++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันเสาร์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

"อย่าให้ประเทศไทยกลายเป็นรัฐที่ล้ม เหลว(Failed State)"

โดย สุรพงษ์ ชัยนาม 2 พฤษภาคม 2553 02:23 น.
วิกฤตการณ์ร้ายแรงทางการเมืองในประเทศไทยตลอด 1 ปีที่ผ่านมา
ส่งผลให้เกิดปรากฎการณ์เสื่อมของอำนาจรัฐ
ซึ่งหากรัฐบาลยังไม่สามารถหยุดยั้งภาวะการเสื่อมของอำนาจรัฐดังกล่าว
ก็จะทำให้ประเทศไทยตกอยู่ในภาวะเสี่ยงที่จะเกิดสงครามกลางเมืองและการแทรก
แซงจากภายนอกประเทศ
ตลอดจนการล่มสลายของรัฐไทยภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตย์ทรงเป็น
ประมุข

กล่าวได้ว่าเหตุการณ์ข้างต้นนั้นเป็นผลสืบเนื่องมาจากเหตุผลและข้อ
เท็จจริง ซึ่งพอสรุปได้ดังนี้

1) ปัญหาของรัฐบาล
ที่ทุกวันนี้ยังมองไม่เห็นหนทางที่จะผ่านพ้นวิกฤติ
เพราะยังมีปรากฏการณ์การเสื่อมของอำนาจรัฐ
หากรัฐบาลต้องการให้คนในชาติและต่างชาติเข้าใจและเห็นใจ
รัฐบาลจะต้องหยุดภาวะการเสื่อมของอำนาจรัฐให้ได้โดยการบังคับใช้กฎหมายอย่าง
จริงจัง

กรณีที่จะเกิดสงครามกลางเมืองในประเทศไทยได้นั้นก็ต่อเมื่อรัฐไทยได้
แปรสภาพไปเป็นรัฐที่ล้มเหลวลงแล้วอย่างสิ้นเชิง
ดังตัวอย่างที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในประเทศราวันด้า โคเซอร์โว บอสเนีย
คองโก ติมอร์ตะวันออก
ซูดานและในประเทศอื่นๆอีกมากมายซึ่งล้วนแล้วแต่มีรัฐที่ล้มเหลว
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ขณะนี้รัฐบาลไทยจะยังไม่ได้เป็นรัฐล้มเหลวโดยสิ้นเชิง
แต่ก็มีปรากฏการณ์หลายๆด้านบ่งบอกให้เห็นอย่างเด่นชัดว่า ประเทศไทยกำลัง
เดินไปสู่ความเป็นรัฐที่ล้มเหลว
เพราะการบังคับใช้กฏหมายอย่างแท้จริงยังไม่เกิดขึ้น สภาพรัฐซ้อนรัฐ
อำนาจรัฐถูกหยาม สบประมาทและเย้ยหยันอยู่ทุกวัน

2) ความพยายามแทรกแซงจากภายนอก
การส่งสัญญานจากองค์การสหประชาชาติหรือรัฐบาลต่างชาติในวันนี้
ล้วนแล้วแต่เป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ตอกย้ำว่าต่างประเทศมองวิกฤติการเมือง
ไทยในปัจจุบันว่าร้ายแรง
สาเหตุมาจากรัฐบาลไทยไม่สามารถจะหยุดยั้งการเสื่อมของอำนาจรัฐ
หรืออีกนัยหนึ่ง
รัฐบาลไม่สามารถบังคับใช้กฏหมายอย่างจริงจังให้เกิดขึ้นได้
ดังนั้นประชาคมโลกจึงมองว่าประเทศไทยกำลังเดินไปสู่ความเป็นรัฐที่ล้มเหลว
โอกาสที่จะเกิดสงครามกลางเมืองย่อมมีความเป็นไปได้สูง
รัฐบาลของแต่ละประเทศที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับอนาคตของประเทศไทย
จึงพยายามทุกวิถีทางไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อมเข้ามาแทรกแซงกิจการภายใน
ของไทย โดยมีเป้าประสงค์หวังให้สงครามกลางเมืองที่อาจจะเกิดขึ้นส่งผลลัพธ์ที่เป็น
ประโยชน์แก่ประเทศที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับวิกฤติการเมืองที่ร้ายแรงของไทยใน
ปัจจุบัน

สรุปก็คือ
ต่างประเทศที่จะเข้ามาแทรกแซงกิจการภายในของประเทศไทยในครั้งนี้
ต่างก็มีวาระซ่อนเร้นของตนทั้งสิ้น (ทั้งผลประโยชน์ทางเศรฐษกิจ การค้า
การลงทุน ทางด้านภูมิรัฐศาสตร์และภูมิยุทธศาสตร์
ผลประโยชน์ทางการเมืองและความมั่นคง)

