++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันจันทร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2556

ธรรมที่เป็นพุทธ ตอนที่ ๒ โดยพ่อครูสมณะโพธิรักษ์


560226 รายการทำวัตรเช้างานพุทธาฯครั้งที่ ๓๗
เรื่อง ธรรมที่เป็นพุทธ ตอนที่ ๒
โดยพ่อครูสมณะโพธิรักษ์


                ชาติ เป็นการเกิด ถ้าการเกิดของกาม เรียกว่า ชาติของกาม ยังมีชาติของพยาบาท ที่เกิดมา มีอาการ มีภาวะคือ ความปรากฏมาให้เราเห็น ตัวนี้แหละที่เรียกว่าอัตตา บางทีก็สับสน เพราะ พพจ.ท่านแจกไว้ว่ากิเลส มีกาม กับ อัตตา แต่ก็เหมือนกัน ในเนื้อแท้ที่แยกอย่างไม่ติดภาษา ลักษณะของอัตตาที่เป็นกาม มีภาวะที่ต่างกัน กามนั้นกว้าง แต่อัตตานั้นลึก

                กามนั้นกว้าง คือเอามาเป็นสิ่งที่จะเสพ อยากได้มา โลภก็เป็นกาม ราคะก็เป็นกาม ราคะอยากได้มาเสพรส โลภอยากได้มาเป็นเรา ส่วนโทสะหรือพยาบาท คือตัวไม่ชอบใจ รุนแรง ทำร้ายทำลาย อาการเกิดทางนามธรรมพวกนี้แหละที่เราต้องเรียนรู้

                ในพระไตรฯเล่ม ๑๖ ข้อ ๔ นามธรรม มี เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ
                พพจ.ว่าจะต้องมีเหตุปัจจัยคือ ทวาร ๖ แล้วมี รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมรมณ์ ก็จะเกิดนามธรรม โดยเฉพาะจะเกิดวิญญาณต้องมีการกระทบมีผัสสะ เช่นตากระทบรูป หกระทบเสียง
                เราเรียนอย่างอเทวนิยม ไม่ใช่อย่างภิกษุสาติว่า เราย่อมรู้เห็นพพจ.ว่าวิญญาณนั้นล่องลอยไป แต่พพจ.ไม่สอนอย่างนั้น บอกว่าภิกษุสาติ มีทิฏฐิอันลามกเห็นปานนี้เกิดขึ้นว่า เราย่อมรู้ว่าวิญญาณนี้ย่อมท่องเที่ยวแล่นไป ตุ๊บป่องๆ ทีนี้เพื่อนภิกษุทั้งหลายก็เห็นว่า ภิกษุสาติ เห็นผิดแน่ อยากให้ปลดเปลื้องทิฏฐิลามกนี้เสีย จึงไปสอบสวนไล่เรียงกับสาติ ว่าท่านกล่าวตู่พระผู้มีพระภาค ท่านไม่ได้สอนอย่างนั้นนะ
                พพจ.ว่า วิญญาณนั้นย่อมมีปัจจัยให้เกิด ความเกิดแห่งวิญญาณเว้นจากปัจจัยมิได้มี ในมหาตัณหาสังขยะสูตรเล่ม ๑๒ข้อ ๔๔๐ นี่คือเนื้อแท้ศาสนาพุทธ

                พพจ.ว่าเราจะแสดงความเกิดและความดับแห่งทุกข์เป็นอย่างไร?
ความเกิดแห่งทุกข์นั้น อาศัย จักษุและรูป สัมผัสแล้วเกิดวิญญาณ รวมธรรมทั้งสาม เป็นผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัยจึงเกิดเวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัยจึงเกิดตัณหา นี้คือเหตุแห่งทุกข์ ดังนั้นลัดไปว่า วิญญาณมีเวทนาเป็นปัจจัย

