รายการ ตอบปัญหา(ละ)ดับชาติ ตอน ๑
ธรรมะภาคบ่าย เมื่อวันพฤหัสบดี ที่ ๒๘ ก.พ. ๒๕๕๖
งานพุทธาภิเษกครั้งที่ ๓๗ พุทธสถานศาลีอโศก นครสวรรค์ โดยพ่อครูสมณะโพธิรักษ์
๑. เรื่อง มี กับ ไม่มี ดิฉันเข้าใจว่า ถ้าเกิดกุศลขึ้น อกุศลจะดับไปใช่หรือไม่? หากใช่แล้วปุถุชนก็ทำบุญให้ทาน อกุศลจะดับไปใช่หรือไม่....ตอบ การทำทานที่ไม่สัมมาทิฏฐิ ไม่ดับกิเลสหรอก อาจได้อัตตาเพิ่มขึ้น ทำบุญแค่ ๑๐ บาทอธิษฐานอยากได้ ๑๐๐ล้าน กิเลสเพิ่ม เป็นการทำใจในใจไม่เป็น ต้องฝึกแยกแยะทำใจอย่างมีความรู้ความสามารถให้กิเลสลด
๒. ญาติธรรมหญิงเอาผู้พิการชายมาดูแล ทั้งที่ไม่ใช่ญาติพี่น้อง ขัดสีฉวีวรรณที่ห้องน้ำวัด นอนในมุ้งเดียวกัน ทุกคนก็รังเกียจ เป็นพฤติกรรมแหกกฏ และยังส่งเสียงดังเวลานอน บางครั้งก็ไม่ได้อยู่ด้วย หลายคนวางใจเมตตาสงสารแต่ก็รู้ว่าเมตตาต้องมีประมาณ....ตอบ...ในเรื่องสังคมเขายึดถือจารีตประเพณี แต่ก็ยังไม่มีความผิดพลาดเรื่องราว มันก็เป็นเมตตา แม้ไม่ใช่ญาติก็มีน้ำใจดูแล ก็ไม่ได้ผิดศีลธรรมอะไร แต่มันเป็นความยึดถือ สังคมเรายึดถือเรื่องผู้หญิงผู้ชาย ต่อให้เป็นอรหันต์ก็ต้องมีรูปธรรมให้คนอื่นได้ระแวงสงสัย เราก็ต้องทำ ก็ให้พิจารณาดูผู้ที่จะปฏิบัติ ถ้าเรียบร้อยโดยสัจจะก็ไม่น่าจะมีอะไร แต่ให้ดูโลกวัชชะ
๓. ชื่อรายการเก๋มากค่ะ หากย้อนไปได้ ๔๓ ปีพ่อครูจะคิดทำอะไร?....ตอบ...ก็มาทำอันนี้แหละเป็นทางประเสริฐทางเดียว
๔. จากพ่อท่านเพียงคนเดียวมาถึงวันนี้มีหมู่กลุ่มชุมชนสาธารณโภคี เป็นตางึด ...ตอบ...สมัยพระพุทธเจ้าทำได้แต่ในหมู่สงฆ์ ก็รู้สึกว่าที่ปัจจุบันทำได้เป็นสิ่งยิ่งใหญ่ ยุคนี้เขาก็ต้องการ แต่เราเผยแพร่ไม่เก่ง เขายังไม่รู้ เพราะทฤษฏีศาสนาพุทธที่เขาสอนกันเขายังทำไม่ได้ถึงสาธารณโภคี ขนาดสงฆ์ยังไม่ได้เท่าสมัยพระพุทธเจ้าเลย แต่ของเราทำได้เกิดจากจิตจริงๆของแต่ละคน เราไม่ได้ไปครอบงำความคิด ถ้สาทำเช่นนั้นพวกคุณมีกิเลสมาเหมือนไก่ยัดในเข่งเดียวกันรับรองจิกกันตาย เรามาไม่ได้มีอามิสล่อ เป็นการยืนยันของจริงว่าเป็นได้ มาอย่างนี้ไม่มีสัญญาอะไร ถ้าทำไม่ดีเขาก็ให้คุณออกได้นะ
พ่อครูมั่นใจว่าการทำระบบสังคมอย่างที่เราเป็น พ่อครูว่า คนกำลังศึกษาเพื่อยืนยันพิสูจน์ถ้าเขามั่นใจว่าทำได้จริง ไม่ใช่ทำเพื่อโชว์ ทำเพื่อโก้เฉย แต่นี่คือความจริงเลย พ่อครูว่าคนจะต้องมาศึกษาพิสูจน์เอาไปสร้าง เชื่อว่าคนที่มีบารมีในโลกนี้ ยังมี จะศาสนาไหนๆก็ตาม แม้แต่พุทธเองที่ยังไม่ยอมรับ
