++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพุธที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2556

“ธรรมที่เป็นพุทธ” ตอน ๑


560225_ทำวัตรเช้างานพุทธาฯ ครั้งที่ ๓๗
เรื่อง “ธรรมที่เป็นพุทธ” ตอน ๑
โดยพ่อครูสมณะโพธิรักษ์


ทำวัตรเช้า เป็นภาษาที่เป็นประเพณีในการบำเพ็ญธรรม มาต่อสู้ตั้ง ทางด้านศาสนาหมู่ใหญ่ท่านก็สวดมนต์เป็นหลัก ฟังธรรมแต่น้อย นอกจากบางที่ที่มีนักเทศน์ก็มีบ้าง แต่ส่วนใหญ่ทำวัตรก็คือมาสวดมนต์ พค.เคยบวชอยู่ในวัดใหญ่ พอได้เวลาทำวัตรก็มาสวดมนต์ มีหลายบท เป็นการสวดสังคีติ ท่องจำไว้ ให้จำบทมนต์ไปเรื่อย ก็ได้ประโยชน์ที่มาร่วมกันมีใจที่มีกิจร่วมในกิจศาสนาที่จะบำเพ็ญธรรม แค่มารวมตัวกันก็ดีแล้ว มาปฏิบัติธรรม นั่งให้สงบ ไม่ฟุ้งซ่าน ให้นิ่ง ถ้าเฉยๆเรียกว่า meditation เป็นลัทธิเก่าแต่โบราณ เป็นบทต้นให้สงบ ก็มีผลดี ถ้ายิ่งมีอะไรเพิ่มขึ้นในพิธีการ อย่างพวกเรามีปลุกเสกฯพุทธาฯ จนมาถึงปีที่ ๓๗ ก็ลงตัว มีสวดมนต์บาง แล้วก็มาฟังธรรมเป็นหลัก แล้วก็จะมีอื่นอีกมีสังวรศีล  มีสำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา มีชาคริยานุโยคะ ปฏิบัติจรณะ ๑๕ เป็นสำคัญ ชาคริยาฯ เราต้องมีสัมปัชชัญญะ สัมปันนะ คือให้สติเราเป็นตัวต้น เรียกสติสัมโพชฌงค์ สติคือความรู้ตัว เป็นคำรวม ถ้าเราไม่ศึกษาต่อ ก็ไม่รู้ว่า สัปปัชชัญญะ สัมปฌานะคืออะไร ก็คือลีลาการต่อเนื่องจากสติ ที่มีการต่อเนื่อง สัมปัชชัญญะคือระลึกรู้ตัวต่อจากสติ รู้รอบในการสัมผัสสัมพันธ์ ทางทวาร รู้กรรมกิริยา ทั้งวาจา ซึ่งสังกัปปะคือพฤติกรรมองค์รวมของจิต ที่มีบทบาทแจกเป็น ๗ อย่าง
                ถ้าไม่รู้จักสัมปปัชชัญญะ สัมปฌานะ สัมปัชระติ สัมปัตตะ....สัมปันนะ คือเข้าถึงการบรรลุธรรม ถ้าเรารู้ตลอดสาย ตั้งแต่เกี่ยวข้องสัมผัสทางทวาร ๖ แล้วเราก็มีสัมปัชชัญญะรู้ต่อจากทวาร ๖ รู้กิริยาข้างนอกที่กระทบสัมผัส แล้วเข้าไปต่อข้างในใจ รับรู้ ยิ่งรู้ไปถึงมีการวิจัยวิจาร มีการอ่านจิต ซึ่งอ่านภายนอกก็รู้ง่าย ว่ามิจฉาหรือสัมมา ทั้งวจีกรรมก็จะรู้ว่ามิจฉาหรือสัมมา สำหรับอาชีวะ เราก็จะวิจัยวิจาร ต่อเนื่องเข้าไปสู่ใจ ที่เรามีวิตกวิจาร วิจารคือความประพฤติ ทั้งภายนอกภายใน เราจะฝึกชวนจิตคือจิตที่แววไว เร็วไว ฝึกให้มันสัมผัสรู้ เสวยอารมณ์ทุกอย่างก็ต้องรู้
                สัมปฌานะ คือรู้รอบรู้ถูกผิด มีวิจัยวิจารให้รู้ รู้ว่าเป็นฌาน ๑ คือจิตเราไม่มีนิวรณ์ ขณะใดเราไม่มีนิวรณ์คือเราทำฌาน ทั้งที่มีกระทบทางทวาร ๖ ก็มีต่อเนื่องรับรู้ถึงภายใน คืออาศัยมหาภูตรูปแล้วต่อเนื่องเป็นมหาภูตรูป (รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ก็คือรูป) คำว่ารูปคือสิ่งที่ถูกรู้ แล้วเราก็จะรู้ในใจเรา

