++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพฤหัสบดีที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2554

สุขเหนือสุข

วารสารสุขศาลา ฉบับที่ ๑๑

สุขเหนือสุข
พระไพศาล วิสาโล

พระพุทธองค์ตรัสสอนเรื่องทุกข์ไว้เยอะมาก ในบทสวดมนต์ตอนเช้าก็มีการสาธยายถึงความทุกข์ค่อนข้างเยอะ อันนี้ไม่ได้หมายความว่าพุทธศาสนาชื่นชอบความทุกข์อย่างที่มีคนบอกว่าพระพุทธศาสนาอยู่ในฝ่ายทุกข์นิยม การที่พระพุทธองค์ตรัสถึงทุกข์อยู่บ่อยๆ ก็เพื่อให้รู้จักทุกข์ตามที่เป็นจริง จะได้เกี่ยวข้องกับทุกข์อย่างถูกต้อง ซึ่งจะทำให้มีชีวิตที่ผาสุก

พระพุทธองค์ตรัสว่าเราควรเกี่ยวข้องกับทุกข์และสุขให้ถูกต้อง ข้อหนึ่งก็คือไม่ไปเอาความทุกข์มาซ้ำเติมหรือทับถมตนเอง เช่น ถ้ามีเงินก็ไม่ควรอยู่อย่างยากลำบาก หรือตระหนี่ถี่เหนียว พระองค์ไม่สรรเสริญด้วยซ้ำคนซึ่งเป็นเศรษฐีแต่กินข้าวปลายหัก ใส่เสื้อผ้าปุปะ อยู่อย่างระกำลำบาก อย่างนี้เรียกว่าเป็นการเอาความทุกข์มาทับถมตน เมื่อมีเงินก็ควรจะเลี้ยงตนให้เป็นสุข รวมทั้งดูแลครอบครัวและบริษัทบริวารให้มีความสุข รวมทั้งเกื้อกูลผู้อื่นด้วย

ความสุขที่ว่าจะหมายถึงกามสุขด้วยก็ได้ กามสุขคือสุขจากการได้เสพสิ่งที่น่าพอใจ ไม่ว่าทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย อันนี้เรียกว่ากามสุข จะเรียกว่าสุขจากสิ่งเสพสิ่งบริโภค หรือสุขจากวัตถุก็ได้ พุทธศาสนาไม่ได้ปฏิเสธกามสุข แต่ว่าจะต้องเป็นสุขที่ได้มาโดยชอบธรรม คือ ไม่ได้ไปโกงหรือเอาเปรียบเขา และเมื่อได้มาแล้วก็ใช้หรือเสพให้เป็น ถ้ามีแต่เก็บไว้ไม่ใช้เลย ก็ไม่ถูกต้อง แต่เมื่อใช้แล้วก็ต้องระวังอย่าไปยึดติด อย่าไปยึดติดในกามสุขเพราะว่ากามสุขนั้นเจือไปด้วยโทษ มันเหมือนกับคบเพลิงที่ทำด้วยหญ้าแห้ง มันให้แสงสว่างก็จริง แต่ก็มีควันมาก ทำให้ระคายเคืองหรืออาจสำลักได้ ถ้าเกี่ยวข้องกับมันไม่เป็น มันก็ทำร้ายเราได้

พระองค์ตรัสถึงคนที่ติดในกามสุขว่าเปรียบเสมือนกวางที่ติดใจในทุ่งหญ้าที่เขียวขจี กินหญ้าอย่างเพลิดเพลินจนกระทั่งถูกพรานซึ่งแอบซุ่มอยู่ยิงเอา ความเพลิดเพลินในกามสุขก็ทำให้ประมาทมองไม่เห็นอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับตัว แต่ถ้าไม่ยึดติดกามสุข ไม่หลงใหลเพลิดเพลิน มันก็ทำอะไรเราไม่ได้ ดังนั้น กามสุขจึงไม่ใช่เป็นสิ่งที่พุทธศาสนาปฏิเสธ พระพุทธองค์เองก็ได้รับความสุขชนิดนี้พอสมควร เช่น มีคนถวายอาหารหรือจีวรที่ประณีตให้ มีเสนาสนะที่สะดวกสบาย อันนี้ก็จัดเป็นกามสุข แต่ว่าพระองค์ไม่ติด พระองค์เคยตรัสว่า ถ้าเปรียบเทียบกับพระสาวกหลายๆ ท่านแล้ว พระองค์อยู่สุขสบายกว่ามาก มีสาวกบางท่านอยู่ด้วยจีวรที่ได้มาจากผ้าบังสุกุล คือผ้าห่อศพ บางท่านก็ฉันแต่อาหารที่ได้จากบิณฑบาตอย่างเดียว เรียกว่าเคร่งในธุดงควัตรมาก แต่พระองค์ไม่ได้มีวัตรอย่างนั้น บางครั้งทรงฉันอาหารที่ประณีต ครองจีวรที่ทำด้วยผ้าเนื้อดี ถ้าหากดูกันที่ความเคร่งแล้ว มีพระสาวกหลายท่าน เช่น พระมหากัสสปะ ที่เคร่งกว่าพระองค์มาก แต่สาเหตุที่พระพุทธองค์ทรงได้รับความเคารพจากพระสาวกทั้งหลายก็เพราะพระองค์ทรงบรรลุคุณวิเศษ มีปัญญารู้แจ้งในอริยสัจสี่จนเป็นอิสระจากความทุกข์สิ้นเชิง อีกทั้งยังสามารถสอนผู้คนให้เข้าถึงความพ้นทุกข์ได้

