++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

เจรจาลับระดับโลก "สถาปนารัฐไทยใหม่" แลก "พลังงานในอ่าวไทย"!!?

โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ 18 พฤษภาคม 2553 14:09 น.
4 มีนาคม 2546 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในขณะที่เป็นนายกรัฐมนตรี
ได้มาประมาณ 2 ปี
ผู้สื่อข่าวได้ถามเกี่ยวกับกรณีข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ
จะส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาสังเกตการณ์การดำเนินนโยบายปราบปรามยาเสพติดของไทย
หลังจากที่ น.พ.ประดิษฐ์ เจริญไทยทวี กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
นำปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนจากนโนบายดังกล่าว
เข้าไปหารือในเวทีสหประชาชาติ (ยูเอ็น)

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
แสดงความไม่พอใจอย่างรุนแรงและตอบกลับไปด้วยวาทกรรมที่ยากจะลืมเลือน

"คุณอย่ามาห่วง ยูเอ็นไม่ใช่พ่อผม"!!!

ในวันเดียวกันนั้นเอง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ได้เดินทางไปเป็นผู้นำการให้สัตยาบันประกาศเจตนารมณ์ของผู้นำองค์กรปกครอง
ส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศจำนวน 16,000 คน
ในการประกาศสงครามกับยาเสพติดที่เมืองทองธานี
พ.ต.ท.ทักษิณในเวลานั้นได้กล่าวความตอนหนึ่งว่า:

"ต้องกดดันไปทั่วประเทศ หากมัวรอทำทีละขั้นตอนก็ต้องรอไปอีก 10
ชาติ เหมือนดินพอกหางหมู
ดังนั้นขอให้ทุกคนจริงจังกับเรื่องนี้...บางคนเอาเรื่องไปฟ้องสหประชาชาติ
กลัวว่าประเทศไทยจะไม่เสียหาย ทั้งที่สหประชาชาติไม่มีหนังสือมาที่ผม
แต่สื่อมวลชนไทยเสนอข่าวทุกวัน
เราจะมานั่งทะเลาะกันเองในบ้านของเราไม่ได้
ขณะนี้ถือว่าอยู่ระหว่างการรบ"

6 ปีที่แล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
หงุดหงิดฉุนเฉียวกับการร้องเรียนต่อองค์การสหประชาชาติ ข้อกล่าวหาเรื่อง
การ ละเมิดสิทธิมนุษยชนในการฆ่าตัดตอนคดียาเสพติดประมาณ 2,000 ศพ
โดยบอกว่าทำให้ประเทศชาติเสียหาย

เกือบ 6 ปีที่แล้ว ยังมีกรณีการเสียชีวิตของผู้ประท้วงที่ อ.ตากใบ
จ.นราธิวาส ซึ่งมีการทำร้ายร่างกายและจับกุมผู้ประท้วง
แล้วจับใส่รถสิบล้อทำให้ร่างกายของผู้ถูกจับกุมที่ถูกมัดมือนั้นทับ
กันจนขาดอากาศหายใจและเสียชีวิตคราวเดียวถึง 78 ศพ ในเวลานั้น พ.ต.ท.
ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ให้สัมภาษณ์ "บิดเบือน" เอาไว้
เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2547 ความตอนหนึ่งว่า:

"ผมกำหนดนโยบายชัดเจนว่า
ให้ใช้วิธีการควบคุมฝูงชนตามทฤษฎีอย่างถูกต้อง ไม่ให้ใช้อาวุธ ยก
เว้นใช้ปืนยิงขึ้นฟ้าเท่านั้น
ซึ่งเจ้าหน้าที่ปฏิบัติตามทุกอย่างและทำได้ดีมาก ต้องขอชมเชยเจ้า
หน้าที่ทุกฝ่ายในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่มีผลกระทบภายนอก
เป็นเรื่องภายในของประเทศ เพียงแต่ขอร้องสื่อขอให้เสนอข่าวเป็น ข่าว
อย่าแต่งนิยาย ใครแต่งนิยายจะแช่ง... รับรองว่ากรณีที่มีคนตาย ไม่
มีการตายจากทางราชการแม้แต่คนเดียว แต่เกิดจากการชุลมุนของม็อบ
และจากการอดอาหาร ร่างกายจึงอ่อนเพลีย ประกอบกับมีการชุมนุมหนาแน่น
เป็นเรื่องร่างกายล้มเหลวธรรมดา"