สัมปชัญญะ     =  ความรู้ต่อจากการมีสติรู้สึกตัว
สัมปชานะ       =  ความรู้สึกตัวในการปฏิบัติอยู่
สัมปาเทติ    =  เหตุไปสู่การละเลงเพื่อสัมปัชชติ
สัมปัชชติ         =  ความรู้จากการแยกแยะขจัด
สัมปาเปติ    =  การสังเคราะห์กันขึ้นอย่าง อวจร
สัมปฏิสังขา  =  ญาณรู้จักการทบทวนกระทำซ้ำ .
สัมปัชชลติ      =  เข้าสู่การโหมไหม้ สว่างเรืองรอง
สัมปัตตะ, สัมปันนะ  =  การเข้าบรรลุผล .
สัมปฏิเวธ    =  ความรู้ที่รู้แจ้งแทงตลอด

                วิตกวิจาร ตัวแรกคือทำจิตเราไม่ให้มีนิวรณ์ ๕ จะด้วยวิขัมภนะ กดข่ม หรือด้วยวิธีใดๆก็แล้วแต่ ไม่ให้มี กาม พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจะกุกกุจจะ วิจิกิจะ ก็ไม่มีเราก็สบายใจ มีปีติ สงบอยู่ มีเอกัคคตา ฌาน๑ ก็ลืมตาเป็นแบบพพจ. ส่วนของหลับตาเขาก็ไม่ให้มีนิวรณ์ ก็ทำกันทั่วโลก เรียกว่า เจโตสมถะ แต่ของพพจ.ทำวิปัสสนา ปัสสะคือการเห็นโต้งๆอยู่ แล้วก็ทำให้จิตสงบมีสมถะเหมือนกัน มีปหาน  ๕ ก็มีกดข่มได้ ซึ่งเป็นสัญชาติญาณสามัญ ที่เรียกว่ามารยาท เมื่อกระทบสัมผัส แม้คนอวิชชาก็มีมารยาท ก็มีการระงับได้ แม้ว่าจะมีอาการจิตว่า น่าแตะน่าทำอะไรออกไปเราก็ยังมีมารยาทก็กดข่ม โดยสัญชาติญาณทำเป็นปกติอันโนมัติ เป็นสัจจะก็เกิดอยู่ตลอดเวลา
                แต่เรามาเรียนรู้มันว่าเราเป็นไหม ซึ่งธรรมดาคนก็เป็นกันทั้งนั้น เราอยู่กับสังคมก็มีมารยาท มีกาม มีโทสะก็ระงับ ถ้ามันแรงก็ระงับนอกจากมันไม่ไหวก็ออกมาเป็นกายกรรม วจีกรรม ตามปรารถนาออกไปก็เป็นเรื่องจริง
                แต่เมื่อเราปฏิบัติธรรม เราต้องรู้ว่าอันนี้ให้ระมัดระวังนะ เช่นที่เรากำหนดศีล ๕ เราต้องลดละอะไรบ้าง มันจะเกิดอาการทางใจเมื่อสัมผัส แล้วกิเลสเกิด เราก็ต้องมีวิธีลดละ เรามีวิปัสสนา คือการมีสติแล้วปฏิบัติให้ครบจนเป็นวิมุติ ให้กิเลสลด จะวิขัมภนะช่วย แล้วมีวิปัสสนา พิจารณให้กิเลสลด แม้ระงับแล้วมันก็ยังเกิด เราก็พิจารณามันว่ามันไม่เที่ยง มันก็อยู่ได้นะ มันไม่เที่ยงแต่มันเบาบางลง แม้ชั่วคราว ก็ตทังคะ ถ้าทำได้ต่อเนื่องได้เร็วได้เก่งไวขึ้น จนเห็นได้อย่างเด็ดขาดคือสมุทเฉทปหาน เราสัมผัสกิเลสเกิด เราก็ทำให้ขาด ทำได้เร็วขึ้น ทำวิปัสสนาวิธี ส่วนตทังคะคือได้เป็นครั้งคราว แต่ไม่ใช่ว่ามันเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปเอง ซึ่งมันเกิดดับเอง แล้วบอกว่าเห็นอนัตตาแล้ว อย่างนี้แล้วบอกว่ามันไม่ใช่ตัวตน อย่างที่มีคน sms มาบอกว่านี่ไม่ใช่ตัวตน ก็เป็นแต่ภาษาที่เอามาถกกันเท่านั้น อย่างเช่นนักวิทยาศาสตร์ ว่า ควอนตัมนั้นเป็นสิ่งที่เคลื่อนไหวต่อเป็นสายไม่เป็นแท่งก้อน แต่โปรตอนนั้นเป็นสิ่งที่เป็นตัวตนเป็นแท่งก้อน เขาก็เถียงกันอยู่

