ได้ดูการขึ้นการแถลงของเหล่าแม่ทัพนายกองที่รับผิดชอบในยุทธการ
"ปิดล้อม" หรือที่ ศอฉ.ใช้คำว่า "กระชับวงล้อม" - ซึ่งไม่ใช่ "ล้อมปราบ"
- เมื่อเย็นวันเสาร์ที่ 15 พฤษภาคม 2553 แล้วก็สบายใจขึ้นในระดับหนึ่ง
และเขยิบระดับความสบายใจขึ้นไปอีกนิดเมื่อได้ฟังคำแถลงของนายกรัฐมนตรีในตอน
หลังข่าวภาคค่ำ
นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยืนยันว่าไม่ถอย!
นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ยืนยันว่าวิธีการรักษาชีวิตเลือดเนื้อของคนไทยไว้ให้ได้ดีที่สุดคือพยายาม
ยุติการชุมนุมที่ผิดกฎหมายและแฝงไว้ด้วยกองกำลังก่อการร้ายให้ได้โดยเร็วที่
สุด!!
สาธุ!!
แต่อย่างไรเสีย ผมก็มีความเป็นห่วงอยู่ว่า แค่จะเข้าไป "ปิดล้อม"
นี่ยังถูก "ต่อต้านการปิดล้อม" อย่างหนัก
มีคนเสียชีวิตไปแล้วเฉพาะสองสามวันนี้จนถึงนาทีที่เขียนนี่ก็ 22 ศพแล้ว
มากนะครับสำหรับสังคมไทย
กว่าจะถึงขั้นยื่นคำขาดขีดเส้นตายให้ผู้ชุมนุมยุติการชุมนุมมิฉะนั้นจะเดิน
หน้าเข้าไปเพื่อ "ขอพื้นที่คืน" หรือที่ภาษาชาวบ้านเขาเรียกว่า "สลาย"
นี่ จะกินเวลาอีกกี่วันกี่คืน
และตลอดระยะเวลาที่ว่านี้รัฐจะต้องเผชิญกับยุทธการ "ต่อต้านการปิดล้อม"
ที่น่ากลัวกว่ามาตรการทางทหาร นั่นคือมาตรการทางการข่าว
มาตรการทางการเมือง ทั้งการเมืองภายในประเทศ และการเมืองระหว่างประเทศ
ต้องเข้าใจว่าลำพังรับมือกับคนเสื้อแดงที่มีบ้านเมืองและชีวิตคนเป็น
ตัวประกันก็หนักหนาสาหัสอยู่แล้ว แต่นี่
รัฐยังต้องรับมือกับนักสิทธิมนุษยชน นักสันติวิธี
นักทำงานภาคประชาชนด้านเด็ก สตรี และคนชรา
รวมทั้งการเสนอข่าวของสื่อที่ต่างมุมมองทั้งโดยบริสุทธิ์และโดยน่าสงสัยว่า
จะมีเจตนาแอบแฝง
มันทำให้ปฏิบัติการที่โดยตัวของมันเองก็ยากเย็นแสนเข็ญอยู่แล้วเสมือนถูกปัด
มือปัดเท้าแต่ละก้าวมันมีอุปสรรคพันแข้งพันขาเต็มไปหมด
โอกาสที่รัฐจะพลิกกลับมาเป็นฝ่าย "ถูกปิดล้อม" เสียเอง
ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้!
ถูกปิดล้อมทางการเมือง!!
รูปแบบการแถลงเมื่อเย็นวันเสาร์เป็นเพียงจุดเริ่มต้น
รัฐจะรามือไม่ได้ แต่จะต้องเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง
ด้วยรูปแบบหลากหลายมากยิ่งขึ้น คนของรัฐไม่เพียงพอ
ก็ต้องขอแรงผู้เชี่ยวชาญทางด้านสื่อสารมวลชนที่เขารักชาติรักพระมหากษัตริย์
เข้ามาระดมสมองระดมทีมทำงานช่วยกัน เพื่อทำให้เนื้อหาที่แม่ทัพนายกอง
รวมทั้ง พ.อ.สรรเสริญ
แก้วกำเนิดแถลงและสรุปว่าการตายและบาดเจ็บเกิดจากสาเหตุ 4 ประการ
เสมือนเป็นการนับ 1 เมื่อเย็นวันเสาร์นั้นได้นับต่อ 2, 3, 4, 5, ....
ไปเรื่อยๆ อย่างน่าเชื่อถือ
จะเป็นการทำงานที่หนักหนาสาหัสอย่างต่อเนื่อง
และเกินฝีมือของคนที่โตมาจากฝ่ายกิจการพลเรือนของกองทัพและรัฐมนตรีประจำ
สำนักนายกฯอย่างคุณสาทิตย์ วงศ์หนองเตยจะรับมือกันตามลำพัง
เร่งคิดเร่งปรับจูนโครงสร้างกันเสียแต่วันนี้นาทีนี้ อย่าได้
"คาดไม่ถึง" อีกเป็นอันขาด
เรื่องข้อเท็จจริงในยุทธการก็เรื่องหนึ่ง
แต่ข้อเท็จจริงทางการเมืองที่รัฐจะต้องจับเข่าคุยทำความเข้าใจกับประชาชน
เป็นประการสำคัญที่สุดก็คือความไม่รับผิดชอบของแกนนำคนเสื้อเดง
ทั้งที่ยังอยู่ และที่เปิดตูดไปแล้วอย่างนายวีระ มุสิกพงศ์, นายอดิศร
เพียงเกษ, นายวิสา คัญทัพ, นางไพจิตร อักษรณรงค์ ที่...
