++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอังคารที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2552

พธม.7 จว.อีสานใต้นับพันร่วมสร้างเครือข่ายการเมืองใหม่

พธม.7 จว.อีสานใต้นับพันร่วมสร้างเครือข่ายการเมืองใหม่
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์


อุบลราชธานี -พี่น้องกลุ่มพันธมิตร ประชาชนเพื่อประชาธิปไตย 7 จังหวัดอีสานตอนล่างนับพันคน ร่วมเวทีเสวนาวิชาการระดมความคิดสร้างเครือข่ายสานต่อการเมืองใหม่ กระจายแนวคิดลงไปสู่รากหญ้าร่วมต้านการเมืองน้ำเน่าแบบเก่า ก่อนยกระดับเปิดเป็นเวทีคอนเสิร์ตการเมืองสัญจร ตลอดการจัดงานพันธมิตรฯอิ่มหมีพลีมันสนุกสนาน มีดนตรีสลับขึ้นสร้างความบันเทิง พร้อมอาหารคาวหวานจากพ่อยกแม่ยกให้กินฟรีตลอดงาน
      
       เมื่อวัน ที่ 28 มีนาคม ที่ผ่านมา ที่โรงละครคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย 7 จังหวัดอีสานตอนล่าง ประกอบด้วย จ.มุกดาหาร อำนาจเจริญ ร้อยเอ็ด ยโสธร สุรินทร์ ศรีสะเกษ และ อุบลราชธานี ประมาณ 1,000 คน ได้จัดเวทีเสวนาวิชาการถักทอเครือข่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยอีสาน ใต้ โดยเชิญวิทยากรมาให้ความรู้เรื่องการเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าการเมืองน้ำเน่าไป สู่การเมืองใหม่ เพื่อสร้างประโยชน์ให้แก่คนทุกชนชั้นในสังคม พร้อมใช้การเสียสละของผู้เข้าสู่การเมืองใหม่ ขจัดคนยากจนให้หมดไปจากประเทศไทย และร่วมต่อต้านการยกเลิกกฎหมายมาตรา 112 ซึ่งเป็นกฎหมายเกี่ยวกับการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
      
       สำหรับเวทีเสวนาดำเนินรายการ โดย นางทัศนีย์ บุญประสิทธิ์ เจ้าของสถานีวิทยุชุมชน อ.พิบูลมังสาหาร แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยอุบลราชธานี ผู้ร่วมรายการมีนายสมบูรณ์ ทองบุราณ อดีต สว.ยโสธร นางขวัญดิน สิงห์คำ นักปฏิบัติธรรมจากราชธานีอโศก และ น.พ.สุทัศน์ เจริญรัตน์ แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จ.สุรินทร์
      
       นาย สมบูรณ์ ทองบุราณ อดีต ส.ว.ยโสธร กล่าวถึงการโกงกินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และโฉมหน้าการเมืองใหม่ที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยต้องการให้ เกิด เพราะในยุคต้นรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ คนไทยมีความหวังหลุดพ้นจากวงจรการเมืองน้ำเน่าที่มีแต่การโกงกิน เนื่องจากคิดว่า พ.ต.ท.ทักษิณรวยแล้วคงไม่โกง แต่ตรงกันข้ามกับมีการโกงชาติบ้านเมือง ภายใต้นโยบายต่างๆ หนักหนาสากรรจ์กว่าทุกรัฐบาล
      
       ทั้งนี้ มีการแปรรูปขาย ปตท.ที่เป็นรัฐวิสาหกิจที่ทำรายได้ให้แก่ประเทศอย่างมหาศาล เพื่อให้ผลประโยชน์ปีละกว่า 2 แสนล้านบาท ไปอยู่ในมือของกลุ่มทุนพรรคไทยรักไทยแทนคนไทยทั้งประเทศ และยังมีการออกกฎหมายเอื้อประโยชน์ให้นักการเมืองโกงกินได้ทุกรูปแบบ สิ่งที่ทำให้กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยทนไม่ได้ คือ การจ้องล้มล้างสถาบันเบื้องสูง หวังฮุบเอาประเทศไทยเป็นของนักการเมือง การที่นักการเมืองใช้วิธีซื้อเสียงเข้ามาสู่สภา จึงทำให้นักการเมืองไร้จริยธรรม ที่ผ่านมาการเมืองของไทยตกต่ำถึงขีดสุด เพราะนักการเมืองซื้อเสียงเข้ามาหาประโยชน์ เพื่อหาเงินคืนจากการซื้อเสียง
      
       “มีคนถามตนเสมอว่า สงครามครั้งนี้เป็นสงครามครั้งสุดท้ายจริงเหรอ ตนขอตอบว่าสงครามยังไม่จบ เพราะการเมืองใหม่ยังเป็นแค่เบี้ยเล็กๆ โดยผู้ถืออำนาจรัฐและนักการเมืองไม่ยอมให้ประชาชนรู้ทัน เพราะกลัวซื้อเสียงยากขึ้น พันธมิตรฯต้องเดินหน้าสร้างการเมืองใหม่ให้ประโยชน์ตกอยู่กับคนส่วนใหญ่ของ ประเทศ ไม่ใช่กับนักการเมืองกลุ่มเล็กๆเพียงกลุ่มเดียว”
      
       ด้านนาง ขวัญดิน สิงห์คำ นักปฏิบัติธรรมจากราชธานีอโศกกล่าวว่า อดีตเคยชื่นชอบ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มาก่อน แต่พอรู้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณโกงเก่ง ต้องตัดสินใจเลิกรัก และเข้าร่วมประท้วง พ.ต.ท.ทักษิณตั้งแต่ปี 2548 เพราะต้องการให้ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับตัวกลับใจทบทวนบทบาทการโกงกินชาติบ้านเมือง การเข้าร่วมประท้วง ทำให้เรียนรู้พฤติกรรมของมนุษย์ที่มีหลากหลาย เหมือนได้พบกับผู้หญิงวัยกลางคนๆ หนึ่ง ซึ่งเป็นคนที่งกทรัพย์สมบัติมาก
      
       เมื่อเข้าร่วมประท้วงกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ผู้หญิงคนนี้เปลี่ยนไปคนละคน ยอมสละทรัพย์สินมาสนับสนุน โดยมีจุดประสงค์ต้องการทำเพื่อชาติ ดังนั้น การจะเปลี่ยนแปลงใดๆ ขอให้พี่น้องพันธมิตรที่เข้ามาร่วมกัน ต้องเปลี่ยนแปลงจิตใจของตนเอง และเห็นประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ เพื่อเดินไปให้ถึงจุดมุ่งหมายที่พวกเราตั้งใจไว้
      
       ด้าน น. พ.สุทัศน์ เจริญรัตน์ กล่าวว่า พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ต้องทำงานเพื่อสังคม มีความเป็นอยู่อย่างพอเพียง เพื่อเป็นการทำบุญให้แก่ประเทศ เมื่อมีการเลือกตั้งต้องไม่รับเงินจากหัวคะแนนของนักการเมือง เพราะถือเป็นการทำบาปให้แผ่นดิน เมื่อมีการชุมนุมของภาคประชาชนพันธมิตรฯทุกคนต้องพร้อมใจกันออกมาร่วมกัน รวมทั้งหลังจากนี้ไปประชาชนต้องมีสภาของตัวเอง การแต่งตั้งตัวเองเป็นสมาชิกสภาประชาชน และสร้างสมาชิกกว้างขวางครอบคลุมทั้งประเทศ เพื่อตรวจสอบการทำงานของนักการเมืองอย่างเข้มข้น
      
       “ใครที่มีรายได้จากการประกอบอาชีพมาก ก็เดินเข้าไปจ่ายภาษีให้แผ่นดินตามจำนวน เพราะการกระทำดังกล่าวเท่ากับการเผื่อแผ่ไปให้คนที่มีรายได้น้อยกว่าเรา ในอนาคตจะทำให้คนรากหญ้าหายจากความยากจน เมื่อไม่มีคนยากจน ก็จะไม่มีคนตกเป็นเครื่องมือให้นักการเมืองหลอก ประเทศชาติก็จะดีขึ้น เมื่อคนจนหมดไปจากประเทศนี้”
      
       ผู้สื่อข่าวรายงานต่อว่า การจัดเวทีสัมมนาวิชาการของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยอีสานใต้ ไม่มีการหยุดพัก แต่ใช้วิธีผลัดเปลี่ยนหมุนเวียน เมื่อหิวก็สามารถออกไปรับประทานตามซุ้มอาหาร ซึ่งพ่อยกแม่ยกกลุ่มพันธมิตรฯนำอาหาร รวมทั้งน้ำดื่มนานาชนิดมาบริการให้รับประทานฟรีตลอดทั้งงาน การจัดเวทีเสวนายังมีการจัดแสดงดนตรีของเครือข่ายพันธมิตรฯในจังหวัด เพื่อสลับสร้างความสนุกสนานให้ผู้มาร่วมเวทีเสวนาเป็นระยะ
      
       สำหรับภาคบ่ายเป็นเวทีของแกนนำระดับอำเภอและระดับจังหวัดแนะนำตัว และระดมความคิดที่จะร่วมมือกันสร้างการเมืองใหม่ พร้อมกำหนดรูปแบบการเคลื่อนไหวร่วมกันในกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อ ประชาธิปไตยอีสานใต้ให้มีประสิทธิภาพ เพื่อนำไปสู่การจัดเวทีคอนเสิร์ตการเมืองต่อไปในอนาคตด้วย

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9520000035525

บทเรียนจากเรื่อง “เน่า” ต้องเร่งสอนลูกทำความดี

โดย สรวงมณฑ์ สิทธิสมาน    
       ข่าว คราวเรื่องของ “เน่า” ที่ถูกแฉออกมาเป็นระลอกจาก “ของฟรี” ที่รัฐบาลมอบให้ประชาชนไล่มาตั้งแต่ปลากระป๋องเน่า ตามมาด้วยนมบูด ช่างเป็นเรื่องน่าเศร้าเสียนี่กระไร
      
       โดย เฉพาะเรื่องนมโรงเรียนที่แจกให้เด็กกินฟรี ไม่รู้เหมือนกัน ว่าคนที่เกี่ยวข้องสามารถกระทำการเยี่ยงนี้ได้อย่างไร ทั้งที่คนดื่มนม คือ “เด็ก” และยิ่งเป็นเด็กเล็กด้วย
      
       ไม่มีข่าวใดที่สร้างความสะเทือนใจได้มากเกินข่าวที่ เกิดความเสียหายแก่เด็ก ยิ่ง คนที่เป็นพ่อแม่ จะมีอาการจุกอกชนิดที่บอกไม่ถูก ถ้าลูกของตัวเองเข้าข่ายเจอปัญหาเรื่องนี้ด้วยแล้ว รับประกันความโกรธ และอาการก่นด่าอย่างแน่นอน เป็นโชคดีของลูกดิฉันที่ไม่เข้าข่าย เพราะนโยบายของโรงเรียนให้ความสำคัญเรื่องสุขภาพร่างกาย และอาหารการกินของเด็กเป็นอย่างดี ที่สำคัญยิ่งโชคดีที่ไม่ได้รับนมฟรีของภาครัฐ ...!!

       แต่เด็กที่ต้องโชคร้ายรับกรรมครั้งนี้ก็มีจำนวนมากเหลือเกิน ถามว่าใครคือผู้รับผิดชอบ ?
      
       โปรดอย่าลืมว่าสุขภาพดีเป็นประการสำคัญด่านแรกของการนำไปสู่การเรียนรู้และพัฒนาทางด้านอื่นๆ
      
       ท่ามกลางสถานการณ์ความเห็นแก่ได้ของผู้ใหญ่ในบ้านเมือง และผู้มีอำนาจในการกำหนดนโยบายต่างๆ รวมถึงนโยบายการจัดซื้อจัดหานม เพื่อมาแจกฟรีให้เด็กๆ ก็ยังจะนำเอาสิ่งที่ไม่น่าเชื่อมากระทำกับเด็กได้ แล้วนับประสาอะไร กับความคาดหวังว่าจะขับเคลื่อนประเทศนี้ให้เดินหน้าเพื่อทัดเทียมประเทศ อื่นๆ ได้
      
       ยามนี้ ดิฉันนึกถึงเรื่องบาปบุญคุณโทษ ซึ่งเชื่อมั่นมาโดยตลอดว่า ถ้าใครกระทำไม่ดี บาปกรรมตามทันแน่บางคราก็สงสัยว่าคนที่ทำไม่ดีเขาจะรู้จักคำว่า “บาปกรรม” หรือไม่ เขาไม่เกรงกลัวในเรื่องบาปเลยหรือกระไร หรือเขาคิดว่า เรื่องของบาปเป็นเรื่องที่จับต้องไม่ได้ ไม่เหมือนเรื่องผลประโยชน์สามารถจับต้องเป็นตัวเงินได้
      
       สังคมทุกวันนี้ เรียกร้องเรื่องบาปบุญคุณโทษกันค่อนข้างมาก เพราะท่ามกลางวิกฤติทางเศรษฐกิจ วิกฤตทางการเมือง วิกฤตทางสังคมก็เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว หรืออาจจะหนักขึ้นชนิดที่คาดไม่ถึงขึ้นไปอีก ถ้าหากวิกฤติที่กล่าวมาข้างต้นขยายตัวลุกลาม
       การสอนให้ลูกรู้จักบาปบุญคุณโทษในยุคนี้เป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะเรื่องการทำความดี เพราะปัจจุบันการทำความ “ดี” ดูเหมือนจะถูกให้ความสำคัญน้อยกว่าคำว่า “เก่ง” ซะแล้ว
      
       ในขณะที่เด็กส่วนใหญ่ยุคนี้มักเข้าใจว่า การทำความดีก็คือการทำบุญ เป็นเรื่องของการเข้าวัด ถ้าต้องการทำบุญ ทำความดี ก็สามารถทำได้ที่วัด ทั้งที่จริงแล้ว การทำความดีมีหลากหลายรูปแบบ และคนเป็นพ่อแม่สามารถปลูกฝังให้ลูกได้มากมาย หลากหลายวิธี
      
       ยิ่งถ้าเราปลูกฝังลูกตั้งแต่เล็ก ในเรื่องการ “ให้” ให้ลูกรู้จักความสุขจากการเป็นผู้ให้ เท่ากับปลูกฝังสิ่งดีงามในตัวลูก ให้เขาสามารถอยู่ในสังคม และเป็นผู้สร้างสังคมที่ดีต่อไปได้ ฉะนั้นการสอนลูกทำความดี มิใช่แค่การไหว้พระ ทำบุญอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังมีวิธีอื่นๆ อีกมากมาย
      
       ลองมาดูวิธีปลูกฝังให้ลูกสร้างความดีกันค่ะ
       หนึ่ง – เริ่มต้นด้วยเรื่องการทำบุญก่อนก็ได้ ใส่บาตรตอนเช้า ถ้าสามารถทำเป็นกิจวัตรได้ทุกวัน หรือบ่อยเท่าที่จะสามารถทำได้ เป็นเรื่องดีมาก ที่สำคัญควรสอนให้ลูกใส่บาตรอย่างถูกวิธีด้วย เช่น ขณะใส่บาตรควรถอดรองเท้าด้วย และวิธีใส่บาตรต้องตั้งจิตอธิษฐาน สำรวมทุกครั้ง อาหารคาวหวานที่นำมาใส่บาตรมีความหมายอย่างไร ก็สามารถสอดแทรกการเรียนรู้ได้ด้วย ถือเป็นบทเริ่มต้นให้จิตใจผ่องใสกันก่อน
      
       สอง – พาลูกไปไหว้พระอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวันสำคัญทางศาสนาเป็นสิ่งที่จะทำให้ลูกได้ยึดถือปฏิบัติ ประเพณีที่สำคัญอีกต่างหาก แล้วระหว่างการทำบุญไหว้พระก็สอนให้ลูกรู้ถึงวันสำคัญต่างๆ มีความหมายอย่างไร และการไหว้พระเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ และเตือนใจให้เรากระทำแต่ความดี
      
       สาม – สอนให้ลูกรู้จักการบริจาคทาน ไม่ว่าจะเป็นบริจาคเงินหรือบริจาคสิ่งของ ถ้าเป็นการบริจาคเงิน พ่อแม่อาจสอนให้ลูกเก็บเงินค่าขนมเพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ที่ด้อยโอกาส หรือถ้าบริจาคสิ่งของก็อาจจะเริ่มจากการบริจาคสิ่งของที่เกินความต้องการ เช่น เสื้อผ้า ของเล่น หนังสือ หรืออุปกรณ์อื่นๆ โดยให้ลูกมีส่วนร่วมในการเลือกสิ่งของเพื่อนำไปบริจาคตามหน่วยงานที่เกี่ยว ข้องและต้องการความช่วยเหลือ ขณะเดียวกันก็สอนให้ลูกรู้จักการแบ่งปันให้กับผู้อื่นที่ด้อยโอกาสกว่าเรา
      
       การสอนให้ลูกรู้จักแบ่งปัน รู้จักการให้ ก็ควรจะปลูกฝังถึงความรู้สึกมีความสุขในการเป็นผู้ให้อย่างสม่ำเสมอ เพื่อสร้างนิสัยที่ดีต่อไปในภายภาคหน้า
      
       สี่ – ช่วยเหลือแรงกาย ฝึกให้ลูกได้ลงแรงกายแรงใจในการทำสิ่งที่มีประโยชน์ต่อส่วนรวม เช่น เก็บขยะ ช่วยถือของให้คนชรา ช่วยงานพ่อแม่หรือคุณครู ช่วยเหลือเพื่อน ไม่ดูดายเมื่อมีใครร้องขอให้ช่วยเหลือสิ่งใด สิ่งเหล่านี้จะหล่อหลอมให้เป็นเด็กที่ชอบช่วยเหลือผู้อื่น
      
       ห้า – ให้ลูกได้เห็นตัวอย่างหรือการกระทำที่ดีที่เป็นแบบอย่าง และชี้ชวนให้ยกย่องคนที่กระทำความดีอย่างสม่ำเสมอ และเมื่อลูกทำความดี ก็ควรที่พ่อแม่จะชื่นชมและให้กำลังใจทุกครั้ง เพื่อเป็นกำลังใจและแรงใจในการกระทำความดีในครั้งต่อไป
       หก – สอนลูกให้รู้จักรับผิดชอบตนเอง ประพฤติตนไม่เอาเปรียบผู้อื่น และไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน ก็เป็นการกระทำดีอย่างหนึ่ง ต้องพยายามฝึกให้ลูกคิดดี ทำดี โดยไม่หวังผลตอบแทนให้เป็นนิสัยติดตัว
      
       เจ็ด – สอนลูกนั่งสมาธิ เริ่มจากง่ายๆ ด้วยการฝึกก่อนนอนทุกวัน หลังจากสวดมนต์ก่อนนอน ก็ให้นั่งสมาธิ ค่อยๆ ฝึก และค่อยๆ เพิ่มเวลามากขึ้นๆ เป็นการฝึกให้จิตใจสงบ และสมาธิดี เมื่อสมาธิดีก็จะสามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้ดี ซึ่งจะส่งผลให้เด็กสามารถฝึกการมีสติได้จากเรื่องใกล้ตัว เช่น มีสมาธิกับการทำการบ้าน อ่านหนังสือ จะช่วยฝึกจิตให้มีสมาธิ ไม่ฟุ้งซ่าน
      
       แปด – สอนให้จิตใจอ่อนโยน อาจจะเริ่มจากการให้เลี้ยงสัตว์ชนิดใดชนิดหนึ่ง หรือดูแลต้นไม้ ด้วยการรดน้ำต้นไม้และติดตามการเจริญเติบโตของมัน หรือเมื่อเห็นผู้อื่นเจ็บป่วย เจ็บปวดก็ไม่ดูดาย ถามไถ่ จะช่วยสร้างนิสัยที่อ่อนโยน ซึ่งจะช่วยหล่อหลอมไม่ให้เด็กทำในสิ่งที่เป็นอันตรายต่อผู้อื่น และคิดถึงผู้อื่นเสมอ
      
       เก้า – เปิดโอกาสให้ลูกได้เรียนเรื่องการทำคุณงามความดี ผ่านสื่อหลากหลายชนิด เช่น สื่อหนังสือ สื่อทีวี นิทาน ฯลฯ ในทางสร้างสรรค์ เพื่อให้ลูกได้เรียนรู้ว่าการทำความดี ท้ายที่สุดผลลัพธ์ก็จะอยู่ที่การกระทำของเรา และการทำสิ่งไม่ดี ท้ายสุดจะมีบทลงเอยที่ไม่ดีอย่างไร แม้บางครั้งอาจจะนานถึงเห็นผลก็ตาม
       
       แต่ขอให้เชื่อเถอะลูก...คำพังเพยที่ว่า “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” ยังใช้ได้อยู่ทุกยุคทุกสมัย
      
       ยิ่งในยุคปัจจุบันผู้คนสับสนเรื่องความดี ความชั่ว เพราะส่วนใหญ่มักจะมองเข้าข้างตัวเอง จึงยิ่งจำเป็นที่พ่อแม่ต้องเร่งปลูกฝังและสอนเรื่องการทำความดีอย่างต่อ เนื่อง แม้บางอย่างอาจจะนานถึงจะเห็นผล
      
       แต่ท้ายสุด ทำดี ต้องได้ดี และเขาจะไม่มีวันกล้าทำเรื่อง “เน่า” อย่างแน่นอน

http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9520000021398

ก่อนจะถึงวัน..ยุบสภา..!!??

