++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพุธที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

* สกู๊ปสัมภาษณ์ นายสตีเฟน ยัง ลูกชายทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย *

>
>
>
> สกู๊ปสัมภาษณ์ นายสตีเฟน ยัง นักศึกษาฮาร์วาร์ด ในฐานะที่เป็นลูกชายทูตสหรัฐฯ
> ประจำประเทศไทย และเป็นผู้เติบโตและศึกษาเล่าเรียนอยู่ในเมืองไทย
> จึงได้มองเห็นความเปลี่ยนแปลงทั้งด้านสังคม เศรษฐกิจ และการปกครอง
> ตั้งแต่ยุคล่าอาณานิคมมาจนถึงการเข้ามาของระบอบคอมมิวนิสต์ในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์
>
>
> การเปิดสกู๊ปสัมภาษณ์ นายสตีเฟน ยัง โดย นายสิทธิชัย หยุ่น เป็นผู้ซักถาม
> ในรายการชีพจรโลก ซึ่งเนื้อหาใจความของคำสัมภาษณ์ มีดังนี้ นายสตีเฟน
> กล่าวว่า บิดาของตนใกล้ชิดพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
> และใกล้ชิดกับจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ตั้งแต่ปี 2504
> จึงได้เห็นช่องว่างระหว่างคนชนชั้นสูงกับคนจนในชนบทอย่างชัดเจน
> จนมาถึงปัจจุบัน ปี 2552 ตนได้ยินกลุ่มคนเสื้อแดงพูดว่า
> ไทยมีช่องว่างระหว่างคนรวยในกรุงเทพฯ กับคนจนในชนบท
> ทำให้ตนคิดว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ เพราะทุกวันนี้ช่องว่างมีเพียงแค่นี้
> เทียบกับที่ประเทศสหรัฐฯ ก็มีช่องว่างเช่นกัน
>
> นายสตีเฟนกล่าวต่อว่า ตนเข้ามาอยู่ในประเทศไทย ตั้งแต่ปี 2504
> ซึ่งเป็นเวลากว่า
> 48 ปีมาแล้ว โดยตนมาอยู่ตั้งแต่ประเทศไทยยังไม่มีไฟฟ้า และน้ำประปาใช้
> รวมทั้งถนนยังเป็นดินลูกรัง แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป
> ประเทศไทยมักเจอเรื่องราวแปลกประหลาดเสมอ
> ทำนองว่าประเทศนี้ยังไม่มีสิ่งนั้นสิ่งนี้ ต้องทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
> โดยปัญญาชนบางคนที่ต้องการปฏิวัติอำนาจ เขามองว่าเรื่องนี้ไร้สาระ
> และทำให้สิ่งเหล่านี้ทำให้ตนมองเห็นความทะเยอทะยานของผู้ชายชื่อ "
> พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร " ตั้งแต่เริ่มทำธุรกิจในเครือชินคอร์เปอเรชั่นฯ
> และสัมปทานโทรศัพท์ของรัฐบาลด้วยระบบผูกขาด
>
> นายสตีเฟน ย้ำว่า สาเหตุที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ทำเงินได้เยอะ
> และกลายเป็นคนรวย เพราะรัฐบาลได้มอบฐานะบุคคลอภิสิทธิ์ให้เขา
> พร้อมทั้งให้สิทธิพิเศษในการผูกขาดด้านต่างๆ
> จึงทำให้การปกครองของคนชั้นสูงหรือกลุ่มคนร่ำรวย มีอภิสิทธิ์เหนือคนอื่น
>
> "
> นี่ไม่ใช่เรื่องของผู้ชายคนหนึ่งที่เริ่มจากความยากจนแล้วไต่เต้าขึ้นมารวย
> เขามีสายสัมพันธ์พิเศษ และผมเห็นเขาใช้สายสัมพันธ์พิเศษเหล่านั้น " นายสตีเฟน
> กล่าว
>