๕. อะไรทำให้พ่อท่านสอนแสดงธรรมอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย...ตอบ พ่อท่านก็เหนื่อยเป็น
๖. พ่อท่านเทศน์ภูมิอนาคามีเสียส่วนใหญ่ในงานนี้ ...ตอบ..ก็สอนมาหลายสิบปีแล้ว ก็ให้ตรวจภูมิตัวเอง
๗. ช่วยอธิบายสัตตาวาส ๙ อีก....ตอบ...ก็ตั้งใจอธิบายอยู่ สัตตาวาส ๙ กับวิญญาณฐีติ ๗ นั้นเหมือนกันเลย แต่ สัตตาวาสมีเกินวิญญาณฐีติ ๗ ในสัตตาวาสก็หมายถึงสัตว์ในภพชาติของจิตใจ ภพเป็นที่อยู่แห่งสัตว์ แม้ไม่มีวิญญาณตั้งอยู่ วิญญาณคือธาตุรู้ พอเป็นสัตว์ วิญญาณฐีติ ๗ ก็เป็นสัตว์เพราะมิจฉาทิฏฐิ ต่อให้ได้อรูปฌานถึงอากิญจัญยายตนะ(วิญญาณฐีติมีถึงแต่อากิญฯ) ในสัตตาวาสจะมีอสัญญีสัตว์ และเนวสัญญานาสัญญายตนสัตว์ ในอสัญญีเขาเข้าใจว่าเป็นสภาพดับสัญญา ในอรูปฌานฤาษีเขาเข้าใจว่าให้ดับหมดแม้แต่สัญญาและเวทนา ผู้ที่ไม่รู้สภาพรายละเอียดของฌานไปเลยเขาอาจเป็นได้ทั้งสองอย่างเลย คนที่ศึกษาผิดก็ดับผิดๆ
๘. อยากให้พ่อท่านมีเครื่องชี้วัด อาทิเช่น ไฟสีแดงขึ้นคือโสดาบัน ไฟเขียวคือสกิทา ไฟเหลืองคืออนาคามี ไฟสีชมพูคืออรหันต์ ไม่มีสีใดคือ....ตอบ...ก็ช่างคิด ตลก ให้ฟังดีๆ ธรรมะพระพุทธเจ้าพ่อท่านได้อธิบายอยู่หลายนัย โสดาบันก็ไม่ง่ายที่จะมีญาณไปรู้นามธรรมบางอย่างแต่ก็พอพูดได้ เพราะไม่ใช่อ่านแต่ตัวหนังสือ ให้ติดตามฟังดู
๙. จิตแต่ละขณะเสวยอารมณ์เดียว...ตอบ...พระพุทธเจ้าว่าขณะที่เรามีสุขเวทนาเราก็ไม่ตกในทุกขเวทนา ขณะเรามีทุกขเวทนาก็ไม่มีอุเบกขาเวทนา ซึ่งจิตมีทีละอารมณ์แต่อาจสลับกันไปมาได้ แต่เราจะสับสนจับอ่านไม่ง่าย เช่นในฌาน๑ ยังมีวิตกวิจาร ยังทำได้ยากได้ลำบาก แต่เราก็มีปีติอยู่ได้ สลับกันไปได้
๑๐.ขณะเรากำลังเกิดกิเลส เราก็ยังไม่ได้สร้างจิตกุศลใช่ไหม?....ตอบ..ไม่ต้องสร้างเพียงแต่ดับกิเลส กุศลจิตก็จะเกิด หลายสำนักสอนให้สร้าง แต่พุทธไม่ต้องสร้างภพชาติ แต่ดับตัวเหตุไม่ให้มันเกิด พอตัวเหตุตาย จิตก็จุติหรือเกิด เมื่อจิตที่ปรุงด้วยกิเลสตัณหาอุปาทานดับลงจิตกุศลก็เกิดโดยไม่ต้องสร้าง หรือว่าจิตกุศลก็ต้องสร้าง....พ่อท่านว่าต้องรักษาผลก็คือการสร้างกุศลให้สมาธิตั้งมั่น ตกผลึก สรุปต้องละกิเลสก่อน เมื่อมีนิโรธได้ ปหานกิเลสได้ ก็เกิดกุศลเป็นการรักษาผลแล้ว