สรุปก็คือกามสุขมิใช่สิ่งที่ต้องปฏิเสธ ถ้าหากว่าเป็นสิ่งที่ได้มาชอบธรรมก็ควรจะใช้ประโยชน์ แต่ก็อย่าไปยึดติด เพราะว่ามันมีโทษ เช่น ไม่เที่ยง และเจือไปด้วยทุกข์ อย่างไรก็ตามการจะเห็นโทษของกามสุขอย่างเดียวเท่านั้นย่อมไม่พอ เพราะว่ายังไม่ช่วยให้เราปล่อยวางกามสุขได้ คือทั้ง ๆ ที่รู้ว่ามันเป็นโทษ แต่ก็ยังเข้าหามันอยู่ พระพุทธองค์ทรงอุปมาอุปมัยว่าเหมือนกับคนที่เดินกลางแดดมาทั้งวัน กระหายน้ำ คอแห้ง ถ้าเจอเหยือกน้ำอยู่ข้างหน้า ข้างในเป็นน้ำสีสวย รสอร่อย แม้มีคนเตือนว่าน้ำมีพิษ กินแล้วตายได้ แต่คนที่หิวมากๆ เขาไม่ฟังหรอก ขอดื่มดับกระหายก่อน เพราะความกระหายมันเป็นความทุกข์เฉพาะหน้าที่ต้องการดับให้ได้ พอดับกระหายแล้วอะไรจะเกิดขึ้นตามมาก็เป็นเรื่องอนาคต คนเรามักจะแก้ปัญหาเฉพาะหน้า โดยไม่สนใจผลที่ตามมา

ในทำนองเดียวกันแม้จะรู้ว่ากามสุขเป็นโทษ แต่ความรู้อย่างเดียวไม่ทำให้เราห่างไกลจากมันได้ ตราบใดที่ใจยังโหยหาความสุขอยู่ จะเหินห่างจากมันได้ก็ต่อเมื่อมีความสุขอย่างอื่นที่ประณีตก ว่าเข้ามาแทนที่ ความสุขอันนี้ได้แก่อะไร ได้แก่ เนกขัมสุข คือ สุขจากการปลอดโปร่งจากกาม สุขชนิดนี้จะเกิดขึ้นได้ ทีแรกเราก็ต้องว่างเว้นจากกามก่อน หรือเสพให้น้อยลง ใหม่ ๆ ก็รู้สึกว่าชีวิตขาดรสชาติ แต่ต่อไปก็จะรู้สึกปลอดโปร่งเบาสบาย เพราะมีเรื่องยุ่งยากน้อยลง

กามนั้นให้ความสุขก็จริง แต่มันเต็มไปด้วยภาระมาก มันก่อให้เกิดความทุกข์หลายอย่าง ทุกข์ตั้งแต่อยากแล้ว พออยากได้ก็ต้องไปดิ้นรนแย่งชิงเอามา ต้องแข่งกันหาเงินหาทองจนเหนื่อย ในระหว่างนั้นก็ต้องมีความโกรธ มีความไม่พอใจ เพราะต้องกระทบกระทั่งกับคนอื่น เมื่อได้มาแล้วก็ใช่ว่าจะมีความสุข บางครั้งก็อิจฉาคนที่ได้มากกว่า รู้สึกเป็นทุกข์ที่ตัวเองได้น้อยกว่า หรือเกิดเบื่อของเดิม อยากได้ของใหม่ เพราะเดี๋ยวนี้มันมีสิ่งกระตุ้นให้เราอยากได้อยู่เรื่อยๆ ทำให้เรารู้สึกไม่พอใจในสิ่งที่มี ในสิ่งที่ได้มา ยุคนี้เป็นยุคบริโภคนิยม จะมีการกระตุ้นให้เราอยากได้โน่นได้นี่ตลอดเวลา ไม่ว่ามีเงินมากเท่าไรก็ไม่เคยพอ ไม่สามารถซื้อของที่ต้องการได้ครบถ้วน ไม่เหมือนสมัยก่อน เงินไม่ค่อยมีความหมายเท่าไร เพราะว่ามีเงินก็ไม่รู้ว่าจะเอาไปทำอะไร