> นายสตีเฟนกล่าวอีกว่า สำหรับตนแล้วมุมมองความคิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ
> เป็นแบบจักรพรรดิจีน นั่นคือ ในสมัย " ฉิน จื่อ หวาง " ได้มีการแบ่งชนชั้น
> เสมือนเบื้องบนเป็นสวรรค์ ถัดลงมาเป็นคนคนนึง ส่วนเบื้องล่างคือคนที่เหลือ
> แล้วเข้าควบคุมรัฐบาล ตำรวจ ผู้พิพากษา นักธุรกิจ โทรทัศน์
> และนักหนังสือพิมพ์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ทำให้ทุกสิ่งอยู่ใต้เขา
> ซึ่งไม่เคยมีผู้นำไทยคนไหนในประวัติศาสตร์ชาติไทยที่พยายามทำเช่นนี้ โดย
> พ.ต.ท.ทักษิณ ชอบทำให้คนไทยตัวเล็กๆ แหงนมองว่าเขาสำคัญ
> เพราะพวกเขามีความรู้สึกของระบบอุปถัมภ์อยู่ โดย พ.ต.ท.ทักษิณ
> ได้เข้าไปตัดลำดับขั้นต่างๆ เพื่อเข้าไปปกครองโดยตรง
> ทำให้ทุกคนที่ทำงานอยู่ต้องตกภายใต้ตัวผู้นำ ไม่ใช่ความร่วมมือแบบเก่าๆ
> ซึ่งคนส่วนใหญ่ทำงานให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เชื่อว่าเงินของอดีตนายกรัฐมนตรี
> จะช่วยดูแลพวกเขาได้
> แต่ถ้าถามว่าลักษณะเช่นนี้เรียกว่าเป็นประชาธิปไตยหรือไม่ ตนต้องขอตอบว่า
> คำว่าประชาธิปไตยที่ปราศจากศีลธรรมที่ว่าย่ำแย่ที่สุดแล้ว
> ยังเทียบไม่ได้กับความยุติธรรมที่เป็นสิ่งจำเป็นกว่านั้น
>
> " ย้อนกลับไปที่อริสโตเติล หากคุณเป็นประชาธิปไตย แต่คุณฉ้อโกง
> ทำร้ายผู้อื่น เราเรียกว่าทรราช คุณไม่มีศีลธรรม ไม่ยุติธรรม
> นั่นเป็นระบบที่เลวร้าย อริสโตเติล กล่าวไว้ว่าทุกๆระบบ
> ไม่ว่าจะเป็นระบอบกษัตริย์ ขุนนาง หรือประชาธิปไตย ต้องมีกฎหมาย มีศีลธรรม
> และเป็นธรรม ที่จะควบคุมอำนาจในทางมิชอบ " นายสตีเฟนกล่าว
>
> นายสตีเฟนกล่าวต่อว่า สิ่งที่ประเทศไทยเดินผิดทาง คือ
> การปกครองลักษณะเดียวกับประเทศอาร์เจนตินา ที่อยู่ภายใต้การนำของ " ฮวน เปรอง
> " ที่ไปบอกหากเลือกเขาเป็นผู้นำ จะเอาเงินจากคนรวยมาช่วยคนจน ทั้งที่เมื่อปี
> 1930 ก่อนยุค ฮวน เปรอง อาร์เจนตินาได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่ร่ำรวย
> แต่เมื่อเจอผู้นำเผด็จการทำลายเศรษฐกิจและสร้างพรรคเผด็จการ 70 ปีต่อมา
> อาร์เจนตินากลับต้องเป็นประเทศที่เผชิญกับความยากจนและแตกแยก
> หากประเทศไทยยังปล่อยไว้เช่นนี้ ก็จะประสบชะตากรรมเดียวกันกับอาร์เจนตินา
>
> นายสตีเฟนย้ำอีกว่า ระบบที่ดีอยู่ที่ใครจะสร้างความยุติธรรมในสังคมได้
> หรือใครจะปกครองสังคมอย่างมีศีลธรรม
> ซึ่งต้องมีการตรวจสอบและควบคุมกันและกันได้ เหมือนเช่นรัฐธรรมนูญปี 2540
> ที่นับว่าดี
> แต่มีบางคนที่มีเงินแล้วเข้ามาทำตัวเหมือนหนูที่จะเอาเนยแข็งไปทั้งก้อน
> ทำให้คุณความดีของรัฐธรรมนูญสูญหายไป เกิดเหตุผู้คนไม่พอใจ ทำการประท้วง
> หรือปฏิเสธการประนีประนอม โดยที่ผ่านมาตนได้ยิน พ.ต.ท.ทักษิณ พูดมาตลอดว่า
> เหตุการณ์รัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน ปี 2549 ที่ล้มล้างอำนาจเขา