๑๑.พบอโศกครั้งแรกไปที่ส.ขจ. เมื่อสินบุญแม่ก็อยากเข้าร่วมช่วยส.ขจ. ไปร่วมงานว.บบ.และงานฉลองหนาวฯ ครั้งนี้คืองานพุทธาฯ ความรู้สึกที่เข้ามาตอนแรก ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ตอนนี้เหลือ ๕๐ เปอร์เซ็นต์ ปกติเป็นคนใจร้อน ไม่ยอมคน โมโหร้าย มาแล้วคิดว่าจะทำให้อโศกอึดอัด จะทำอย่างไร?...ตอบ... คุณไปเก็บไว้ทำไม่เยอะแยะ..รอดคุกก็ดีแล้วรอดถูกจับก็ดีแล้ว ก็ให้ตั้งใจให้ลองฝึกตนข้างนอกก่อน ว่าเปลี่ยนอาการได้ไหม แล้วก็ลองมาศึกษาดู ถ้าใจคุณว่าขนาดนี้น่าจะได้ ถ้าอยู่คนเดียวจะทำยาก มาอยู่กับหมู่จะง่ายกว่า เช่นกินเนื้อสัตว์ในหมู่ก็ไม่มีกิน หรือกินมื้อเดียวอยู่กับหมู่ก็ทำได้ แต่ไปข้างนอกทำไม่ได้ เป็นพลังสนามแม่เหล็กธรรมะเหนี่ยวนำได้จริง
๑๒. เคยไปอยู่ที่สถานธรรม วิถีอนุตรธรรมต่างจากวิถีธรรมอย่างไร เขามีกราบสามครั้ง กราบ ๑๐ กราบ ๑๐๐ กราบ ๑๐๐๐ ครั้ง ต่างกันอย่างไร...ตอบ..ที่อื่นก็ตามเขาจะกราบจน ๑๐๐๐ ครั้ง เขาก็จะสร้างศรัทธาอย่างหนึ่งเป็นการเคารพ ว่าอย่าเบื่อหน่ายในศรัทธา เป็นการทำเพื่อศาสนา แต่ไม่ได้เป็นการเรียนรู้ไปหากิเลส ในอริยสัจ ๔ ก็ทำให้เกิดความชินทางโลกเขาก็ทำกัน ให้เกิดผลเป็นกุศลโลกีย์ การกราบอย่างนี้ ของเรากราบเพื่อแสดงความเคารพเชิดชูบูชาสิ่งควรเคารพ แต่ต้องมีมนสิการให้ถูก การมนสิการไม่ถูกก็คือตั้งจิตใจให้กราบเพื่อขลัง บรรดาล ด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ เป็นการออกนอกพุทธ มีมากเลยแม้ในวงการศาสนาพุทธที่เป็นอเทวนิยมก็ตาม เป็นศาสนากรรมนิยม ไม่ใช่ใครมาเป็นเจ้ากรรมนายเวร จิตก็ให้ทำใจในใจให้เป็น ทำแล้วมีอานิสงส์ในการลดกิเลส
เขากินอาหารเจ ไม่กินกระเทียม ส่วนเรากินมังสวิรัติ เจมากินมังไม่ได้ แต่มังฯไปกินเจได้ แต่ให้เป็นไปเพื่อการละกิเลสจึงจะดี
๑๓.ก่อนบรรลุโสดาบัน เมื่อละกิเลสปริยุฏฐาน จนมีอธิศีล อธิปัญญา ต้องเป็นคนจนเท่านั้นหรือรวยได้?...ตอบ ตอบตายตัวไม่ได้ บางคนเขารู้โสดาบัน ทำโสดาบันได้ แต่ที่ชัดเจนคือเขาจะลดความโลภ คุณจะรวยกว่าเก่าจริง เพราะมีคุณธรรมขยัน รู้อะไรควรไม่ควร ได้เวลาแรงงานคืนมาจากที่เสียไปกับโลกอบาย ก็เอามาสร้างสรร ก็รวยกว่าเก่า แต่ผู้รู้ภูมิธรรมถูกต้องก็จะมักน้อยจะกล้าจนลงมา ไม่ใช่ว่าลดกิเลสมาก็มักมาขึ้นโลภมากขึ้น มันจะไม่ย้อนแย้งความจริง คุณจะรวยขึ้น แต่ก็ยังรักในลาภยศ แต่พวกชั้นต่ำคุณไม่ทำ จะไม่จนหรอก แต่จะเข้าใจว่าต้องจน ใครมีภูมิธรรมก็จะรู้วิธีทาน รู้วิธีสละออก รู้ทินนัง คนที่ติดยึดมาติดแป้นก็จะช้านาน ใครอยากนิพพานเร็วก็จะสละเร็ว แต่ก่อนไม่เคยทำทานพอเป็นโสดาบันก็จะทำทาน จะเป็นฐานเลี้ยงศาสนา พอสกิทาฯก็จะสะสมน้อยลงๆ พออนาคาฯก็ไม่สะสมข้างนอกแล้ว เป็นคนไม่มีแล้ว ยิ่งเป็นสังคมสาธารณโภคียิ่งชัดเจน