สมเด็จ ฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพได้เขียนบันทึกเมื่อร้อยปีก่อน ว่าท่านเคยไปหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่ขอนแก่น ตอนนั้นท่านเป็นเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ท่านพบว่าชาวบ้านที่นั่นผลิตของเองทุกอย่างเลย ไม่ใช่แค่ปลูกข้าวเท่านั้น แต่ยังปลูกพืชผักสวนครัวนานาชนิด ฝ้ายก็ปลูกเพื่อปั่นด้ายทอเสื้อ ไหมก็เลี้ยง เพราะฉะนั้นชาวบ้านจึงไม่จำเป็นต้อง ซื้ออะไรเลย ชาวบ้านมีทุกอย่างที่ต้องการ ขาดอยู่ ๒ อย่าง ไม้ขีดไฟกับมีดพร้า แค่นี้แหละที่ซื้อจากตลาด ที่เหลือทำเองได้หมด เพราะฉะนั้นชาวบ้านสมัยก่อนไม่ว่ามีเงินมากเท่าไรก็ไม่ค่อยมีความหมายเพราะว่า ของที่ต้องการซื้อมีไม่กี่อย่าง ส่วนของที่จะมาขายก็ไม่ได้มีมาก มายเหมือนสมัยนี้ เงินจึงมีความหมายน้อยมาก ความโลภของคนก็ลดไปตามสภาพ เขาไม่สนใจอยากจะรวย หรืออยากได้เงินมาก ๆ ที่เป็นเช่นนี้ไม่ใช่เพราะธรรมชาติของคนสมัยก่อนมีความโลภน้อยกว่าคนสมัยนี้ แต่เป็นเพราะว่าเขาไม่รู้จะซื้ออะไร อีกทั้งไม่มีสิ่งที่กระตุ้นความอยากหรือความโลภ แต่เดี๋ยวนี้มีเงินเท่าไรก็ไม่รู้สึกพอ มีเงินร้อยล้านพันล้านก็ยังซื้อของที่ต้องการได้ไม่หมด เพราะมีของที่อยากได้เยอะแยะไปหมด เช่น ซื้อหุ้น ใครที่มีเงินมากก็อยากซื้อหุ้นเพื่อที่จะได้เงินมากขึ้น มีเงินมากขึ้นแล้วเอาไปทำอะไร ก็เอาไปซื้อหุ้นต่อ

ทุกวันนี้มีของขายมากมายเกินกว่าจะซื้อได้หมด ดังนั้นไม่ว่าจะรวยเป็นหมื่นล้านแสนล้านก็ยังรู้สึกว่ารวยไม่พอ อยากได้อีก นี้เป็นผลจากกระแสบริโภคนิยมที่มากระตุ้นให้เราไม่รู้สึกพอเสียที จึงเกิดความโลภอยู่เรื่อยๆ แม้จะได้มาสมอยากก็ยังไม่พอใจ เพราะพอผ่านไปสักพักก็รู้สึกว่ามันตกรุ่นแล้ว ไม่ว่าจะซื้อรุ่นไหนก็จะยังรู้สึกว่ามีรุ่นอื่นที่ดีกว่า ไม่ว่าร่างกายผิวพรรณจะงามแค่ไหนก็ยังรู้สึกว่ายังงามไม่พอ ต้องดิ้นรนไปหาซื้อเครื่องประทินโฉมต่างๆ มา รวมทั้งผ่าตัดเสริมทรง มีน้อยคนที่จะพอใจในสิ่งที่มี ถึงจะพอใจแต่ก็ยังทุกข์เพราะว่ากลัวคนมาแย่ง หรือกลัวจะสูญเสียสิ่งนั้นไป ยิ่งขโมยขโจรชุกชุมหรือมีการแข่งขันมาก ก็ยิ่งกังวลใจ