                แต่ของพุทธก็มีสิ่งที่เป็นตัวตน เรียกว่า อัตตา กำลังแสดงบทบาทเป็นเจ้าของใจเรา กำลังออกฤทธิ์ให้ทำตามมันเลยนะ มันยังมีอาการ แต่เราก็เห็นว่ามันก็ไม่เที่ยง ไม่คงที่ แม้จะมันบำเรอมันก็เดี๋ยวมันก็ดับ มีธรรมะหลายสายบอกว่าให้อยู่ไปเรื่อยๆ มันอยากอะไรก็ให้แล้วมันก็หยุด หนักเข้ามีสายกาม อยากเสพเมถุนก็ทำให้เต็มที่จนมันหยุด อยากได้ก็ให้มันทุกอย่างซักวันมันก็หยุด คนคิดแบบนั้นก็มี ซึ่งถ้าไม่เข้าใจสัมมาทิฏฐิก็ไปกันใหญ่

                เมื่อมาปฏิบัติจนเข้าใจสติ มีสติสัมโพชฌงค์ คือปฏิบัติตามมรรคองค์ ๘ รู้ว่ามีการสัมผัสภายนอกมหาภูตรูปแล้วรู้เนื่องไปในมหาภูตรูป เป็นองค์ประชุมภายใน เป็นกายในกาย ตอนรู้ภายในตอนเริ่มต้นเป็นวิญญาณคือธาตุรู้ทั้งหมด แต่ที่ปรุงแต่งเร็วปุ๊ปนั่นคือการสังขาร

                พพจ.สอนให้รู้นามรูป (นามรูปปริฉทญาณ) ในปฏิจจสมุปบาทเรียกว่า นาม-รูป แต่ทั่วไปบอกว่าให้รู้รูป-นาม ซึ่งมี เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ ต้องรู้ว่า นาม-รูป คือนามธรรมที่ถูกรู้ คือการขยายวิญญาณนั่นเอง นามคืออะไรคือ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ ส่วนรูปคือมหาภูตรูปและอุปาทายรูป (อุปาทายรูปคือรูปที่อาศัยมหาภูตรูปเกิด) เราต้องชัดเจนว่า เราต้องรู้ทั้ง นามและรูป

                ต้องรู้อาการมันว่า เวทนา มีอาการจิตอย่างไร สัญญามีอาการจิตอย่างไร ต้องกำหนดรู้ คือสติปัฏฐาน ๔ คือการปฏิบัติเอาสติเป็นที่ตั้ง อย่างไร? คือพิจารณา รู้กายในกาย เวทนาในเวทน รู้จิตในจิต รู้ธรรมในธรรม ให้สติทำงาน ไปจนถึงอานาปนสติ รู้ว่ามีกายสังขาร รู้จิตรำงับ รู้จิตปรุงแต่งแล้วให้รำงับ

                กายในกาย คือการรู้ทุกอริยาบท แล้วต่อเนื่องไปเป็นอุปาทายรูป มีจิตสังขาร ให้ตามรู้ อนุปัสสี ๔ ตามรู้ความไม่เที่ยง ความจางคลายกิเลส จนกิเลสดับ และมีการทำซ้ำทำทวนอยู่ตลอดเวลา