๑๔. ทำแบบไหนที่จะให้ขี้เหร่มากขึ้นหรือจะเอาถ่านดำทาหน้าดีคะเป็นการป้องกันตัว?...ตอบ....แนะนำไม่ได้ ทำไม่สวยงามนักหนาปัญหาแบบนี้ก็มีด้วยในคนเรา คิดอย่างไร จริงๆแล้วสัจธรรมจะขี้เหร่หรือสวยเป็นคนเราไปตั้งค่าเอา มันก็หาได้ร้อยแปดเหลี่ยมมุม ก็สมมุติกันไปไม่ตรงกันทีเดียว อย่าไปถือสาเลยบุญทำกรรมแต่ง เอาที่เราได้มาครบ ๓๒ ก็สร้างกายกรรมวจีกรรมมโนกรรมให้ลดละกิเลส การปฏิบัติธรรมจะเป็นอาวุธป้องกันตัวที่ดีที่สุด จริงๆว่าถ้าฐานสูงขึ้นยิ่งจะหล่อรวยขึ้นใช่ไหม แต่พ่อท่านไม่เห็นหล่อได้เป็นพระเอกหรือมีคนทำบุญน้อยกว่าคุณจำลอง ซึ่งมันเป็นอจิตไตยอธิบายไม่ไหว ซับซ้อน แต่ก็เป็นสิ่งที่เจริญ ยกตัวอย่างว่าพ่อท่านเกิดมาทำไมไม่มีทุนทางสังคมเลยในชาตินี้ เรียนไม่จบปริญญาที่ไหน หรือเป็นศิษย์สำนักไหน มองไปแง่ร้ายเหมือนกระจอก แต่ในทางกลับกันก็เป็นสิ่งยิ่งใหญ่ พ่อท่านต้องเอาแต่ธรรมะเพียวๆเลยในการสร้าง แม้แต่ทางธรรมะที่มากับพ่อท่านก็พาให้หมดเนื้อหมดตัว มันเป็นองค์ประกอบในการสร้างธรรมะว่าไม่มีอะไรช่วยนี่ไปรอดไหม ไม่ต้องกินใช้อย่างอื่นเลยนอกจากธรรมเพียวๆแล้วรอดไหม โลกุตระแข็งๆด้วย เป็นการพิสูจน์ว่าไม่มีอยู่แล้วก็ใช้ธรรมะเต็มที่
๑๕. ได้ไปอบรมธรรมสถานฝงเต๋อ สาขาของไต้หวัน เขากินเจ ไม่กินหอมกระเทียมผักกุยฉ่าย ไม่กินของฉุน วิถีอนุตรธรรมกับวิถีธรรมต่างกันอย่างไร?...ตอบ....คำว่าวิถีธรรมเป็นคำกลางๆธรรมะเป็นกลางๆ แต่ถ้าวิถีอตุตรธรรม เป็นภาษาของศาสนาพุทธแปลว่า ธรรมะเหนือโลก แต่โดยปฏิบัติจะเป็นพุทธหรือไม่ก็ไม่อยากวิจารณ์มาก วิถีอนุตรธรรมในทางปฏิบัตินั้นเป็นอย่างไรก็รู้กันอยู่
๑๖. การปฏิบัติธรรมมีสี่ระดับใช่หรือไม่? ผู้ปฏิบัติธรรมต้องมีมิตรดี หรือนักบวชคอยแก้ปัญหาธรรมะหรือไม่? เมื่อได้พบมิตรดีก็ทำทุกข์นั้นตกร่วงไปได้ แต่อีกพวกก็ไม่ช่างถาม คอยฟังธรรม แล้วแก้ทุกข์ตัวเองปฏิบัติด้วยตนเอง โดยไม่มีพี่เลี้ยงมีแต่พ่อเลี้ยง (หมายถึงพ่อท่าน) ผู้ปฏิบัติทั้งสองแบบจะแยกขั้นอย่างไร..ช่วยวิจัย...