นอกจากนั้นผู้คนก็ยังถูกสอนว่า ถ้าคุณไม่เดินหน้า ก็จะต้องถูกทิ้งไว้ข้างหลัง คุณมีธุรกิจ ก็ต้องขยายธุรกิจ ไม่เช่นนั้นธุรกิจของคุณก็จะถูกกลืนได้ ถ้าอยู่เฉยๆ ก็จะถูกแย่งลูกค้าไป ก็ต้องขยายกิจการ ทั้งๆ ที่เราอาจจะคิดว่าแค่นี้ก็พอแล้ว แต่ระบบมันทำให้เรารู้สึกว่าต้องขยาย ต้องดิ้นรน ไม่เช่นนั้นเราก็จะกลายเป็นปลาเล็กที่ถูกปลาใหญ่กลืนกิน

นี่คือวิถีของกามสุข ที่ทำให้ผู้คนเป็นทุกข์ เพราะฉะนั้นหากเราสามารถห่างไกลจากการมสุขได้ก็จะรู้สึกปลอดโปร่งเบาสบาย คนเราคงไม่สามารถว่างเว้นจาก กามสุขไปได้หมดหรอก แต่ก็ควรเสพให้น้อยลง อย่างพวกเรามาอยู่ที่นี่ ก็มีสิ่งเสพน้อยลง ไม่ว่า สิ่งเสพทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ก็ตาม ความสะดวกสบายก็ไม่ใช่ว่ามีมาก พูดง่าย ๆ คือเป็นชีวิตที่เรียบง่าย คนที่ติดกามสุขเมื่อมาอยู่ที่นี่ใหม่ๆ ก็จะรู้สึกเป็นทุกข์ เพราะว่าไม่ได้เสพสิ่งที่เคยชอบ ภาพยนตร์ก็ไม่ได้ดู ของอร่อย ๆ ก็ไม่ได้กิน แต่พออยู่ไปสักพักก็จะเริ่มรู้สึกว่าชีวิตแบบนี้เรียบง่ายดี ไม่วุ่นวาย มีเวลาเหลือมากขึ้น ก่อนนี้เวลาไม่ค่อยเหลือนะ คนที่อยู่ในโลกแห่งกามสุข จะรู้สึกเวลามีน้อยลง ไม่ใช่เพราะเสียเวลาไปกับการแข่งขันไล่ลาหาสิ่งเสพต่างๆ ให้ได้มากที่สุดเท่านั้น แต่ยังหมดเวลาไปกับการใช้สิ่งเสพ สิ่งบริโภคด้วย คือซื้อมาแล้วก็ต้องใช้ อย่างเช่น โทรศัพท์มือถือ มันมีเกมมากมายติดมากับเครื่อง จะไม่เล่นเกมเลยก็กระไรอยู่ ไหน ๆ ซื้อมาแล้วก็ต้องเล่น คอมพิวเตอร์ก็เหมือนกัน มีเกมและโปรแกรมต่างๆ ติดมามากมาย มีแล้วไม่ใช้ก็รู้สึกเสียดาย ก็เลยต้องลองเล่นดู พอเล่นก็เลยเสียเวลา

ทุกวันนี้ผู้คนเสียเวลาไปกับการใช้หรือการบริโภคสิ่งเสพเยอะมาก รวมทั้งเสียเวลาไปกับ เลือกเฟ้นว่าจะใช้อันไหนดี เช่น มีเสื้อผ้าเยอะก็เสียเวลาไปกับการเลือกว่าใช้ตัวไหนถึงจะเหมาะกับ
งาน มีนักปฏิบัติธรรมผู้หนึ่งเป็นระดับคุณหญิง เธอเล่าว่า เวลาจะไปออกงาน พอเปิดตู้เสื้อผ้า เห็นเสื้อผ้ามีมากมาย ก็ต้องมานั่งคิดว่า จะต้องใส่เสื้อสีอะไรถึงจะเข้ากับกระโปรง แล้วยังมีรองเท้าอีกมากมายให้เลือกอีก ตอนหลังก็เลยตัดสินใจว่า ต่อนี้ไป เมื่อเปิดตู้มาเห็นเสื้อตัวไหนก็ใส่ตัวนั้นเลย จะไม่มานั่งเลือกว่าจะใส่เสื้อตัวไหนดี นี่ขนาดเป็นนักปฏิบัติธรรมที่ตั้งใจปฏิบัติตามคำสอนของท่านอาจารย์พุทธทาส ก็ยังยอมรับว่าเสียเวลามากมายไปกับการเลือกเครื่องแต่ง กาย รวมทั้งเครื่องประดับต่างๆ ด้วย เพราะฉะนั้น วิธีแก้คือเห็นตัวไหนก็ใส่เลย มันทำให้ชีวิตเรียบง่ายมากขึ้น นี่คือปัญหาของคนที่มีเงินเยอะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น