บันทึกย่อ วิถีอาริยธรรม ณ สันติอโศก
อา. ๓ มี.ค. ๒๕๕๖ แรม ๖ ค่ำ เดือน ๓ ปีมะโรง เริ่ม 09:01 น.
ตอน.. “ดับอัตตาต้องรู้รูปนาม”
1. พ่อครูพาไหว้พระ ท่านจันทร์ว่าการวิ่งตามข้อมูลข่าวสารอันฉับไวเพียงด้านเดียว แบบด่วนตัดสินใจ เป็นอุปสรรคต่อการตัดสินใจให้ถูกต้อง สังคมจึงแข่งขันการให้ข้อมูลที่เร็วไวที่สุด สังคมจึงขาดความไตร่ตรองให้สุขุมรอบคอบ ท่านจั.ตั้งจิตอธิษฐานจะไม่จดจ่อติดตามข้อมูลข่าวสารที่มาจากไอทีต่างๆ จะได้ทำให้ใจสงบลง จึงได้แต่งกลอนขึ้นมาสามสี่บท “...รับข่าวช้าจะได้เจอข้อมูลจริง”
2. พ่อครูตั้งใจจะอธิบายเรื่องรูป อัตตาหรือกายต่างๆ คนมักง่ายก็มักจะนึกคิดเอาด้วยเหตุผลตักกะ หนักขนาดว่าในเมื่อไม่มีตัวตน แล้วจะเอาตัวตนที่ไหนไปปฏิบัติ ซึ่งใช้ไม่ได้กับการเข้าถึงสภาวธรรมอันคัมภีรภาพของพระองค์ ซึ่งจะเข้าถึงไม่ได้ด้วยตักกะ (อตักกาวจรา) .. ไปยึดอุปาทานไว้ด้วยปัญญาที่รู้ตัวจบสุดท้าย ไปเป็นคำตอบสุดท้ายของเหตุผลตักกะ ทั้งที่จริงนั้น เมื่อบรรลุอรหัตตผลแล้ว จิตวิญญาณนั้นก็ยังเป็นจิตที่มีพลังเต็มเปี่ยม มีขันธ์ที่สะอาดบริสุทธิ์ จนรู้ว่าบางคนก็ยังยึดอัตตาบริสุทธิ์ว่าเป็นเราอยู่ได้ ดังนั้น การศึกษาต้องรู้จักอัตตาให้ถ่องแท้ตั้งแต่เบื้องต้น (รู้จักอัตตาทั้ง ๓) ให้เป็นแสงเงินแสงทองมาก่อน ที่จะได้รู้จักการปฏิบัติด้วยมรรคองค์ ๘
3. คุณ๘๗๐๕ จึงได้แต่แย้งด้วยตักกะโลกแตก ที่หาที่จบไม่ได้ เขาบอกว่า ผู้ปฏิบัตินั้นไม่มีใครฆ่ากิเลสได้หรอก ถ้ามีปัญญา มีดวงตาแห่งธรรมปัญญา กิเลสมืดมัวนั้นจะหาย ตายไปเอง (พ่อว่า ถ้างั้นปหาน๕ก็ไม่ต้องมี อันแสงปัญญานั้นก็คือการทำให้เป็นไฟปัญญา ... ความฉลาดนั้นจึงหลอกตนเองได้ จนไปเห็นว่าบัณฑิตอื่นโง่ไปหมด โง่ตรงที่ว่าไม่รู้ว่าอนัตตานั้นไม่ใช่ตัวตนที่จะมีตัวไปปฏิบัติ พ่อครูจึงเห็นว่า ผู้มีรูป ย่อมเห็นรูปทั้งหลาย (รูปี รูปานิ ปัสสติ) ถ้าไม่รู้รูปนามแล้ว จะเห็นรูปทั้งหลาย หรือเห็นอัตตาทั้งหลายได้ยังไง คุณอ้างว่าคุณไม่ได้สร้างอัตตา แต่คุณไม่รู้จักอัตตาที่คุณได้สร้างขึ้นมาเลย ทิฏฐุปาทานก็อัตตา อัตตวาทุปาทานก็อัตตา กามุปาทานก็ยิ่งเป็นอัตตา 4. เขาหาว่าโพธิรักษ์นั้นเห็นรูปได้แค่รูปที่เกิดทางตา ทั้งที่รูปที่เกิดจากทางหู ก็มี ... พ่อครูสอนว่า (ผมบันทึกไม่ทัน มีทั้งปฏิภานดี) เขาว่า “ที่ไปว่าเขาว่าปั้นอัตตาถามว่าเอาอะไรมาปั้น เดาต่างหาก” ...เขาว่า “ให้มีสติรู้ทันการเกิดดับของรูปนามของเรา แต่เรามีอายตนะทั้ง๖ จึงต้องให้ปิดทวารทั้ง๕เสีย เอาแต่ทวารเดียว” ... “พธร.ไม่ยอมสำเนียกในคำว่า รูปนามต่างก็หาอัตตาไม่ได้ หาใช่อัตตานั่นเอง”
5. พ่อครูจึงสอนให้เรื่องการรู้นามรูป กาย หรืออัตตาที่มีองค์ประชุมเรียกว่ากายะ เริ่มที่อวิชชาเกิด รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ นามคือสิ่งที่รู้ คนสามารถกำหนดรู้แยกแยะรู้ได้ เวทนาก็เป็นรูปให้ถูกรู้ เจตนาก็เป็นรูปให้ถูกรู้ ก็รูปนั่นแหละคืออัตตา กำจัดอัตตา ไม่ใช่ตัวตน ท่านที่กำจัดได้แล้วจึงไม่ตั้งปณิหิตตะต่อ จึงเข้าปรินิพพาน ส่วนท่านที่ยังไม่ดับหมด ยังตั้งปณิหิตนิพพานไว้ด้วยการสมาทานอยู่ต่อ ก็คือให้มีอัตตาอยู่อาศัยทำงานต่อไปได้อีก