..ตอบ....มีหลากหลายทั้งจริตและบารมี พระพุทธเจ้าแบ่งคนออกสี่แบบ
๑. อุคฆติตัญญู (ผู้บรรลุมรรคผลได้เพียงท่านยกหัวข้อขึ้นแสดงเท่านั้น)
๒. วิปัญจิตัญญู (ผู้บรรลุมรรคผลได้โดยการจำแนกเนื้อความให้พิสดาร)
๓. เนยยะ (ผู้บรรลุมรรคผลเป็นชั้นๆ ไป โดยอุทเทส (หัวข้อ) โดยไต่ถาม โดยทำไว้ในใจโดยแยบคาย โดยการสมาคม โดยคบหา โดยสนิมสนมกับกัลยาณมิตร)
๔. ปทปรมะ (ผู้ฟังพุทธพจน์ก็มาก กล่าวก็มาก จำทรงไว้ก็มาก บอกสอนผู้อื่นก็มาก แต่ไม่มีการบรรลุมรรคผลในชาตินั้นเลย) เป็น อเวไนยที่ไม่เข้าใจโลกุตระ หรือเข้าถึงธรรมระดับโลกุตระได้ยาก
ก็แล้วแต่จริตใคร อย่างในสมัยพระพุทธเจ้าก็จะมีการสากัจฉาธรรมกันมาก พวกเรามาแล้วก็จะมีแต่สนทนาเรื่องธรรมะเกิดธรรมรส เรื่องโลกๆเราก็ไม่ค่อยมีรส
๑๗. ชุมชนเลไลย์อโศกยังอยู่ดีมีแรงหรือไม่ ได้ยินว่าต่างคนต่างมีผัสสะจนต้องแยกกระจายกันไป?..ตอบ...จะถือว่าพ่อท่านลงทัณฑ์ก็ได้เพราะมีการทะเลาะเบาะแว้งกัน ได้ข่าวว่าเขาก็พยายามปรับตัวกัน ยังไม่หายไปหรอก เรามีหลายที่ต้องบูรณะ พวกเราก็ให้ช่วยกันหน่อย
๑๘. พระอนาคามีมีกามาจรหรือไม่? อสัญญีเท่ากับเนวสัญญานาสัญญาหรือไม่? ตอบ...พระอนาคามี นั้นคำว่ากามาวจรนั้นคือจิตของเรามีการดำเนินไปในแดนกามอยู่ แต่ท่านมีภูมิกามาวจรภูมิจนสามารถอยู่เหนือกามาวจรภูมิ เช่นมีกามาภิภู คือพ้นกามแล้ว เราก็อยู่กับกามไม่หลบไม่หนี มีแดนของกามอยู่กับทวาร แต่จิตท่านมีโลกุตรจิตอยู่เหนือแล้ว ดังนั้นพระอนาคามีมีกามาวจรอยู่
ส่วนอสัญญีสัตว์นั้นไม่มีสัญญาทำงาน ดับ เป็นสัตวภูมิ ยังไม่พ้นสังโยชน์ ในฌาน ๔ นั่งหลับตาก็ทำอสัญญีสัตว์ได้ ไม่ต้องไปมีอรูปฌาน ดับเลย
๑๙. ปัจจุบันพ่อท่านเชื่อแค่ไหนว่า ลูกหลานศิษย์เก่าจะกลับมาคะ...ตอบ..เมื่อชาวอโศกที่เป็นผู้ใหญ่และผู้สูงอายุตายไป จะเชื่อมั่นแค่ไหนว่าพวกศิษย์เก่าที่ออกไปจะกลับมาสืบสานงานอโศก จะกลับมาเร็วช้าแค่ไหน...เท่าที่พ่อท่านใช้เหตุผล ถ้าโลกเดือดร้อนมากๆ เร็วก็จะกลับมาเร็ว กำหนดเวลาไม่ได้ แต่ข้างนอกจะเดือดร้อนอย่างไรพวกเราก็อยู่ได้สบาย เขาอาจกลับมาเพราะเดือดร้อยดันเขาเข้ามา หรือเขาอาจกลับมาด้วยปัญญา เขามีอริยภูมิขึ้นมา แต่อาจมีอีกอย่างหนึ่งคือ สมมุติว่าสันติอโศกจะล้มละลายเลย พวกนี้ก็จะรู้ว่าสมบัติส่วนกลางจะเป็นของใคร เขาจะปล่อยให้รัฐริบไปหรือไม่ โดยเฉพาะรัฐบาลปู พวกเราคงไม่ปล่อยให้สาธารณโภคีล้มไปหรอก แต่กรณีนี้ไม่คิดว่าจะเกิดไม่ง่าย เพราะไม่มีเหตุปัจจัยให้เกิด มีแต่จะเจริญแม้ไม่เร็ว
