++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ประเทศไทยที่น่าสงสาร

โดย สิริอัญญา 20 พฤษภาคม 2553 13:45 น.
การชุมนุมของกลุ่ม นปช. ร่วม 2 เดือน
ได้ยุติลงโดยการเข้าสลายของทหารเมื่อเช้าตรู่วันที่ 19 พฤษภาคม 2553
แต่ไม่ทันที่ทหารจะได้เข้าสลาย
แกนนำก็ยอมมอบตัวพร้อมกับประกาศสลายการชุมนุม

หลังประกาศสลายการชุมนุมและเข้ามอบตัวแล้ว
ยังมีโอกาสได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนและถ่ายทอดสดโดยฟรีทีวีหลายช่อง
แสดงเหตุผลว่าเป็นแค่การยอมสลายตัวแต่ไม่ใช่การยอมแพ้

มีการประกาศอย่างชัดเจนที่ถ่ายทอดไปทั่วประเทศว่า
การต่อสู้ยังดำเนินต่อไป และขอให้ต่อสู้กันต่อไป
จนกว่าจะบรรลุถึงอุดมการณ์

และอุดมการณ์ที่ว่านั้นก็คือสิ่งที่ได้ประกาศมาแล้ว
คือการยึดอำนาจรัฐ เปลี่ยนแปลงการปกครอง และสร้างรัฐไทยใหม่

ไม่รู้ว่าสื่อมวลชนจะคาดคิดกันบ้างหรือไม่ว่า
นี่คือการเปิดโอกาสอย่างยอดให้กับการส่งสัญญาณบางอย่าง
หลังจากที่สื่อของกลุ่ม นปช. ถูกรัฐบาลปิดกั้นมาระยะหนึ่งแล้ว

เพราะทันทีที่สิ้นเสียงคำประกาศนั้น
ก็เกิดการเผาบ้านเผาเมืองขึ้นต่อเนื่องกันเป็นลูกระนาด ทั้งในกรุงเทพฯ
และในต่างจังหวัด

ไม่มีใครคิดฝันมาก่อนเลยว่าศูนย์กลางธุรกิจ ศูนย์กลางเศรษฐกิจ
ที่มีชื่อเสียงและสำคัญที่สุดของประเทศที่ก่อตัวก่อตั้งขึ้นหลังสถาปนากรุง
รัตนโกสินทร์ไม่นานเท่าใดนักและเป็นศูนย์กลางแห่งความเจริญรุ่งเรือง
ของกรุงเทพมหานครจะถูกเผาผลาญจนวายวอดเป็นจุณ

อาคารร้านค้า ห้างสรรพสินค้า อาคารชุด ธนาคาร
และบ้านเรือนของราษฎรจำนวนมากในย่านราชประสงค์ สยามสแควร์
ถูกเผาไหม้จนเปลวไฟและควันไฟมืดครึ้มไปทั้งกรุงเทพฯ ตลอดวันที่ 19
พฤษภาคม 2553

โรงหนังสยาม โรงหนังสกาล่า ซึ่งเป็นโรงหนังเก่าแก่
เป็นสัญลักษณ์ของสยาม สแควร์มากว่า 30
ปีแล้วถูกเพลิงไหม้จนวายวอดและถล่มลงมา
ทำให้คนที่เคยมีความหลังอยู่กับโรงหนังทั้งสองแห่งนี้ต้องรู้สึกสลดใจอย่าง
ล้ำลึก

เหตุการณ์เกิดขึ้นกลางวันแสกๆ แต่ไม่มีใครห้ามปราม
ไม่มีใครป้องกัน ไม่มีใครแก้ไข คงปล่อยให้มีการวางเพลิง ปล่อยให้มีการเผา
ปล่อยให้เพลิงไหม้ จนวายวอด

เฉพาะที่เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์นั้นต้องเผากันถึง 3 ครั้ง 3
ครากว่าจะไหม้ไฟ ก็ไม่รู้ว่ามีอะไรนักหนา หรือเคียดแค้นอะไรกันนักหนา
จึงต้องพยายามเผาศูนย์การค้าแห่งนี้ หมายให้ถล่มราบเป็นหน้ากลอง

นอกจากการเผาเมืองในกรุงเทพมหานครแล้ว
ก็ยังขยายพื้นที่ออกไปเผาสถานที่ต่างๆ ในต่างจังหวัดอีกมากมายหลายจุด
ทั้งสถานที่ราชการ ทั้งอาคารสถานที่ของเอกชน

และยังมีการปล้นสะดมอาคารร้านค้าต่างๆ
ประหนึ่งว่ากรุงเทพมหานครนี้เป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน

เริ่มตั้งแต่ทุบประตู เข้าไปขนข้าวของ
และทำลายข้าวของจนหมดเกลี้ยง
แม้กระทั่งการบุกเข้าไปจับกุมพนักงานรักษาความปลอดภัยแล้วปล้นข้าวของจาก
นั้นก็เผาจนวอดวายเป็นจุณ

ที่น่าแปลกใจก็คือ การบุกขึ้นไปเผาสถานีโทรทัศน์ช่อง 3
ซึ่งก่อนหน้านี้ก็เป็นที่รู้ๆ
กันอยู่ว่าเป็นโทรทัศน์ฟรีทีวีที่เลือกข้างและมีพิธีกรหรือผู้จัดรายการที่
เลือกข้างเอียงกระเท่เร่ ปลุกขวัญสนับสนุนให้เกิดความรุนแรง
แล้วป้ายผิดให้พวกอื่นๆ ว่าเป็นคนชั่ว คนร้ายไปหมดก็ยังถูกเผา
จนกระทั่งต้องหยุดการถ่ายทอด

ทุกแห่งที่เกิดเพลิงไหม้ก็มีกระบวนการสกัดขัดขวางไม่ให้เข้าไปดับ
เพลิง บางแห่งแม้เจ้าหน้าที่จะเข้าไปดับเพลิงก็ถูกยิงสกัดจนเจ้าหน้าที่ดับเพลิง
และผู้ที่เข้าไปช่วยเหลือต้องบาดเจ็บล้มตาย

การเผา การปล้น ที่เกิดขึ้นนั้นทำกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน
ตั้งแต่กลุ่มละ 30-50 คน ไปจนถึง 100-200 คน
ซึ่งถ้ามองจำนวนแล้วก็ไม่มากนัก
ไม่น่าจะเกินกำลังความสามารถของเจ้าหน้าที่ได้
แต่เหตุการณ์มันก็เกิดขึ้นโดยที่ไม่มีการป้องกันขัดขวางหรือแก้ไขใดๆ เลย

และพร้อมๆ กับการเผากรุงเทพมหานคร
การเผาในต่างจังหวัดก็เกิดขึ้นไล่เลียงกันเป็นลูกระนาด

กลุ่มที่บุกไปเผาในต่างจังหวัดนั้นก็คล้ายคลึงกับกลุ่มที่บุกเผาใน
กรุงเทพฯ คือมีกลุ่มละประมาณ 30-50 คนบ้าง 100-200 คนบ้าง

การเผานั้นเริ่มต้นเป็น 2 แบบ
แบบแรกเริ่มต้นด้วยการเผายางรถยนต์ด้านนอกสถานที่ก่อนแล้วเข้าไปเผาทีหลัง
แบบที่สองเป็นการเอาน้ำมันเชื้อเพลิงเข้าไปราดเผาโดยตรง

กระบวนการที่เผาแบบนี้และวิธีการที่เผาแบบนี้มีความคล้ายคลึงกันหมด
ทุกแห่ง ประหนึ่งว่ามีการร่ำเรียนซักซ้อมฝึกฝนกันมาก่อน
และสอดคล้องกับสิ่งที่เป็นข่าวมาก่อนหน้านี้

ว่าในการจัดตั้งโรงเรียนการเมืองนั้น
ก็ได้มีการสอนทั้งหลักสูตรการเมืองและการทหาร ตลอดจนการทำลายล้างต่างๆ
ซึ่งได้ขยายตัวกว้างขวางโดยปีเศษที่ผ่านมานี้ก็มีการเปิดโรงเรียนการเมือง
ถึง 400 กว่าแห่ง

ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่มีคนที่เรียนรู้วิธีการเหล่านี้ปรากฏ
ตนขึ้นเป็นจำนวนมาก

เห็นได้จากการจัดเตรียมอุปกรณ์ต่างๆ
ในการตั้งป้อมปราการสำหรับป้องกันตนและป้องกันการเข้าสลายการชุมนุม
กลยุทธ์ในการรวมตัว ในการสลายตัว กลยุทธ์ในการปฏิบัติการปิดถนน
ในการเผาล้อยางรถยนต์เพื่อเป็นม่านกำบังตนและทำให้เกิดการตื่นตระหนก

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงปฏิบัติการของกองกำลังอาวุธ
ที่ได้แสดงอานุภาพที่ไม่ธรรมดาเพราะสามารถยืนหยัดรับมือกับเจ้าหน้าที่ได้
ต่อเนื่องหลายวันโดยไม่มีทีท่าว่าจะเพลี่ยงพล้ำเลย