6. อวิชชายังให้เกิดโลกสมุทัย พาให้เกิดสังขาร (สังขารที่เป็นโลกสมุทัย และตัวอื่นๆที่จะเกิดตามมาในปฏิจจสมุปบาท ก็ล้วนแต่เกิดเป็นเหตุแห่งโลกสมุทัยทั้งนั้น หรือก็คือเกิดห่วงโซ่ให้เกิดทุกข์ /ผู้บันทึก) ... พ่อครูสอนปัจจัยในธรรมที่เกี่ยวข้องกันหลายองค์ธรรม เช่น นามรูป มีรูปคือสิ่งที่ถูกรู้ ซึ่งแม้นามธรรมก็ยังต้องเป็นรูปที่ถูกรู้ให้ได้ เช่น เวทนา๖ ตัณหา๖ วิญญาณ๖ ย่อมเป็นรูปกันทั้งนั้น เพื่อให้รู้ด้วย “นามรูปปริเฉทญาณะ” รู้โดยเอาสัญญาไปกำหนดรู้
7. รูปาวจรจึงเห็นรูปที่สำเร็จด้วยจิต (มโนมยอัตตา) ส่วน อรูปาวจรนั้นจึงเห็นความไม่มีรูปนั้น(อรูปอัตตา)ด้วยสัญญา ... เจตนา ๓ ก็คือตัณหา๓นั่นเอง โดยมีมโนสัญเจตนาไปในกามตัณหา ภวตัณหา และวิภวตัณหา ... คำว่า สังขาร ก็ไม่ได้ทิ้งกายสังขาร ย่อมมีครบทั้งกาย วจี จิต อันเป็นไปแบบอภิสังขาร ... มีวิญญาณ๖ ไม่ใช่วิญญาณเดี่ยวๆ ไปเดียวๆ ที่เอาแต่มโนวิญญาณเท่านั้น วิญญาณ๖จึงมีปัจจัยการเกิด .. ปัจจัยการเกิด ก็เกิดทั้งวจีสังขาร ที่เกิดมาตั้งแต่การริเริ่มดำริมาก่อน
8. พ่อครูอ่านข้อความในพระไตรฯให้รู้ครบในวิภังคสูตร (จำแนกต่างๆ เช่น นามรูปเป็นไฉน ผัสสะ๖ เวทนา๖ วิญญาณ๖ ฯลฯ อภิสังขาร และสอนทั้งวิจารณ์ในสิ่งที่ไม่ใช่ด้วย) ...
9. ชาติคือการเกิด .. พ่อครูจะอธิบายให้หัวกับท้ายมันสัมพันธ์กัน คือ เกิดและดับ ถ้าเริ่มต้นด้วยอวิชชา สังขารก็ต้องปรุงแต่งด้วยอกุศลหยั่งลง ให้เกิดเป็นสัตว์ที่ผูกไว้ด้วยอวิชชา .. เกิดอย่างต่อเนื่อง ก็คือโอกกันติ ต่อเนื่องไม่ขาด ไม่มีขณะคั่นเลย ... เกิดอย่างเที่ยงก็ไม่มี เกิดอย่างนิรันดร์ย่อมไม่มีเพราะต้องมีอะไรมาคั่นให้เปลี่ยนไป การดับอย่างเที่ยงก็ไม่มี และดับอย่างเที่ยงก็มีคือมีความเป็นอมตะ เพราะดับเหตุที่พาเกิดได้สนิท จึงไม่มีอะไรมาเกิดให้ดับอีกเลย
10. โอกกันติท่านผู้รู้อธิบายว่า เกิดหยั่งลงอย่างชลาพุชโยนิและอัณฑชโยนิ นิพพัตตินั้นท่านว่าเกิดอย่างสังเสทชโยนิ อภินิพพันติหรือเกิดจำเพาะนั้นคือเกิดโดยโอปปาติกะ ... แต่พ่อครูว่า การเกิดในปฏิจจฯนั้นล้วนแต่เป็นการเกิดทางนามธรรม ถึงแม้จะอ้างถึงรูป ก็เพียงมีความเกี่ยวข้องเท่านั้น ... (พ่อครูว่า สัญชาติคือเกิดหยั่งลง จำฝังลงไป ซึ่งไปซ้ำกับโอกกันติที่เป็นการหยั่งลงเกิด /ผู้บันทึก) ... ท่านจันทร์สรุป พ่อครูเปิดเผยความเที่ยง ไม่เที่ยง มีขณะ.
ที่มา http://www.facebook.com/notes/asokeboonniyom/%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9B%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A1/340608819372620
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น