นามรูปนั้น รูปคือ มหาภูตรูป และอุปาทายรูป ส่วนนามนั้นคือ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ
ถ้าเราไม่เรียนรู้นามธรรมเหล่านี้มันก็เกิดสังขารอยู่ตลอดเวลา มันไม่คงที่ มันไม่เที่ยง ซึ่งในมหาจักรวาลสิ่งที่คงที่มีอย่างเดียวคือ นิพพาน คืออนัตตา คือสุญญตา คือวิมุติ หลุดพ้นอย่างไม่กลับกำเริบ (นิจจัง ทุวัง สัสตัง อวิปรณาธัมมัง อสังหิรัง อสังกุปปัง) อะไรๆก็ไม่มีเที่ยงแท้เลยทั้งนั้น แต่สิ่งที่จะเที่ยงแท้ คือนิโรธ นิพพาน วิมุติ สุญญตา เรียกได้หลายอย่าง มีในอรหันต์เป็นต้นไป ตายแล้วตายเลย ไม่กลับกำเริบ ไม่เปลี่ยนแปลง อะไรมาล้มล้างความเป็นอรหันต์ไม่ได้ เที่ยงแท้ ยังยืน ตลอดกาลนิรันดร์

สิ่งที่ไม่มีก็มี แต่สิ่งที่จะมีอยู่ก็ยังมี คือ กายขันธ์ คือจิตที่สะอาด จะมีสภาพได้อาศัยแล้ว สำหรับอรหันต์ แต่โสดาบันก็มีสภาพนี้ได้ ที่ดับอบายได้ แต่ที่มีกิเลสอื่นยังมีอีกเยอะอยู่ คือดับได้ ๑ใน ๔ จะเรียกว่า สูญ ยังยาก สกิทาฯก็ยังยาก แต่ในอนาคาก็เรียกว่า สูญได้ ถ้าแบ่งสองส่วน ส่วนนอกอย่างหยาบก็หมดแล้วไม่เป็นเหตุให้ท่านไม่เที่ยงแล้ว มีนิโรธในกามภพ กามวจร ในกามทั้งหลายท่านหมดแล้ว ไม่มีอะไรให้ท่านรู้สึกทุกข์สุขจากกาม ดังนั้นผู้ที่จะรู้เรื่อง กามภพ กามวจรภูมิ กามรส กามานุสารีย์ กามาทิกรณะ กามาวจรกิริยา กามาวัฏฏะ กามาวจรวิปาก กามมุปาทาน กามาสวะ กามภิพู

กามภพเป็นคำนาม กามาวจรเป็นคำกิริยา กามาวจรภูมิเป็นคำนาม เป็นชั้นระดับของกาม ที่ยังท่องเที่ยวในกาม ยังมีบทบาทดำเนิน(อวจร) ในพระอนาคามีก็มีกามาวจรกิริยา มีกิริยาที่อวจรในนั้น แต่ได้แต่ว่าสักแต่ว่าอวจรอยู่ มีกิริยาอยู่ แต่ในชั้นต่ำก็ยังเสพกามอยู่ แต่ในกามาวจรภูมิของอนาคามี ก็ยังดำเนินไปในโลกกามภพ แต่ไม่มีกิริยาที่มีกิเลสผสม

ความไม่เที่ยงอะไรๆก็ไม่เที่ยง แม้แต่จะช้าสุด จะเร็วสุดก็ไม่เที่ยง การไม่มีทางวัตถุท่านก็ไม่รับรองว่าไม่เที่ยง ท่านรับรองว่ามันเที่ยงอย่างเดียว คือไม่มีกิเลสอย่างเดียว ที่เที่ยงที่สุด นั่นเป็นการไม่มีเกิด “ชาติดับ”
เมื่อวานพค.อธิบายสารบัญถึงบทที่สาม ชีวิตชาติชั่ว
ชาติที่มันเกิดขึ้นตั้งอยู่ ดับไป มันมีชาติ ๕ อย่าง ที่ได้เรียบเรียงไว้มาก่อน

ชาติ ๒ แบบ
๑. ชาติ = ชีวิตที่เกิด-ตาย ทางร่างกายที่เวียนวน ของสัตวโลก
๒. ชาติ = การเกิดทางใจ หรือการเกิดทางวิญญาณ คือ การเกิดทางปรมัตถธรรม เรียกว่า โอปปาติกโยนิ