นี่คือความอำมหิต
เย็นชาต่อการตายของประชาชนประเทศของนายกรัฐมนตรีในวันนั้น
ซึ่งเป็นผู้นำที่อยู่เบื้องหลังของกลุ่มคนเสื้อแดงในวันนี้!!!

คนที่ไม่ยี่หระกับข้อกล่าวหาเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนเมื่อ 6
ปีก่อน พอ 6 ปีผ่านไปเหล่าบริวารและพวกของนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร
ดัดจริตอยากจะเป็นนักสิทธิมนุษยชนตัวเข้ม
อยากจะเป็นนักร้องเรียนองค์การสหประชาชาติตัวยงไปได้

17 พฤษภาคม 2553 นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย
และนายต่อพงษ์ ไชยสาสน์ ส.ส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย
ยื่นหนังสือต่อองค์การสหประชาชาติ
เรียกร้องให้ยูเอ็นเรียกประชุมคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติ
เพื่อส่งกองกำลังรักษาสันติภาพเข้ามาภายในประเทศไทย
โดยอ้างเหตุว่ารัฐบาลมีพฤติการณ์เข่นฆ่าประชาชน และขอให้ยูเอ็นสอบ
สวนการกระทำผิดละเมิดสิทธิมนุษยชนของรัฐบาลไทย
เพราะมีการสั่งฆ่าประชาชนไปแล้วกว่า 50 คน บาดเจ็บนับพันคน

ปี 2551 พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดนทั้งเจ้าหน้าที่รัฐ
และอันธพาลการเมืองของรัฐบาลยิงอาวุธสงครามและระเบิดเข้าใส่หลายครั้ง
มีคนเสียชีวิต 10 คน พิการสูญเสียอวัยวะ 10 คน และบาดเจ็บนับพันคน ทั้งๆ
ที่เป็นคนไทยด้วยกัน
ไม่เห็นคนเหล่านี้ออกมาเรียกร้องสิทธิมนุษยชนหรือฟ้ององค์การสหประชาชาติแต่
ประการใด

และถ้าอยากจะเป็นนักสิทธิมนุษยชนตัวจริง จะต้องตอบคำถามให้ได้ว่า:

เหตุใดแกนนำคนเสื้อแดง จึงปล่อยให้มีการใช้เด็ก ผู้หญิง
และผู้สูงวัยเป็นเกราะกำบังเพื่อให้ผู้ก่อการร้ายใช้อาวุธสงครามยิงใส่เจ้า
หน้าที่รัฐ?

เหตุใดจึงปล่อยให้คนเสื้อแดงเที่ยวระรานคุกคามทำร้ายร่างกาย
รุมกระทืบประชาชนและสื่อมวลชน?

เหตุใดจึงปล่อยให้มีการบุกโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ คุกคามผู้ป่วย
แพทย์ และพยาบาล จนเป็นผลทำให้ต้องปิดโรงพยาบาล
แล้วประชาชนต้องเดือดร้อนไปทั่ว?

เหตุใดจึงปล่อยให้คนเสื้อแดง เผาไฟไปทั่วเมือง
เป็นอันตรายต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่อยู่โดยรอบ?

และเหตุใดจึงปล่อยให้มีการปล้นสะดมในพื้นที่ควบคุมของคนเสื้อแดงที่
ตั้งด่านอย่างแข็งแรง แม้เจ้าหน้าที่รัฐและประชาชนทั่วไปยังเข้าไปไม่ได้?

นี่มันเป็นพฤติกรรม "โจรสถุลก่อการร้าย" อย่างชัดเจน!!!