๒๐. ทำอย่างไรจะลดอัตตาและให้รู้จักยอม...ตอบ....ยอมแล้วจะขาดใจ ตายชัก ให้ลองดูซักที สองที สามที ยอมคนที่เราถือสามากๆ เตรียมรถแอมบูแลนซ์ไว้หามไปรพ. มันไม่ถึงตายหรอก กิเลสไม่เก่งเท่าเราหรอก ให้พิจารณาด้วยปัญญาว่ายอมก็ดี ยอมก็เชื่อมต่อกันได้ ไม่ยอมก็กระทบขัดแย้งกันไป ทำทั้งกดข่มและพิจารณาจนเกิดปัญญา กิเลสมันสู้ความจริงไม่ได้หรอก
๒๑. ฆ่ากิเลสหรือฆ่าโทสะทำอย่างไร?...ตอบ....เราต้องเรียนรู้หัดอ่านจิต แล้วให้จับตัวกิเลสให้ได้ เมื่อมีการกระทบสัมผัสก็เกิดเวทนาที่มีการสังขารให้เกิดสุขหรือทุกข์ได้ หัดอ่านนามรูปโดยใช้อาการลิงค นิมิต อุเทศ มันมีวิญญารเกิดเป็นผีหรือเทวดา คือไม่สมใจ กับสมใจ
๒๒. เวลามีปัญหาหรืออุปสรรค์ควรทำอย่างไร?..ตอบ ..ให้เรียนรู้ว่าปัญาหาอุปสรรค มีเหตุปัจจัยจากอะไร เช่นตะหลิวมันไม่ได้มีปัญหา ก็เคาะจนตะหลิวหัก ก็ใจคุณนั่นแหละเป็นตัวปัญหาที่จริงอุปสรรคนี่คือสิ่งที่ไม่ได้ดังใจ ต้องดูที่อาการใจ ถ้าไปถือสาก็คือปัญหา ต้องมาปฏิบัติธรรมให้เข้าใจ จะด่ามาชั้นสูงชั้นต่ำอย่างไร ด่าด้วยเมตตา ด่าให้โกรธให้ชัง ด่าให้สะใจเขาเฉยๆ ด่าให้มันถูกทำลายก็มีหลายนัยที่เขาด่าพ่อท่านมา พ่อท่านไม่ได้มีปัญหาด้วย เพราะพ่อท่านมีปัญญา เข้าใจแล้ว รู้ว่าเขาด่า อ๋อรู้ว่าอย่างนี้คือเขาด่ามา ด่ามาหลายแบบก็รู้ ก็ฟังเนื้อหา บางทีเขาด่าสาดเสียเทเสียไม่มีสาระด่าเอาสะใจ เช่น ไอ้สัตว์หมา อย่างนี้ด่าทิ้งขว้าง เราไม่ได้เป็นสัตว์ ข้างนอกเขาเห็นเขาเป็นหมาเป็นสัตว์ แต่ข้างในเราไม่ใช่หมาไม่ใช่สัตว์แสดงว่าคุณรู้ผิดๆเขาเป็นคนรู้ผิด ผิดอยู่ที่เขา เขาอ่อนทางปัญญาไม่รู้ความจริง เห็นผิด ก็อย่าไปโกรธ จะเจออุปสรรค อุปคือใกล้ สรรคคือสวรรค์ เขาเอาเหตุปัจจัยมาให้อย่างหนังสือพิมพ์พญาครุฑ เขาขึ้นหน้า เดรัจฉานโพธิรักษ์สันติอโศก ท่านสมณะลักขโณเอามาให้ตอนพ่อครูกำลังเข้านอน พ่อท่านก็อ่านออก