ก่อนจะถึงวัน..ยุบสภา..!!??
โดย สำราญ รอดเพชร

ได้รับชม รับฟังวิดีโอลิงก์ของ ทักษิณ ชินวัตร คืนวันที่ 27 และ 28 มี.ค. 2552 อย่างเปิดใจกว้างแล้วต้องประเมินว่า น่าจะเป็นการพูดจาปราศรัยที่ “โดนใจ” คนเสื้อแดงอย่างแน่นอน โดยเฉพาะคืนวันที่ 27 มี.ค.ผมเชื่อว่า น่าจะปลุกแนวรบคนเสื้อแดงให้ฮึกห้าวเหิมหาญกว่าเดิมหลายเท่า...
      
       จาก “แดง แดดเดียว” อย่างน้อยก็จะยกระดับเป็น “แดง แปดแดด” หรือ เก้าแดด สิบแดด สิบเอ็ดแดด สิบสองสิบสามแดด ไปโน่นเลย...
      
       แต่อย่างไรเสียสุดท้ายก็ต้องไปจอดป้ายก่อนวันสงกรานต์ – นั่นหมายความว่าม็อบเสื้อแดงหนนี้ซึ่งเริ่มต้นมาตั้งแต่วันที่ 26 มี.ค.จะเลิกราเมื่อเข้าเขตสงกรานต์ นับแต่วันเสาร์ที่ 11 เม.ย.
      
       ถ้าจะน็อกรัฐบาลอภิสิทธิ์ก็ต้องน็อกให้ได้ภายในสัปดาห์หน้า ซึ่งผมไม่ได้ดูถูกหรือปรามาสคนเสื้อแดง แต่ฟันธงว่ารอบนี้ยังน็อกไม่ได้...ยกเว้นว่าพวกเขาจะบ้าระห่ำเผาบ้านเผา เมืองก่อจลาจล ซึ่งผมก็พยายามมองพวกเขาในแง่ดีอีกว่า คงไม่หลุดโลกสติแตกถึงขนาดนั้น..
      
       ดังนั้นต่อให้คุณแม้วแหกปากโฟนลิงก์ วิดีโอลิงก์ ด้วยคารมคมคาย พูดเรื่องเบื้องลึกเบื้องหลังขนาดไหนก็ตามก็ยังไม่สามารถล้มรัฐบาลในตอนนี้ ได้..
      
       เพราะอะไร? ตอบว่าเพราะคนชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” นั่นแหละ!!
      
       …………
      
       “อย่าง ที่ผมบอกว่าท่านยังสับสนในตัวเองมาก รัฐธรรมนูญก็จะให้แก้ สภาก็จะให้ยุบ กฎหมายก็จะให้ออก มันทำไม่ได้หรอกครับทั้ง 3 อย่าง ผมคิดว่าท่านต้องไปแก้ความสับสนของตัวเองก่อน”
      
       ครับ นั่นคือคำตอบจาก อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ต่อคำถามที่ว่าคิดอย่างไรกับข้อเสนอของทักษิณ ชินวัตร ที่เสนอให้แก้รัฐธรรมนูญ 2550 หันไปใช้รัฐธรรมนูญ 2540 แทน และเลิกแล้วต่อกันก่อนจะยุบสภา โดยที่ตัวเขาจะไม่ลงเลือกตั้ง
      
       หากย้อนมองยุทธศึกของคนเสื้อแดงหนนี้ คนชื่อ ทักษิณ ชินวัตร ได้เปิดเผยตัวเองอย่างล่อนจ้อนว่าเขาคือหัวหน้าม็อบตัวจริงเสียงจริง เป้าหมายสูงสุดของเขาก็คือ การกลับมามีอำนาจอีกครั้งหนึ่ง แต่ก่อนถึงจุดนั้นขอให้มีการนิรโทษกรรมลบล้างความผิดให้กับทุกฝ่ายนับแต่วัน ที่ 19 ก.ย. 2549 ที่มีการรัฐประหาร ไปจนถึงวันที่ 5 พ.ค. 2552 (ตามร่างพ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติ)...
      
       แน่นอนที่สุดหากมีการนิรโทษกรรม ทักษิณต้องหลุดคดีที่ดินรัชดาภิเษกที่ถูกพิพากษาลงโทษ 2 ปี และอีก 4 คดีที่อยู่ระหว่างการพิจารณา
      
       เม็ดเงินอีก 7.6 หมื่นล้านบาทของเขาที่ถูกอายัดไว้ก็จะได้รับกลับคืนด้วย!!
      
       และเพื่อให้สอดคล้องกับข้อเรียกร้องของตัวเอง นักโทษชายทักษิณและพวกจึงพุ่งปลายหอกปลายดาบไปที่ต้นเหตุต้นเรื่องคือ การรัฐประหารเมื่อ 19 ก.ย. 2549 ที่ทำให้เขาสูญสิ้นอำนาจ..
      
       นั่นทำให้เกิดการสาวไส้เท็จบ้างจริงบ้างว่า เบื้องหน้าเบื้องหลังเบื้องข้างรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549 มีใครเกี่ยวข้องบ้าง...ซึ่งหลายช่วงหลายตอนของการปราศรัยทั้งทักษิณและพวก ได้พูดจาจาบจ้วงดูหมิ่นสถาบันองคมนตรี และหมิ่นเหม่ต่อการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ โดยที่พวกเขาหลงผิดคิดว่าจะได้คะแนนจากประชามหาชน
      
       แต่ในข้อเท็จจริงมันตรงกันข้าม!!
      
       ดัง นั้น ไม่ผิดหากจะสรุปว่า แม้เรื่องของการเมืองหลายต่อหลายครั้ง หลายต่อหลายเรื่องจะสามารถต่อรองประนีประนอมกันได้ แต่กรณีของคนเสื้อแดงเมื่อมีคำว่า “ทักษิณ” เข้ามาเกี่ยวข้องและมีส่วนได้เสียโดยตรง ทำให้สถานการณ์จบไม่ได้ จบไม่ลง ตรงข้ามกลับจะยิ่งปลายบานทะโร่!!
      
       …………….
      
       แม้จะเชื่อว่าเสื้อแดงยังน็อกรัฐบาลไม่ได้ในรอบนี้ แต่หากพูดถึงสถานการณ์บ้านเมืองโดยรวมแล้วน่าห่วงเป็นอย่างยิ่ง เพราะเหลียวซ้ายแลขวา มองไปเบื้องหน้าเหลียวมองไปเบื้องหลังแล้วค่อนข้างจะวังเวงในความหวัง...
      
       1) รัฐบาลประชาธิปัตย์ –เนวิน ปล่อยให้เวลา 3 เดือนผ่านเลยไปโดยไม่ได้แตะต้องระบอบทักษิณ เพราะมีความเชื่อด้านหลักซึ่งแทบจะเป็นความเชื่อด้านเดียวว่า ถ้าไปแตะต้องบ้านเมืองจะยิ่งแตกแยก การสมานฉันท์จะไม่เกิด ดังนั้นการโยกย้ายตำรวจที่ควรจะโยกย้าย การปฏิรูปสื่อที่ควรจะปฏิรูปจัดระเบียบ และฯลฯ จึงไม่บังเกิด สุดท้ายก็อย่างที่เห็นๆ ตำรวจแห่กันไปใส่เสื้อแดงนั่งชุมนุม คนของรัฐไปช่วยนายแม้วทำวิดีโอลิงก์ ฯลฯ
      
       สรุปว่าเป็นความคิดเริ่มต้นที่ผิด แต่ยังไม่น่าจะสายที่จะเริ่มต้นใหม่ แม้ยากกว่าเดิม
      
       2) รัฐบาลก็คงจะประคับประคองตัวเองไปเรื่อยๆ หลบเลี่ยงการใช้ความรุนแรง สรุปบทเรียนจากรัฐบาลสมัคร รัฐบาลสมชายว่า ใช้ความรุนแรงเมื่อใดก็เข้าทางทักษิณ เข้าทางคนเสื้อแดง นับถอยหลังได้ทันที
      
       3) อย่างไรก็ตาม หากน็อกรัฐบาลในรอบนี้ไม่ได้คนเสื้อแดงก็จะพักรบ อีกไม่นานก็จะกลับมากดดัน ขับไล่หรือต่อรองทางการเมืองกับรัฐบาลใหม่ โดยจะเสนอสูตรการเมืองทางเลือกไปเรื่อยๆ เช่น รัฐบาลแห่งชาติที่มีนายเสนาะ เทียนทอง เป็นนายกรัฐมนตรี ขณะเดียวกันก็จะผลักดันพ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติควบคู่กันไปด้วย แต่หากทุกอย่างไม่ได้ผลไพ่ใบสุดท้ายก็คือการป่วนนอกสภา เพื่อบีบกดให้นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยุบสภาล้างไพ่กันใหม่
      
       4) โดยส่วนตัวผมค่อนข้างมีความเชื่อว่า แม้รัฐบาลอภิสิทธิ์จะหลบเลี่ยงความรุนแรง ประคับประคองสถานการณ์ด้วยความอดทนสูงขนาดไหนก็ตาม แต่เมื่อเริ่มต้นการบริหารประเทศในลักษณะเชิงรับก็ต้องตกเป็นฝ่ายรับไป เรื่อยๆ
      
       บางทีในช่วงปลายปีนี้ก็อาจจะหมดความอดทน ประกาศยุบสภาเลือกตั้งกันใหม่ โดยโอกาสที่พรรคเพื่อไทยจะชนะเลือกตั้งก็มีอยู่ไม่น้อย และหากพวกเขาชนะเลือกตั้งได้จัดตั้งรัฐบาล วันนั้นฝันของนักโทษชายทักษิณที่จะได้รับการปลดปล่อย ได้รับทรัพย์สินเกือบแสนล้านบาทคืน...ท่ามกลางแรงคัดค้านของผู้คนอีกฝ่าย..
      
       ....................
      
       ครับ โดยภาพรวมเมื่อมองไปเบื้องหน้า...แม้หลายฝ่ายจะเป็นห่วงว่าบ้านเมืองจะย่าง ก้าวไปทางไหน จะนองเลือดจลาจล ฆ่ากันตายอีกหรือไม่ ผมก็ได้แต่ทำนายทายทักว่า...การยุบสภา ที่กาลครั้งหนึ่งเมื่อตอนที่เป็นผู้นำฝ่ายค้าน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็เคยเสนอให้เป็นทางออกทางเลือกของบ้านเมือง แต่รัฐบาลสมัคร –สมชายไม่นำพา จะกลายเป็นทางเลือกของรัฐบาลด้วยความจำยอม
      
       เพียง แต่กว่าจะถึงวันที่ต้องจำยอมจะต้องลากสถานการณ์ไปให้ยาวที่สุดเท่าที่จะยาว ได้..เผื่อว่าฟ้าดินจะชิงลงโทษนายแม้วและพวก ก่อนวันนั้นจะมาถึง!!??
      
       samr_rod@hotmail.com

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000036417

เปิดใจ‘เทียร์รี่ ลาสเวกัส’ จากศรัทธาสู่บทเพลง‘เทียนแห่งธรรม’

   
จุดเทียนเล่มน้อย แล้วนำมาร้อยรวมกัน
       ประคองให้มั่น หลอมรวมกันให้เป็นดวงใหญ่
       สยบพวกมาร เผาผลาญผีเปรตจัญไร
       ไล่มันออกไป จากประเทศไทยของเราเสียที...............
      
       บทเพลงนี้ดังกระหึ่มท่ามกลางการต่อสู้ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธ ิปไตย คนเสื้อเหลืองที่ลุกขึ้นมาขับไล่รัฐบาลขายชาติ และกลายเป็นบทเพลงแห่งหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทย จนใครต่อใครต่างอยากรู้จักตัวตนของคนที่แต่งเพลงนี้ว่าเขาคือใคร เพราะตลอดหลายปีที่ผ่านมาเรารู้แต่เพียงว่าเขาชื่อ ‘เธียร์รี่ ลาสเวกัส’
      
       จุดเริ่มของแรงบันดาลใจ
      
       นับเป็นโชคดีที่หนุ่มหล่อคนนี้เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลจากสหรัฐอเมริก ากลับมาประเทศไทยซึ่งเป็นบ้านเกิดเมืองนอน เราจึงมีโอกาสพูดกับเขาถึงเรื่องราวและที่มาของบทเพลงดังกล่าว
      
       เธียร์รี่มีชื่อจริงว่า ‘เธียรพงศ์ พลอยเพชร’ ซึ่งไม่แปลกที่หลายคนอาจรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาเพราะเขาคืออดีตนักร้องนำของวง ‘เดอะเจเนอเรชั่น’ที่เคยโด่งดังเมื่อ 20 กว่าปีก่อน แม้เขาจะไปลงหลักปักฐานเป็นนักดนตรีอยู่ที่ลาสเวกัส สหรัฐอเมริกา แต่ทว่าเลือดรักชาติก็ยังคงไหลเวียนอยู่ในร่างกายและหัวใจของผู้ชายคนนี้
      
       เธียร์รี่บอกว่าเพลงเทียนแห่งธรรมถูกเขียนขึ้นในช่วงปลายปี 2548 หลังจากที่รายการเมืองไทยรายสัปดาห์ของคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ถูกถอดออกจากผังรายการของสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 อสมท. และคุณสนธิได้ออกมาจัดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และย้ายไปที่สวนลุมพินีในเวลาต่อมา เขาได้รับทราบเรื่องราวต่างๆผ่านสัญญาณดาวเทียมที่ส่งจากเมืองไทยไปยังลาสเว กัส สหรัฐอเมริกา ความห่วงใยบ้านเกิดเมืองนอนที่กำลังเข้าสู่ภาวะวิกฤตจากปัญหาคอร์รัปชั่น การบ่อนทำลายสถาบัน และการใช้อำนาจโดยมิชอบของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จึงถูกถ่ายทอดเป็นบทเพลงด้วยความหวังว่าสักวันหนึ่งเทียนแห่งปัญญาที่สื่อหั วแข็งอย่าง ‘สนธิ ลิ้มทองกุล’ จุดขึ้นจะถูกจุดต่อๆกันไปเพื่อให้แสงสว่างกลายเป็นพลังขับไล่นักการเมืองชั่วที่เป็นดั่งภูตผีร้ายทำคอยกัดกินทำลายบ้านเมือง
      
       เธียร์รี่ส่งเพลงที่เขาบันทึกใส่ซีดีมาให้คุณสนธิเพื่อเป็นกำลังใจใน การต่อสู้กับความไม่ถูกต้องโดยไม่เคยคาดคิดว่าเพลงของเขาจะกลายเป็นบทเพลงแห ่งประวัติศาสตร์และเป็นสัญลักษณ์แห่งการต่อสู้ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชา ธิปไตยตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา
      
       “ คือผมได้ดูรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ตั้งแต่ที่คุณสนธิและคุณสโรชา (สโรชา พรอุดมศักดิ์) จัดอยู่ที่สถานีโทรทัศน์ช่อง 9 อสมท. ตั้งแต่คุณสนธิยังไม่ออกมาแฉคุณทักษิณเลย จนกระทั่งรายการถูกปลดหลังจากที่นำเสนอบทความเรื่องลูกแกะหลงทาง ซึ่งเปรียบเทียบถึงความเหิมเกริมในการใช้อำนาจแสวงประโยชน์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ผมมองว่าคุณสนธิทำหน้าที่ในฐานะสื่อที่ต้องการบอกความจริงแก่ประชาชน ในขณะที่คุณทักษิณกลับไม่เคยชี้แจงข้อกังขาเรื่องการทุจริตต่างๆเลย หนำซ้ำยังคุกคามกลั่นแกล้งสื่อที่ออกมาต่อต้านเขาด้วย กระทั่งคุณสนธิมาจัดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจรที่สวนลุมฯ ผมรู้สึกว่าสถานการณ์ตอนนั้นน่าเป็นห่วงมาก คนไทยจำนวนไม่น้อยที่ลุกขึ้นมาเคลื่อนไหวเพื่อปกป้องประเทศชาติ ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้เลยว่าจะสำเร็จหรือเปล่าเพราะช่วงนั้นอำนาจของคุณทักษิณครอบคลุ มไปทุกวงการ
      
       ผ มก็เลยเขียนเป็นเพลงขึ้นมา คือผมเป็นนักร้องอยู่แล้วมีอะไรที่ประทับใจก็จะเขียนเป็นเพลงเก็บไว้ จำได้ว่าตอนนั้นฉากหลังของรายการเป็นรูปเทียนหลายเล่ม คุณสนธิได้เปรียบเทียบว่านักการเมืองที่โกงกินบ้านเมืองก็เหมือนผีเปรตผีมาร ซึ่งอยู่ในความมืดและกลัวแสงสว่าง ก็เหมือนนักการเมืองที่กลัวความจริง เพราะฉะนั้นคุณสนธิก็ขอจุดเทียนทางปัญญาให้ทุกคนได้รู้ความจริง และบอกว่าเราต้องช่วยกันจุดเทียน รวมเทียนดวงเล็กๆให้กลายเป็นเทียนพรรษา ผีเปรตผีมารเห็นแสงสว่างจะได้กลัวและอยู่ไม่ได้ ซึ่งตรงนี้เป็นที่มาของชื่อเพลง ‘เทียนแห่งธรรม’ เพลงนี้พอเขียนเสร็จผมก็มานั่งเกากีตาร์ ใส่คอร์ดเก็บไว้ แต่ก็แอบนึกในใจว่าเพลงนี้ถ้าเอาไปร้องให้ประชาชนได้ฟังคงช่วยปลุกจิตสำนึกเ รื่องความรักชาติได้บ้าง” เธียร์รี่เล่าถึงที่มาที่ไปของแรงบันดาลใจในการแต่งเพลงเทียนแห่งธรรม
      
       เรียงถ้อยร้อยคำ
      
       สิ่งที่ทำให้บทเพลงเทียนแห่งธรรมตราตรึงอยู่ในใจของใครหลายคนก็คือกา รเรียงร้อยเนื้อร้องที่ลึกซึ้งกินใจทั้งความหมายและถ้อยคำ แต่ละวรรคตอนสื่อถึงการรวมพลังของคนไทยที่มีหัวใจรักชาติซึ่งพร้อมจะต่อสู้เ พื่อปกป้องประเทศชาติและสถาบัน เป็นบทเพลงที่นอกจากจะมีความงดงามทางภาษาแล้วยังก่อให้เกิดพลังแก่ผู้ฟังอย่ างไม่รู้ตัว
      
       “ เนื้อหาต่างๆของเพลงนี้ก็เกิดจากการประมวลถ้อยคำที่คุณสนธิพูด ซึ่งผมรู้สึกว่ามันโดนใจ เลยนำมาร้อยเป็นเพลง เช่นที่คุณสนธิบอกว่าเราต้องช่วยกันจุดเทียนแห่งปัญญาเพื่อขับไล่ผีเปรตผีมา รที่โกงกินบ้านเมือง เราสู้โดยเอาธรรมนำหน้า เราสู้เพื่อในหลวง นักการเมืองโกงกินขนาดนี้มันไม่ไหวแล้วนะ เราต้องเอาประเทศไทยของเราคืนมาให้ได้ คุณสนธิพูดเสมอว่าเราไม่ขอมักใหญ่ใฝ่สูงเป็นนักการเมือง แต่เราจะขอเป็นแค่ยาม เป็นยามเฝ้าแผ่นดิน คือฟังแล้วมันโดนทุกประโยคนะ
      
       ตอนแรกผมแต่งเก็บไว้เฉยๆ จนกระทั่งช่วงปลายปี 2548 ทางสมาคมชาวใต้ที่นิวยอร์กเขาจัดงานวันพ่อ แล้วเชิญผมไปร้องเพลง ก็ได้ไปเจอพี่ๆวงเดอะสวิงซ ึ่งเป็นคนใต้ที่ไปอยู่ที่นั่น ก็ได้พูดคุยเรื่องการเมืองกัน พี่คนหนึ่งเขาบอกว่าเธียร์รี่คงไม่สนใจการเมืองหรอก ผมก็บอกน้อยไปสิพี่..ผมเขียนเพลงด่าไว้เลยล่ะ เขาถามว่าเพลงอะไร ด่าทักษิณใช่ไหม ผมก็ตอบว่าผมไม่ได้ด่าทักษิณ ผมด่าพวกโกงกินชาติ เขาก็เลยให้ร้องให้ฟัง ตอนนั้นยังเขียนไม่จบ ยังไม่ได้ตั้งชื่อด้วย พี่ๆเขาบอกว่าเพลงนี้มันจะไปปลุกใครให้มาสู้ได้ล่ะ ผมก็บอกว่ามันเป็นเพลงช้าพี่ แต่มันปลุกจิตสำนึกดีนะ เขาก็บอกว่าเออ..งั้นอัดเก็บไว้ไหม พอดีมีพี่อีกคนชื่อ "พี่หมู" เขาบอกว่าพี่รู้จักกับพวกบ้านพระอาทิตย์ เดี๋ยวพี่จะเอาซีดีส่งไปให้คุณสนธิ
      