ความเป็นห่วงจึงไม่ได้อยู่ที่ว่ากลุ่มคนเสื้อแดงมีความชอบธรรมใดๆ
ที่จะทำให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติต้องจัดประชุมแล้วมีมติให้ส่ง
กองกำลังเข้ามาจัดการในประเทศไทย

เพราะองค์การสหประชาชาติหรือกองกำลังต่างชาติจะไม่สามารถ
เข้ามาแทรกแซงกิจการภายในของประเทศสมาชิกได้
หากไม่ได้รับอนุญาตจากประเทศสมาชิก ตามมาตรา 2 ข้อที่ 4 และข้อที่ 7
ของกฎบัตรสหประชาชาติ ตลอดจนข้อที่ 2 (A), (J) มาตรา 2 ของกฎบัตรอาเซียน
ซึ่งนายอภิสิทธิ์
เวชชาชีวะได้ส่งอีเมลไปยังเลขาธิการองค์การสหประชาชาติแล้วว่าประเทศไทยจะ
แก้ไขปัญหาด้วยตัวเองได้

แต่ความน่าเป็นห่วงในเวลานี้กลับอยู่ที่รัฐบาลว่าจะมีโอกาส
ถูกองค์กรระหว่างประเทศเข้ามาแทรกแซงกิจการภายในประเทศ
เพราะประเทศไทยมีสัญญาณที่จะเป็น "รัฐซึ่งล้มเหลวโดยสิ้นเชิง" (Failed
State)!!!

หลักฐานปรากฏตามที่เป็นข่าวเมื่อ วันที่ 27 เมษายน 2553 นายกษิต
ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
ได้กล่าวในที่ประชุมพรรคประชาธิปัตย์ว่า กำลังถูกกดดัน
และอาจเข้าข่ายการแทรกแซงกิจการภายในประเทศจากองค์กรระหว่างประเทศ เช่น
สห ประชาชาติ ซึ่งรับข้อมูลจากฝ่ายต่างๆ ในไทย ซึ่งได้ "แสดงความ
ไม่มั่นใจในเสถียรภาพของรัฐบาล เพราะเห็นว่าไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายได้"
ซึ่งนายบัน คีมูน เลขาธิการสหประชาชาติ ได้แสดงความเป็นห่วง
ขณะที่ติมอร์ก็ประสงค์ส่งเจ้าหน้าที่มาสังเกตการณ์
แต่กระทรวงก็ได้ปฏิเสธไป

จากหลักฐานที่ปรากฏ
แสดงว่าปฏิกิริยาการแทรกแซงขององค์การสหประชาชาติในเวลานี้
ไม่ใช่เหตุผลที่ว่ารัฐบาลฆ่าประชาชน
แต่เป็นเหตุผลที่ว่ารัฐมีแนวโน้มจะล้มเหลวเพราะบังคับใช้กฎหมายไม่ได้!!!

"รัฐซึ่งล้มเหลวโดยสิ้นเชิง"
ในความเสี่ยงตามสภาพแวดล้อมปัจจุบันหมายถึง การบังคับใช้กฎหมายไม่ได้
จัดการกับผู้ก่อการร้ายไม่ได้ เกิดสงครามกลางเมือง
บ้านเมืองถูกเผาอย่างไร้ขื่อแป เกิดการปล้นสะดมตามอำเภอใจกลางพระนคร
ข้าราชการทหาร-ตำรวจไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง หรือปฏิบัติแล้วไม่มีประสิทธิภาพ
และรัฐบาลไม่สามารถที่จะโยกย้ายข้าราชการทหาร-ตำรวจที่เป็นปัญหาได้
จนรัฐบาลไทยต้องยอมจำนนให้ต่างชาติหรือองค์กรระหว่างประเทศเข้ามาระงับความ
เป็นรัฐที่ล้มเหลวของไทย หรือเข้ามาหยุดยั้งการเข่นฆ่ามนุษยชาติ
เหมือนรูปแบบ "รัฐซึ่งล้มเหลวโดยสิ้นเชิง"
ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในประเทศราวันด้า, โคเซอร์โว, บอสเนีย, คองโก,
ติมอร์ตะวันออก, ซูดาน ฯลฯ