                เมื่อทำใจเราให้กิเลสลดละจางคลายได้ สติเช่นนี้เรียกว่าสติสัมโพชฌงค์ ทุกเวลาต้องทำสัมมาสติ ควบคู่กับมรรคทั้ง ๗ องค์ ซึ่งสติก็แจกละเอียดได้อีกหลายภาวะ สรุปคือบทบาทลีลาของจิตที่ทำงานต่อเนื่อง แล้วสุดท้ายรู้แจ้งแทงตลอด มีสัมปันนะคือความสำเร็จ แล้วทวนตลอด เรียกว่าสตินำพาสู่การตรัสรู้คือ สติสัมโพชฌงค์ มีทุกอย่างครบหมด

                นี่เรียกว่ากระบวนการ หรือมนสิการของจิต ให้รู้ว่าเรามีสติถึงขั้นไหน แล้วพยายามให้มันยิ่งขึ้น ให้มีบทบาท แล้วเรารู้การทำของมัน มีการเผา(สัมปัชรติ) คือมีไฟฌานในการเผาทำลายกิเลสให้เบาบางจางคลาย นี่คือฤทธิ์แรงอุณหธาตุที่ไปทำลายกิเลส จนมีผลเรียกว่า สัมปันนะ แล้วทำทวนแทงตลอดใน คือสัมปัตติเวช ต้องมีสติที่ครบบริบูรณ์จึงบรรลุเต็ม

                ตอนนี้วิจัยธรรมะในกลุ่มของสติสัปปัชชัญญะ แล้วเอาไปทำ ตั้งแต่จิตมันเริ่มดำริ มีวิตรรกะ เราใช้คำว่าวิ ซึ่งคนไทยใช้คำว่าวิตก คือการกังวลใจ คือมันยังไม่สำเร็จผล แต่ความจริงแล้วมันแปลว่าสำเร็จผลด้วย แต่มันยังกังวลว่ามันมีกิเลสอยู่ เป็นอาการแรกของวิตก แต่เมื่อเราทำเข้าปฏิบัติเข้า เราทำปหาน ๕ ไปจนถึงนิสสรณะปหาน ซึ่งคำของพพจ.นั้นมีละเอียดลออมากมาย ท่านทำไมต้องบัญญัติมามากมาย ซึ่งท่านไม่ได้ตั้งขึ้นมาเฉย แต่ตั้งมาให้รู้และเรียกสภาวะที่มีรายละเอียด ที่เป็นธรรมชาติ แจกละเอียดของจิตเจตสิกต่างๆในบางคำก็เอามาใช้กัน แต่ส่วนใหญ่นั้นคำบาลีไม่ได้นำมาใช้ทางรูปธรรม เพราะมีความละเอียดลึกซึ้งมาก เป็นคำแทนสภาวะ
                มีศัพท์อยู่สองคำคือ ร่วมถือ และแยกถือ  คำว่าร่วมถือคือความยึดถือจากที่รวบรวม แต่แยกถือก็คือแยกแยะออกแล้วก็ถือไว้ ซึ่งถ้ารวบถือมันก็ไม่รู้ ก็จะยึดมั่นถือมั่นได้ แต่คำว่าแยกถือก็มีลักษณะดีกว่า คำว่าร่วมถือ
                ตอนนี้จะนำหนังสือธรรมที่เป็นพุทธมาเรียนกัน ถ้าใครอ่านแล้วเกิดธรรมรส อ่านไปถึง ๓ เที่ยวอย่างน้อย แล้วก็เข้าใจเพิ่มขึ้นคุณอาจอ่านเที่ยวที่ ๔ ที่ ๕ ต่อไป เป็นหนังสือที่เขียนด้วยภาษาง่ายๆ

            สารบัญ
บทที่ ๑. ขอบคุณชีวิต       บทที่ ๒. ชีวิตชาติชั่ว      บทที่ ๓. ชาตินี้ของชีวิต         บทที่ ๔. สิ้นชาติก็สิ้นชั่ว

