++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอาทิตย์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2554

นิทานเซน : ความเชื่อฟัง

นิทานเซน : ความเชื่อฟัง
โดย พุทธทาสภิกขุ
นิทานเรื่องที่สี่ เรียกว่า เรื่อง "ความเชื่อฟัง"
ธฺยานาจารย์ชื่อ เบ็งกะอี เป็นผู้มีชื่อเสียงในการเทศนาธรรม คนที่มาฟังท่านนั้น
ไม่ใช่เฉพาะแต่ในวงของ พวกนิกายเซ็น พวกนิกายอื่น หรือคนสังคมอื่น ก็มาฟังกัน
ชนชั้นไหนๆ ก็ยังมาฟัง เพราะว่า ท่านไม่ได้เอาถ้อยคาในพระคัมภีร์ หรือในหนังสือ
หรือ ในพระไตรปิฎกมาพูด แต่ว่าคาพูดทุกคานั้น มันหลั่งไหลออกมาจากความรู้สึกใน
ใจของท่านเองแท้ๆ ผลมันจึงเกิดว่า คนฟังเข้าใจ หรือชอบใจ แห่กันมาฟัง จนทาให้
วัดอื่นร่อยหรอคนฟัง เป็นเหตุให้ภิกษุรูปหนึ่ง ในนิกายนิชิเรน โกรธมาก คิดจะทาลาย
ล้างอาจารย์เบ็กกะอี คนนี้อยู่เสมอ
วันหนึ่ง ในขณะที่ท่านองค์นี้กาลังแสดงธรรมอยู่ในที่ประชุม พระที่เห็นแก่ตัวจัด
องค์นั้น ก็มาทีเดียว หยุดยืน อยู่หน้าศาลา แล้วตะโกนว่า
“เฮ้ย! อาจารย์เซ็น หยุด ประเดี๋ยวก่อน ฟังฉันก่อน ใครก็ตามที่เคารพท่าน ท่านจะ
ทาอย่างไร ที่จะทาให้ฉันเคารพเชื่อฟังท่านได้”
เมื่อภิกษุอวดดีองค์นั้น ร้องท้าไปตั้งแต่ชายคาริมศาลา ท่านอาจารย์เบ็งกะอี ก็ว่า
“มาซี ขึ้นมานี่ มายืนข้างๆ ฉันซี แล้วฉันจะทาให้ดูว่า จะทาอย่างไร”
พระภิกษุนั้นก็ก้าวพรวดพราดขึ้นไปด้วยความทะนงใจ ฝ่าฝูงคนเข้าไปยืนหรา อยู่
ข้างๆ ท่านอาจารย์เบ็งกะอี ท่านอาจารย์เบ็งกะอี ก็ว่า
“ยังไม่เหมาะ มายืนข้างซ้าย ดีกว่า”
พระองค์นั้น ก็ผลุนมาทีเดียว มาอยู่ข้างซ้าย ท่านอาจารย์เบ็งกะอี ก็บอกอีกว่า
“อ๋อ! ถ้าจะพูดให้ถนัด ต้องอย่างนี้ ต้องข้างขวา ข้างขวา”
พระองค์นั้น ก็ผลุนมาทางขวา พร้อมกับมีท่าทางผยองอย่างยิ่ง พร้อมที่จะท้าทาย
อยู่เสมอ ท่านอาจารย์เบ็งกะอีจึงว่า
“เห็นไหมล่ะ ท่านกาลังเชื่อฟังฉันอย่างยิ่ง และในฐานะที่ท่านเชื่อฟังอย่างยิ่งแล้ว
ฉะนั้น ท่านจงนั่งลง ฟังเทศน์เถิด”
นี่เรื่องก็จบลง
นิทานอิสปเรื่องนี้ มันสอนว่าอย่างไร เหมือนพระพุทธเจ้า ท่านตรัสว่า นิวาโต เอตมฺมงฺ
คลมุตตม วาโต ก็เหมือนกะ สูบลมอัดเบ่งจนพอง ถ้า นิวาโต ก็คือ ไม่พองไม่ผยอง เป็น
มงคลอย่างยิ่ง ข้อนี้ย่อมแสดงว่า มีวิชาความรู้อย่างเดียวนั้นไม่พอ ยังต้องการไหวพริบ และ
ปฏิภาณอีกส่วนหนึ่ง พระองค์นี้ก็เก่งกาจของนิกายนิชิเรนในญี่ปุ่น แต่มาพ่ายแพ้อาจารย์ ที่
แทบจะไม่รู้หนังสือ เช่นนี้ ซึ่งพูดอะไร ก็ไม่อาศัยหนังสือ เพราะบางที ก็ไม่รู้หนังสือเลย แพ้
อย่างสนิทสนม เพราะขาดอะไร ก็ลองคิดดู
พวกฝรั่งก็ยังพูดว่า Be wise in time ฉลาดให้ทันเวลา โดยกระทันทัน ซึ่งบาลีก็มีว่า
"ขโณ มา โว อุปจฺจคา" ขณะสาคัญ เพียงนิดหนึ่ง นิดเดียวเท่านั้น อย่าได้ผ่านไปเสียนะ ถ้า
ผ่านไป จะต้องมีอย่างยิ่ง มิฉะนั้น จะควบคุมเด็กไม่อยู่
Page 2
เราลองคิดดูซิว่า เด็กๆ ของเรามีปฏิภาณเท่าไร เราเองมีปฏิภาณเท่าไร มันจะสู้กันได้
ไหม ลองเทียบไอคิว ในเรื่องนี้กันดู ซึ่งเกี่ยวกับปฏิภาณนี้ ถ้าครูบาอาจารย์เรามีไอคิวใน
ปฏิภาณนี้ ๕ เท่าของเด็กๆ คือ เหนือเด็กห้าเท่าตัว ก็ควรจะได้รับเงินเดือนห้าเท่าตัวของที่
ควรจะได้รับ หรือว่าใครอยากจะเอาสักกี่เท่า ก็เร่งเพิ่มมันขึ้น ให้มีปฏิภาณไหวพริบ จน
สามารถสอนเด็กให้เข้าใจ เรื่องกรรม เรื่องอนัตตา เรื่องนิพพาน ได้อย่างไรทีเดียว นี่คือ ข้อ
ที่จะต้องอาศัยปฏิภาณ ซึ่งวันหลังก็คงจะได้พูดกันถึงเรื่องนี้บ้าง
คัดลอกจาก http://www.dharma-gateway.com/
ผู้คัดลอกและเรียบเรียง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น