การที่ประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา
และสหประชาชาติได้แทรกแซงชี้นำให้รัฐบาลเจรจากับคนเสื้อแดง
หรือการที่เจ้าหน้าที่สถานทูตหรือเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศบางประเทศ
เข้ามาสังเกตการณ์หรือพูดคุยกับแกนนำของคนเสื้อแดง
หรือการที่สถานทูตออสเตรเลียปิดทำการไม่มีกำหนด ล้วนแล้วแต่เป็น
สัญญาณความไม่เชื่อมั่นในอำนาจรัฐบาลในเวลานี้ว่า
กำลังก้าวเข้าสู่ความเป็น รัฐล้มเหลวแล้วหรือไม่?

และเมื่อเห็นว่ารัฐล้มเหลวและอ่อนแอเกินไป
จึงมีแต่ข้อเสนอให้รัฐบาลไปเจรจากับกลุ่มคนเสื้อแดงซึ่งมีการสนับสนุนจากกอง
กำลังติดอาวุธสงครามของโจรก่อการร้ายของรัฐไทยใหม่!!!

เป้าหมายของกลุ่มคนเสื้อแดงปีกความรุนแรงแห่งรัฐไทยใหม่ในเวลานี้
จึงต้องการยกระดับให้เป็นสากลให้ได้ในทุกวิถีทาง

ทำได้แม้กระทั่งมีกองกำลังพร้อมซุ่มยิงฆ่าทั้งสองฝ่ายทั้ง
ทหารและคนเสื้อแดงเพื่อโค่นอำนาจรัฐให้ได้ ตามสันดานของผู้นำที่อำมหิต
โหดเหี้ยม และเย็นชาต่อการล้มตายของประชาชนหรือแกนนำบางคนซึ่งเป็นพวกเดียวกันเอง

นอกจากสภาพที่รัฐเกือบล้มเหลวแล้ว
กองกำลังเสื้อดำในหมู่เสื้อแดงมีการใช้อาวุธสงครามอย่างหนักหน่วงและไม่มี
วันหยุด ซ้ำร้ายยังมีกองกำลังต่างชาติเข้ามาผสมโรงเข้ามาร่วมสร้างสถานการณ์อีกด้วย
และยังอาจมี ขบวนการเจรจาที่จะมอบผลประโยชน์ของประเทศไทยในอนาคต
ประเคนเป็นบรรณาการในรูปแบบต่างๆ ให้กับต่างชาติที่เข้าร่วมด้วย
หรือที่เรียกว่า "ขายชาติเพื่อช่วยกันสถาปนารัฐไทยใหม่" อีกด้วย

"พลังงาน และน้ำมันในอ่าวไทย" คือแรงจูงใจประการหนึ่ง
อันมหาศาลที่ต่างชาติมองเข้ามา
และพยายามเข้ามาแทรกแซงหรือเปลี่ยนอำนาจรัฐ
แล้วเข้ามาสูบผลประโยชน์ทางพลังงานออกไป คล้ายกับที่เคยเกิดขึ้นมา
แล้วกรณีเรื่องผลประโยชน์แลกเปลี่ยนขายชาติในพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารและ
การแอบตกลงเอาพื้นที่เขตไหล่ทวีปทางทะเลซึ่งเป็นของไทยให้เป็นของกัมพูชา
เพื่อหาผลประโยชน์ทางพลังงานเข้ากระเป๋าส่วนตัวของนักการเมืองเพียงไม่กี่คน

วันนี้ทะเลในอ่าวไทย
มีผลประโยชน์อย่างมหาศาลที่ต้องมีการช่วงชิงของมหาอำนาจชาติต่างๆ
ทั้งที่ต้องรักษาผลประโยชน์ของตัวเองที่มีอยู่และการช่วงชิงทรัพยากรเพิ่ม
เติมในอนาคต เช่น สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส อังกฤษ สิงคโปร์ ฯลฯ