> นับเป็นการข่มเหงเขามาตลอด ทั้งที่ก่อนหน้านี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่เคยพูดว่า
> ตนเองฝ่าฝืนเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญและทำลายกฎหมายอย่างไร
> ยังไม่นับกับสร้างความชอบธรรมและอะลุ้มอล่วยทางกฎหมาย คือ หากจะพูดให้ชัดเจน
> พ.ต.ท.ทักษิณ เองที่เป็นฝ่ายทำให้กระบวนการล่มสลาย
> และการรัฐประหารเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของการล่มสลายเท่านั้น
>
> " ตอนนั้นผมรู้สึกเศร้าใจ อะไรคือทางออกของไทย ถ้าเดินหน้าต่อไป
> พ.ต.ท.ทักษิณ อาจดำเนินเหตุการณ์ไปจบลงด้วยเผด็จการแบบจีน
> ซึ่งไม่ดีต่อประเทศไทยแน่ๆ แต่ถ้าเลือกรัฐประหารมันก็ขัดรัฐธรรมนูญ
> ซึ่งประเทศไทยไม่ควรตกอยู่ในจุดนั้น ไม่ใช่เพราะกองทัพ
> ไม่ใช่เพราะคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่ใช่เพราะ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์
> แต่เป็นเพราะคนๆนึงกับทีมของเขาเอง " นายสตีเฟน กล่าว
>
> สำหรับกรณี พ.ต.ท.ทักษิณ โทษ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์
> ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ว่าอยู่เบื้องหลังความเดือดร้อนของประเทศ
> นายสตีเฟน กล่าวประเด็นนี้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นคนฉลาดในการพูด ดังนั้น
> เขารู้จักหัวใจคนไทยดี รู้ว่าควรจะพูดอะไรให้คนไทยคิดเหมือนเขา
> ซึ่งในตะวันตกเรียกว่าเป็นผู้ปลุกปั่น
> โดยเขาจะศึกษาตัวตนของคนฟังว่ามีอารมณ์อย่างไร
> แล้วก็พูดในสิ่งที่คนอยากได้ยิน ไม่ใช่ด้วยความรู้สึกชอบหรือห่วงใย
> แต่เป็นเพราะต้องการอะไรบางอย่าง นั่นคือ เสียงโหวตและความภักดี
>
> ท้ายสุด นายสตีเฟนกล่าวว่า
> ตนยังหวังว่าความแตกแยกทางการเมืองในประเทศไทยจะสามารถแก้ไขได้
> ถ้าหากทุกฝ่ายนั่งลงแล้วคุยกันถึงวิธีแก้ปัญหาแล้วทำงานร่วมกัน
> โดยทุกคนควรมีจิตสำนึกในสิ่งที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม จริยธรรม
> และความภาคภูมิใจที่เป็นคนไทย พร้อมทั้งไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนหรือต้องฟังใคร
> รวมทั้ง ที่สำคัญกว่านั้น หากความทะเยอทะยานของ พ.ต.ท.ทักษิณ
> ถูกนำออกไปจากบริบทปัญหานี้ก็น่าจะมีทางออกสักทาง
>
> " ยารสหวานๆ แบบฉบับไทยๆ กินทุกๆ วันเป็นเดือนหรือ 3
> เดือนแล้วคุณจะดีขึ้นเอง
> ดีกว่ายาที่กินวันเดียว แต่คนอาจไม่ชอบ ยานี้คืออะไร
> ผมว่ามันต้องมาจากผู้นำรัฐบาล ผู้นำพรรคการเมือง พวกเขาอาจต้องกลืนยาขม
> จะต้องไม่มีใครรับสินบน ใช้เวลา 3 ปี ตำรวจและทุกๆ คนต้องทำหน้าที่ของตัวเอง
> นี่คือยาขมทำให้คนไทยได้เห็นว่านี่คือกฎเกณฑ์ใหม่ " นายสตีเฟน กล่าว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น