ชาวพุทธมีบทเรียนอันนี้เป็นอเทวนิยม คือไม่โง่ไปกับเทว ซึ่งไม่ใช่ว่า ไม่มีเทวะ และเทวนิยมคือนิยมเทวะ แต่อเทว นั้นไม่ได้โง่ต่อเทวะ แต่ไม่โง่อย่างพ้นอวิชชา คือพ้นความโง่ คือรู้เทวาที่แท้จริง อย่างพ้นอวิชชา จึงเรียกว่า อเทวะ แต่ไม่ได้ไปแย้งเถียงโลกเขา เข้าใจพวกเทวะที่ไปยึดเป็นตัวตน มีสภาพ เช่น เทวดาที่ใหญ่ที่สุดในจักรวาลเขาเรียกว่า “เทพเจ้า” เขาก็ว่ามีสภาพที่คนมองเห็นไม่ได้ แต่มีตัวตน แล้วแต่ใครจะบอกว่าเป็นอย่างไร คนที่เขาเก่งเขาพบพระเจ้า อย่าง “โมเสก” ก็พบพระเจ้า ได้บัญญัติ ๑๐ ประการ แต่ก็ไม่มีใครกล้าบอกว่า พพจ.เป็นอย่างไร มีโฉมกายอย่างไร ยิ่งอิสลามว่า อย่าไปพูดว่ารูปพระเจ้า ไม่มีรูปให้เคารพ พระเจ้าไม่มีรูปให้พบ อย่างนี้เรียกว่า อรูปอัตตา เป็นพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่มาก บรมอัตตาเป็นปรมาตมัน

พพจ.ไม่แย้งเถียงในพลังงานภายนอกว่าไม่มี แต่พิสูจน์ได้ยาก แต่ให้พิสูจน์พลังงานภายใน เป็นกัมพันธุ กัมโยนิ กัมปฏิสรโณ มีพลังพิเศษ เป็นปรมาตมันของใครก็มีของตน มีฤทธิ์ในตน บันดาลให้ตนได้ ถ้าพลังทางดีเรียกว่าพระเจ้า ถ้าให้ผลไม่ดีเป็นพลังงานไม่ดีก็เป็นบาป ให้ผลต่อตน เป็นที่พึ่งของตน ใครมีพลังชั่วเป็นบาปก็ได้พึ่งกามบาป (กัมปฏิสรโณ) สรณะแปลว่าสงคราม ถ้าทำสงครามให้ลดลงก็เป็นกรณะ เป็นกิจที่ควรทำ ใครไม่รู้ก็จะทำสงคราม(สรณะ) อยู่เป็นสิ่งชั่ว ถ้าทำดีลดสงครามก็เป็นกรณะ จนหมดสงครามก็เป็น “อรณะ” เป็นจิตอรหันต์ ไม่มีการรบ สงครามไม่มีสำหรับเรา จิตที่ไม่มีสงครามเป็นจิตที่เที่ยง เราไม่สามารถรู้พลังที่ล่องลอยออกไปแต่เราเรียนรู้ที่อยู่ในตัวเรา ในคูหาสยังนี้ นอกจากในคูหาสยัง เรียนรู้ จัดการมันไม่ได้ มนสิการมันไม่ได้

ในคูหาสยังนี้ มีอิทพรหมจริยวาโส คือที่ๆจะสร้างพระพรหม มีที่เดียว คือกายยาววา หนาคืบกว้างศอกพร้อมสัญญาและใจนี้ ที่สร้างพรหม คือจิตที่สะอาดบริสุทธิ์ นอกจากนี้สร้างไม่ได้ เพราะมีทวาร ๖ ให้วิญญาณออกมาปรากฏ จึงต้องมีผัสสะ เป็นอุบายวิธีของพพจ. ในพระไตรฯข้อ ๔๓ เล่ม ๑๖ วรรคหลัง ท่านว่า “ก็เมื่อบุคคลเห็นความเกิดแห่งโลก(โลกสมุทัย)ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความไม่มีในโลก(โลเก นัตถิตา) ย่อมไม่มี(น โหติ)

เมื่อบุคคลเห็นความดับแห่งโลก(โลกนิโรธหรือโลกอมตะ) ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความมีในโลก ย่อมไม่มีโลกนี้โดยมากยังพัวพันด้วยอุบายอุปาทานและอภินิเวส แต่พระอริยสาวก ย่อมไม่เข้าถึง ไม่ถือมั่น ไม่ตั้งไว้ซึ่งอุบายและอุปาทานนั้น อันเป็นอภินิเวสและอนุสัย  อันเป็น ที่ตั้งมั่นแห่งจิตว่า อัตตาของเรา ดังนี้ ย่อมไม่เคลือบแคลงสงสัยว่าทุกข์นั่นแหละ เมื่อบังเกิดขึ้น ย่อมบังเกิดขึ้น ทุกข์เมื่อดับ ย่อมดับ พระอริยสาวกนั้นมีญาณหยั่งรู้ในเรื่องนี้โดยไม่ต้องเชื่อผู้อื่นเลย ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล กัจจานะจึงชื่อว่าสัมมาทิฐิ ฯ