       ผมก็บอกว่าจะส่งไปยังไง ผมยังไม่ได้อัดเลย แล้วพรุ่งนี้ผมก็จะบินกลับลาสเวกัสแล้ว บังเอิญมีพี่อยู่คนหนึ่งเขาเป็นหมอ ชื่อ "หมอชิน" บ้านเขามีเครื่องอัดเสียง ผมก็โอเค..แต่ต้องไปบ้านพี่แต่เช้าเลยนะเพราะเครื่องบินออกเที่ยงครึ่ง กลับไปที่พักคืนนั้นผมก็ไม่ได้นอนเลย นั่งเขียนเนื้อเพลงที่เหลือต่อจนจบ รุ่งเช้าก็อัดเสียงกันเลย ห้องอัดก็มีแค่อิเล็กโทนตัวเดียว ผมมีกีตาร์อยู่ตัวหนึ่ง ก็เล่นเองร้องเอง ใช้เวลาในห้องอัดไม่เกินชั่วโมง ฟังแล้วก็ยังไม่ค่อยสมบูรณ์เท่าไร แต่มันได้แค่นั้น แล้วคือใจจริงเนี่ยก็ไม่คิดว่าเขาจะส่งมาให้คุณสนธิจริงๆ ถึงจะส่งไปจริงก็ไม่รู้จะมีใครฟังหรือเปล่า ผมรู้สึกว่าอยากให้รู้ว่ามันเป็นเพลงอิมพอร์ต ส่งมาจากเมืองนอก ผมก็เลยเขียนข้อความฝากมาว่าเพลงนี้ขอมอบให้คุณสนธิ ไว้เป็นกำลังใจในการต่อสู้ ก็คิดอะไรไม่ออก คือปกติเพื่อนที่เป็นฝรั่งจะเรียกผมว่าเธียร์รี่ แล้วผมอยู่ที่ลาสเวกัส ผมก็เลยใช้ชื่อว่า เธียร์รี่ ลาสเวกัส” เธียร์รี่เล่าถึงเหตุการณ์ก่อนที่เพลงเทียนแห่งธรรมของเขาจะกลายเป็นเพลงแห่งหน้าประวัติศาสตร์
      
       บทเพลงแห่งหน้าประวัติศาสตร์
      
       เธียร์รี่บ อกว่านับเป็นความบังเอิญที่เพลงของเขาได้รับเสียงชื่นชมจากพี่น้องพันธมิตรฯ หลังจากที่เพลงนี้ถูกเปิดครั้งแรกในการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธ ิปไตย ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2549 ก่อนที่คุณสนธิจะขึ้นปราศรัยในวันนั้น และได้กลายเป็นเพลงประจำรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ในเวลาต่อมา จนกระทั่งมีการชุมนุมของพันธมิตรฯภาค 2 ในปี 2551 เพลงเทียนแห่งธรรมก็ถูกเปิดขึ้นบนเวทีพันธมิตรฯอีกครั้ง และยังเป็นเพลงที่ทุกคนจะร่วมกันร้องก่อนที่ 5 แกนนำพันธมิตรฯจะขึ้นปราศรัยในแต่ละวันอีกด้วย
      
       ปรากฏการณ์ครั้งนี้ถือเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ในความรู้สึกของเขา เพราะที่ผ่านมาเธียร์รี่หวังเล็กๆเพียงว่าคุณสนธิอาจจะได้หยิบเพลงของเขาขึ้ นมาฟังบ้าง แต่เขาไม่เคยคาดคิดว่าเพลงที่เขาแต่งขึ้นจากความห่วงใยในบ้านเกิดเมืองนอนจะ กลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์แห่งการต่อสู้ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยซ ึ่งเป็นการรวมพลังของคนไทยที่มีหัวใจรักชาติ
      
       “ วันนั้นจำได้ว่า เช้าวันที่ 4 กุมภาฯ ปี 49 ผมนอนดูเอเอสทีวีอยู่ ตอนนั้นเขาชุมนุมกันที่ลานพระรูปฯ กำลังสะลึมสะลือ อยู่ๆเพลงเทียนแห่งธรรมก็ดังขึ้น โอ้โห...น้ำตาไหลเลย ดีใจมาก แต่ตอนนั้นทีมงานเขาใช้ชื่อเพลงว่ายามเฝ้าแผ่นดินน ะ พี่สำราญ(สำราญ รอดเพชร) กับพิธีกรผู้หญิงอีกคนเขาก็พูดถึงเพลงของผมว่า เพลงนี้ส่งมาจากสหรัฐอเมริกา คนแต่งชื่อเธียร์รี่ ลาสเวกัส โอ..ฟังแล้วขนลุก อย่างนั้นอย่างนี้ ผมก็ยิ่งภูมิใจใหญ่เลย หลังจากนั้นเอเอสทีวีก็เอามาเปิดบ่อยๆ เพราะโฆษณาไม่ค่อยมี (หัวเราะ) เขาก็จะเปิดแต่เพลงกู้ชาติ แล้วก็มีเพลงของผมด้วย
      
       จากนั้นทีมงานก็โทร.ไปหาผมที่ลาสเวกัส เขาก็ถามว่าเพลงของคุณจะใช้ชื่อว่าอะไร ผมก็บอกว่าชื่อเพลงเทียนแห่งธรรม เพราะเพลงนี้มันจุดประกายมาจากเทียน ผมว่าที่มันกลายเป็นเพลงประจำพันธมิตรฯ คงเป็นเพราะคุณสนธิและหลายๆคนชอบ ผมก็ดีใจนะที่ทุกคนชอบ ผมจะรู้สึกตื้นตันทุกครั้งที่เปิดเพลงนี้แล้วกล้องแพนไปข้างล่างเวที เห็นพี่น้องพันธมิตรนับพันนับหมื่นไกลสุดสายตา บางคนน้ำตาไหล ผมก็พลอยน้ำตาไหลตามไปด้วย” เทียร์รี่กล่าวด้วยความภาคภูมิใจ
      
       เทียนแห่งธรรมภาค 2
      
       เทียร์รี่บ อกว่าตอนนี้เขาทำเพลงเทียนแห่งธรรม ภาค 2 ออกมาแล้ว เป็นเพลงช้าๆแต่เนื้อหายังคงปลุกใจในเรื่องความรักชาติเหมือนเดิม นอกจากนั้นเขายังนำเพลงเทียนแห่งธรรมไปรีมิกซ์ใหม่ในเวอร์ชั่นแดนซ์อีกด้วย ซึ่งเขาหวังว่าอย่างน้อยคนที่ได้ฟังเพลงของเขาจะมีกำลังใจในการช่วยกันปกป้อ งผืนแผ่นดินไทยและสถาบันอันเป็นที่รักของเราทุกคน
      
       “อยู่ที่ลาสเวกัสผมก็ร่วมเคลื่อนไหวกับพันธมิตรฯที่นั่น มีกิจกรรมอะไรก็ไปช่วยกัน ส่วนมากก็ไปร้องเพลงให้ แล้วในช่วงปี 2549 ผมก็แต่งเพลงไว้อีกเพลงหนึ่ง ชื่อเพลงเทียนแห่งธรรม ภาค 2 คือตอนที่แต่งเนี่ยเป็นช่วงที่รู้สึกว่าเราชุมนุมกันมายาวนานมาก แต่คุณทักษิณและเครือข่ายก็ยังอยู่เหมือนเดิม ก็กลัวว่าจะท้อกัน ผมเลยแต่งเพลงนี้ให้เป็นกำลังใจ ตอนนี้ก็ทำเป็นเพลงออกมาแล้ว นอกจากนั้นผมยังรีมิกซ์เพลงเทียนแห่งธรรมภาคแรกใหม่ ทำเป็นเวอร์ชั่นแดนซ์ คือบางคนฟังเทียนแห่งธรรมเวอร์ชั่นแรกนานๆก็อาจจะเบื่อ แต่ส่วนตัวผมก็ยังชอบเวอร์ชั่นเดิมอยู่นะ”
      
       จากนี้ไปไม่ว่าการเมืองไทยจะสดใสหรือมืดมน แต่เสียงเพลง ‘เทียนแห่งธรรม’ ก็จะยังคงดังกึกก้องในหัวใจของพี่น้องพันธมิตรฯผู้พร้อมพลีชีวิตเพื่อปกป้องประเทศชาติและสถาบันตลอดไป

พธม.ลังกาสุกะหนุนกระจายสินค้าทั่วปท.ประเดิมแลก “ข้าวมา-ปลาไป”สู่อีสานแล้ว

พธม.ลังกาสุกะหนุนกระจายสินค้าทั่วปท.ประเดิมแลก “ข้าวมา-ปลาไป”สู่อีสานแล้ว
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน


ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ – แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยลังกาสุกะ (จ.ปัตตานี) ผุดเครือข่ายแลกเปลี่ยนสินค้าข้าวมา-ปลาไป จากแดนใต้สู่ จ.อุดรธานี เป็นผลสำเร็จ หลังจากที่เดินทางไปร่วมเวทีคอนเสิร์ตการเมืองเมื่อวันแห่งความรักที่ผ่านมา โดยล็อตแรกมีการส่งสินค้าเกือบ 500 กิโลกรัม ทั้งข้าวกล้องหอมมะลิงอก และปลาทูเค็ม ขณะเดียวกันได้ชักชวนเพื่อนพันธมิตรฯช่วยกันสั่งสินค้าจากอีสานลงใต้มากขึ้น พร้อมขานรับแนวคิดกระจายสินค้าระหว่างภูมิภาคของนายสนชัย ลิ้มทองกุล ล่าสุดคัดของดีเมืองปัตตานีส่งตัวอย่างไปให้แล้ว หวังเห็นความร่วมมือเป็นรูปธรรมตั้งเป็นสหกรณ์กระจายทั่วประเทศ โวอนาคตมีสาขามากกว่าร้านสะดวกซื้อชื่อดังแน่

การขับเคลื่อนติดอาวุธทางปัญญาแก่พี่น้องพันธมิตรประชาชนเพื่อ ประชาธิปไตย ได้แตกหน่อเป็นการสร้างความช่วยเหลือระหว่างภูมิภาค ล่าสุดพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยลังกาสุกะ โดย นายดิสพูน จ่างเจริญ จับมือกับพันธมิตรฯ ภาคอีสานสร้างเครือข่ายแลกเปลี่ยนสินค้า “ข้าวมา-ปลาไป” เป็นผลสำเร็จ

นายดิสพูน จ่างเจริญ แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยลังกาสุกะ (จ.ปัตตานี )เปิดเผยว่า จุดเริ่มต้นจากเครือข่ายแลกเปลี่ยนสินค้า “ข้าวมา-ปลาไป” มาจากการเดินทางไปร่วมเวทีคอนเสิร์ตการเมืองที่ จ.อุดรธานี เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งมีความตั้งใจว่าในฐานะที่เป็นพี่น้องพันธมิตรด้วยกัน ไม่ว่าจะอยู่แห่งใดก็จะต้องช่วยเหลือกัน โดยเฉพาะพื้นที่ จ.อุดรธานี ซึ่งมีกลุ่มเสื้อแดงคอยกลั่นแกล้ง

หลังจากจบเวทีคอนเสิร์ตนั้นเอง ยังได้ใช้เวลาเดินทางไปดูวิถีชีวิตของพี่น้องชาวอีสาน และพบว่าเป็นพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์และเป็นแหล่งผลิตข้าวที่ใหญ่ของประเทศไทย ทำให้มีข้าวเจ้าเหลือใช้เลี้ยงสัตว์ เช่น เป็ด ไก่ เพราะส่วนใหญ่บริโภคข้าวเหนียว จึงมีความคิดว่าหากข้าวเหล่านี้ถูกส่งไปยัง จ.ปัตตานี สามารถนำไปบริโภคได้

ขณะเดียวกัน จ.ปัตตานี ซึ่งประกอบอาชีพประมงเป็นจำนวนมาก จึงมีปลาที่เหลือจากการคัดไปจำหน่ายเป็นจำนวนมากแต่มีขนาดเล็ก ซึ่งบางส่วนนำไปทิ้งไม่ได้ประโยชน์อะไร แต่หากถูกส่งไปยัง จ.อุดรธานี น่าจะมีประโยชน์กว่า เพราะมีความต้องการปลาเพื่อแปรรูปเป็นปลาร้าจำนวนมาก ตนจึงนำแนวคิดการแลกเปลี่ยนสินค้าพูดคุยกับผู้ผลิตข้าว

“การช่วยเหลือนี้เกิดขึ้นได้เพราะเรามีการแลกเปลี่ยนความคิด และเห็นช่องว่างของสินค้าที่มีจำนวนมากในแต่ละพื้นที่ทั้งปลาและข้าวซึ่ง เป็นปัจจัยสำคัญต่อการดำรงชีพว่า หากผลิตได้มากก็จะไม่ค่อยเห็นประโยชน์จากสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ในขณะที่พื้นที่ซึ่งผลิตไม่ได้ขาดแคลนและมีความต้องการ จึงควรจะมีการแลกเปลี่ยนกัน ระหว่างจ.ปัตตานี และอุดรธานีไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลาง โดยมีพี่น้องพันธมิตรฯ จ.มหาสารคาม เป็นผู้ช่วยเหลือด้านการขนส่งระหว่างสองจังหวัด ซึ่งเราก็ได้ช่วยเหลือด้านค่าน้ำมันในการขนส่ง เงินก็หมุนเวียนในกลุ่มพันธมิตรฯ นั่นเอง สินค้าล็อตแรกที่มีการแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน เป็นข้าวกล้องหอมมะลิงอก พันธุ์ 105 จากทุ่งกุลาร้องไห้ และปลาทูเค็มน้ำหนักทั้งหมดราว 500 กิโลกรัม” นายดิสพูนกล่าวต่อและว่า

นอกจากนี้ พันธมิตรฯ จ.อุดรธานี ยังมีความต้องการให้ จ.ปัตตานี นำปลาตัวเล็กที่เหลือจากการคัดแยกมาดองเกลือส่งให้ในพื้นที่ เพื่อนำไปปรุงเป็นปลาร้าซึ่งเป็นอาหารยอดนิยมของที่นั่นอีกด้วย ส่วนสินค้าอื่นๆ ที่น่าสนใจเช่น ปลาหมึกแห้ง ซึ่ง จ.ปัตตานี เป็นแหล่งผลิตรายใหญ่อีกด้วย

“ในขณะนี้เรากำลังขยายเครือข่ายความร่วมมือ และบอกต่อพี่น้องพันธมิตรฯ ในจังหวัดและจังหวัดใกล้เคียงด้วยว่า ใครต้องการสินค้าตัวใดจากภาคอีสานก็สามารถติดต่อมาที่ผมโดยตรง ที่ภัตตาคารจงอา อ.เมืองปัตตานี เพื่อว่าหลังจากที่เราส่งสินค้าไปภาคอีสานแล้ว เขาจะได้มีสินค้าอื่นๆ ติดรถส่งมาให้เราเพิ่มขึ้นอีก และอยากให้พี่น้องพันธมิตรฯ ขยายความร่วมมือนี้กันทั่วประเทศ” นายดิสพูน กล่าวต่อและว่า

ส่วนแนวคิดของนายสนชัย ลิ้มทองกุล ซึ่งดูแลการกระจายจาน ASTV ทั่วประเทศ ได้รับอาสาเป็นตัวกลางกระจายสินค้าของพี่น้องพันธมิตรฯ ทั่วประเทศกระจายสู่ภูมิภาคอื่นๆ โดยจะเริ่มจัดรถสินค้ากระจายสู่ภาคใต้เป็นที่แรกนั้น นายดิสพูน กล่าวเกี่ยวกับความคืบหน้าเรื่องนี้ว่า ล่าสุดได้มีเจ้าหน้าที่ลงมาพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้ผลิตสินค้าใน จ.ปัตตานีแล้ว และได้นำสินค้าตัวอย่างไปพิจารณาด้วย เช่น ปลาหมึกแห้ง ลูกหยี น้ำบูดู ข้าวเกรียบปลา เป็นต้น และเชื่อว่าแนวคิดนี้เป็นการช่วยเหลือกันที่สามารถทำให้เกิดขึ้นได้จริงโดย ไม่ซับซ้อน ซึ่งต่อไปมีการวางแผนที่จะรวมกลุ่มเป็นสหกรณ์ เมื่อทุกกลุ่มเข้มแข็งแล้วส่วนตัวเชื่อว่าน่าจะมีสาขามากกว่าร้านสะดวกซื้อ เซเว่นอีเลฟเว่น เสียอีก เพราะพี่น้องพันธมิตรฯ มีทั่วทุกหัวระแหงของประเทศ

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000035466

Clip video ต้องฟัง! สนธิ ลิ้มทองกุล วิจารณ์ ทหาร , เสื้อแดง

Clip video ต้องฟัง! สนธิ ลิ้มทองกุล วิจารณ์ ทหาร , เสื้อแดง









วิจารณ์ ทหาร , เสื้อแดง

Author: khamnanjo
Keywords: สนธิ ปราศัย March 27 pt.1 พันธมิตร
Added: March 27, 2009

'ธุรกิจไม่ใช่กิจการดับเพลิง

จาก หนึ่งสมอง สองมือ
รวมบทสนทนา "ชีวิตธุรกิจ" พ.ศ. 2530
โดย ประสาร มฤคพิทักษ์
          ยังมีนักธุรกิจประเภทหนึ่งครับที่ย่ำเท้าอยู่กับที่ ก้าวไปข้างไหนไม่ได้สักที และในที่สุดก็ทำท่าจะไปไม่รอดเอาด้วย

          คือนักธุรกิจที่ตกเป็นฝ่ายตั้งรับในทุกๆเรื่อง
          คู่แข่งเขาปรับปรุงแผนการตลาดถึงไหนไปแล้ว ตนเองยังใช้วิธีการขายแบบโบราณ มีลูกค้าแค่ไหนก็มีอยู่แค่นั้น

          คนอื่นเขามีการพัฒนาบุคลากรด้วยการจัดฝึกอบรมกันอย่างเอาจริงเอาจัง ตนเองยังมะงุมมะงาหราอยู่กับการปล่อยให้ลูกน้องโง่อยู่อย่างนั้น

          คนอื่นเขาขยายเครือข่ายทางธุรกิจของตนออกไปสู่กิจการอื่นๆที่น่าสนใจ ตนเองยังขีดวงจำกัดให้แก่ธุรกิจเดิมโดยไม่ยอมก้าวเท้าไปข้างหน้า

          นี่คือความคิดอนุรักษ์นิยมที่อันตราย

          นักธุรกิจประเภทนี้ วันทั้งวันจะหัวเสียกับการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปวันๆหนึ่งเท่านั้น

          ลูกค้าต้อว่ามาว่าของที่ส่งให้เขา ไม่เป็นไปตามแบบที่กำหนด ก็มาเล่นงานฝ่ายผลิตเสียครั้งหนึ่ง

          ลูกค้าเดือดร้อนที่ฝ่ายบริการให้บริการไม่ได้เรื่อง ทั้งช้าและชุ่ย ก็มาเล่นงานฝ่ายบริการเสียทีหนึ่ง

          ลูกน้องเคลื่อนไหวนัดหยุดงานเพราะเกิดสภาพการจ้างที่ไม่เป็นธรรม ก็วิ่งหาคนอื่นไปช่วยแก้ไขปัญหา

          นี่คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อยๆ เป็นงานประจำวันของนักธุรกิจที่เอาแต่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น

          ธุรกิจไม่ใช่กิจการดับเพลิงที่ทำงานเมื่อเกิดไฟไหม้ แต่ธุรกิจเป็นกระบวนการของการวางแผนระยะยาว โดยเล็งเห็นว่าปัญหาต่างๆจะต้องมีเครื่องมือและมาตรการอะไรเตรียมไว้ล่วงหน้า ทำเช่นนี้ได้ ปัญหาก็เกิดได้ยาก หรือถ้าจะเกิดก็ย่อมสามารถจะรับมือมันได้อย่างทันกาล

๔ อ. คาถารักษา รัก ให้ยั่งยืน

กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม จึงอยากจะขอเสนอ " ๔ อ. คาถารักษา รัก ให้ยั่งยืน"ซึ่งคาถา ในที่นี้ มิใช่มนต์ที่จะเสกเป่าให้คนมารัก มาชอบ แต่เป็นเหมือนแนวทางให้คู่รัก หรือแม้แต่คู่สามีภริยาได้นำไปประพฤติปฏิบัติเพื่อความสุข ความสดชื่นในชีวิตคู่ต่อไป

อ.แรก คือ เอาใจใส่ ธรรมชาติของคนเราไม่ว่าหญิงหรือชายล้วนพอใจให้มีคนมาเอาใจใส่ต่อตัวเราทั้งสิ้น ยิ่งเป็นแฟนหรือคนใกล้ชิดทำให้ก็ยิ่งทวีความสุขใจ การเอาใจใส่ในที่นี้ นับตั้งแต่การให้ความสนใจไต่ถามสารทุกข์สุกดิบของกันและกัน ให้ความห่วงหาอาทรอย่างสม่ำเสมอ เอาใจเขามาใส่ใจเรา คอยเอาใจ ช่วยเป็นกำลังใจซึ่งกันและกัน ไม่เอาแต่ใจตัวหรือเอาแต่ได้ ที่สำคัญคือ ไม่เอาใจออกห่างจนเกิดปัญหาตามมา