ขยายความ ที่ตั้งชื่อนี้ตั้งแล้วจึงเขียน ในบทที่ ๑ ขอบคุณชีวิต ต้องขอบคุณที่พค.ได้ทำงาน ได้มีศาสนาพุทธอยู่กับชีวิต เป็นศาสนาที่อยู่กับชีวิตเรา เพราะศาสนาพุทธคือทุกสิ่งทุกอย่างของมนุษย์ เมื่อรู้ใจก็ไปรู้กาย วจี ไปถึงอาชีพ มันจะมีภูมิปัญญารู้ไปหมด เมื่อดับกิเลสได้ เป็นคุณค่าชีวิตจริงๆ ได้มาลดละสิ่งไม่ดีงาม จนได้อาศัย ธรรมะที่เป็นพุทธ แล้วก็มีชีวิตต่อไปอีก ก็ตั้งใจอยู่ถึง ๑๕๑ ปีก็ขอบคุณอีก สมมุติว่าพค.ไม่มีกิเลส(เพราะบางคนไม่เชื่อ) ถ้าพค.จะอยู่ต่อไปอีก ตามโครงการขยายอายุขัย สมมุติอยู่ต่อ ก็ต้องขอบคุณพวกคุณที่มาปฏิบัติธรรม พวกที่ไม่มาก็อยากขอบคุณ แต่เขาไม่มาให้ขอบคุณ คนเก่าเคยมาเดี๋ยวนี้ก็ไม่มาเพราะมีโทรทัศน์ดู มาแล้วไม่มีอิสระ หรือมีเหตุผลอีกมากที่จะไม่มา ก็เลยไม่ได้ขอบคุณเขา แต่พวกที่มาอย่างน้อยก็ให้เห็นหน้าตา ว่าเจริญขื้นหรือไม่ เห็นว่ายังอยู่ ก็มารวมหมู่กลุ่ม ทำให้มวลโต ซึ่งดี เพราะมามากแล้วสงบ ไม่เหมือนกับบางหมู่รวมกันแล้วก็ไม่สนใจคนพูด แต่พวกคุณมาตั้งใจฟังธรรม จะมีหลับบ้างเท่านั้นเอง ก็ช่วยไม่ได้ ไม่อยากหลับหรอก ถึงมีมวลมากก็ไม่กวน ถ้ามามากแล้วจอแจ อย่างกับโต๊ะจีน อย่างนี้ไม่ไหว

                ถ้าพค.จะมีชีวิตอยู่ต่อไปก็เพื่อสร้างประโยชน์ แล้วก็มีความชำนาญเพิ่ม ผู้ที่เป็นอรหันต์แล้วก็หมดประโยชน์ตน จบกิจแล้ว คือกิเลสตนหมดเกลี้ยงแล้ว จิตมันเที่ยงแท้ถาวรมั่นคง ไม่แปรเปลี่ยน ไม่กลับกำเริบ ทั้งเวทนา ๑๐๘ ในอดีต ปัจจุบัน อนาคต ก็มีกิเลสสูญ จะมีอมตะ คือไม่ตายไม่เกิด มีอตัมยตา คือจะตายก็ได้ จะเกิดก็ได้ จะไม่มีก็ได้ มีก็ได้ มีก็ปรุงแต่งเพื่อคนอื่น ให้คนได้เข้าใจธรรมะเพิ่มขึ้น

                ประโยชน์ตนจะว่าได้ก็เป็นความชำนาญ ความฉลาดขึ้น เป็นประโยชน์ตนที่ไม่แท้ คือเก่งฉลาดขึ้นก็เพื่ออะไร ก็เพื่อมาให้กับคนอย่างเก่า แต่ประโยชน์ตนจบแล้ว ไม่ต้องมีอีกแล้ว แต่มีเพื่อให้ใช้งานให้แก่คนอื่นมากขึ้น ก็ไม่ได้มาทำเอาแต่มาทำให้ (บางคนเผินว่าแค่ได้ฉลาดขึ้นดีขึ้นเก่งขึ้น ก็ได้แล้ว แต่นั้นไม่ใช่ประโยชน์ตนที่แท้)
                ชีวิตชาติชั่ว พท.เกิดมาทำชั่วไม่ได้เหมือนกับคนอื่น เป็นลิงลมอมข้าวพอง แม้จะมีของเก่าแล้ว แต่เกิดมาก็ไม่ได้รู้ตัวทันที พพจ.เกิดมาเป็นเจ้าชาย ก็ไม่รู้ว่าเป็นพพจ. มีคนทำนายได้ แต่พ่อหาเมียให้ มีลูกก็มี มีปราสาทสามฤดู มีกามคุณบำเรอ พออายุ ๒๙ มีลูกคลอดออกมา ก็รู้สึกแล้ว ว่ามีห่วง แม้ออกไปบวชอีก ๖ ปีท่านก็ลิงลมอมข้างพอง บวชไปตามโลก อย่างโลกมีสองสาย สายหนึ่งสูงสุดก็ไปเป็นสังฆราช อีกสายก็ไปเป็นอรหันต์ในป่าเขา ซึ่งท่านก็ทำไปตามโลก แต่ท่านทำเก่งกว่าเขาทุกคน ท่านอดข้าวเก่งกว่าทุกคน ทรมานตนเก่งกว่าทุกคน ทำหมดตามเขาหมด นั่นคือลิงลมอมข้าวพอง ท่านก็ตรัสยืนยันไว้ว่าทำผิดมาก่อน