ในขณะที่นักท่องเที่ยวต่างชาติหนีกลับประเทศอยู่ ประเทศต่างๆ
ได้เตือนพลเมืองเรื่องการเข้ามาประเทศไทยในเวลานี้
แต่กลับมีนักธุรกิจและทีมงานขุดเจาะสำรวจน้ำมันยักษ์ใหญ่หลายชาติต่างทยอย
เดินทางเข้ามาในประเทศสวนทางกับบรรยากาศท่องเที่ยวอย่างผิดสังเกต

โลกได้เรียนรู้บทเรียนในการทำสงครามกับอิรัก ประหารนายซัดดัม
ฮุสเซน ประธานาธิบดีของอิรัก
สุดท้ายแล้วก็เพื่อทำให้ประเทศมหาอำนาจที่รุกรานเข้าไปเพื่อยึดครองกิจการ
พลังงานในอิรักทั้งหมด
ด้วยการปั้นข้อมูลว่าประเทศเหล่านี้มีอาวุธนิวเคลียร์
หรืออาวุธสงครามร้ายแรง

โลกได้เรียนรู้ว่า การบุกทำสงครามของสหรัฐอเมริกาไปยังอัฟกานิสถาน
ซึ่งไม่เคยจับนายอุซามะห์ บินลาดินได้
แท้ที่จริงแล้วก็เพื่อสร้างประธานาธิบดีที่ชื่อ นายฮามิด คาร์ไซย์
ซึ่งเคยเป็นที่ปรึกษาของ ยูโนแคล บริษัทน้ำมันของสหรัฐอเมริกา
มาดูผลประโยชน์ของยูโนแคลซึ่งได้ลงนามสัญญาส่งท่อน้ำมันจากอุซเบกิสถาน
เพื่อให้ส่งพลังงานผ่านท่อในดินแดนของอัฟกานิสถานเพื่อที่จะได้ส่งต่อท่อ
พลังงานไปยังท่าเรือที่ปากีสถานให้ได้เท่านั้น

เหมือนกองกำลังสหประชาชาติเข้าไปบุกที่ติมอร์ตะวันออก
เนื้อแท้ที่ปรากฏในภายหลังก็คือ
การให้บริษัทยักษ์ใหญ่มหาอำนาจรักษาฐานอำนาจผลประโยชน์แหล่งพลังงานที่
ติมอร์ตะวันออกต่อไป

หลายสิบปีมานี้ประเทศมหาอำนาจวนเวียนกับการแทรกแซงและคุกคาม
ในประเทศต่างๆ ที่จะนำมาสู่การได้มาซึ่งพลังงานกลับเข้ามาสู่ประเทศของตนเท่านั้น!!!

สมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ประกอบไปด้วย 5
ประเทศ ได้แก่ จีน ฝรั่งเศส รัสเซีย สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา
เมื่อดูประเทศเหล่านี้แล้วก็จะพบว่า
ไม่มีประเทศไหนเลยที่นักโทษชายทักษิณหรือเครือข่ายคนเสื้อแดงยังไม่ส่งคนไป
เจรจา

สำนักข่าว ซีเอ็นเอ็น สังกัดค่ายอเมริกัน
ที่เคยฉีกหน้าทักษิณเป็นชิ้นๆ ในการก่อจลาจลของคนเสื้อแดงเมื่อปีที่แล้ว
กลับกลายเป็นกระบอกเสียงสร้างความชอบธรรมให้กับคนเสื้อแดงในปีนี้
ด้วยการตอกย้ำจับผิดว่าทหารฆ่าประชาชน
เหมือนเหตุการณ์สร้างข่าวบิดเบือนเพื่อสร้างความชอบธรรมให้สหรัฐอเมริกาบุก
ทั้งอิรักและอัฟกานิสถาน

ตรงกันข้ามกับสำนักข่าวอัลจาซีรา ของโลกตะวันออกกลาง
ซึ่งคอยรายงานจับผิด
และเปิดโปงขบวนการก่อการร้ายติดอาวุธสงครามที่อยู่กับกลุ่มคนเสื้อแดงอย่าง
หมดเปลือก