อ.ที่สอง คือเอื้อนเอ่ยวาจาดี โดยปกติ คนเรามักจะพูดจากับผู้ที่เราไม่รู้จักด้วยถ้อยคำที่ไพเราะสุภาพ แต่เมื่อสนิทชิดเชื้อกันแล้ว ปรากฏว่าหลายค นมักจะขาดความเกรงใจต่อกัน และบ่อยครั้งก็พูดจากันด้วยคำไม่เหมาะสม ก้าวร้าว ซึ่งจริงๆแล้วไม่ว่าจะสนิทกันเพียงไหน ถ้อยคำที่ไพเราะ อ่อนหวาน สุภาพก็ยังเป็นสิ่งฟังแล้วรื่นหู ให้ความสบายใจ ยิ่งเป็นคำชื่นชมด้วยแล้ว ไม่ว่าจะเป็นคู่รักหรือคู่ครอง ย่อมฟังแล้วเกิดความชื่นใจ มีกำลังใจเพิ่มขึ้น ดังนั้น เราจึงควรพูดดีต่อกัน แม้แต่การตำหนิก็ไม่ควรใช้ถ้อยคำที่รุนแรง หรือดุด่าให้คนฟังเสียน้ำใจ

อ.ที่สาม คือ อดทน การที่คนสองคนจะมาเป็นแฟนหรือกลายมาเป็นสามีภริยากันในอนาคตได้นั้น สิ่งหนึ่งที่ต้องมีคือ ความอดทนซึ่งกันและกัน เพราะการที่มาจากคนละครอบครัวอันมีความต่างกันไม่มากก็น้อย ย่อมต้องใช้เวลาศึกษาและปรับตัวเข้าหากัน หากไม่มีความอดทนเพียงพอ ก็อาจจะต้องเลิกรากันไปก่อน ที่จะรู้จักกันดีเสียอีก และเมื่อใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันแล้ว ก็ยิ่งต้องมีความอดทนมากขึ้น เพราะการดำรงชีวิตคู่ยังต้องช่วยกันทำมาหากิน และช่วยกันฝ่าฟันอุปสรรคข้างหน้าอีกมากมาย

อ.ที่สี่ คือ อภัยแก่กันและกัน ในชีวิตของคนเรานั้น ย่อมมีผิดพลาดกันเป็นธรรมดา ดังนั้น การรู้จักให้อภัยทั้งแก่ตัวเอง และคนที่เรารักจึงเป็นสิ่งจ ำเป็น มิฉะนั้นแล้ว เราจะอยู่กันด้วยความกินแหนงแคลงใจต่อกัน หรือโกรธกันอยู่ตลอดเวลา ทำให้ไม่มีความสุขทั้งคู่ เพราะจิตใจเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด ไม่สบายใจ เจ็บใจไม่หาย หรือบางคนก็หาทางแก้แค้น กลายเป็นเวรเป็นกรรมต่อกันไม่รู้จบสิ้น การให้อภัยจึงเป็นการสร้างความสงบสุข ร่มเย็นให้แก่จิตใจและชีวิตคู่ของเรา

ทั้ง ๔ อ. นี้ เป็นเพียงแนวทางกว้างๆ ที่เชื่อว่าใครปฏิบัติแล้วจะช่วยให้ชีวิตคู่รัก และคู่ครองมีความมั่นคง ยืนยาวยิ่งขึ้น และนอกเหนือไปจาก ๔ อ.ข้างต้นแล้ว สำหรับวัยรุ่น หรือเด็กๆที่ยังอยู่ในวัยเรียน ควรเพิ่ม อ.อดใจ เข้าไปด้วย คือจะรักจะชอบใคร ก็ควรยับยั้งชั่งใจให้ดี เพราะวัยนี้ก็ยังรับผิดชอบตัวเองไม่ค่อยได้ อย่าไปมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร เพราะนอกจากจะสร้างปัญหาให้ตัวเอง และครอบครัวแล้ว ยังจะก่อให้เกิดปัญหาสังคมอย่างที่เราเห็นๆกันอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งคงไม่มีใครปรารถนาให้เป็นเช่นนั้น แน่นอน

ที่มา :อมรรัตน์ เทพกำปนาทกลุ่มประชาสัมพันธ์

สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม

เรื่องของการใช้เวลา

จาก หนึ่งสมอง สองมือ
รวมบทสนทนา "ชีวิตธุรกิจ" พ.ศ. 2530
โดย ประสาร มฤคพิทักษ์
          เรื่องของการใช้เวลา มีผู้พูดผู้เขียนกันไว้แล้วมากมาย แต่ก็ยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่ใส่ใจกับเวลาน้อยเกินไป

          เขายังคงเดินเวียนไปวนมาเหมือนคนไม่มีอะไรทำ เขายังคงคุยเล่นเรื่องไม่เป็นเรื่องอย่างไม่รู้ค่าของเวลาที่เสียไป เขายังคงปล่อยชีวิตให้ไหลเรื่อย โดยไม่คำนึงถึงเวลา

          วันนี้ ผมมีบทแปลภาษาอังกฤษมาถ่ายทอดสู่กันฟังครับ เขากล่าวว่า

ใช้เวลาเพื่อการทำงานเถิด มันคือรางวัลแห่งความสำเร็จ
ใช้เวลาเพื่อการคิดเถิด มันคือที่มาของพลังอำนาจ
ใช้เวลาเพื่อการผ่อนคลายเถิด มันคือเคล็ดลับแห่งความมีชีวิตชีวา
ใช้เวลาเพื่อการอ่านเถิด มันคือรากฐานแห่งสติปัญญา
ใช้เวลาเพื่อการฝันเถิด มันคือพาหะที่นำไปสู่ดวงดาว
ใช้เวลาเพื่อการสังเกตเรียนรู้อย่างกว้างขวางเถิด วันเวลาสั้นเกินไปที่จะเห็นแก่ตัว
ใช้เวลาเพื่อหัวเราะเถิด มันคือดนตรีแห่งวิญญาณ

          นี่คือบทสวดของชาวไอริชที่ผมอยากเอามาพูดกันในวันนี้

          วันเวลาที่ล่วงไป เราไม่อาจเรียกคืนให้หวลกลับมาได้ มันจะกลืนกินตัวมันเองทุกขณะ

          คนบางคน นอกจากไม่ใช้เวลาที่มีอยู่สมประโยชน์อย่างเต็มที่แล้ว ยังทำลายเวลาเฉพาะของตนเองด้วยเหล้า บุหรี่ และการไม่ยอมออกกำลังกาย ซึ่งเป็นวิธีลดอายุตัวเองให้หดสั้นลงไปอีก

          เราต่างมีเวลาไม่มากไม่น้อยไปกว่ากันในแต่ละนาที แต่ละชั่วโมง แต่ละวัน คนที่ใช้ประโยชน์จากเวลาได้คุ้มค่าที่สุด คือคนที่ประสบความสำเร็จได้มากที่สุด

วิธีจัดระบบ Quality System

วิธีจัดระบบ Quality System (ที่สหรัฐเรียกว่าวิธี Good Governance)มีองค์ประกอบดังนี้

1. ต้องแสดงเป้าหมาย(Aim/Purpose) ถ้าไม่มีเป้าหมายก็มิใช่ระบบ(Deming)
2. แสดงขั้นตอนวิธีปฏิบัติว่าจะบรรลุเป้าหมายได้อย่างไร (Procedures)
3. ผู้บริหารสูงสุดหรือผู้แทนลงนามรับรอง (Commitment)

ด้วยวิธี"จัดระบบ"ง่ายๆ 3 ข้อข้างต้นออกมาในรูประเบียบ(Instruction)หรือคู่มือ(Manual)นั้นยิ่งใหญ่มาก เพราะ

ก.มีอิทธิพลสามารถเปลี่ยนแปลงการเมือง เศรษฐกิจ การศึกษาและสังคมของชาติได้ตามที่รัฐบาลต้องการ
ข.ระบบนี้ยังเป็นเครื่องป้องกัน(Prevention Rather Than Cure) แก้ปัญหาวัวหายล้อมคอกได้ชงัดนัก
ค.ระบบตัวเดียวกันนี้ยังเป็นทั้งแผนและยุทธศาสตร์ ช่วยชี้ทางและแสดงวิธีปฏิบัติเรียกว่า Strategic Planning
ง.ระบบนี้ยังสามารถใช้เป็นเครื่องมือตรวจสอบ(ของรัฐธรรมนูญ)ที่ได้มาตรฐานสากล เพราะองค์กรอิสระเป็น"คน"มาตรฐานสากลไม่รับรอง
ค.ระบบยังเป็นเครื่องมือประเมินผลการทำงานที่ถูกต้อง และยังเป็นระบบประเมินผลการศึกษาที่ดีที่สุดยุคนี้
ง. ระบบเป็นเครื่องมือปรับปรุงคุณภาพ(Quality Improvement)ที่ดีที่สุด
จ.ระบบตัวนี้นี่แหละ คือ มาตรฐานในการตรวจสอบอำนาจทางการเมือง เป็นพื้นฐานในการพัฒนาการเมือง
และเป็นมาตรฐานการสร้างคุณธรรม จริยธรรมนักการเมืองที่เป็นรูปธรรมและได้มาตรฐานสากล

"ระบบ"จึงเป็นหลักประกันการปฏิรูปการเมืองให้เดินถูกทาง...ไม่หลงทางอีกต่อไป
ครับผม

เคล็ดลับ 10 ข้อให้คุณดูสดใสขึ้นทันตา

เคล็ดลับ 10 ข้อให้คุณดูสดใสขึ้นทันตา

1. อิ่มกำลังดีกับมื้อเช้าแสนวิเศษ

เราต่างก็รู้เหมือนๆ กันว่า มื้อเช้าเป็นมื้อสำคัญที่สุด แต่หลายคนต้องรีบเร่ง
ทำเวลาก่อนออกจากบ้าน จึงพลาดมื้อเช้าไปอย่างน่าเสียดาย แม้จะพยายามชดเชยด้วย
เครื่องดื่มร้อนๆ หรือน้ำผลไม้สักแก้ว กับขนมขบเคี้ยวจำพวกแป้งทั้งหลาย ไม่ว่า
จะเป็นคุกกี้ ขนมปังหรือ ปาท่องโก๋ก็ตาม แต่พลังงานที่ได้รับก็ยังไม่เพียงพอให้
คุณได้เต็มที่กับงานและทุกสิ่งที่ประเดประดังเข้ามาในวันนั้น

ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า หากคุณผ่านคืนวานอันเหนื่อยล้า และต้องการเรียกพลังกลับ
คืนมาโดยเร่งด่วน ต้องถือเป็นกฏเหล็กที่จะไม่งดมื้อเช้าในวันนั้น ทั้งนี้ไม่จำ
เป็นต้องเป็นมื้อหนัก อาหารเช้าชุดใหญ่อะไรเลย เพราะอาจรู้สึกว่าท้องไส้ยังไม่
พร้อมสำหรับการย่อยอาหารปริมาณมากๆ ขอเพียงแต่พยายามเลือกกินอาหารให้ครบห้าหมู่
อย่างละนิดอย่างละหน่อยแล้วตบท้ายด้วยผลไม้สด และนมหรือโยเกิร์ตสักถ้วย ก็จะ
ช่วยเรียกความกระปรี้กระเปร่ากลับคืนมาได้

2. สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ
เป็นทางออกง่ายๆ ที่หลายคนมองข้ามเวลาเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า หรือเกิดความเครียด
ในตัวมากๆ ให้ลองแก้ง่ายๆ ด้วยการสูดลมหายใจทางจมูกเข้าปอดลึกๆ กลั้นไว้ใน
ช่องอกประมาณ 15-20 วินาที ก่อนจะปล่อยลมหายใจออกทางปากให้หมด ทำซ้ำเช่นนี้
ประมาณ 3 ครั้ง คุณจะพบว่ารู้สึกสดชื่นขึ้น ทั้งนี้เป็นเพราะปกติแล้วคนส่วนใหญ่
มักจะหายใจเข้าออกกันเพียงช่วงสั้นๆ ทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนไม่เต็มที่ วิธี
นี้จะทำให้ออกซิเจนเข้าปอดคุณอย่างเต็มที่ทำให้รู้สึกปลอดโปร่ง และเลือดลมใน
ร่างกายไหลเวียนสูบฉีดดีขึ้น

3. ดื่มนมสด

นมสดแม้หนึ่งแก้วเล็กๆ มีโปรตีนชนิดที่ช่วยสร้างพลังงานให้คุณได้ถึง 3 กรัม ทำ
ให้ร่างกายปรับตัวได้อย่างสมดุล นอกจากนี้ในนมสดก็ยังเป็นแหล่งแคลเซียมที่สำคัญ
ต่อร่างกายอีกด้วย ในหนึ่งแก้วขนาด 100 กรัม มีแคลเซียมสูงถึง 120 มิลลิกรัม
ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกและฟันได้ดี แถมยังมีฟอสฟอรัสและวิตามินครบ
ถ้วนทั้ง A,B.C, และ E อีกต่างหาก

4. แวบไปว่ายน้ำ

ข้อนี้อาจทำยากสักนิด แต่ถ้าคุณหาจังหวะแวบได้ ให้ลงว่ายน้ำสักประมาณ 15-20
นาที อย่างไม่ต้องหักโหมอะไรนัก จะช่วยให้คุณสดใสเปล่งปลั่งขึ้นอย่างประหลาด
ผู้เชี่ยวชาญบอกว่าเป็นเพราะน้ำในสระว่ายน้ำจะช่วยพยุงตัวไม่ให้คุณรู้สึกใช้
กำลังมากเหมือนออกกำลังกายในยิม และความเย็นฉ่ำของน้ำจะทำให้รู้สึกสดชื่นกระฉับ
กระเฉงขึ้น แต่ถ้าหาเวลาไม่ได้จริงๆ อาจจะเลือกอาบน้ำฝักบัวแทนก็ได้ แต่ผลของ
การลงแหวกว่ายกลางสายธาราจะดีกว่ามาก

5. กล้วยช่วยได้

อย่ามองข้ามผลไม้พื้นบ้านธรรมดาๆ อย่างกล้วยไปได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นกล้วย
หอมอร่อยเลิศเลยด้วยซ้ำ จะเป็นกล้วยพันธุ์ไหนก็ได้สักหนึ่งลูก จะช่วยคุณเรียก
พลังกลับมาได้ในเวลาอันสั้น เพราะในกล้วยอุดมไปด้วยแร่ธาตุและวิตามินที่สำคัญ
ต่อร่างกาย ทั้ง A,B,C และ E รวมทั้งเหล็กแป้ง น้ำตาลธรรมชาติ นอกจากนี้ยยังมี
โปแตสเซียม ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่สำคัญ ช่วยรักษาสมดุลของระดับน้ำและความชุ่มชื้น
ของเซลล์ผิวหนังกับเนื้อเยื่อต่างๆ ในร่างกายอีกด้วย

6. นวดตัวพร้อมกลิ่นหอมบำบัดอารมณ์

อาจจะปลีกเวลาไปนวดตัวช่วงสั้นๆ โดยเลือกการนวดน้ำมันอโรมาที่กลิ่นหอมของน้ำมัน
จากธรรมชาติจะช่วยให้คุณรู้สึกผ่อนคลาย และเรียกความสดใสกลับคืนมาได้ แต่หากหา
เวลานวดไม่ได้จริงๆ อาจจะใช้วิธีจุดเตาขนาดเล็กในห้องที่ให้กลิ่นน้ำมันหอมระเหย
เหล่านี้แทน ก็สามารถช่วยได้เช่นกัน

7. น้ำผลไม้สด
วิตามินซีในน้ำผลไม้ ซึ่งมีในปริมาณสูงอยู่แล้วโดยธรรมชาติจะช่วยเสริมสร้าง
พลังงานได้ในทันทีทันควัน เพราะน้ำตาลจากรสหวานของผลไม้ ร่างกายสามารถดูดซึมไป
ใช้เป็นพลังงานได้เลย โดยไม่ต้องย่อยหรือแปรสภาพเหมือนกับน้ำตาลที่ได้จากแหล่ง
อื่น นอกจากนี้ ยังมีสารต้านอนูมูลอิสระ ช่วยชะลอความแก่และริ้วรอยต่างๆ ได้ดี
อีกด้วย ควรพยายามดื่มน้ำผลไม้อย่างน้อยวันละหนึ่งแก้วเป็นประจำหรือจะเป็นน้ำ
ขิงร้อนๆ ก็จะช่วยสร้างความกระปรี้กระเปร่าอย่างเห็นผลทันทีเช่นกัน

8. ถั่วและผลไม้อบแห้ง

นี่ก็เช่นกันที่ไม่ควรมองข้ามเพราะทั้งถั่วและผลไม้อบแห้งทั้งหลายมีประโยชน์
มากกว่าขนมขบเคี้ยวจำไว้แป้งนัก เนื่องจากอุดมด้วยธาตุเหล็ก ช่วยเสริมสร้าง
พลังงานและทำให้ระบบการไหลเวียนของเลือดในร่างกายคล่องตัวขึ้น เป็นผลให้ผิวพรรณ
ของคุณดูสดชื่นเปล่งปลั่งกว่าที่เคยเป็น บางคนถึงกับเชื่อว่า การกินอาหารจำพวก
ถั่วมากๆ จะช่วยลดขนาดของไฝ ขี้แมลงวัน หรือตุ่มเล็กตุ่มน้อยตามผิวหนังด้วยซ้ำ
ไป แต่ในสายตาของแพทย์แล้ว ไม่ควรเลือกกินอาหารประเภทใดประเภทหนึ่งซ้ำกันนานๆ
หรือในปริมาณที่มากเกินปกติ เพราะการกินที่ถูกต้องคือต้องให้คละหมู่หลากหลาย
ประเภทอาหารเข้าไว้

9. ชื่นใจกับดอกไม้สวย

วิธีนี้ง่ายสุด เพียงแค่เดินหาซื้อหรือสั่งดอกไม้สวยๆหอมๆ สักช่อมาให้รางวัลกับ
ตัวเอง โดยไม่ต้องรอโอกาสพิเศษที่ไหนหรือจากใครทั้งนั้น คุณก็จะได้รับความสด
ชื่น และรู้สึกเปี่ยมพลังขึ้นในทันทีที่สัมผัสกลิ่นหอม และได้ชื่นชมความงาม
ของดอกไม้ช่อสวยหรือถ้าไม่ต้องการการสิ้นเปลืองจะเลือกเดินชมต้นไม้ดอกไม้ตามสวน
สาธารณะะที่ได้ชื่อว่าเป็นปอดของกรุงเทพฯ อย่างเช่น สวนเบญจสิริ ย่านสุขุมวิท
ก็ได้เช่นกัน หรือไม่ก็อาจจะซื้อต้นไม้กระถางเล็ก ๆ วางประดับบนโต๊ะทำงานสี
เขียวอันสดชื่นของมันช่วยสร้างพลังให้กับคุณได้ในทุกครั้งที่มองเห็น

10.จิบชาสมุนไพร
การได้จิบเครื่องดื่มร้อนๆ รสชาติถูกใจ เช่น ชาสมุนไพร จะช่วยผ่อนคลายและเรียก
พลังกลับคืนมาให้คุณได้ นอกจากนี้ชาบางชนิด เช่น ชากลิ่นสะระแหน่ ยังช่วยคลาย
เครียดและขับลมในกระเพาะอีกด้วย ซึ่งหากไม่ต้องการจิบชา อาจจะแค่หาใบสะระแหน่มา
ขยี้สูดดมกลิ่นของมันก็ช่วยคลายเครียดได้เช่นกัน เพียงเท่านี้คุณก็สามารถสร้าง
ลุคใหม่ ที่ทั้งสดใสและมีสุขภาพดี พร้อมที่จะออกไปเริงร่ารับลมร้อนโดยไม่ต้อง
อายใคร

วันจันทร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2552

ปฏิกิริยา stetter ในของเหลวไอออนิก โดยใช้N,N-dimethylbenzimidazolium iodide เป็นตัวเร่งในปฏิกิริยา

ปฏิกิริยา stetter ในของเหลวไอออนิก โดยใช้N,N-dimethylbenzimidazolium iodide เป็นตัวเร่งในปฏิกิริยา

Stetter Reaction Catalysed by N,N-dimethylbenzimidazolium Iodide in Ionic liquid.