                ผู้ที่จะออกป่าต้องมีสมาธิพอสมควร ถ้าไม่มีพอออกป่าไปก็ไม่จมก็ลอย ป่าและราวป่าอันสงัดอยู่ลำบาก ป่าจะเอาใจไปเสีย หาความอภิรมณ์หาความวิเวกได้ยาก ซึ่งเป็นสิ่งลึกซึ้ง การทำความวิเวกนั้นไม่ใช่แค่ออกป่า
                ........การไม่มานั้นถ้าคุณจะต้องฝืนสิ่งที่เป็นพรหมลิขิตหรือมาตั้งตนบนความลำบากนี่แหละคือสิ่งดี เราเห็นแล้วว่าเหตุปัจจัยควรมาได้ก็มาเลย

ชาตินี้ของชีวิตนั้นต้องมาเรียนคำว่า “ชาติ” ชาติ คือความเกิด ก็มีการแยกแยะถึง ๕ อย่าง ชาติคือการเกิดของกิเลส ซึ่งมีอาการ ลิงค นิมิต อุเทศ ก่อนจะคลอด มันเห็นหัวเลย คุณรู้ได้ก็ยิ่งเก่ง อย่าให้มันมี ถ้าขจัดมันได้ มันเป็นสังกัปปะ คือความนึกคิด เต็มรูปก็คือสัมมาสังกัปปะ สะอาดจากมิจฉาทั้งหลาย ก็จัดการที่ใจ ให้ตัวเหตุมันดับไป คราใดที่ดับได้ก็เป็นการปรุงแต่งจากตัวต้นทาง ก็ออกมาเป็นวจีสะอาด กายกรรมสะอาดอย่างไม่ต้องกดข่ม ทุกอย่างสำเร็จได้ด้วยใจคือมโน สำเร็จได้อย่างมโนมยิทธิ คือการทำสังกัปปะ ๗ นั่นเอง
ถ้าทำไม่ได้ เพราะมีอวิชชาอยู่ วิจัยวิจาร ฆ่ากิเลสไม่เป็น เมื่อสัมผัสก็มีสังกัปปะ แล้วไม่ได้ฆ่ากิเลสในกระบวนการ วิตรรกะ ที่จะออกไปเป็นวจีสังขาร ออกไปเป็นวจีกรรม กายกรรม อาชีพที่ดี แต่ถ้าไม่ได้ทำ ก็ออกมาพรวดเป็นมิจฉาสังกัปปะ แม้จะมีมารยาท กรองไว้บ้าง เช่นโกหกอย่างนี้ไม่ควรโกหกก็ไม่ทำ แต่บางอย่างโกหกแล้วได้ประโยชน์ก็ทำออกไป บางอย่างไม่ฆ่า ไม่ละเมิดเอาของเขา ปุถุชนก็มีการกดข่มไว้อยู่แล้ว แต่ไม่รู้เรื่อง ซึ่งถ้าทำอย่างรู้ๆ ทำในสังกัปปะ ทำให้จิตสะอาดสั่งสม หน่วยกิจที่จิตตั้งมั่น ทวีเป็นฐานความสมถะเป็นพลังแห่งความแข็งแรง มีทั้งลักษณะเสถียรและเคลื่อนไหว มีทั้งสมถะและวิปัสสนา เจริญไปด้วยกันทำงานช่วยกันเสมอๆ