อ่านได้ รู้แล้วก็แล้วไปก็นอน พ่อท่านแปลออกเขาเข้าใจทำลายเราตอนมีกรณีสันติอโศก ว่าเป็นศาสดามหาภัย อัครมหาโจร ขบวนการมิจฉาชีพชั้นสุดยอด เป็นต้น เราต้องเจออุปสรรค เราก็จัดการแก้ไขตามที่ควร ไม่ไปตอบโต้ให้เกิดสงครามร้ายแรงอะไร เราก็พยายามอ่านความจริงว่าอะไรเป็นเหตุปัจจัย อยู่ที่เขาหรือเรา อยู่ที่เขาก็แก้ไม่ได้ อยู่ที่เราก็แก้ที่เรา
๒๓. เวลาเราโกรธจะทำอย่างไร?..ตอบ..ก็หยุด จะเอาไว้ทำไม่ เวลาโกรธมันมีอาการอย่างไร มันร้อนใจ มันพาไปพาลสารพัด ตามแต่นิสัย มันพาเสีย ไม่ดี ต้องพิจารณาให้เลิก แม้จะหยุดข่ม พระพุทธเจ้าท่านว่าโกโธทุเมธะโคจโร คนโกรธเป็นคนมีปัญญาทราม
๒๔. จะเรียนสัมมาสิกขาอย่างไรให้จบม. ๖...ตอบ...ก็พิจารณาว่าอยู่แล้วดีอย่างไร ยืนยันว่าอยู่แล้วดีกว่าข้างนอกแน่ ยิ่งตอนนี้เขาให้ไว้ผมตามสบายได้ เราจะไปหากิเลสทำไม พวกเราก็เลี้ยงดูกันไป อบรมกันไป ถ้าอยู่ไม่ได้คือทำต่ำกว่าเกณฑ์ หรือออกไปเองก็มี เราสร้างมา ๒๐ ปี เข้าม.๑มา ๓๐ คนรอดถึงม. ๖ แค่ ๑๐ คน แต่ ๒๐ ปีที่ผ่านมาคนที่ออกไปก็ไม่มีใครมาว่ารร. มีแต่เขาว่าดีแต่เขาทนไม่ไหวอยู่ไม่ได้ ยังไม่มีใครมาโวยวายว่าอยู่ยาก แย่มาก ไม่ได้เรื่องเลย มีแต่ออกเพราะอยู่ไม่ได้
๒๕. ถูกชี้ขุมทรัพย์อย่างแรง ถูกหมัดเหล็ก ความรู้สึกแรงว่าตายแล้วทันที อยากหยุดหายใจเลยทีเดียว ช็อค อยู่กับตัวเอง ๗ วัน สัตบุรุษให้ปัญญาจึงเริ่มยอมรับและศึกษาทุกขอาริยสัจจ์ แต่ก่อนไม่เข้าใจ มีทุกข์ก็จะเข้าข้างตัวเองร่ำไป เกิดการต่อสู้ระหว่าง ขอบคุณคนชี้ขุมทรัพย์ขอบคุณทุกข์ กับไม่อยากทุกข์ ผูกโกรธคนชี้ขุมทรัพย์ จะทำอย่างไร จะขอบคุณทุกข์ขอบคุณคนชี้ขุมทรัพย์ได้ ตามคำสอน...ตอบ...โดยจิตวิทยา คนเราไม่อยากไปว่าเขาไม่ดีหรอกไปกระทบคนหรอก พ่อท่านจะว่าแต่ความไม่ดี ศาสนาพุทธจะพูดความไม่ดีก่อนสิ่งไม่ดีต้องรีบรู้รีบแก้ สิ่งไม่ดีอยู่กับเราเท่านานเท่าใดก็พาเราไม่ดี แต่สิ่งดีอยู่กับเรานานเท่าใดก็ช่างมันสิ แต่สิ่งไม่ดีอยู่กับเราวินาทีเดียวก็ไม่ดีให้รีบเอาออก ใครจะมาชี้อย่างไรชี้ไม่ถูกก็แล้วไป ถ้าชี้ถูกก็กราบเขาเลยมาบอกถูก ขอบคุณเขาไป