บารมี พ่วงพิศ (Baramee Phungpis)*

ดร.วิวัฒน์ หาญวจนวงศ์ (Dr. Viwat Hahnvajanawong)**

ดร.ปริญญา ธีรมงคล (Dr. parinya Theramongkol)**

บทคัดย่อ

เอ็น, เอ็น-ไดเมทิลเบนซิมิดาโซเลียมไอโอไดด์ และโซเดียมไฮดรอกไซด์ใน บิลทิลเมทิลอิมมิดาโซเลียม เฮกซาฟลูออโรฟอสเฟต [bmim][PF6] สามารถใช้ในปฏิกิริยาสเต็ทเทอร์ให้ผลิตภัณฑ์การเติมแบบ 1,4 ด้วยปริมาณที่น่าพอใจ ทั้งตัวทำละลาย และตัวเร่งปฏิกิริยายังสามารถนำกลับมาใช้ได้ใหม่อย่างมีประสิทธิ์ภาพ

ABSTRACT

N,N-dimethylbenzimidazolium iodide and sodium hydroxide in butylmethylimidazolium hexafluorophosphate [bmim][PF6] can be used for Stetter reaction affording the desired 1,4-addition products in satisfactory yields. The possibility to recycle and reuse the solvent and the catalyst has been demonstrated.

คำสำคัญ : ไอออนิกลิควิด ปฏิกิริยาสเต็ทเทอร์ เกลือเบนซิมิดาโซเลียม

Key words : ionic liquid, Stetter reaction, benzimidazolium salt

* มหาบัณฑิต หลักสูตรวิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาเคมีอินทรีย์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น

** ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น



จากการประชุมทางวิชาการ เสนอผลงานวิจัย ระดับบัณฑิตศึกษา ครั้งที่ 9
วันศุกร์ที่ 19 มกราคม 2550 ณ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
The 9th Symposium on Graduate Research, KKU. 19 January 2007

"รักในสิ่งที่ทำ ทำในสิ่งที่เป็นตัวเอง" คำนิยามใจจาก “ป็อด โมเดิร์นด็อก” ศิษย์เก่าจุฬาฯ

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    

   
       “รักในสิ่งที่ทำ โดยที่เริ่มต้นถามตัวเราเอง ว่าสนใจอะไร อะไรคือสิ่งที่เรารัก จากนั้นมันก็จะค่อยๆ ขยับขยายสร้างสรรค์สิ่งนั้นออกมา เมื่อสิ่งที่เราทำนั้นได้ส่งผลต่อคนรอบข้าง ถือว่าเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุด”
      
       นี้คือคำนิยามของ "ธนชัย อุชชิน" ศิษย์เก่าจากคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หนุ่มร่างเล็กที่น้อยคนนักจะรู้จัก แต่ทว่าวันนี้เขาคือ “ป็อด โมเดิร์นด็อก” นักร้องนำวงโมเดิร์นด็อก และผู้บริหารค่ายเพลงทิงนองนอย พ่วงด้วยตำแหน่งศิลปินไอดอลวัยโจ๋ทั่วประเทศ เจ้าของชายา "เจ้าพ่อเด็กแนว"
      
       จุดเริ่มต้นของหนุ่มคนนี้ เกิดจากรวมตัวของกันของกลุ่มนิสิตหลายคณะ ในรั้วจามจุรี ที่มีความฝันและจุดมุ่งหมายเดียวกันคือ เพื่อเข้าประกวด Coke Music Awards1992 ด้วยเหตุผลที่ ต้องการสร้างความแตกต่าง จากวงประกวดวงอื่น
      
       “ตอน เด็กๆ ผมฝันเกี่ยวกับงานศิลปะเสมอ อยากทำจะทำอะไรที่เกี่ยวกับงานอาร์ตๆ อย่างเช่น งานดนตรีที่ทำอยู่ก็ถือว่าส่วนหนึ่งที่ชื่นชอบ ผมเริ่มต้นถามตัวเองว่าสนใจอะไร อะไรคือสิ่งที่เรารัก จากนั้นมันก็จะค่อยๆ ขยับขยายสร้างสรรค์สิ่งนั้นออกมา ไม่ว่างานเพลง งานเขียน หรือวาดภาพ ก็ต้องเอาความรู้สึกออกมาให้ได้ อีกอย่างที่ผมทำเรื่องพวกนี้ได้ เพราะผมพยายามทำออกมาให้ดี สื่อออกมาให้ตรงและจริงที่สุด”
      
       ตลอดเวลาที่ผ่านมาของหนุ่มนักดนตรีคนนี้เป็นแบบอย่างให้กับเยาวชน คนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้ว่า คนเราแตกต่างได้ แต่ต้องใช้ความพยายามในการสร้าง ชีวิตคือการเรียนรู้ ยิ่งอายุเยอะ ยิ่งต้องรู้มาก
      
       “ทุกอย่าง ที่ผ่านมาเข้ามาในชีวิต จะทำให้เราเข้าใจชีวิตมากขึ้น เรียกง่ายๆ ว่า ยิ่งแก่ ยิ่งมีความสุข ไม่ควรจะเป็นคนแก่มากแล้วยังโกรธ ยังอิจฉา ยังยึดติด ยังไม่ปล่อยว่าง แต่ทำไมเราไม่ทำให้ทุกอย่างที่ผ่านมาในชีวิต ทำให้เราฉลาดมากขึ้น
      
       ผมจึงอยากให้น้องๆ วัยรุ่นหลายคนให้ทบทวนในแต่ละวันว่า เราพบเจออะไรมาบ้าง วันนี้เราตื่นขึ้นมาทำอะไร มีความสุขกับวันที่เหลือของเราหรือเปล่า แล้วเราจะทำอย่างไรให้มันเป็นวันที่ดีของเรา"
      
       "ที่ผ่านมาผมเติบโตและเรียนรู้มาจากการทำกิจกรรมนอกห้องเรียน ไม่เข้าเรียน จนบางครั้ง ทำข้อสอบได้ไม่เท่าไร แต่กิจกรรมนอกห้องเรียน กลับทำให้เราเรียนรู้ปัญหา วิธีการแก้ไข ต้องรู้จักเปลี่ยนตัวเอง รู้จักเพื่อนใหม่ รู้จักสังคมใหม่ และรู้จักตัวมากขึ้น”
      
       ป็อดบอกว่า การเดินตามแบบของผู้ประสบความสำเร็จในชีวิต ไม่ใช่เรื่องผิด แต่ต้องหันกลับมามองตัวเองด้วยว่า สิ่งที่ทำอยู่ เป็นตัวเองที่แท้จริงของตัวเองหรือเปล่า
      
       “ทุก วันนี้น้องๆ ชอบคิดกันตามรูปแบบ หรือสิ่งที่ถูกจัดวางไว้ให้ จนบางทีเรากลับลืมนึกถึงความต้องการ ศักยภาพ หรือความเป็นตัวตน ใช้ชีวิตอย่างไรจุดหมาย แม้กระทั่งไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร หรือรักอะไร ไม่รู้ว่าจะเดินไปทางไหน จากที่มองคนอื่นมาตลอด ลองกลับมามองตัวเอง ลองถามตัวเองว่า เรามีอะไรดีๆ อยู่ในตัวเราบ้าง ก็แสดงความสามารถของเราออกมาให้เต็มที
      
       ถ้า ตัวเราเป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับคนอื่นได้ก็น่าภูมิใจ นั่นถือว่า ชีวิตเราไม่ได้ทำเพื่อตัวเองอย่างเดียว ถ้าสามารถสะท้อนความคิดหรือแชร์ความรู้สึกกับคนอื่นได้บ้างก็ดี อย่ามองว่าสิ่งร้ายๆ หรือสิ่งดีๆ ที่เข้ามา จะเป็นคำตอบสุดท้ายของชีวิต มันจะเป็นแค่จุดผ่านที่เข้ามาให้เราได้เรียนรู้” ป็อด ศิลปินหนุ่มขวัญใจวัยโจ๋ เอ่ยทิ้งท้าย

http://www.manager.co.th/Campus/ViewNews.aspx?NewsID=9520000022252

Clip video น้องหนูกู้ชาติ / น้องแสงระย้า

Clip video น้องหนูกู้ชาติ / น้องแสงระย้า




น้องแสงระย้า และคุณพ่อ แสงธรรมดา ร้องบนเวทีชั่วคราว สนามบินสุวรรณภูมิ ก่อนจะสลายการชุมนุม ในวันที่ 193 แห่งการต่อสู้ของพันธมิตร วันที่ 3 ธันวาคม 2551 เวลา 09.57 น.

Author: chaba2550
Keywords: แสง ระย้า ธรรมดา น้องหนู กู้ชาติ สุวรรณภูมิ สนามบิน พันธมิตร 193 วัน ชัยชนะ การต่อสู้ ชุมนุม PAD Thailand ซูซู
Added: February 3, 2009

'ช็อกโกแลตเป็นยาแก้ไอรสโอชาสรรพคุณเหนือกว่ายาแก้ไอสามัญ'

, '
ข่าวสาร-สาระ พฤษภาคม
          ช็อกโกแลต อันเป็นขนมถูกปากคนทั่วไป ถูกพบว่ามีสรรพคุณเป็นยาแก้ไอขนานเยี่ยม คุณภาพ ยิ่งกว่ายาแก้ไอธรรมดาที่กินกันอยู่เสียอีก ดีไม่ดีอาจจะถูกนำเอาไปปรุง เป็นยาแก้ไอขนานใหม่ ทีมนักวิจัยของสถาบันโรคปอดและหัวใจอังกฤษ ได้พบว่า ช็อกโกแลตมีสรรพคุณเป็นยาแก้ไอ อย่างดี ด้วยเหตุที่มีสารเคมีธีโอโบรมีน ที่มีฤทธิ์แก้ไอได้เหนือกว่ายาแก้ไอสามัญซึ่งมีส่วนผสม ของสารโคเดอีน นักวิจัยกล่าวว่า การค้นพบครั้งนี้ เชื่อว่าจะทำให้บริษัทเภสัชกรรมคงจะคิด ปรุงยาแก้ไอขนานใหม่ที่เข้าช็อกโกแลตขึ้นในโอกาสต่อไป.

ยับยั้งเชื้อราในพืช ด้วย "จุลินทรีย์จากขยะ" ผลงานวิจัยจากมข.

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    

   
มข.ค้นพบจุลินทรีย์จากขยะ ระบุออกฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของเชื้อราในโรคพืช ต้นทุนถูกกว่าสารเคมี ซ้ำไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม อนาคตพัฒนาต่อในรูปแบบเกษตรกรนำไปใช้ง่าย
      
       จากปัญหาเชื้อราก่อให้เกิดโรคในพืช และทำให้เกษตรกรต้องไปซื้อสารเคมีหรือยาปราบศัตรูพืชมาใช้ในการทำลายเชื้อรา ดังกล่าว ทำให้ต้นทุนของเกษตรกรสูงขึ้น ทั้งสารเคมียังมีสารตกค้างทำลายสิ่งแวดล้อมบริเวณพื้นที่เกษตรกรรมทำให้นัก วิจัยมีแนวความคิดที่จะหาสารชีวภาพซึ่งสามารถออกฤทธิ์ไม่ให้เชื้อราอันก่อ ให้เกิดโรคพืชเจริญเติบโตได้และไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม เพื่อนำมาใช้ทดแทนกัน
      
       ผศ.ประสาท โพธิ์นิ่มแดง อาจารย์ประจำภาควิชาจุลชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวถึงความเป็นมาในการค้นพบจุลินทรีย์จากขยะซึ่งมีศักยภาพในยับยั้งการ เจริญเติบโตของเชื้อราในโรคพืช
      
       "Bacillus Subtilis เป็นเชื้อจุลินทรีย์ตัวแรกที่ค้นพบจากขยะโดยมีมากในขยะอินทรีย์สามารถออก ฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อรา Fusarium oxysporum ที่เป็นสาเหตุของการเกิดโรคต้นเหี่ยวในมะเขือเทศ โดยกระบวนการทดลองในการศึกษาวิจัยในครั้งนี้ ได้นำขยะมาคัดเลือกเพื่อแยกเศษพลาสติกออก เอาเฉพาะขยะสีเขียว โดยนำตัวอย่างขยะมาประมาณ 10 กรัม ทำการแขวนลอยในสารละลายบัพเฟอร์ปริมาตร 90 มิลลิลิตร เขย่าให้เข้ากัน และนำมาทำการเพิ่มจำนวนในอาหารเลี้ยงเชื้อ จากนั้นนำเชื้อไปทาบนผิวหน้าอาหารเลี้ยงเชื้อชนิดแข็งด้วยแท่งแก้วงอ เพื่อให้ได้กลุ่มของเชื้อแบคทีเรีย และนำไปทดสอบการยับยั้งการเจริญของเชื้อรา โดยเฉพาะเชื้อราที่ก่อให้เกิดโรคต้นเหี่ยวในมะเขือเทศ ที่มีชื่อว่า Fusarium oxysporum ที่มักระบาดในต้นมะเขือเทศที่ปลูกใหม่"
      
       ผศ.ประสาทกล่าวต่อว่า ผลการทดลองในระดับห้องปฏิบัติการได้ผลประมาณ 80 % ในการป้องกันโรคต้นเหี่ยวในมะเขือเทศ "ภายหลังศึกษาเพิ่มเติม พบจุลินทรีย์อีกหนึ่งชนิดที่มีประสิทธิภาพมากกว่าและต้นทุนในการเลี้ยงเชื้อ ถูกกว่า Bacillus Subtilis โดยสามารถออกฤทธิ์ในการยับยั้งไม่ให้เชื้อราเจริญเติบโตได้ดีกว่า รวมทั้งป้องกันการเกิดโรคในพืชได้มากกว่าเดิม นอกจากยับยั้งการเจริญเติบโตเชื้อราที่ก่อให้เกิดโรคเหี่ยวในมะเขือเทศได้ แล้วยังสามารถยับยั้งเชื้อรา Collectoticum ที่ก่อให้เกิดโรคกุ้งแห้งในพริกได้ 100 % อีกด้วย โดยโรคกุ้งแห้งในพริกนี้จะส่งผลให้พริกเหี่ยวงอเหมือนตัวกุ้ง สีดำ ต้องเด็ดทิ้งไม่สามารถนำออกขายได้"
      
       “สำหรับจุลินทรีย์ตัวใหม่ที่ค้นพบนั้น จากการศึกษาในห้องปฏิบัติการคาดว่าน่าจะเป็น Actinomyces ซึ่งจะได้ทำการศึกษาในห้องปฏิบัติการเพื่อยืนยันชนิดของจุลินทรีย์ที่ค้นพบ ต่อไป พร้อมทั้งนำไปขยายผลการทดลองในแปลงทดสอบด้วย จากการทดสอบในห้องปฏิบัติการ จุลินทรีย์ตัวใหม่นี้ใช้น้ำแป้งข้าวเจ้าและแป้งมันสำปะหลังเป็นอาหารเลี้ยง เชื้อ ดังนั้น น้ำทิ้งจากโรงงงานผลิตเส้นขนมจีน หรือ น้ำทิ้งจากโรงงานผลิตแป้งมันสำปะหลัง ก็สามารถนำมาเป็นอาหารเลี้ยงเชื้อจุลินทรีย์ตัวนี้ได้ ซึ่งจะเป็นการใช้ประโยชน์จากของเสียได้อีกทางหนึ่ง” ผศ.ประสาทกล่าว
      
       สำหรับการพัฒนางานวิจัยในขั้นต่อไป นักวิจัยจะผลิตสารสกัดจากเชื้อจุลลินทรีย์ที่คัดแยกจากขยะหรือของเสีย ในรูปแบบผงแห้งและชนิดน้ำ เพื่อให้เกษตรกรสามารถนำไปใช้ได้โดยสะดวก ซึ่งจะช่วยให้เกษตรประหยัดต้นทุนลงได้ เกษตรกรรายใดสนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ผศ.ประสาท โพธิ์นิ่มแดง อาจารย์ประจำภาควิชาจุลชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น โทร.043-362006 หรือ 089-4222207

http://www.manager.co.th/Campus/ViewNews.aspx?NewsID=9520000020549

มองหางานจากโลกภายนอกอย่างรอบคอบ

จาก The Book of Goals

ไม่มีใครที่เกิดขึ้นมาในโลกนี้พร้อมกับงานของเขา
แต่ว่าโลกใบนี้มักจะมีงานรออยู่เสมอ
และยังมีเครื่องมือในการทำงานรออยู่ สำหรับผู้อยากจะทำงาน

          คนส่วนใหญ่มักจะไม่รู้ว่าจะเลือกอาชีพที่เหมาะสมกับทักษะ ความสนใจและบุคลิกของเขาอย่างไร หลายคนสับสนและอึดอัดใจในความพยายามหางานหรือเปลี่ยนงาน คุณอาจจะพึ่งเคยเลือกอาชีพเป็นครั้งแรกในชีวิต หรือคุณอาจจะเคยเลือกทางผิดมาแล้ว และต้องการลองใหม่

          ผมมักจะให้คำปรึกษาแก่คนอื่น ให้เลือกไพ่จากไพ่ทั้งชุด หมายความว่าคนส่วนใหญ่มักจะเลือกอาชีพจากทางเลือกเพียงไม่กี่ทาง อาจเป็น 4-5 ทางเลือก ซึ่งฟังดูไม่สมเหตุสมผลนัก ถ้าคุณเข้าไปในภัตตาคารซึ่งมีอาหารเพียง 4-5 อย่างบนเมนู คุณอาจรู้สึกผิดหวังได้ เช่นนั้น ถ้าคุณจะเลือกไพ่ A ออกมาคู่หนึ่งจากไพ่เพียงแค่ 10ใบ คุณอาจจะไม่พบ A เลยก็ได้ คุณจำเป็นต้องให้ตัวเองมีมุมมองที่กว้าง และมีข้อมูลเพียงพอ

          ผมไม่ได้มุ่งเน้นให้คุณมองหาแต่งานตามสมัยนิยมเท่านั้น เพียงแต่ผมคิดว่าเป็นสิ่งจำเป็นที่จะรู้ว่าในโลกกว้างมีงานอะไรบ้าง มีงานเป็นพันๆชนิดในโลกภายนอก ได้แก่ ช่างเทคนิค ด้านสิ่งแวดล้อม ผู้ช่วยนักกฏหมาย และผู้ช่วยทันตแพทย์ ซึ่งอาจจะไม่มีอาชีพนี้อยู่เมื่อครั้งสุดท้ายที่คุณได้มองหาอาชีพ และอาจมีบางอาชีพที่ไม่ปรากฏอยู่ในหนังสือจัดหางาน เช่น ไม่มี Baby Bells ก่อนที่บริษัทโทรศัพท์จะเปลี่ยนแปลงกฏระเบียบ ปัจจุบันมีตำแหน่งงานเป็นพันๆตำแหน่งในบริษัท และเมื่อไม่นานมานี้งบประมาณสำหรับสุขภาพพนักงานได้ถูกตัดออกไป ปัจจุบัน จากการทบทวนครั้งล่าสุด ได้มีการออกกฏหมายสำหรับการได้รับเงินประกันสุขภาพสำหรับค่าใช้จ่ายในโรงพยา บาล ทำให้มีหน้าที่งานหลายอย่างเกิดขึ้นในโรงพยาบาลและบริษัทประกันภัยในสหรัฐ เมื่อ 10 ปีที่แล้ว เทคโนโลยีชีวภาพ (Biotecnology) ไม่เคยมีมาก่อน แต่ปัจจุบัน มีอาชีพและโอกาสที่จะทำเงินมากมายจากเทคโนโลยีชีวภาพ แล้วเราจะไม่แปลกใจได้อย่างไร

ในการทำงาน
          ก่อนที่คุณจะหางานที่คล้ายกับงานที่คุณทำอยู่ตอนนี้ ลองให้เวลากับตัวเองในการเรียนรู้ว่า มีสิ่งใดรออยู่ภายนอกบ้าง อ่านโฆษณาประกาศหางานและหนังสือทางธุรกิจ เป็นหนทางที่ดีในการจะหาว่ามีงานชนิดใดรออยู่ภายนอกบ้าง มีสิ่งใดน่าสนใจ ลองเขียนมันออกมา อย่าวิตกกังวลว่าคุณจะมีคุณสมบัติพอหรือไม่ หรือมีงานลักษณะดังกล่าวในเขตพื้นที่ที่คุณอาศัยอยู่หรือไม่ ตอนนี้ลองมองภาพกว้างๆก่อน

คุณต้องการอะไรบ้าง จากโฆษณารับสมัครงาน          ถึงแม้ว่า คนหางานหลายคนให้ความสนใจกับโฆษณารับสมัครงานเป็นอันดับแรก แต่น่าเสียดายว่ามีงานเพียงแค่ 5 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่เราจะพบในโฆษณาเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นโฆษณาในหนังสือพิมพ์หรือในวารสาร ประกาศตามบอร์ด ฯลฯ ดังนั้น จงอย่าฝากความหวังทั้งหมดของคุณไว้กับหนังสือพิมพ์วันอาทิตย์

          ถึงแม้ว่าหลายท่านจะประเมินค่าของโฆษณารับสมัครงานไว้สูงเกินไป แต่เขาเหล่านั้นมักจะมองข้ามข้อมูลอื่นที่เป็นผลพลอยได้จากการอ่านโฆษณาเหล่ านั้นไป การอ่านโฆษณา เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการงานชนิดใดชนิดหนึ่งที่เจาะจงเท่านั้น และต่อไปนี้คือสิ่งอื่นๆที่คุณอาจพบในโฆษณารับสมัครงาน