ใครไม่เรียนรู้มาก็ทำแต่วิกขัมภนะทำตามมารยาท ก็จะไม่รู้ธาตุจิตว่ามีผี มีวิญญาณเลวร้ายมีผีอยู่ในตน ถามว่ามนุษย์ทั้งหลายเป็นผีหรือคนมากกว่ากัน...ตอบว่า ...ผี ...เพราะกิเลสมีมากก็ผีตัวใหญ่ กิเลสน้อยก็ผีตัวน้อย กิเลสไม่มีก็เป็นเทวดาวิสุทธิเทพ ก
เทวดาที่เป็นสมมุติเทวานั้นได้สิ่งเสพสมบำเรอ พวกจตุมหาราชิกา คือใช้เงินมาซื้อมาล่าความใหญ่โตทั้งสี่ทิศ เขาเขียนรูป มีสี่มือสี่หัว เป็นยักษ์ แย่งชิงเขามา พอได้มาก็เป็นสุข ตั้งแต่กามาวจรที่เป็นอบาย อย่างพวกที่บริหารประเทศตอนนี้ แปลงตัวเป็นมารแล้วหลอกคนอยู่ทุกวันทั้งนักธุรกิจ ข้าราชการ นักการเมือง ทำชั่วโดยแนบเนียนหลอกเขา ทั้งทุจริตโกงกินโหดร้าย เอาเปรียบเอารัดมากมาย นั่นแหละผีใหญ่เป็นจตุมหาราชิกา

เทวดาทั้ง ๖ คือผีหลอกทั้งนั้น
๑.      จตุมหาราชิกา
๒.     ดาวดึง คือ ๓๓ ชีวิตคนมีแต่อาการ ๓๒ แต่หลงหลอกให้มีอีกอาการคือ อาการ ที่ ๓๓ ไปหลงเสพ เป็นอาการหลอกเสพติดในกามาวจร
๓.     ยามา แปลว่าเวลา คือจะต้องให้ได้เสพเป็นเทวดาได้นานเท่าที่ต้องการ อยู่ไปตลอดกาลนาน ต้องการบำบัดให้ไม่ขาดตอน พยายามสั่งสมยามา
๔.     ดุสิต แปลว่า พัก แม้จะต่อเนื่องอย่างไรต้องมีการพักยก งานเลี้ยงต้องมีวันเลิกรา มีการสงบ โดยโลกีย์ก็มีพักยกหยุด เรียกว่า เคหะสิตอุเบกขา (อภยกฤติ) ซึ่งธรรมดาจะลนลานหาสุข แสวงหา ไปเรื่อยๆ จะแสวงหาสุขให้ทุกอย่าง ว่างๆปากก็หาอะไรมาอม หาอะไรมาดม หาอะไรมาฉุน ตลอดเวลา คุณหาอะไรมาบำเรอความต้องการ ที่ไร้สาระมากมาย ถามตัวเองบ้างว่าตนกำลังทำอะไร บางอย่างเลอะเทอะ มาทำสิ่งดีกว่านี้เถอะ เราไปเสียเงินให้เขาแคะขี้เล็บ ทำเล็บทีหนึ่งเป็นพันบาทเลย ไร้สาระ ซึ่งเศรษฐศาสตร์มองตื้นๆว่าเงินสะพรัด แต่เวลาแรงงานที่เสียไปสิไม่นับ การแคะขี้เล็บยังเป็นประโยชน์แต่การเล่นหวยนั้น ไร้ประโยชน์กว่าอีก ที่จริงการแคะขี้เล็บยังมีประโยชน์ แต่การแต่งเล็บเพ้นท์เล็บนั้นเสียเวลา แรงงาน แรงคิด ขอวิจารณ์เต็มเหนี่ยว มากมายไม่รู้กี่อย่าง คนเราไม่รู้สาระชีวิต คนรู้สาระว่าเป็นสาระคนนั้นมีสาระ
๕.     นิมานรดี คือเนรมิตเอง สร้างเอง มีเงินก็เนรมิตเอง จ้างเทวดามาล้างส้วมให้ได้ นี่คืออำนาจที่สร้างเอา
๖.     ปรนิมิตสววิตี คือมีอำนาจให้คนกลัวเกรง จนคนอื่นมาสร้างมาทำให้หมด
พอถึงขั้น ๕ หรือ ๖ คือพวกมีอำนาจบันดาล จนกระทั่งคนอื่นมาทำให้ แค่แสดงท่าทีนิดหน่อยก็มีคนทำให้ แค่ล้วงบุหรี่มา ไฟแช็คก็มาเลย ขอให้บอกเถอะนาย และไม่ต้องให้บอกหรอก แค่สังเกตุก็ทำให้นายก่อนเลย นายเสียไปหลายคนเพราะลูกน้องรู้ดีกว่านาย ฉิบหายก็มีมาแล้ว เลขาทำป่วน
        นี่คือเทวดา ๖ อย่าง อย่าอยากเป็นเลย ไม้ได้หมายความว่าเป็นแต่ชาตินี้ บำเรอตนเองด้วยโลกธรรม เทวดานั้นเป็นโลกียะทั้งนั้น ส่วนพรหมนั้นเขาว่าเป็นโลกุตระ แต่ที่จริงยังไม่ใช้บริสุทธิ์