                ในมูลสูตร คนที่ยินดีในกุศลธรรม ในธรรมะขั้นพาบรรลุนิพพาน เช่นคนมาปลุกเสกฯนี่ต้องมีฉันทะ ใครอยู่บ้านดูทีวี ก็ได้แต่ไม่เท่ากับมาปลุกเสกฯ พุทธาฯ เพราะมีองค์ประกอบกิจกรรมหลายอย่าง คนที่จะมาต้องมีฉันทะ
                ถ้ามีกองเพชรเท่าภูเขา กับกองปรมัตถ์กองเล็กๆ คนเห็นสองกองนี้ แล้วมายินดีกองปรมัตถ์มากกว่ายินดีกองเพชรเท่าภูเขานั้น ต้องมีภูมิ มีฉันทะ ต้องมีปัญญา มันเป็นแสงเงินแสงทอง เป็นแสงอรุณที่มาก่อนพระอาทิตย์ คือมิตรดี ของเราเป็นกลุ่มมิตรดี กัลยาณมิตโต คือจิตใจ(คำว่ามิตรคือจิตใจ จิตที่แท้ที่ดี) ส่วนสหายโย คือผู้มีประโยชน์ร่วมกัน ส่วนสัมปวังโก คือองค์ประกอบร่วม คือสังคมสิ่งแวดล้อม

                เริ่มต้นที่มิตรดี ต้องอยู่กับหมู่ดี หมู่บัณฑิต อย่างน้อยต้องมีผู้สยังอภิญญาเป็นมิตรดีคนแรก พพจ.ว่าเราเป็นกัลยาณมิตรของเธอทั้งหลาย ต่อมา ก็ต้องพากันมีศีล เป็นแสงอรุณข้อที่สอง การศึกษาของพุทธ มีอธิศีลสิกขา อธิจิตสิกขา อธิปัญญาสิกขา ในพระไตรฯ จะมีว่าเกิดพพจ.จึงเกิดมีศีล แล้วจะมีจรณะ ๑๕ ตามมา โดย พพจ.ให้กำหนดศีลตามควรแต่ละคน จากนั้นก็สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ เป็นภาคปฏิบัติต่อไป

                เข้ามาสู่การเกิด คือ ชาติ ...เมื่อเราได้รู้จักรูป-นาม ที่เป็นเหตุ ผู้ที่ไปพัวพันในอุบาย อุปาทาน อย่างไร
อุบายคือกลไก ถ้าทางนามธรรม คือเชิงคิด คือสูตร คือวิธีการต่างๆ ซึ่งคนไปติดในกลไกตรงนี้ ติดในลัทธิศีลพรต ในความเห็นทิฏฐิ ทฤษฏี เขาไปติดในอุบายนี้ บางคนไม่ค่อยรู้เรื่อง รู้แต่ว่าอาจารญ์พาทำเช่นนี้ บางคนก็ยึดทฤษฏีความเห็น ใครมาเถียงไม่ได้ ไม่ฟังเสียงคนอื่นที่เขาปฏิบัติได้ผล

                ส่วนคำว่าไม่เข้าถึง คือ น อุเปติ และคำว่าไม่ถือมั่นท่านว่า น อุปาทิยติ  ส่วน ไม่ตั้งไว้ คือ นาฐิฏฐาติ ? คือไม่ทั้ง ถือมั่นหรือเข้าถึงในความเป็นอัตตา