ยุทธภูมิราชประสงค์และพื้นที่ข้างเคียงเป็นยุทธภูมิจริงๆ
มิใช่สิ่งที่แค่ตั้งเป็นชื่อบทความให้อ่านกันสนุกๆ
เพราะเวลาที่ผ่านมานั้นความจริงก็ได้เผยตัวให้เห็นถึงยุทธภูมิราชประสงค์และ
พื้นที่ข้างเคียงอย่างชัดเจน

ว่าเป็นการต่อสู้กันระหว่างกองกำลังสองฝ่าย
คือกองกำลังของรัฐบาลกับกองกำลังของรัฐไทยใหม่
ที่ต่อสู้กันด้วยอาวุธสงครามร้ายแรง

จะต่างกันบ้างก็ตรงที่กองกำลังของรัฐบาลนั้นปฏิบัติการใน
ลักษณะตามแบบแผน
ในขณะที่กองกำลังของรัฐไทยใหม่ปฏิบัติการในลักษณะสงครามจรยุทธ์ในเมือง

ใครสนใจเรื่องนี้ก็ต้องไปทำความเข้าใจเรื่องการสงคราม
ต้องไปทำความเข้าใจเรื่องสงครามจรยุทธ์
และต้องทำความเข้าใจเรื่องการทำสงครามจรยุทธ์ในเมืองด้วย

เพราะสิ่งที่เรียกว่าสงครามนั้นไม่ใช่แค่ทหารถืออาวุธสู้กันแล้วจึง
จะเป็นสงครามดังที่คนทั้งหลายคิดและเข้าใจกัน

ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ารัฐบาลและเจ้าหน้าที่ของรัฐจะรู้จักสงครามกัน
ถึงแก่นแท้แค่ไหน หรือจะรู้จักชนิดของสงครามครบถ้วนหรือไม่
หรือเข้าใจแต่เพียงว่าสงครามอะไรก็เหมือนกัน
หรือว่ามีแต่เพียงชนิดเดียวเท่านั้น

ความจริงสิ่งที่เรียกว่าสงครามนั้นมีมากมายหลายชนิด เช่น
สงครามปฏิวัติ สงครามปฏิปักษ์ปฏิวัติ สงครามปฏิวัติประชาชาติ
สงครามแบบแผน สงครามจรยุทธ์ สงครามจรยุทธ์ในเมือง สงครามยืดเยื้อ
สงครามจรยุทธ์ประจำถิ่น และยิ่งไม่ต้องพูดถึงการแปรขบวนของสงครามต่างๆ

เช่น การแปรขบวนจากสงครามจรยุทธ์เป็นสงครามแบบแผน เป็นต้น

กฎเกณฑ์ รูปแบบ และวิธีการในการดำเนินสงครามแต่ละชนิดจึงต่างกัน
รูปแบบสงครามบางชนิดอาจถูกข่มหรือถูกทำลายได้โดยรูปแบบของสงครามบางชนิด

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงปัญหาทางยุทธศาสตร์ ปัญหาทางยุทธวิธี เข็มมุ่ง
กลยุทธ์ การยุทธ์และการรบ
ซึ่งแต่ละชนิดของสงครามก็ใช้ต่างกันและด้วยความมุ่งหมายที่ต่างกัน

วันนี้การชุมนุมได้ปิดฉากลงไปแล้ว
เริ่มปรากฏภาพชัดเจนว่าสิ่งที่จะเข้ามาแทนที่คือสงครามกลางเมือง
ที่อีกฝ่ายหนึ่งก็ได้ส่งสัญญาณการทำสงครามกองโจรแล้ว

ดังนั้นอนาคตประเทศไทยจึงน่าห่วงใยและน่าสงสารอย่างยิ่ง
เพราะที่ผ่านมานั้นก็สุดแสนจะอเนจอนาถ
เนื่องจากเมื่อครั้งเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง
พม่าเข้ายึดกรุงแล้วจึงเผาเมือง
เผาวัดวาอารามและพระพุทธรูปสำคัญจนหมดสิ้น
แต่วันนี้ถูกเผากรุงทั้งที่ยังไม่เสียกรุง

ครั้งกระโน้นเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สองเพราะขุนหลวงขี้เรื้อน
หรือครั้งนี้จะต้องเสียกรุงรัตนโกสินทร์ในน้ำมือนักการเมืองขี้เรื้อน?

น่าสงสารประเทศไทย!

1 ความคิดเห็น:

  1. ปัจจุบันคนดีในสังคมเหลืออยู่ประมาณ 30 % จงมาร่วมมือกันช่วย ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ แล้วจะช่วยอย่างไร แวะศึกษาเครื่องมือที่...http://www.ainews1.com/modules.php?name=Web_Board&file=view&No=239

    ตอบลบ