การส่งสัญญาณแทรกแซงกิจการภายในมาจากสหรัฐอเมริกาหลายครั้ง
ให้รัฐบาลไทยเจรจากับคนเสื้อแดง
เมื่อรวมกับกรณีที่ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐ
อเมริกาที่ได้แวะรับประทานอาหารเช้ากับนายจาตุรนต์ ฉายแสง และนายนพดล
ปัทมะ แทนที่จะพบกับเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลไทย
เป็นที่ชัดเจนว่าสหรัฐอเมริกามองผลประโยชน์แห่งชาติอเมริกันบางอย่างที่ได้
จากคนเสื้อแดงนั้นใกล้เคียงหรืออาจจะมากกว่ารัฐบาลไทยชุดปัจจุบัน

หันไปดูที่สาธารณรัฐประชาชนจีน พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ
ก็เดินเกมทางการทูตให้กับพรรคเพื่อไทยอย่างต่อเนื่อง
ไม่ต้องพูดถึงประเทศเพื่อนบ้านซึ่งได้เดินเกมแสวงหาแนวร่วมมาก่อนหน้านี้
ตั้งแต่ตัดสินใจเข้าร่วมกับพรรคเพื่อไทย

ด้านรัสเซีย นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร
สามารถเดินเกมเข้าไปพักอาศัยในรัสเซียได้ด้วยตัวเอง ทั้งๆ
ที่อยู่ในสถานภาพนักโทษ
ซึ่งปรากฏเป็นข่าวน่าสงสัยก่อนหน้านี้ว่าเกี่ยวพันกับการค้าอาวุธสงครามข้าม
ชาติด้วยหรือไม่?

เมื่อหันไปดูที่อังกฤษ
กลุ่มคนเสื้อแดงก็ได้ใช้วิธียื่นหนังสือผ่านทูตสหภาพยุโรปกดดันทางอ้อมแทน
โดยสำนักข่าว บีบีซี
ก็เป็นเสมือนกระบอกเสียงให้กับนักโทษชายทักษิณอย่างต่อเนื่อง

ด้านฝรั่งเศส เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร
ก็ยังสามารถชอปปิ้งอย่างสบายใจอยู่ที่ห้างหลุยส์ วิตตอง ประเทศฝรั่งเศส
ซึ่งหนึ่งในประเทศที่มีบริษัทสัมปทานขุดเจาะก๊าซธรรมชาติและน้ำมันในอ่าวไทย
ที่ได้ไปลงนามกับกัมพูชาในพื้นที่ที่พิพาททางทะเลของไทยกับกัมพูชา ทั้งๆ
ที่ก่อนหน้านี้นักโทษชายทักษิณไม่สามารถที่จะเข้าไปในประเทศฝรั่งเศสได้เลย

ในขณะที่กลุ่มคนเสื้อแดงซึ่งติดอาวุธสงครามยิงใส่เจ้าหน้าที่รัฐ
ใช้เด็กและผู้หญิงเป็นเกราะกำบัง ปล้นสะดมชาวบ้าน เผาบ้านเผาเมือง
เพื่อยกระดับให้รัฐเข้าสู่ความล้มเหลวเพื่อยกระดับสู่สากล

ในอีกด้านหนึ่งแกนนำคนเสื้อแดงก็กลับร้องขอพึ่งพระบารมี "บนเวที"
ให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเข้ามาทรงเป็นผู้ไกล่เกลี่ย
(ระหว่างรัฐบาลไทยกับคนเสื้อแดงที่มีกองกำลังโจรก่อการร้ายติดอาวุธสงคราม
ของขบวนการรัฐไทยใหม่หนุนหลัง) ตามแนวทางของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ
และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ซึ่งได้วางเอาไว้
โดยใช้ต่างชาติมาร่วมกดดันในสถานการณ์นี้ด้วย

ถึงวันนี้บอกได้คำเดียวว่า "ประเทศไทย... มีเวลาเหลือน้อยเต็มที" !!!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น