                ถ้าเราสามารถรู้อาการที่มันมี แล้วทำให้มันไม่มีในสิ่งที่ควรไม่มี และทำให้มี ในสิ่งควรมี ทำอย่างมีปัญญา มีธาตุรู้ พพจ.จึงปฏิเสธ ความไม่รู้ ลัทธิ อสัญญี คือลัทธิที่ไม่มีสัญญา ไม่มีกาย ไม่มีสัญญาให้ศึกษา กายอย่างหนึ่ง สัญญาอย่างหนึ่ง ในสัตตาวาส ๙ ท่านจัดเป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง หรือไปหลงในเนวสัญญานาสัญญายตนสัตว์ คือสัตว์อย่างเดียวกับอสัญญี แต่ไปหลงผิดในอรูปฌานแบบเทวนิยม ดับไป ในอาฬารดาบสดับได้ถึงอากิญจัญญายตน แต่ยังไม่ดับได้สูงสุด ซึ่งในทิฏฐิสูงสุด ทั้งอากิญจัญฯ และเนวสัญญาฯ นั้นเป็นสัตว์อวิชชา
                ในผู้มีพ้นอวิชชา จะไม่เข้าถึง ไม่ตั้งมั่นไว้   คือ น อุเปติ  น อุปาทิยติ  นาฐิฏฐาติ ?

                จริงแล้วนามธรรม คุณรักมากกว่ารูปธรรม แต่คุณไปหลงรูปธรรม เพราะนามธรรมสัมผัสยาก แต่ที่จริงคุณรักนามธรรมมากกว่า ใครจะไปรักลมๆแล้งๆก็รัก เช่นคุณรักสิ่งที่มีเหตุปัจจัย เกิดเป็นนิทานขึ้น แล้วคุณก็ฝังใจรัก ตายไปก็หอบหวง ทั้งๆที่มันเกิดครั้งเดียว แต่คุณก็หอบไปสร้างนิทานใหม่ ทั้งๆที่มันเปลี่ยนตัวละครใหม่แล้ว อย่างกามนิต วาสิฏฐี ซึ่งอาจทรงสภาพได้ระยะหนึ่ง อาจเป็นล้านๆๆๆปี อาจนานเท่านั้น ไม่มีอะไรอยู่นิรันดรในสิ่งมี แต่สิ่งไม่มีเท่านั้นที่จะอยู่นิรันดร

                พระเจ้าคือ พระผู้เมตตา คือพระผู้สร้าง คือพระจิตวิญญาณบริสุทธิ พพจ.ท่านมาพิสูจน์เรื่องจิตที่เป็นเอกจรัง(ไปเดี่ยว)  ทุรังคมัง(ไกล)  สันติเก(ใกล้)  ไม่มีวิญญาณใดไปเจอกันได้ นอกจากคุณจะสัมผัสกันในขณะมีทวารทั้ง ๖ นี่คือความรู้พพจ.ที่สำคัญที่สุด ที่ต่างจากลัทธิเก่า ที่เดียวนี้ก็เพี้ยนไป ไปนั่งหลับตาอย่างเก่า

                เขาอ้างว่าพ่อท่านเป็นภิกษุโปฐิะ เขาว่า ภิกษุโปฐิละว่ามีทิฏฐิมา ไปหาเณรอรหันต์ให้สอน เณรก็สอนว่าให้ปิดทวารทั้ง ๕ เณรสอนว่า ทวาร ๖ เหมือนรูที่จะออกเช่นเหี้ยมีรูออก เราต้องปิดรูทั้ง ๕ แล้วคอยจับที่รูเดียว คือที่ทวารใจ พค.ว่าไม่เจอในพระไตรฯ เขาว่าพค.เป็นพระใบลานเปล่า เหมือน พระโปฐิละ

                พค.ว่าไม่มีปัญหา ถ้าจะไม่สำคัญในทวารนอกแล้วอ่านทวารใจ แต่ไม่จำเป็นต้องปิดทวารนอก เราก็ฟังเสียง เห็นรูปเต็มๆ เราเห็นก็ไม่สำคัญมั่นหมาย แล้วเราก็รู้การปรุงต่อเนื่อง ที่สังขารต่อไป ว่า น่าได้ น่ามี น่าเป็น หรือไม่น่าได้ ไม่น่ามี ไม่น่าเป็น กำจัดออก นั้นคือสิ่งที่ต้องรู้ต่อไป เรากระทบภายนอกให้รู้จริงตามจริงเท่านั้นแล้วปิด จบ ให้เร็ว ต่อจากนั้นให้อ่านสังขารที่เกิดต่อไป
                เอทวนิยม คือผู้ที่เข้าใจในเทวะที่แท้จริง มารคือความหลอก พรหมคือความสะอาด มีเทวะหรือพรหม ๒๐ ลักษณะ หรือพรหม ๒๐ ชั้น หรือเทวะ ๖ ชั้น ก็เป็นลักษณะเทวะ ถ้าเข้าใจไม่ถูกต้องก็ไปหลง ก็กลายเป็นมาร
                วิญญาณต้องเรียนรู้ในปัจจุบันขณะในขณะมีทวารทั้ง ๖ ครบ เราจะเรียนรู้วิญญาณสัตว์ วิญญาณเทวดา วิญญาณพรหมก็ต้องเรียนรู้ปัจจุบันขณะ ซึ่งต้องรู้กำหนดหมายที่พค.สอน แล้วไปมีผัสสะเอง กำหนดรู้เอง นั่นคือสัญญา แต่ว่าการฟังพค.นั้น แต่ละคนจะกำหนดหมายแตกต่างจากพค. แต่ถ้ามันกำหนดตรงกันอย่างรวมๆ ยกตัวอย่าง