  • โฆษณารับสมัครงานอาจช่วยให้คุณพบอาชีพใหม่ ซึ่งคุณไม่เคยทราบมาก่อนว่ามีอาชีพนี้อยู่ในโลกด้วย
  • โฆษณารับสมัครงานอาจช่วยให้คุณได้แนวทางเกี่ยวกับงาน คุณอาจจะทราบว่าในอนาคต คุณอยากจะทำอะไร ซึ่งอาจจะยังไม่อยากทำในเวลานี้
  • การอ่านโฆษณารับสมัครงาน อาจจะทำให้คุณทราบว่า มีบริษัทใดบ้างที่กำลังเติบโตและกำลังจะจ้างพนักงานใหม่ โดยที่คุณอาจไม่เคยรู้จักชื่อบริษัทนี้มาก่อนเลย ซึ่งบริษัทนั้นอาจต้องการคุณก็ได้
  • การอ่านโฆษณษรับสมัครงาน อาจช่วยให้คุณพบบริษัทที่อยู่ในภูมิประเทศ หรือเขตพื้นที่ต่างๆที่คุณอยากจะทำงาน
  • การอ่านโฆษณารับสมัครงาน อาจทำให้คุณทราบชื่อบุคคลที่ต้องติดต่อในบริษัทนั้นๆ ซึ่งคุณอาจต้องเริ่มติดต่อกับใครบางคนที่อาจช่วยคุณได้
  • การอ่านโฆษณษรับสมัครงาน จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับเงินเดือน ซึ่งอาจจะน้อยกว่าความเป็นจริง แต่ก็มีโอกาสที่จะเป็นไปได้
เพื่อนเก่า และ งานใหม่           U.S. News and World Report (October 26, 1992) (รายงานข่าวสารของสหรัฐอเมริกาและข่าวสารโลก ฉบับวันที่ 26 ตุลาคม ค.ศ. 1992) ได้ระบุถึง 20 สายอาชีพที่น่าสนใจ ซึ่งงานเหล่านี้อาจไม่เคยอยู่ในสมองของคุณมาก่อนเลย แต่ว่าสถานภาพทางเศรษฐกิจและแนวโน้มอื่นๆอาจทำให้คุณเปลี่ยนใจได้

  • การบัญชี - นักบัญชีด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental accountant)
  • คอมพิวเตอร์ - นักวางระบบคอมพิวเตอร์
  • ที่ปรึกษา - ที่ปรึกษาด้านการขายบริษัท
  • การศึกษา - อาจารย์สอนการศึกษานอกโรงเรียน (Special-education teacher)
  • วิศวกรรมศาสตร์ - วิศวกรรมโยธา
  • สิ่งแวดล้อม -นักวิจัยสารพิษ
  • การเงิน - ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน
  • โภชนาการ - ผู้แนะนำร้านอาหารชั้นนำ
  • การดูแลสุขภาพ - พยาบาล
  • ด้านบุคคล - ผู้จัดการด้านการอบรม
  • ด้านการประกันภัย - ผู้ชำนาญทางสถิติเกี่ยวกับการประกันภัยต่างๆ
  • ด้านกฏหมาย - นักกฏหมายเกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญา
  • ด้านการแพทย์ - แพทย์ประจำครอบครัว
  • ด้านการผลิต - หัวหน้าพนักงานด้านการจัดเก็บข้อมูลด้านการแพทย์
  • องค์กรที่ไม่หวังผลตอบแทนหรือกำไร - ผู้อำนวยการประสานงานสมาชิก (Member service Director)
  • การบริหารสำนักงาน - ผู้ช่วยบริหารงานด้านเทคนิค
  • การตีพิมพ์ - ผู้เชี่ยวชาญการตีพิมพ์โดยใช้ระบบอีเล็กทรอนิกส์
  • การทำวิจัยวิทยาศาสตร์ - นักเคมีที่มีความสามารถเชิงคอมพิวเตอร์
  • การสื่อสาร - ผู้เชี่ยวชาญด้านอุปกรณ์สื่อสารไร้สาย

วันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2552

“บัณฑิตรักถิ่น” แหล่งบ่มเด็กอีสาน ต่อยอดสร้างคน-ชุมชนเข้มแข็ง

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

    “ถ้าหมู่เฮาไปจากที่นี่ แล้วต่อไปที่นี่จะเหลือไผ” …
       
       ประโยค หนึ่งที่ออกจากปากหนุ่มน้อยชาวน่านในหนังโฆษณาสำนึกรักบ้านเกิดเรื่องหนึ่ง ทำให้นึกย้อนถึงกระแสการไหลบ่าของบัณฑิตที่จบการศึกษาแล้วมุ่งหน้าสู่ กรุงเทพเพื่อไขว่คว้าโอกาสของการลืมตาอ้าปาก แต่ผลที่ตามมาคือกำลังหลักในแต่ละชุมชนลดลง ด้วยกำลังคนวัยทำงานในแต่ละท้องถิ่นขาดแคลน ทว่า ผู้สูงวัยและเด็กมีเพิ่มมากขึ้น

       จากปัญหาดังกล่าว ประกอบกับการมองการณ์ไกลของผู้บริหารสถานศึกษาวิทยาลัยโปลีเทคนิคภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จ.อุบลราชธานี ที่ กำลังจะแปรสภาพตัวเองเป็นมหาวิทยาลัยการจัดการและเทคโนโลยีเอเชีย ในปีการศึกษา 2552 นี้ ด้วยวิสัยทัศน์ที่เตรียมการไว้เพื่อรองรับธุรกิจระหว่างประเทศที่มีแนวโน้ม ว่าจะขยายตัวในระยะเวลาอันใกล้ อีกทั้งยังจะขยายแนวทางการศึกษาไปยังประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียง ลาว เวียดนาม กัมพูชา และจีน กระนั้นในก้าวย่างสู่ความเติบใหญ่ ยังมีแนวคิดที่เตรียมการบ่มเพาะเด็กอีสานให้รักถิ่นเกิดสอดแซมอยู่ ด้วยการผลิต “บัณฑิตรักถิ่น”

ผศ.ดร.วีระศักดิ์ จินารัตน์
       -1-
       ผศ.ดร.วีระศักดิ์ จินารัตน์ อธิการบดีวิทยาลัยโปลีเทคนิคภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อธิบายให้เห็นภาพของแนวคิดบัณฑิตรักถิ่นว่า มีเป้าหมายเพื่อผลิตบัณฑิตให้กลับบ้านเกิด โดยสร้างให้นักศึกษาสำนึกรักและกลับไปพัฒนาท้องถิ่น สามารถเป็นผู้ประกอบการในชุมชนได้ โดยไม่ต้องเข้าไปแย่งงานในกรุงเทพฯ ที่นับวันยิ่งหางานยากไปทุกที ซึ่งเชื่อว่าหากสามารถสร้างอาชีพหรือผู้ประกอบการในท้องถิ่นได้มากขึ้น การกระจายรายได้สู่ชุมชนก็จะมีมากตามมา เศรษฐกิจระดับหมู่บ้าน ตำบลหรืออำเภอก็จะเติบโตขึ้นได้เองหลังจากที่มีบัณฑิตกลับไปพัฒนาบ้านเกิด ของแต่ละคน ในเบื้องต้นวิทยาลัยจึงเริ่มต้นแนวคิดนี้ที่สาขาวิชาการจัดการธุรกิจชุมชน คณะบริหารธุรกิจ ซึ่งขณะนี้มีการรวมตัวกันของนักศึกษาและบัณฑิตที่จบการศึกษา ผนวกกับชุมชนและชาวบ้านซึ่งตั้งศูนย์บ่มเพาะสมัชชาเครือข่ายวิสาหกิจชุมชน อุบลราชธานีมาก่อนหน้านี้ร่วมกับสหกรณ์บัณฑิตรักถิ่นของวิทยาลัยทำงานสอด ประสานกัน
      
       “เรา อยากให้นักศึกษาของเราเป็นผู้ประกอบการในท้องถิ่นและสามารถทำงานกับประเทศ เพื่อนบ้านได้โดยไร้ปัญหา เราจึงเปิดให้ศึกษาภาษาถิ่นของจีน ลาว เวียดนาม กัมพูชาด้วย เพราะแทนที่เราจะแย่งตลาดกันเองในประเทศก็ไปเปิดตลาดใหม่ที่เพื่อนบ้านซึ่ง มีแนวโน้มทางเศรษกิจที่น่าสนใจ โดยมีชุมชนให้การผลักดันและสนับสนุน” ผศ.ดร.วีระศักดิ์ ให้ภาพ

อ.ศศิธร จินารัตน์
       อ.ศศิธร จินารัตน์ หัวหน้าสาขาวิชาการจัดการธุรกิจชุมชน คณะบริหารธุรกิจ กล่าวถึงหน้าที่ของสหกรณ์บัณฑิตรักถิ่นว่า เป็นตัวกลางเชื่อมประสานการทำงานจัดส่งสินค้าให้ชุมชน ซึ่งเป็นร้านที่นักศึกษาเป็นผู้ประกอบการเอง ขณะนี้มีอยู่ที่ อ.น้ำขุ่น อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี และอ.โนนคูน จ.ศีรษะเกศ รวมแล้วหลายสิบร้าน
      
       “ข้อ ดีของการมีสหกรณ์บัณฑิตรักถิ่นคือ ช่วยลดภาระด้านต้นทุนและการขนส่งสำหรับบัณฑิตที่เป็นผู้ประกอบการ อีกทั้งช่วยเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างมหาวิทยาลัยกับชุมชน รวมถึงช่วยให้นักศึกษาที่กำลังเรียนเตรียมพร้อมสำหรับการวางแผนและจัดการ ธุรกิจในชุมชนตนเองได้ เนื่องจากเขาสามารถเรียนรู้ระบบการขายสินค้า การเลือกคู่ค้า เทียบเคียงราคากลาง ราคาขาย และที่สำคัญเป็นการดีที่สามารถเสนอสินค้าที่สนองความต้องการของชุมชนได้”
      
       หัวหน้าสาขาการจัดการธุรกิจชุมชน ชี้แนวโน้มของนักศึกษาที่เรียนจบและกลับไปทำงานในพื้นที่ว่า เฉพาะในเขตจังหวัดอุบลราชธานีนั้นมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น และนักศึกษาใหม่ให้ความสนใจกับสาขาการจัดการธุรกิจชุมชนมากขึ้นเช่นเดียวกัน ตัวเลขที่เพิ่มจำนวนผู้เข้าเรียนจากหลักสิบ เป็นหลักร้อยภายในเวลา 2 ปี

พ่ออ่วม บุดดาลี
       -2-
       พ่ออ่วม บุดดาลี ผู้ใหญ่บ้านบ้านซำสะกวยน้อย อ.น้ำขุ่น จ.อุบลราชธานี หนึ่งในนักศึกษาชั้นปีที่ 1 สาขาการจัดการธุรกิจชุมชน เล่าว่า การตัดสินใจเข้ามาศึกษาต่อและกลายเป็นหนึ่งในสมาชิกบัณฑิตรักถิ่นนั้นก็ เพื่อจะนำไปใช้ร่วมกับความเป็นผู้นำชุมชนและเพื่อให้ความรู้กับชาวบ้านใน เรื่องของการจัดการธุรกิจรวมถึงการเป็นเจ้าของสินค้าด้วยตนเองโดยไม่ผ่านพ่อ ค้าคนกลาง
      
       “เราชาว บ้านเคยถูกเอารัดเอาเปรียบมามากผมอยากให้ชาวบ้านทำธุรกิจเป็น ไม่ต้องใหญ่โตมากแต่อยากให้ทำจึงมาศึกษาดู ตอนแรกก็มีแรงเสียดทานเยอะเพราะเขาไม่เชื่อว่าตัวเขาเองจะเป็นผู้ประกอบการ ได้ แต่ตอนนี้เริ่มเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น” ผู้ใหญ่บ้านบ้านซำสะกวยน้อย เท้าความ
      
       พ่ออ่วม แย้มโครงการที่กำลังดำเนินการอยู่โดยการรวมตัวกันจากสมัชชาเครือข่าย วิสาหกิจชุมชนอุบลฯ ว่า กำลังรวบรวมพลังพลในกลุ่มโรงสีเพื่อทำข้าวกล้องงอกปลอดสารพิษร่วมกับอ. ตระการพืชผล เพื่อส่งให้โครงการในพระราชดำริ ทั้งนี้การร่วมเรียนกับรุ่นลูกหลานทำให้พ่ออ่วมเข้าใจระบบการสื่อสารเพื่อ ให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น

จิระพา สังฆพรม
       หนึ่งในตัวช่วยของพ่ออ่วมคือ จิระพา สังฆพรม นักศึกษาชั้นปีที่ 1 และรั้งตำแหน่งสมาชิกกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรบ้านหัวน้ำ อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี จากลูกสาวเจ้าของธุรกิจไวน์โอทอป 4 ดาวที่เจ้าตัวมองว่าตลาดไวน์เริ่มไม่เป็นที่นิยมและคงไม่ได้รับแรงสนับสนุน จากรัฐบาลใหม่เท่าที่ควร จึงอยากหันเหเป็นผู้ประกอบการสินค้าเกษตรซึ่งมีอยู่มากในท้องถิ่นดีกว่าผนวก กับแนวคิดการรวมตัวของกลุ่มโรงสี โดยในอนาคตเธอวางโครงการไว้ว่าจะเปิดธนาคารชุมชน เมื่อกลุ่มชาวบ้านเข้มแข็งแล้ว
      
       “ตอน ที่เข้ามาเรียนเพราะอยากสืบทอดกิจการของที่บ้าน แต่ไปๆ มาๆ ศึกษาดูแล้วคิดว่าจะรวมกลุ่มกันทำข้างกล้องงอกกับพ่ออ่วมและอ.น้ำขุ่นดีกว่า ซึ่งตอนนี้เราได้กลุ่มโรงสีจำนวนหนึ่งแล้ว คาดว่าจะเป็นปึกแผ่นในไม่ช้า อนาคตคิดว่าน่าจะมีขนาดใหญ่ขึ้นและทำเป็นธนาคารชุมชนได้”
      
       “ถ้าเราไม่หนีจากถิ่นเกิด ชาวบ้านก็จะมีหลัก เขาจะเชื่อว่าพวกเราหนีจากการกดขี่ของนายทุนได้...” จิราพา กล่าวทิ้งท้าย

http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9520000025508

Clip video kelly At Suwanapoom

Clip video kelly At Suwanapoom




thor: chaba2550
Keywords: 120251 2300kellySuwanapoom
Added: February 3, 2009

พลังแดง-พลังเหลือง-พลังเงียบ..เงียบ..เงียบสนิท...!

โดย ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย

พลังเงียบ..ออกมาเมื่อไหร่ พลังแดง-พลังเหลือง..จะต้องหยุด!
      
        นั่นเป็นสิ่งที่ สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี “หน้าเหี้ยม” กับผบ.ทบ.“ป๊อกแป๊ก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รวมทั้งผู้ดูแลหน่วยงานความมั่นคงทั้งหลาย
      
        ฝัน..ฝันแล้ว..ฝันอีก..ฝันอยากให้โครตฝันอันบรรเจิดนี้..เป็นจริงในประเทศนี้ครับ
      
        ว่าไปแล้ว..แม้นผู้ยิ่งใหญ่เหล่านั้น จะไม่ชอบขี้หน้าพันธมิตรฯ สักปานใด แต่ความฝันของพวกท่าน..ก็ดันเสือกมาตรงกับพันธมิตรฯ ทุกคนโดยมิได้นัดหมายครับ
      
        เอ้า..ประกาศด่วน ขอให้บรรดาพลังเงียบทุกคนจงออกมาปกป้องชาติ ศาสน์ กษัตริย์ โดยด่วนที่สุด ไม่ต้องออกมาหมดทั้งประเทศหรอก..ให้พลังเงียบออกมาแค่ 45 ล้านคนก็พอแล้วจ้า..
      
        เมื่อไหร่ที่พลังเงียบ-พร้อมใจกันโผล่จากซอกหลืบประเทศไทย 45 ล้านคน!!!
      
        เมื่อนั้น..ทักษิณ ชินวัตร ที่ปล้นเงินทองมหาศาลจากชาติไทย แล้วใช้เงินโจรกลับมาป่วนแผ่นดินเกิดอยู่ในขณะนี้ จะต้องเบรกพฤติกรรมชั่วจนตัวโก่งในทันทีทันใดแน่นอน
      
        ขบวนการที่ทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง สื่อมวลชน นักวิชาการ นักธุรกิจ ข้าราชการ-ทหาร-ตำรวจบางคน ที่หลงในเงินทอง-ยศถาบรรดาศักดิ์-ผลประโยชน์ทั้งลับและเปิดเผย ตามที่ใครบางคนเสนอให้..ก็จะต้องหยุดกระทำการระยำตำบอนอันมิบังควรนี้เช่น กัน
      
        ส่วนพลังแดงนั้น..เงินชั่วหยุดไหลใส่มือเมื่อไหร่ ทั้งขบวนก็วงแตกหนีกระเจิงกันจนตีนขวิด บางคนอาจถึงตรอมใจตายนอกผืนแผ่นดินไทยด้วยซ้ำไป
      
        อ้อ..พวกพลังเหลืองหรือพันธมิตรฯ น่ะหรือ..ไม่ต้องห่วง หากพลังเงียบออกมาเมื่อไหร่ พลังเหลือง-พันธมิตรฯ จะแฮปปี้สุดชีวิตเลยล่ะ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา..พลังเหลืองพยายามเรียกร้องให้พลังเงียบทั้งหลาย ออกมาต่อสู้กับระบอบทักษิณ เพื่อปกป้องชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ให้เข้มแข็งปลอดภัย
      
        พันธมิตรฯ รู้ดีว่า หากพลังเงียบ..ออกมารับใช้ชาติ ด้วยวิธีการใดวิธีการหนึ่งสัก 45 ล้านคนเมื่อไหร่ คนชั่วจะหยุดทำกรรมชั่ว..บ้านเมืองก็จะผาสุกคร๊าบ...
      
        ว่าไปแล้ว..อยากให้ถึงวันที่พลังเงียบออกมาสู้กับความเลวร้ายในสังคมเร็วๆ จัง เพราะพลังเหลืองจะได้ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อย-ไม่ต้องอดหลับ-อดนอน ไม่ต้องตากแดด-ตากฝน-ตากลมหนาว ไม่ต้องเสียเงินเสียทอง ไม่ต้องเสี่ยงเป็น-เสี่ยงตาย ออกมาชุมนุมกันอย่างสันติอหิงสา เพื่อสู้กับระบอบทุนนิยมสามานย์ทักษิณอีกต่อไป
      
        ถ้าพลังเงียบ-เลิกเงียบดังฝัน จะทำให้คนไทยทั้งชาติ..มีความสุขสุดๆ เพราะชาติ ศาสน์ กษัตริย์ จะได้รับการพิทักษ์ปกป้อง-ส่งเสริมจนมั่นคงแข็งแรง อย่างชนิดไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ชาติไทยไงล่ะครับ
      
        อ้อ..แน่นอน..ก็คงต้องมีใครบางคนไม่แฮปปี้บ้าง แต่คงไม่กี่คนเท่านั้นแหละครับ ทว่า..ที่ต้องกระอักเลือดอายุสั้นกว่าวัยอันควรนั้น หนีไม่พ้น..นักโทษชายชื่อ..ทักษิณ ชินวัตร..คร๊าบ...
      
