่ดี อาจจะไปแตะที่ระดับร้อยละ 25 ก็เป็นได้!
ปัญหาเกิดจากสภาวการณ์ด้าน “ภัยธรรมชาติ” เมื่อปี 2553 โดยเฉพาะราคาข้าว น้ำตาล น้ำมันปรุงอาหาร และแน่นอนที่จะส่งผลกระทบต่อบรรดา ข้าว ถั่ว และท้ายสุดกับอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ทั้งหลาย ที่ส่งผลกระทบกันเป็นวงจร ที่ราคาตลาดขณะนี้ได้พุ่งขึ้นถึงร้อยละ 29 นั้น เพียงระยะเวลา 1 ปี ต้องเรียกว่า “วิกฤตอาหารโลก”
ประธานธนาคารโลก นายโรเบิร์ต โซลลิค (World Bank) ได้กล่าวกรณี “วิกฤตอาหารโลก” ที่กำลังเกิดขึ้นขณะนี้ จะส่งผลกระทบสู่การเมืองและภาคประชาสังคมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะตะวันออกกลางและเอเชียกลาง
สนนราคาของอาหารทั่วโลกดังที่กล่าวไว้ว่า สูงขึ้นมากถึงระดับร้อยละ 15-25 ที่ต้องขอย้ำว่า ปี 2554 นี้จะเป็นปีที่ประชากรทั่วโลกจะประสบปัญหาในการบริโภคอาหารอย่างแน่นอน แม้กระทั่ง คนรวยก็ตาม แต่ซึ่งแน่นอนส่งผลกระทบถึงสถานการณ์ด้านการเมือง และสังคมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
นอกเหนือจากภัยแล้งเมื่อปีที่แล้ว ปัญหาตามมาคือ สภาวะวิกฤตเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป โดยเฉพาะกลุ่มประเทศ PPIIGS (P คือ โปแลนด์ และโปรตุเกส I คือ อิตาลี และไอร์แลนด์ G คือ กรีก และ S คือ สเปน) ซึ่งกลุ่มประเทศเหล่านี้ มีไอร์แลนด์ได้พึ่งพา “กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF)” ไปเรียบร้อยแล้ว
สถานการณ์ “หนี้สาธารณะ” ของกลุ่มประเทศเหล่านี้ น่าจะต้องใช้เวลาอีกไม่ต่ำกว่า 3-5 ปี ถึงจะฟื้นขึ้นมาได้ แถมบวกกับอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นถึงร้อยละ 3-4 เพราะฉะนั้น อัตราดอกเบี้ยที่แทบทุกประเทศทั่วโลกกำลังเร่งอัดฉีดให้ไล่ตามสภาวะเงินเฟ้อได้
ปัญหาทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้นนี้ ก็คงต้องเฝ้าสังเกตสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างมาก เราคงไม่ต้องดูอื่นไกล ประเทศตูนิเซีย อิยิปต์ ตามติดด้วยกลุ่มประเทศอาหรับตะวันออกกลาง ที่ลุกลามใหญ่โต ถึงการโค่นล้มอำนาจที่ต้องเรียกว่า “ประชาธิปไตยจอมปลอม” ที่ผู้มีอำนาจแต่ละคนนั้น ยึดครองอำนาจกันมายาวนานนับหลายสิบปี
ประเด็นปัญหาการเมืองที่ต้องเกิดการเปลี่ยนแปลง และตามติดด้วยวิกฤตอาหารโลก เราคงไม่ต้องนึกอะไรว่า การปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์แถมกำหนดนโยบายจากรัฐบาลใหม่นั้น ต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 6-8 เดือนขึ้นไป และสถานการณ์ที่เลวร้ายเช่นนี้ “กว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้!” ถามว่า ประเทศต่างๆ เหล่านี้ “พร้อมรับมือหรือยัง?” กับ “การเปลี่ยนแปลงทุกมิติ” ครั้งสำคัญของปี 2554 และน่าจะทอดยาวถึงปี 2555
อย่าลืมว่า “ภัยธรรมชาติ” นั้น ไม่ว่าประเทศใดจะมีเวทมนตร์ปลุกเสกคาถาให้เป็นไปตามทิศทางที่ตนเองกำหนดได้ สมมติว่า “พระผู้เป็นเจ้า (God)” เป็นผู้กำหนดจริง “ใครล่ะ!” จะเป็นผู้นำสารไปบอกท่านว่า “ขอให้บ้านเมืองชาวโลกกลับสู่สภาวะปกติเถอะ!”
เพราะฉะนั้น ต้องขอเรียนว่า “สถานการณ์โลก” ทั้ง “ด้านการเมือง-สังคม” จะต้องได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน และเป็นกรณีที่หลีกเลี่ยงไม่ได้อย่างเด็ดขาดว่า “อาหาร” คือ “ปัจจัยพื้นฐาน” ของมนุษย์ที่ทุกคนต้องรับประทาน และถ้า “อาหารขาด-ราคาแพง” ผู้เดือดร้อนมากที่สุด คือ “ประชาชนยากจน!”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น