ในวิโมกข์ ๘ ข้อ ๑-๓ คือรูปฌาน ในข้อ ๔-๘ คืออรูปฌาน
๑. ผู้มีรูป(รูปฌาน อันนี้ท่านอรรถกถาจารย์แปลเอง)  ย่อมเห็นรูปทั้งหลาย   ( รูปี รูปานิ ปัสสติ) คำว่าปัสสตินั้นต้องมีการกระทบทวาร ดังนั้น ในข้อนี้ ต้องรู้ว่า รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ สิ่งภายนอกเรียกมหาภูตรูป และรูปภายในเรียกอุปาทายรูป มันจะเป็นความรัก ความโกรธ เมื่อมันถูกเรารู้ มันก็กลายเป็นรูป

๒. *ผู้ไม่มีความสำคัญในรูปภายใน (๑๐/๖๖)  ย่อมเห็นรูปทั้งหลายในภายนอก (อัชฌัตตัง  อรูปสัญญี .   เอโก  พหิทธารูปานิ  ปัสสติ) . (*พค.แปลว่ามีสัญญาใส่ใจในอรูป)

๓. ผู้ที่น้อมใจเห็นว่าเป็นของงาม (สุภันเตวะ  อธิมุตโต . โหติ,    หรือ  อธิโมกโข  โหติ   (พ่อท่านแปลว่า เป็นโชคอันดีงามที่ผู้นั้นโน้มไปเจริญ สู่การบรรลุหลุดพ้นได้ยิ่งขึ้น)
ข้อ ๔-๗ นั้นเป็นอรูปฌาน คือการตรวจสอบ ตรวจผ่านไปที่ละขั้น

๔. ผู้ล่วงพ้นรูปสัญญา  เพราะดับปฏิฆสัญญา  เพราะ(ละ)ไม่ใส่ใจถึงนานัตตสัญญา(ท่านแปลไม่เข้าท่า)  โดยประการทั้งปวง  จึงบรรลุอากาสานัญจายตนะ   ด้วยมนสิการว่า...  อากาศหาที่สุดมิได้ (สัพพโส  รูปสัญญานัง สมติกกัมมะ ปฏิฆสัญญานัง    อัตถังคมา  นานัตตสัญญานัง  อมนสิการา  อนันโต  อากาโสติ   อากาสานัญจายตนัง  อุปสัมปัชชะ  วิหรติ) พค.แปลว่า การกำหนดรู้อัตตาต่าง ๆจนกระทั่งไม่ต้องทำใจในใจ(อมนสิการ)
อัตถังคมาพค.แปลว่า บรรลุเข้าไปถึงเนื้อหา  เมื่อเรียนรู้หมดก็นานัตสัญญา เป็นการตรวจสอบว่ามันว่างจริงหรือไม่ ว่างจากเหตุแห่งทุกข์ ว่างอย่างอากาสาฯ แม้ที่สุดกิเลสอาสวะก็ตรวจสอบ มีเศษเสี้ยวเท่าไหร่ก็ตรวจสอบ ตรวจมันให้ละเอียดไปจนถึงขั้นไม่มีรูป
จบ.................

-----------------------------
กราบนมัสการขอบพระคุณบันทึกธรรมะพ่อครู โดย ท่านปัจฉาสมณะ แสนดิน ภูมิพุทโธ

ที่มา http://www.facebook.com/notes/%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%B0-%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%93%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%9E%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B9%8C/560226-%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98-%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88-%E0%B9%92/620541517961868

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น