3) ประชาชนชาวไทยควรตั้งสติและไม่ควรตื่นตระหนก
หากมีข่าวเรื่องการพยายามเข้ามาแทรกแซงกิจการภายในของไทยโดยประชาคมระหว่าง
ประเทศ ไม่ว่าจะเป็นกฏบัตรสหประชาชาติ กฏหมายระหว่างประเทศ
อนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยความสัมพันธ์ทางการฑูตข้อที่4
ตลอดจนจารีตประเพณีระหว่างประเทศล้วนกำหนดพันธกรณีให้ประเทศสมาชิกของ
องค์การสหประชาชาติต้องเคารพในเอกราชและอธิปไตยของประเทศสมาชิกทั้ง 192
ประเทศ(รวมทั้งประเทศไทยด้วย)โดยไม่แทรกแซงกิจการภายในของกันและกันไม่ว่าจะ
เป็นทางตรงหรือทางอ้อม

โอกาสที่ประชาคมระหว่างประเทศจะเข้ามาแทรกแซงกิจการภายในของไทยในทาง
เป็นจริงนั้นมีอยู่ 4 ประการคือ

ก. ประเทศไทยได้กลายเป็นรัฐที่ล้มเหลวแล้วโดยสิ้นเชิง (Failed State)

ข. เมื่อมีปรากฏการณ์ของการฆ่าล้างเผ่าพันธ์หรือการก่ออาชญากรรมต่อมวลมนุษย์
ชาติ

ค. เมื่อเหตุการณ์วิกฤติร้ายแรงทางการเมืองของไทยนำไปสู่ความไร้เสถียรภาพ
สันติภาพ และความมั่นคงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และในโลกโดยภาพรวม

ง. เมื่อรัฐบาลไทยยินยอมให้ต่างชาติหรือองค์กรระหว่างประเทศเข้ามาระงับความ
เป็นรัฐที่ล้มเหลวของไทย

นอกจากนี้องค์การสหประชาชาติจะไม่สามารถเข้ามาแทรกแซงกิจการภายในของ
ประเทศสมาชิกได้ หากไม่ได้รับอนุญาติจากประเทศสมาชิก(ตามมาตรา2
ข้อที่4และข้อที่ 7ของกฏบัตรสหประชาชาติตลอดจนข้อที่2(A),(J). มาตรา2
ของกฏบัตรอาเซียน

4) เมื่อรัฐบาลได้ประกาศ
พรก.ฉุกเฉินแล้วก็จำเป็นที่รัฐบาลต้องมียุทธศาสตร์ ยุทธวิธี
พฤติกรรมและการดำเนินการเพื่อบังคับใช้กฏหมายให้เป็นไปตาม
พรก.ฉุกเฉินทั้งด้วยวาจาและการกระทำ
การบังคับใช้กฏหมายนั้นไม่เกี่ยวกับว่ารัฐบาลมีความเป็นประชาธิปไตยหรือไม่
เป็นประชาธิปไตยเหตุผลสำคัญก็คือ "กฏหมายมีไว้เพื่อการลงโทษไม่ได้มีไว้
เพื่อสรรเสริญเยินยอใครทั้งสิ้น " ทุกประเทศไม่ว่ามีระบอบการเมืองการ
ปกครองแบบประชาธิปไตยหรือเผด็จการ
ล้วนมีหน้าที่ในการบังคับใช้กฏหมายอย่างจริงจังเพื่อรักษาเสถียรภาพ
ความมั่นคง ความมีระเบียบตลอดจนความสงบสุขของประเทศ

สรุป..

ประเทศไทยจะสามารถผ่านพ้นวิกฤติร้ายแรงครั้งนี้ได้หรือไม่? ขึ้น
อยู่กับความสามารถและความเอาจริงเอาจังของรัฐบาลในการที่จะหยุดปรากฎการณ์
เสื่อมของอำนาจรัฐ
ด้วยการบังคับใช้กฏหมายอย่างจริงจังและจำเป็นต้องทำความเข้าใจในบทบาทอันแท้
จริงของรัฐในสองประการคือ "รัฐ "
เป็นเครื่องมือเพื่อรักษาเสถียรภาพและความมั่นคงของชาติ และ "รัฐ"
เป็นเครื่องมือเพื่อสร้างและส่งเสริมความสมานฉันท์ความเป็นเอกภาพในสังคม
ประเทศ

ดังนั้น "การที่รัฐบาลจะสามารถนำพาประเทศให้ผ่านพ้นวิกฤติการณ์
อันร้ายแรงครั้งนี้ไปได้
รัฐบาลจะต้องใช้รัฐเป็นเครื่องมือเพื่อรักษาเสถียรภาพและความมั่นคงเป็น
อันดับแรก เมื่อประสบความสำเร็จในการนำพาประเทศให้ผ่านพ้นวิกฤติได้แล้ว
จึงใช้รัฐเป็นเครื่องมือสร้างส่งเสริมให้เกิดความสมานฉันท์
เอกภาพและความเจริญก้าวหน้าให้กับประเทศต่อไป"

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น