        ดูสิ..หมดเงินทองไปอักโขแล้ว แต่เหตุการณ์ป่วนเมืองของพลังแดง กลับถูกสาปแช่งก่นด่าจากมหาชน สถานการณ์จึงเลวร้ายลงเรื่อยๆ จนทำให้ทักษิณสติแตก กลายพันธุ์จาก “หมาเชื่อง” เป็น “หมาบ้า” เอาดื้อๆ ถึงขนาดโฟนอินด่ากราดชนชั้นสูง-องคมนตรี-ศาล-รัฐบาลอภิสิทธิ์-กองทัพ -พันธมิตรฯ ทั้งในงานชุมนุมอันธพาลเสื้อแดงที่สนามกีฬา-ในวัดโน้นวัดนี้ เฮ้อ..อีกหน่อยคงจะโฟนอินเข้างานศพก็ได้นะครับ
      
        ล่าสุด..ทักษิณถึงกับใช้วิดีโอลิงค์เสียงและภาพแพร่ถึงพลังสีแดงที่ เชียงใหม่ในค่ำคืนวันที่ 22 มีนาคม 2552 ว่า มีการประชุมวางแผนล้มรัฐบาลของเขา ณ บ้านแห่งหนึ่งที่สุขุมวิท โดยทักษิณอ้างข้อมูลทั้งหมด พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี เป็นคนแฉให้ฟังที่เมืองจีนโน่นแน่ะ
      
        ยุ่งขิงกันใหญ่ละคราวนี้..เพราะบุคคลที่ทักษิณระบุว่า รวมหัวกันล้มรัฐบาลของเขานั้น มีทั้งอดีตนายกรัฐมนตรีและเป็นองคมนตรีในปัจจุบัน พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ อีกท่านเป็นอดีตประธานศาลฎีกาและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ตอนนี้ก็เป็นองคมนตรี นายชาญชัย ลิขิตจิตถะ ส่วนประธานศาลปกครอง นายอักขราทร จุฬารัตน์ ก็พลอยตกอยู่ในร่างแหที่ทักษิณเหวี่ยงใส่ คนสุดท้ายเป็นนักวิชาการอาวุโสใจดี อาจารย์ปราโมทย์ นาครทรรพ ครับ
      
        นอกจากนั้นทักษิณยังพูดถึง “ไอ้ป๊อกซื่อบื้อ” ผู้เป็นผบ.ทบ. นามจริง “อนุพงษ์ เผ่าจินดา” ว่าเป็นหัวโจกรัฐประหารรัฐบาลของเขา เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ด้วย แถมยังระบุถึงเพื่อนคนนี้อีกว่า เป็นตัวตั้งตัวตีในการเปลี่ยนขั้วรัฐบาลจาก สมชาย วงศ์สวัสดิ์ มาเป็น “รัฐบาลราบ11” ที่มี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรีอีกด้วย
      
        แน่นอน..ทักษิณผู้สติแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ยังเหวี่ยงแหขยายกว้างออกไปอีกว่า ขบวนการล้มรัฐบาลของเขานั้น ยังมีผู้คนอีกมากมายหลายกลุ่มร่วมด้วย เช่น น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ นายสนธิ ลิ้มทองกุลกับพวกพันธมิตรฯ ฯลฯ
      
        โอ..พระเจ้าช่วยกล้วยทอด นักโทษชายอภิมหาเศรษฐีทักษิณ ได้เปิดศึกกับผู้คนมากมายไม่เลือกหน้าเช่นนี้ ด้านหนึ่งทักษิณอาจเป็น “หมาจนตรอก” ที่ไม่มีซอยให้ถอยหนีอีกแล้ว หรือไม่ทักษิณก็เชื่อมั่นเกินร้อยแล้วว่า ขบวนการพลังแดงจะต้องก่อการร้ายๆทุกวิถีทาง เพื่อนำตัวเขาให้หวนกลับมากุมอำนาจชาติไทยได้อีกครั้งนั่นเอง
      
        หากทักษิณกับพลังแดงชนะศึกครั้งนี้ สถาบันสำคัญบางสถาบันที่ประชาชนรักเทิดทูน จะต้องตกลงสู่ห้วงอันตรายชนิดที่คาดไม่ถึงเชียวล่ะ เพราะคนอย่างทักษิณนั้นเป็น “จอมอาฆาต” ชนิดข้ามชาติข้ามภพกันเลยนะจะบอกให้..
      
        ยุคทักษิณเป็นรัฐบาลมิใช่หรือ..ที่ขบวนทำลายสถาบันกษัตริย์ ได้เติบโต-เหิมเกริม-พัฒนาเข้มแข็งขึ้นอย่างผิดปกติ?!
      
        แกนนำพลังแดงบางคน ที่ทำร้ายทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ทั้งลับและเปิดเผย จนบางคนต้องติดคุกติดตาราง บางคนต้องหนีโทษทัณฑ์ไปอยู่ต่างประเทศ บางคนคดีความยังคาค้างอยู่ในกระบวนการยุติธรรม บางคนยังคงเหิมเกริมจาบจ้วงสถาบันสำคัญอยู่ในขณะนี้มิหยุดหย่อน
      
        แกนนำพลังแดงเหล่านั้น ล้วนใกล้ชิดและทำงานให้กับทักษิณทั้งสิ้น???!!!
      
       . อย่างไรก็ตาม..รัฐบาลอภิสิทธิ์-เทพเทือก-บิ๊กป๊อก ควรถือโอกาสทองนี้ประกาศผ่านสื่อมวลชน ขอให้พลังเหลือง-พันธมิตรฯ อยู่นิ่งๆ ไม่ต้องยุ่ง-ไม่ต้องเสือก-ไม่ต้องสู้กับทักษิณและพลพรรคอีกแล้ว
      
        เพราะรัฐบาลอภิสิทธิ์-เทพเทือก-“บิ๊กป๊อก” จะใช้มนต์วิเศษเป่าเสกให้พลังเงียบทั้งประเทศ โผล่หน้าออกมาสู้กับทักษิณและพลังแดงเอง?
      
        เอ๊ะ..แล้วรัฐบาลอภิสิทธิ์-เทพเทือก-“บิ๊กป๊อก” จะดึงพลังเงียบออกมาจากที่ไหนหว่า?
      
        ก็แหม..ทั้งในอดีต-ปัจจุบัน-อนาคตน่ะพลังเงียบ ก็คือ พลังเงียบ พลังเงียบนั้น..ต้องเงียบสนิทจริงๆ เงียบจนไม่มีใครรู้เลยว่า พลังเงียบมันซุกตัวกันอยู่ที่ไหน? สถาบันสำคัญของชาติโดนย่ำยีหยามเหยียดขนาดนี้ แต่ทำไมไฉนพลังเงียบ..ยังเงียบอยู่ได้ล่ะ?
      
        พลังเงียบมีเหตุผลและมีความจำเป็นสำคัญในชีวิตอะไรหรือ ถึงได้ปล่อยให้ชาติบ้านเมืองใกล้จะล่มจม โดยพลังเงียบยังคงทำทองไม่รู้ร้อน เหมือนไม่มีสิ่งชั่วร้ายอะไรเกิดขึ้นในประเทศของพวกเขา..พลังเงียบ?
      
        แต่ที่แน่ๆ..พันธมิตรฯ มากมายมหาศาลทั่วประเทศ ที่ออกมาต่อสู้กับทักษิณและพลพรรคอย่างกล้าหาญไม่กลัวตายนี่แหละ ในอดีตก็คือพลังเงียบในสังคมไทย แต่ด้วยพวกพันธมิตรฯ ทนเห็นทักษิณกับพวกโกงชาติ ฆ่าผู้คนราวผักปลาด้วยข้ออ้างค้ายาเสพติด ลุแก่อำนาจเข่นฆ่าชาวมุสลิมอย่างทารุณที่ภาคใต้ ที่สำคัญทนเห็นพวกพันธุ์ “หมาบ้า” ทำลายสถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ไม่ได้อีกต่อไป
      
        รวมทั้งชาวพันธมิตรฯ พลังเหลือง ยังต้องการให้ทุกชั้นชนอยู่ร่วมกันในสังคมไทยอย่างผาสุก ให้เกียรติซึ่งกันและกัน ส่งเสริมให้นายทุนค้ากำไรกันแต่พอควร และมีใจเอื้ออาทรต่อผู้ด้อยโอกาสกว่า อีกทั้งสร้างเศรษฐกิจที่ดีไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมชาติ ฯลฯ
      
        นั่นทำให้พลังเหลืองกระโดดออกจากซอกหลืบประเทศไทย เปลี่ยนจากการเป็นพลังเงียบกลายเป็นพลังบริสุทธิ์ ที่รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ อย่างเปิดเผยและทรงพลังยิ่งในสังคมไทย
      
        พลังเหลืองผิดตรงไหน? พลังเหลืองน่ารังเกียจตรงไหน? พลังเหลืองไม่ควรมี-ไม่ควรละจากการเป็นพลังเงียบ มาเป็นพลังเปิดเผยในประเทศไทยแห่งนี้หรือ?
      
        พลังเหลือง-พลังที่มีอยู่จริง-พลังที่ดีงาม..พลังที่เป็นคุณต่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ แต่ไฉนไยรัฐบาล ปชป.เทพเทือก “ไอ้ป๊อกซื่อบื้อ” ของทักษิณ และหน่วยความมั่นคงจึงรังเกียจเดียดฉันท์โดยไร้เหตุผล..หรือมีอะไรซ่อนเร้น ซ่อนเงื่อนอยู่หรือเปล่า?
      
        อย่ากลัวพลังเหลืองเลย..เมื่อไหร่ที่เงินไร้ศักยภาพ ในการซื้อเสียงทั้งในเมืองและชนบท จนทำให้พวกนักการเมืองโจรเข้าสภาน้อยลง..จนแทบไม่เหลือหลอ ซึ่งจะยังผลให้พวกแก๊งโจรใส่สูท ไม่สามารถยึดอำนาจรัฐไปใช้ฉ้อฉลโกงกินบ้านเมือง
      
        พลังเหลือง-พันธมิตรฯ จะหมดสิ้นความหมายลง เมื่อการเมืองไทย-การเมืองใหม่ ทำให้คนดีได้ขึ้นปกครองบ้านเมือง คนชั่วถูกกีดกันออกจากการเมืองโดยสิ้นเชิง
      
        ที่สำคัญเหนืออื่นใด..ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ จะต้องมั่นคงแข็งแรงสถาพร!
      
        รัฐบาลอภิสิทธิ์-เทพเทือก-บิ๊กป๊อก-หน่วยความมั่นคงทั้งหลาย พลังเหลืองดีๆ ที่จับต้องได้มีให้เห็น กลับไม่แยแส..ไม่ใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อบ้านเมือง มิหนำซ้ำใครบางคนในรัฐบาลนี้ ยังคิดจะทำลายกันเสียอีก..คิดผิด-คิดใหม่ได้นะพ่อคุณ
      
        สรุป..มัวทะลึ่งเสียเวลาเที่ยวแสวงหาพลังเงียบ ที่แสนเงียบ..ที่เงียบสนิท..ที่ยังคงเงียบ..เงียบชั่วนิจนิรันดรอยู่ได้..เอวัง!


http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000033509

ล้วงความลับ 4 ห้องสมุดมหาวิทยาลัย

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    
   

       ในยุคที่อินเทอร์เน็ตยังไม่แพร่หลายนัก “ห้องสมุด” ก็นับเป็นคลังแห่งความรู้ที่ใกล้ตัวชาวมหาวิทยาลัยมากที่สุด และแม้ว่ายุคนี้นาทีนี้ห้องสมุดจะโดนความเป็นเทคโนโลยีแห่งโลกไร้พรมแดน อย่าง Search google แซงหน้าตำแหน่งเรื่องความสะดวกในการสืบค้นและการเข้าใช้ ทว่า ห้องสมุดก็ยังคงความเป็นแหล่งเรียนรู้ที่สำคัญอย่างไม่เปลี่ยนแปลง
      
       ที่น่าสนใจคือ ห้องสมุดของสถาบันการศึกษาต่างๆ นั้นได้มีการปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของนิสิตนักศึกษาอย่างน่าบอกต่อ
      
      
       เริ่มที่หอสมุดแห่งแรกที่จะพาไปแวะชมก็คือ “หอสมุดปรีดี พนมยงค์” ม.ธรรมศาสตร์(มธ.)
      
       “ สุกัญญา มกุฎอรฤดี” หัวหน้าฝ่ายส่งเสริมและพัฒนาห้องสมุด ให้ข้อมูลว่า หอสมุดปรีดี พนมยงค์จะทำหน้าที่เป็นหอสมุดกลางหรือศูนย์กลางระหว่างห้องสมุดคณะต่างๆ ของมหาวิทยาลัย โดยจะเน้นในความหลากหลายของสหวิชา และมีหนังสือให้ได้เลือกอ่าน เลือกใช้กันถึงประมาณ 2 ล้าน 9 แสนเล่ม
      
       “ เด็กที่เรียนที่วิทยาเขตรังสิตก็จะใช้ห้องสมุดคณะ แต่บางทีก็กลับมายืมที่นี่บ้าง วิทยาเขตอื่นๆ ก็เช่นกัน เพราะเวลาหาอะไรไม่เจอก็จะมาที่หอสมุดกลางก่อน โดยสามารถจะเช็คสถานะหนังสือ และสื่อทรัพยากรสารนิเทศกันทางฐานข้อมูลออนไลน์”
      
       นอกจากนั้น หอสมุดแห่งนี้ยังทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการชี้แหล่งค้นคว้าต่อ บริการตอบคำถาม รวมทั้งแบบตัวเล่มและฐานข้อมูลออนไลน์ โดยส่วนใหญ่ที่นิยมเข้ามาใช้บริการกันก็จะเป็นด้าน อินเทอร์เน็ตและเอนเตอร์เทนเมนท์ โดยมุมด้านวิชาการที่นักศึกษาใช้เยอะมักเป็นหมวดบริหารฯ ส่วนหมวดเบ็ดเตล็ดที่นักศึกษานิยมเข้าใช้คือ มุม นวนิยาย
      
       อย่างไรก็ตาม ไม่เพียงแต่ลูกแม่โดมท่านั้นที่แวะเวียนไปใช้บริการ คนภายนอกต่างก็แวะเวียนเข้าไปใช้บริการ รวมทั้งกิจกรรมเสริมต่างๆ ที่ทางหอสมุดได้จัดเอาไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริการจัดฉายภาพยนตร์ที่มีคุณค่า
      
       “เรา จัดกิจกรรมบริการโสตทัศน์ในห้องกิจกรรมเรวัติ พุทธินันท์ที่จะฉายหนังเก่า และหนังฝรั่งที่มีคุณค่าที่จัดเก็บไว้ ตรงนี้คนภายนอกก็จะมามีส่วนร่วมได้ และที่โดดเด่นซึ่งคนภายนอกรู้กันอีกอย่างก็คือหากใครต้องการค้นคว้าหา หนังสือด้านสังคมศาสตร์และการเมืองที่ทางเราก็จะมีการจัดเก็บมากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะไว้ให้บริการ”
      

ห้องเก็บวิทยานิพนธ์ หอสมุดจุฬาฯ
       หอสมุดแห่งที่ 2 ที่จะพาไปสัมผัสกันก็คือ หอสมุดกลางของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หรือที่ใช้ชื่ออย่างเป็นทางการว่า “สถาบันวิทยบริการ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย” ซึ่งมีลักษณะเฉพาะคือเนื้อหาของหนังสือในหอสมุดจะเน้นในความหลากหลายไว้ บริการลูกพระเกี้ยว โดยหมวดวิทยาศาสตร์จะมีนิสิตเข้าใช้บริการค่อนข้างเยอะ ส่วนที่มีการจัดเก็บเป็นจำนวนมาก คือหมวดวิทยานิพนธ์ และงานวิจัยที่บุคคลภายนอกก็นิยมแวะเวียนนำมาศึกษาประกอบธุรกิจ
      
       “สุภัทรียา จิตรกร” หัวหน้างานสำนักงานเลขานุการ ให้ข้อมูลว่า....
       “หอ สมุดจุฬาฯจะมี 7 ชั้น แต่ชั้นล่างจะเป็นฝ่ายยืมคืนและพื้นที่บริการเครื่องดื่ม ชากาแฟ ตรงนี้ก็จะมีนิสิตสลับวนเวียนกันอยู่ตลอด ส่วนที่ๆ มีนักศึกษาค่อนข้างแน่นทุกวันจะเป็นบริเวณชั้น3 ชั้น 4 ก็จะมีนิสิตไปแวะเวียนที่สุดตรงนั้นก็จะเป็นชั้นของโสตทัศนศึกษาที่นิสิตแวะ ไปดูหนังฟังเพลง ใช้อินเทอร์เน็ต ส่วนชั้น 4 ก็จะเป็นหมวดมนุษยศาสตร์และวรรณกรรม รวมทั้งห้องหนังสือวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยทุกคนที่นี่เห็นว่าก็ยังรักการอ่านและยังเข้าห้องสมุดประกอบการค้นคว้า อยู่ หรือช่วงสอบก็จะมีนิสิตเข้ามาอ่านหนังสือกันมากทุกชั้น ”
      
       “ลักษณะ เด่นของที่นี่คือตัววิทยานิยานิพนธ์ หมวดหนังสืออ้างอิงและงานวิจัยที่ทั้งนิสิตและบุคคลภายนอกเข้ามาค้นคว้า ประกอบธุรกิจกันจำนวนมาก โดยนำไปประกอบรายงาน และรวมไปถึงการศึกษาค้นคว้าเพื่อธุรกิจ เรามีฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์วิทยานิพนธ์ซึ่งใช้เทคโนโลยีในการจัดเก็บ ดังนั้น อยู่ที่ไหนก็สามารถเข้าใช้ได้ แต่หากจะมาก็จะสะดวกเพราะเราเป็นห้องสมุดที่อยู่ในแหล่งใจกลางเมืองเดินทาง สะดวก”
      
       ถัดมาเป็นหอสมุดของ ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
       ซึ่ง “กนกพร อยู่อำไพ” นักบรรณสารสนเทศของหอสมุดอธิบายว่า ภายในห้องสมุดมีหนังสืออยู่ประมาณ 180,000 เล่ม โดยจะเน้นไปที่หมวดสาขาวิชาพื้นฐานทางด้านฟิสิกส์ เคมี วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและพื้นฐานทางด้านวิศวกรรม โดยเฉพาะหนังสือทางด้านวิศวกรรมจะมีมากเป็นพิเศษเพราะนักศึกษาส่วนใหญ่เข้า ค้นคว้าหมวดนี้เยอะ เช่นเดียวกับมุมนวนิยายรวมไปถึงเน้นจำพวกตำราต่างประเทศที่นักศึกษาเข้าใช้เป็นจำนวนมากเช่นกัน
       “ของบางมดจะไม่มีห้องสมุดคณะ แต่มีห้องสมุดประจำอยู่ทุกๆวิทยาเขต อย่างวิทยาเขตบางขุนเทียนส่วนใหญ่จะเป็นหนังสือทางด้านสถาปัตยกรรม เป็นต้น”
       กนกพรบอกด้วยว่า อีกมุมหนึ่งที่ทางหอสมุดจัดเอาไว้เป็นพิเศษก็คือ โซนติวเตอร์ เนื่องจากโดยปกตินักศึกษามักจะมาใช้หอสมุดเพื่อติวโปรเจ็กต์ที่เด็กสายวิศว กรรรมจะต้องทำเยอะ นอกจากนี้จะมีมุมผ่อนคลายเอาไว้ด้วย เช่น ชั้นคลินิก หรือ ห้องเรียนรู้ด้วยตนเองที่จะมีโสตทัศน์ไว้ให้บริการ"
      
       และมาปิดท้ายกันที่ ห้องสมุดของมหาวิทยาลัยสวนดุสิต(มสด.) หรือสำนักเทคโนโลยีและสารสนเทศ ที่ ในแต่ละวันมีนักศึกษาแวะเวียนกันเข้ามาใช้บริการอย่างไม่ขาดสาย เฉลี่ยแล้วอยู่ที่ประมาณ 300-400 คนต่อวัน โดยโซนท็อปฮิตที่นักศึกษานิยมเข้าใช้ก็เหมือนกับทุกรั้วมหาวิทยาลัย คือมุมนวนิยาย ที่มีจำนวนผู้เข้าใช้ตีคู่มากับผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ รวมถึงหนังสือในหมวดคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยี
      
       “มุม ที่ขายดีก็ส่วนใหญ่จะอยู่ในหมวดนวนิยาย ตรงนี้จะมีพวกพอกเก็ตบุครวมอยู่ด้วย ซึ่งเวลาที่นักศึกษาว่างๆ เขาก็จะมานั่งอ่านเล่นกัน รองลงมาก็จะอยู่ในหมวดวิชาการ อย่างจำพวกวิชาการเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือหมวดคอมพิวเตอร์ ที่นักศึกษาสนใจอ่านกันมากเพื่อนำไปประกอบวิชาเรียน ซึ่งเราก็มีหนังสือด้านนี้จำนวนมากตามความต้องการ
       สำหรับ ลักษณะเด่นของห้องสมุดมรภ.สวนดุสิตคือ เน้นตรงความทันสมัยเพราะเป็นห้องสมุดแบบ Virtual Library แห่งแรก ทำให้ไม่ว่านักศึกษาจะทำธุรการใดๆก็จะผ่านระบบออนไลน์ ลงทะเบียนตรวจเช็คสถานะหนังสือ คืนหนังสือก็มีตู้อัตโนมัติ”รักขณาวรรณ ชูทอง เจ้าหน้าที่งานจัดหาทรัพยากรสารสนเทศ มสด.ให้ข้อมูล
      
       ที่ น่าสนใจไปกว่านั้นก็คือ การที่ทางมสด.ส่งเสริมความรู้ทางด้านเทคโนโลยีด้วยการแจกคอมพิวเตอร์โน้ต บุ๊กส์ให้กับนักศึกษา ทางห้องสมุดจึงได้จะทำระบบขึ้นมารองรับ โดยนักศึกษาสามารถ Login เข้ามาใช้ฐานข้อมูลของห้องสมุดผ่านโน้ตบุ๊กส์ได้อีกด้วย
      
       “ทาง เรามีสัญญาณ Wireless ให้ใช้เพื่ออำนวยความสะดวกให้นักศึกษา การค้นคว้าที่บางอย่างไม่ต้องเดินเข้ามาห้องสมุดด้วยซ้ำเพราะมีข้อมูลออ นไลน์ แต่ส่วนของตัวเล่มจริงๆหรือทรัพยากรสารนิเทศที่อยู่ในห้องสมุดจริงๆที่มี อยู่กว่า 160,000 เล่ม ตอนนี้ก็ยังคงมีนักศึกษาและผู้ใช้บริการภายนอกเข้าใช้อยู่เหมือนเคย ไม่ได้มีจำนวนมากขึ้นแต่ก็ไม่น้อยลง โดยบรรณารักษ์ก็จะมีบทบาทในการเสาะแสวงหาข้อมูลและทรัพยากรสารนิเทศต่างๆที่ ตรงกับสภาพบ้านเมือง อะไรที่อัพเดทใหม่ๆให้กับนักศึกษาได้รับความสะดวก”
      