๒๖. ศาลีอโศกว่างจากช้างม้า เสือสิงห์กระทิงแรด เนื่องจากพ่อครูให้จัดงานพุทธาฯทำให้ว่างจากช้างม้าเสือสิงห์กระทิงแรด ยังเหลือนกพิราบหมามาครอบครอง บ้านเรือน ศาลาพุทธาฯ พ่อครูช่วยสงเคราะห์สัตว์เหล่านี้ด้วย โดยเฉพาะนก สุนัขและแมวในร่างของลูกอโศกทุกคน...ตอบ...ขนาดสายเงียบ สายวัดป่า เขาก็ยังให้มารวมตัวกันมาสวดมนต์บางทีก็เทศน์มหาชาติ ใส่ทำนองกันไม่ให้เงียบเกินไป ก็ต้องค่อยๆให้เป็นไปก็ดีขึ้นเรื่อยๆ
๒๗. การสร้างสภาพดับสัญญาและเวทนาเป็นแนวฤาษีโดยปุถุชนที่ไม่กำหนดรู้เป็นตามสัญชาติญาณ เป็นการตอกย้ำสัญชาตญาณให้ดำดิ่งไปเรื่อยพ่อท่านคงหาญาติได้ยากขึ้นเพราะสังคมนิยมให้อาหารมอมเมาเขาไปหมด ศิษย์เก่าจะกลายพันธุ์หรือไม่???..ตอบ...พ่อท่านตามหาลูกมาตั้งแต่บวช ก็ได้มาเรื่อยก็มีลูกๆมันออกไปเที่ยวอีกเดี๋ยวมันก็มา แต่อีกหลายเดี๋ยวมันก็ไม่มาก็มี สังคมเขาสร้างอาหารให้เปรตผีอสุรกายกันจัดจานมาก ก็มีบ้างที่ได้ภูมิธรรมไปแต่เชื่อว่าคงไม่มีใครเลยเถิดไปเอาเปรียบสังคมอย่างเลวร้าย จะกลายพันธุ์คนที่ไม่เข้ากระแสก็จะเป็นได้ พ่อท่านทำมา ๔๐กว่าปีก็ไหวอยู่ จะได้เท่าไหร่ก็ไม่เป็นไร ดูค่าเฉลี่ยแล้วคนอโศกเพิ่มขึ้น ที่มั่นใจเพราะได้เนื้อๆ ไม่ได้ล่อหลอกหว่านล้อมแบบทุนนิยม พ่อท่านไม่เอา หลายคนเข้าใจตีความว่า ให้เข็ม ว.บบบ.นี่เอาอามิสล่อ พ่อท่านว่ามางานนี้มีคนให้เข็มคืนมาเป็นสิบเข็มแล้ว แต่ไม่ใช่พูดให้คนมาคืนเข็มนะ ถ้าเอาทองคำล่อก็หมดเนื้อหมดตัวแน่นอน แต่ครั้งนี้ก็ให้ดูไป...จบ
---------------------------------------------------------------------
กราบนมัสการขอบพระคุณ บันทึกธรรมะพ่อครูฯ จากท่านปัจฉาสมณะ แสนดิน ภูมิพุทโธ
ที่มา http://www.facebook.com/notes/%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%B0-%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%93%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%9E%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B9%8C/560228-%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4-%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%99-%E0%B9%91/620752127940807
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น