        ตอนนี้กำลังอธิบายสารบัญ......
        ถึงสารบัญบทที่ ๓ ชาตินี้ของชีวิต คือมาเรียนสิ่งที่ชั่วของชีวิต ถ้าพลาดไปก็ไม่ได้เรียน เพราะชาตินี้ที่มี กายยาววาหนาคืบกว้างศอกพร้อมสัญญาและใจ เราเท่านั้นที่เรียนรู้ได้ มีสุรภาโว สติมันโต อิทะพรหมจริยวาโส ถ้าทำความสะอาดเป็นพรหมได้ตั้งแต่เป็น โสดาบัน สิกทาฯ อนาคาฯ อรหันต์  ถ้าทำความเป็นพรหมตั้งแต่อิทโลกนี้ ตายไปก็ได้ แต่ถ้าทำความเป็นพรหมในตอนเป็นไม่ได้ ตอนตายก็ทำไม่ได้ พพจ.ไม่ได้ให้ปฏิบัติตอนตาย แต้ให้ทำตอนนี้ ขณะมีร่างกายพร้อมใจนีแหละที่จะปฏิบัติธรรมได้ เรียกว่ามนุษย์ชมพูทวีป

        คำว่าดาวดึงท่านใช้เรียกการเสวยองคาพยพที่ ๓๓ เป็นอาการหลอกที่คิดว่ามีจริง นึกว่ามีแดนเป็นภพชาติจริงที่ได้เสพ เป็นเทวดดาวดึง มนุษย์อุตรกุรุทวีป อุตระคือสูงขึ้น จนไปถึงนิพพานได้ จะเป็นพพจ.แม้จะตรัสรู้ตายไป ก็ต้องมาเกิดให้มีร่างกายครบ ๓๒ จึงจะบรรลุเป็นพพจ.สูงสุด

        ที่เขาเล่าว่า ก่อนเป็นพพจ.นั้นเป็นเทวดาในชั้นดุสิต ก็คือการพัก ไม่ใช่แดนที่จะปฏิบัติหรือจะเป็นพพจ. ท่านก็พักอยู่เฉยๆไม่มีอะไรกระดิก แต่ถึงเวลาท่านก็เกิดมามีอาการ ๓๒ ครบ มาเป็นพพจ. เป็นแดนบริสุทธิ์สะอาดที่จะแสดงตัวได้ ถ้าตายแล้วแสดงอะไรไม่ได้ ไม่มีที่ไหนแสดง ดังนั้นแดนที่เป็นชมพูทวีป
        เมืองไทยเป็นชมพูทวีป เพราะมีคนเรียนรู้ธรรมะพพจ.ได้มากกว่าที่ใดๆ มาอยู่ในเมืองไทยนานแล้ว แต่เสื่อมไป ตอนนี้พค.จะมากู้คืน ที่ไหนมีรากฐานของพุทธรรมมากก็เป็นแดนชมพูทวีป เป็นการพูดด้วยสัจจะ ไม่ด้นเดา

        บทที่ ๔ สิ้นชาติก็สิ้นชั่ว ชีวิตก็ทำชั่วไม่เป็น จะอธิบายต่อในวันต่อไป.......

-----------------------------
กราบนมัสการขอบพระคุณบันทึกธรรมะพ่อครู โดย ท่านปัจฉาสมณะ แสนดิน ภูมิพุทโธ

ที่มา http://www.facebook.com/notes/%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%B0-%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%93%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%9E%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B9%8C/560225-%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98-%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%99-%E0%B9%91-%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B237/620402081309145

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น