       ส่วนออฟชั่นเสริมของทางห้องสมุดทางมสด. ก็คืออินเทอร์เน็ตค่าเฟ่ที่สร้างบรรยากาศให้เหมือนร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ พร้อมทั้งมีมุมอ่านหนังสือที่ตกแต่งด้วยสีสันที่สดใส รวมไปถึงนักศึกษาพิเศษ หรือกลุ่มผู้พิการที่นิยมเข้ามาใช้พื้นที่อ่านหนังสือติวกันได้อย่างสะดวก สบาย
      
       “ถามว่าบุคคลภายนอกเข้ามาใช้ห้องสมุดของเราได้ไหม ใช้ได้ เต่ต้องเสียค่าบริการ 10 บาทต่อคน”รักขณาวรรณสรุป

http://www.manager.co.th/Campus/ViewNews.aspx?NewsID=9520000021020

ปฏิเสธต่อข้อความทางลบ

จาก The Book of Goals

การสอนให้เด็กเป็นคนขี้กลัว จะทำให้เด็กไม่รู้จักโตเป็นผู้ใหญ่

          พวกเราคงเคยได้ยินเรื่องเลวร้ายทุกวัน พ่อแม่ คู่สมรส เด็กๆ หรือครูอาจคาดหวังในตัวเราไว้สูงเกินไป จนทำให้เรารู้สึกว่าเราล้มเหลวต่อการตอบสนองความต้องการของเขา นายของเราก็มักจะบอกว่าเราทำสิ่งใดผิด แต่ไม่เคยบอกเลยว่าเราทำอะไรถูก เรื่องราวที่เราได้รู้มักเต็มไปด้วยเรื่องแย่ๆและเศร้าสร้อย

          เหตุผลหนึ่งที่ทำให้การหางานเป็นสิ่งที่ยาก คือ เรามักจะได้รับข่าวร้ายซ้ำแล้วซ้ำอีก พวกเราทุกคนเกลียดการปฏิเสธ เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่จะอายที่จะเผชิญหน้ากับอะไรก็ตามที่ปฏิเสธเรา การจะหางานได้สำเร็จนั้นเป็นเรื่องยากตรงที่ว่า ยิ่งเราถูกปฏิเสธมากเท่าใดเราก็ยิ่งต้องพยายามต่อไปมากเท่านั้น

          ในการหางาน ไม่ว่าคุณจะมีคุณสมบัติแค่ไหน คุณก็มีโอกาสจะถูกปฏิเสธได้มาก อาจจะไม่มีงานเพียงพอที่จะรองรับในอุตสาหกรรมนั้น หรือเขตพื้นที่นั้นจำเป็นต้องอาศัยความสอดคล้องของตัวคุณและบริษัทที่คุณอยา กจะทำงาน คุณจำเป็นต้องแบ่งแยกตัวคุณเองออกจากตัวผู้สมัครงานที่ได้รับการปฏิเสธ คุณจำเป็นต้องยอมรับว่าการถูกปฏิเสธ เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการ ผมเคยให้คำปลอบใจให้แก่หลายท่านว่า ถ้าพวกเขาไม่ได้ถูกปฏิเสธมากเพียงพอ พวกเขาก็ไม่ได้มองหาโอกาสมากขึ้น และไม่ได้พยายามทำสิ่งใหม่ๆ

          สำหรับพวกเราหลายคน อุปสรรคที่เลวร้ายที่สุด ในการหางานที่เหมาะกับเรา และการได้งานที่เราพอใจ คือ คำพูดแง่ลบซึ่งมากระทบเราเมื่อใดก็ตามที่เราพยายามจะลองสิ่งอื่นใหม่ๆได้แก่

  • "มันไม่ใช่วิธีที่ถูกต้องแน่"
  • "อย่าหาเรื่องเดือดร้อนเลย"
  • "มันไม่ได้ผลหรอก"
  • "เคยลองมาหลายครั้งแล้วไม่ใช่หรือ"
          นอกเหนือจากคำพูดดังกล่าวจากโลกภายนอกแล้ว เรายังพบข้อความบางอย่างจากภายในตัวเราเอง ได้แก่

  • "ผมไม่เคยมีความสามารถในด้านนี้เลย"
  • "ผมไม่สามารถยืนขึ้นและพูดเช่นนั้น"
  • "ผมไม่เคยเรียนรู้วิธีการเช่นนั้นเลย"
          การได้ยินข้อความเหล่านี้ ครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้เรารู้สึกเบื่อหน่าย เศร้าสร้อย และสงสัยในคุณค่าที่แท้จริงของตัวเรา

แบบฝึกหัดในการเอาชนะข้อความด้านลบ          1. พยายามสำรวจความคิดของคุณเองในระยะเวลาประมาณ 1 เดือน ว่าเมื่อคุณฝันถึงความสำเร็จ หรือผิดหวัง เพราะไม่ได้รับความสำเร็จ มีความคิดใดบ้างที่แวบเข้ามาในในคุณ ซึ่งเป็นความคิดด้านบวก ตัวอย่างเช่น

  • "ช่างเป็นความคิดที่ดีเหลือเกิน"
  • "ผมมีความสามารถมากกว่าคนอื่นผมน่าจะเป็นผู้จัดการได้"
          ความคิดบางอย่างอาจออกมาในแง่ลบได้แก่

  • "ผมไม่แข็งแกร่งพอ"
  • "ผมไม่เคยทำความสำเร็จในธุรกิจการเดินทางเลย"
          พยายามชลอความคิดและบันทึกความคิดของคุณ ทั้งด้านบวกและด้านลบ ลงในสมุดซึ่งคุณใช้ทำแบบฝึกหัดช่วงแรกๆ

          2. เมื่อถึงสิ่นเดือน ลองดูความคิดด้านบวกและสนใจที่จะทำตามความคิดนั้น วิธีการนี้จะช่วยให้คุณถูกจูงใจด้วยอารมณ์ที่อยากประสบความสำเร็จของตัวคุณเ อง

          3. ลองดูความคิดด้านลบ และลองถามตัวคุณเองดูว่า

  • "ผมเชื่อตามความคิดนี้จริงๆหรือ"
  • "ผมเอาข้อความนี้มาจากไหน จากใคร"
  • "ผมจะทำอย่างไรทีจะลบล้างข้อความดังกล่าวไปเสีย"
          เมื่อความคิดด้านลบเข้ามาในใจของคุณอีก ลองขัดจังหวะมันดู และลองพิจารณาว่ามันสมเหตุสมผลหรือไม่ และลองเปลี่ยนให้กลายเป็นความคิดด้านบวกดู

          4. ลองคิดดู วุฒิสมาชิก มาร์กาเรต เชล สมิธ ซึ่งเคยเป็นวุฒิสมาชิกจากรัฐเมน เป็นตัวอย่างดู พวกเราส่วนใหญ่ถูกกระทบและทำให้เสียกำลังใจจากคำพูดด้านลบ แต่คนส่วนน้อย ดังเช่น วุฒิสมาชิกสมิธ เป็นผู้หนึ่งซึ่งมีวิญญาณนักสู้ซึ่งพร้อมที่จะเอาชนะต่อสิ่งท้าทายนั้น เธอได้พูดว่า "เมื่อคนอื่นสบประสาทว่าคุณไม่ได้ คุณควรอยากจะลองทำดูให้สำเร็จ"

สุดยอดอาหาร คงความอ่อนเยาว์

29 สุดยอดอาหาร คงความอ่อนเยาว์

สดใสดูอ่อนกว่าวัย Stay looking young

เพียงแค่เลือกรับประทานอาหารที่ว่ามาทั้งหมดนี้ เพียงอย่างน้อย 1 อย่าง เป็น
ประจำทุกวัน ก็
จะช่วยให้เส้นผมดำขลับ เงางาม ผิวพรรณผุดผ่องและดวงตาเป็นประกาย

1. บลูเบอร์รี่ : จากผลการวิจัยพบว่า แอนโทไซยานิน (anthocyanin) สารเม็ดสีใน
บลูเบอร์รี่ ช่วยในการมองเห็น ขอแนะนำให้คุณลอง ปั่นบลูเบอร์รี่รวมกับนมหรือ
โยเกิร์ตดู

2. พริกหยวก : ทั้งพริกแดง พริกเขียว และพริกเหลืองต่างมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์
ที่ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันร่างกาย น้ำฉ่ำๆ จากพริกหยวกยังจะช่วยให้สุขภาพเล็บแข็ง
แรง ลองนำพริกไปทำซัลซ่า โดยผสมเข้ากับมะเขือเทศ กระเทียม พริกแดง แตงกว่า
น้ำมันมะกอก และน้ำมะนาวดูสิ นอกจากจะได้ประโยชน์
มหาศาลจากเหล่าสุดยอดอาหารแล้ว ยังได้อร่อยกับเมนูเด็ดจากฝีมือของคุณเองอีก

3. กะหล่ำปลี : เห็นเขียวๆ ม่วงๆ อย่างนี้รู้มั้ยว่ากะหล่ำปลีนั้นอุดมไปด้วย
วิตามินเอ, ซีและเบตาแคโร
ทีนที่จะช่วยในเรื่องของผิวพรรณ เพียงหั่นกะหล่ำปลีบางๆ แล้วนำลงไปผัดกับขิงและ
กระเทียม เพียงเท่านี้ก็ได้อาหารมื้อค่ำสำหรับตัวคุณเองแล้ว

4. วอลนัท : ทองแดงในวอลนัทช่วยคงสภาพสีผมของคุณไม่ให้เปลี่ยนสีก่อนวัยอันควร
ลองโรยวอล
นัทลงบนสลัดหรือโยเกิร์ตก็ไม่เลวนะ

5. แอปริคอท : สารเบตาแคโรทีนในแอปริคอทช่วยชะลอการเสื่อมถอยของเลนส์ตา ช่วยใน
การมอง
เห็นได้ดี ใส่แอปริคอทลงไปในสตูว์ไก่ ผสมกับขิงและอบเชยให้ได้กลิ่นอายแบบโมร็อค
โค

6. อะโวคาโด : การรับประทานอะโวคาโดช่วยทำให้ผิวเรียบเนียน และปกป้องผิวจาก
อันตรายที่เกิด
จากแสงแดด เนื่องจากอะโวคาโดอุดมไปด้วยวิตามินอี บดอะโวคาโดโรยหน้าโอ๊ตเค้กเป็น
ของทานเล่นดู
ก็ได้

7. สตรอเบอร์รี่ : วิตามินซีและ สารบางอย่างในสตรอเบอร์รี่ช่วยเพิ่มความแข็งแรง
ของผนังเส้นเลือดผลไม้สีแดงสดทรงเสน่ห์แบบนี้ เพียงแช่เย็นไว้จิ้มกินกับเกลือ
ตอนนั่งดูทีวีก็เพลินดีไม่น้อย

8. เต้าหู้ : หยุดยั้งผิวที่ซีดและแห้งโดยการรับประทานอาหารอย่าง เต้าหู้ เพราะ
ในเต้าหู้มีสารที่จะ
ช่วยคืนสภาพผิวและป้องกันรอยเหี่ยวย่น ลองผัดรวมกับผักกรอบๆ หรือทำเป็นต้มจืด
เอาไว้ทานเป็นมื้อเย็นนอกจากจะช่วยคืนสภาพผิวแล้ว ยังช่วยควบคุมน้ำหนักได้เป็น
อย่างดี

9. ข้าวโอ๊ต : เต็มไปด้วยเส้นใยที่ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือด ทั้งยังช่วยลด
อาการตึงเครียด จึงทำ
ให้รอยเหี่ยวย่นน้อยลง เพียง โรยข้าวโอ๊ตลงบนมูสลี่ หรือนมอุ่นๆ ใส่น้ำตาลลงไป
เล็กน้อยแค่นี้ก็ทานได้
แล้ว กระชุ่มกระชวยเหมือนแรกสาว

Stay feeling young

10. กระเทียม : สมุนไพรกลิ่นแรงอย่างกระเทียมมีคุณสมบัติป้องกันแบคทีเรีย ล้าง
พิษ และป้องกันไวรัสจากโรคภัยไข้เจ็บ ตั้งแต่ไข้หวัดไปจนถึงมะเร็ง อาหารไทยส่วน
ใหญ่มีกระเทียมเป็นส่วนประกอบอยู่แล้ว

11. แครนเบอร์รี่ : ผลไม้มหัศจรรย์ช่วยต้านการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ จาก
งานวิจัยล่าสุดพบว่ายังช่วยป้องกันโรคเหงือก และแผลในช่องท้องได้ชะงัดอีกด้วย
อาจจะทำเป็นแยมไว้รับประทานกับขนมปังหรือทำเป็นซอสแครนเบอร์รี่ไว้ทาไก่หรือ
เนื้อย่างก็มีประโยชน์ไม่แพ้กัน

12. ลินสีด : ช่วยลดอาการเจ็บตามข้อต่อ เพราะอุดมไปด้วยโอเมก้า 3 ที่ร่างกายใช้
ในการสร้าง
ฮอร์โมนที่มีคุณสมบัติป้องกันอาการอักเสบ ลองเติมลงในน้ำปั่นหรือโรยหน้าสลัดดู
ก็ได้นะ

13. กีวี : วิตามินซีและสารอาหารบางอย่างในกีวีช่วยในการไหลเวียนของออกซิเจน ลด
ปัญหาเกี่ยวกับ
ระบบหายใจ เช่น โรคหืด หอบ หั่นกีวีเป็นลูกเต๋าเสียบไม้กับมะม่วงหรือกล้วย ทา
ด้วยน้ำผึ้ง แล้วนำไป
ย่าง อาจจะได้รสชาติแปลกใหม่ที่น่าลิ้มลอง

14. ลูกพลัม : อุดมไปด้วยสารอาหารที่ช่วยป้องกันการถูกทำลายของไขมันซึ่งเป็น
ส่วนประกอบสำคัญในเซลล์สมอง นำลูกพลัมไปเคี่ยวกับน้ำส้ม และโรยลงไปบนมูสลี่
หรือจะกินเล่น เป็นขนมขบเคี้ยวก็ไม่มีใครว่า

15. กล้วย : เป็นแหล่งรวมของโพแทสเซียม นอกจากกล้วยจะช่วยในเรื่องของระบบการ
ย่อยอาหาร
แล้วยังช่วยลดอาการท้องผูก แค่ผสมเข้ากับนม น้ำผึ้ง และอัลมอนด์ ก็จะได้อาหาร
เช้าที่แสนอร่อย

16. ส้ม : การรับประทานส้มทั้งผลแทนการดื่มน้ำส้มจะช่วยให้ได้รับสารอาหารอย่าง
เต็มที่ มิหนำซ้ำ
วิตามินซีในส้มยังช่วยป้องกันและเยียวยาโรคหวัด นอกจากนี้กากของส้มยังช่วยใน
เรื่องของการขับถ่าย
ด้วย

17. ข้าวกล้อง : ฮอตฮิต อินเทรนด์กันอยู่พักใหญ่ เพราะอุดมไปด้วยแร่แมงกานีสที่
จะช่วยให้พลังงานกับร่างกายโดยการให้โปรตีนและคาร์โบไฮเดรต และยังช่วยเพิ่มภูมิ
คุ้มกันของร่างกายอีกด้วย ใครที่ไม่ชอบสีจัดจ้านของข้าวกล้องก็สามารถหุง
ข้าวกล้องรวมกับข้าวสวยได้

18. มะเขือม่วง : เปลือกของมะเขือม่วงอุดมไปด้วยนาซูนิน (nasunin) ซึ่งมี
คุณสมบัติช่วยปกป้อง
สมองของคุณจากการถูกทำลาย เพื่อคงความฉลาดหลักแหลมของคุณไว้ ลองนำมะเขือม่วงไป
ทำแกง หรือรับประทานกับข้าวกล้องก็อร่อยไม่เบา

แข็งแรงได้ใจ Stay healthy!

จากการศึกษาพบว่า อะไรก็ตามที่คุณรับประทานเข้าไป มีโอกาสที่จะทำให้โรคภัยไข้
เจ็บต่างๆ ดี
ขึ้นได้ เช่น โรคมะเร็ง หรือโรคหัวใจ เพื่อให้อัตราการเสี่ยงของคุณลดน้อยลง ลอง
อาหารพวกนี้ดูสิ

19. ลูกพรุน : โพแทสเซียมในลูกพรุนช่วยลดคอเรสเตอรอลในเลือดและลดระดับความดัน
เลือด ซึ่งทั้ง
สองอย่างนี้เป็นต้นเหตุของการเกิดโรคหัวใจ เสิร์ฟคู่กับโยเกิร์ตหรือกินเล่นเป็น
ของว่างก็ดี

20. คะน้า : ช่วยให้ตับของคุณผลิตเอ็นไซม์ในการต่อต้านมะเร็ง เมื่อคุณเคี้ยว
คะน้า จากการวิจัยพบว่าสามารถหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านมได้
ฮืม...ม เลือกผัดคะน้าปลาเค็ม เป็นเมนูมื้อ
กลางวันดีกว่า (อ้อ อย่าลืมทุบกระเทียมลงไปด้วยนะ)

21. ผักโขม : คุณจะได้รับแคลเซียมจากผักโขม ในขณะเดียวกันก็มีแมกนีเซียมที่จะ
ช่วยให้ร่างกายของคุณดูดซึมแคลเซียมได้ดี การรับประทานใบอ่อนของผักโขมในสลัด จะ
ช่วยให้ป้องกันโรคกระดูกเปราะและหักง่ายเนื่องจากขาดแคลเซียม

22. ราสเบอร์รี่ : จากผลการวิจัยพบว่าสารแอนตี้ออกซิเดนท์ในราสเบอร์รี่สามารถ
ยับยั้งการเกิดเนื้อ
ร้ายได้ ลองนำราสเบอร์รี่ไปราดด้วยช็อกโกแลตเหลวแล้วไปแช่เย็นดูสิ

23. ถั่วงอก : สารประกอบ ที่พบในถั่วงอก สามารถช่วยลดระดับไขมันในเส้นเลือด นอก
จากนี้ถั่วงอก
ยังประกอบด้วยสารอาหารในปริมาณสูง ซึ่งจะช่วยเรื่องโรคเล็กๆ น้อยๆ ของสตรีในวัย
หมดประจำเดือนถั่วงอกผัดกับเต้าหู้ ทานกับข้าวสวยร้อนๆ ก็อร่อยไม่เบา

24. บล็อคโคลี่ : การรับประทานบล็อคโคลี่เป็นประจำ จะช่วยลดอัตราเสี่ยงการเกิด
โรคหัวใจได้ถึง
20% และยังมีวิตามินซีที่ช่วยป้องกันการปวดกล้ามเนื้อ ปวดตามข้อ และโรคไขข้อ
อักเสบได้ด้วย ลวกใส่ในสลัด หรือผัดกับกุ้งสดก็ไม่เลว

25. บีทรูท : เนื้อของบีทรูทอุดมไปด้วยเบต้าไซยานิน ซึ่งเป็นสารต่อต้านมะเร็ง
รับประทานโดยการนำไปตุ๋นหรือย่าง

26. องุ่นแดง : จะช่วยลดอัตราเสี่ยงของการเกิดเลือดจับตัวเป็นก้อน และดักจับ
ไขมันในเลือดที่จะเป็น
อันตรายต่อเส้นเลือดแดงของคุณ ใส่องุ่นแดงลงในสลัดหรือดื่มไวน์แดงสักแก้ว
ระหว่างมื้อค่ำ

27. ปลาที่มีไขมัน : แซลมอน หรือเนื้อปลาชนิดอื่นๆ ที่มีไขมันปนอยู่บ้างนั้น
สามารถช่วยปกป้องคุณจากโรคภัยไข้เจ็บมากมาย อีกทั้งโปรตีนในเนื้อปลายังช่วยใน
เรื่องของสมอง ว่ากันว่าให้เด็กๆ กินปลาแล้วจะฉลาด ปลานึ่ง ปลาย่างราดซอสอร่อยๆ
ล้วนเป็นทางเลือกที่ดี

28. มะเขือเทศ : สารไลโคพีนี (lycopene) ในมะเขือเทศจะช่วยป้องกันการเกิดมะเร็ง
ต่อมลูก
หมาก มะเร็งเต้านม มะเร็งปอด และมะเร็งลำไส้ใหญ่ ที่สำคัญช่วยให้ผิวสวยอย่าบอก
ใครเลยเชียวล่ะ
เลือกเอาเลยว่าคุณอยากจะใส่มะเขือเทศลงในอาหารอะไรบ้าง

29. หัวหอม : หัวหอมที่มีกลิ่นไม่หอมเหมือนชื่อนี้จะช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด
ทั้งยังช่วยในการรักษาและป้องกันโรคเบาหวาน ซอยเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าเล็กๆ ใส่
ในไข่เจียว หรือซอยใส่อาหารประเภทยำช่วยเพิ่มรสชาติได้ดีทีเดียว


-