"พาคนมาตาย..."
คนพวกนี้ปลุกระดมมวลชนคนยากจนคนด้อยโอกาสทั้งในเมืองและชนบทด้วยวาท
กรรมยิ่งใหญ่อลังการ "โค่นอำมาตย์",
"สร้างระบอบประชาธิปไตยของมวลมหาประชาชน", "สถาปนารัฐไทยใหม่" และ
"สงครามครั้งสุดท้าย" รวมทั้งวาทกรรมหักโค่นแตกหักต่างๆ ผ่านจอทีวี
ผ่านวิทยุชุมชน บนเวทีปราศรัย ต่างกรรมต่างวาระ มายาวนานตั้งแต่กลางปี
2550 รู้เห็นเป็นใจหรืออย่างน้อยก็ไม่ห้ามปรามกับการก่อตั้งกองกำลังติดอาวุธ
ไม่ต้องพูดถึงความไม่บริสุทธิ์ใจเต็ม 100
ตั้งแต่ต้นของบางคนที่เอาวาทกรรมยิ่งใหญ่เชิงอุดมการณ์มากำบังวาระซ่อนเร้น
รับจ้างนักโทษหนีคดีมากระทำการอันเข้าข่ายกบฏแผ่นดิน
บางคนในคนพวกนี้กระทำอนันตริยกรรมมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อคราวเดินแนว
ทางซ้ายจัดอยู่ในจัดตั้งของพรรคคอมมิวนิสต์ไทยสายซ้ายจัดเบี่ยงเบนการ
เคลื่อนไหวอันบริสุทธิ์ของนิสิตนักศึกษาประชาชนไปเป็นการเคลื่อนไหวซ้ายจัด
เอื้อต่อสถานการณ์ล้อมปราบของฝ่ายขวาจัดเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519
บางคนในคนพวกนี้แม้ไม่ได้ลงมือเข่นฆ่าเอง
แต่เมื่อมีคนเตือนให้ปรับแนวทาง กระทั่งให้สลายการชุมนุม พวกเขาก็ไม่ใยดี
แถมบอกในทำนองว่าการล้อมปราบของฝ่ายขวาจัดจะเป็นผลดีต่อการปฏิวัติของ
ประชาชน
บางคนในคนพวกนี้โฆษณาให้เห็นความดีงามและความสวยงามของชีวิตในป่าเขา
ภายใต้เขตอำนาจรัฐแดง
พาคนไปตายในป่าเขาไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไรในขณะที่ตัวเองเป็นฝ่ายนำอยู่ห่าง
การสู้รบ พอป่าแตก เพราะพรรคคอมมิวนิสต์จีนตัดความช่วยเหลือ
ฝ่ายนำกลุ่มซ้ายจัดในพรรคคอมมิวนิสต์จีนถูกโค่นล้ม
ก็กลับเข้าเมืองอาศัยอานิสงค์ของคำสั่ง 66/2523
มามีชีวิตปกติโดยไม่ได้สารภาพบาปต่อสาธารณะแต่ประการใด
บางคนในคนพวกนี้เก็บ "อารมณ์ค้าง" นี้ไว้ในส่วนลึกในใจ
เมื่อมาเจอนายทุนทะเยอทะยานเงินถุงเงินถังอย่างอดีตนายกรัฐมนตรีไร้แผ่นดิน
คนนั้น แผนปฏิบัติการจึงเริ่มถูกกำหนดขึ้น
การสำเร็จความใคร่ทางปัญญาเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง
บางคนในคนพวกนี้ แม้ปากชอบพูดประโยค "ตายสิบเกิดแสน"
แต่ก็เปิดตูดเผ่นก่อนทุกที
รัฐต้องชี้ให้เห็นว่าสังคมไทยจะปล่อยให้คนจำพวกพูดเอามัน
สำเร็จความใคร่ทางปัญญา หลอกลวงผู้คน
อยู่รอดปลอดภัยมั่งมีศรีสุขไปครั้งแล้วครั้งเล่าไม่ได้
ไม่ต้องไปเข่นฆ่า แต่ต้องเปิดโปง ประณาม และดำเนินคดีหากเข้าองค์ประกอบ !
เริ่มต้นด้วยการเปิดโปงและประณามก่อนดีไหม ด้วยความเคารพนะครับ
พรรคประชาธิปัตย์ก็ดูเหมือนจะถนัดงานทำนองนี้อยู่ไม่ใช่หรือ
ไม่อยากจะยกตัวอย่างให้เสียบรรยากาศให้กำลังใจรัฐบาล
ถ้ายังไม่เปิดโปงและประณาม ก็ต้อง "ขอร้อง" ให้พวกที่เปิดตูดออกมา
"พิสูจน์ตัวเอง" ก่อน
นายวีระ มุสิกพงศ์ และนายนางอื่นๆ
แค่เปิดตูดออกมายังไม่คู่ควรแก่การให้อภัยในข้อหาสาธารณะ "พาคนมาตาย..."
ท่านจะต้องออกมาพูดจาต่อสาธารณะเรียกร้องให้คนที่ตื่นเพราะแรงปลุกระดม
สำเร็จความใคร่ทางปัญญาของพวกท่าน
ได้ตื่นจากภวังค์กลับสู่โลกของความเป็นจริง
...เดินออกจากที่ชุมนุม !
แค่เจรจาลับอย่างเดียวไม่พอหรอกครับท่านนายกฯ
ต้องให้เขาออกมาพูดต่อสาธารณะครับ
ได้ผลมากน้อยไม่ใช่ประเด็นสำคัญเท่ากับว่าให้สังคมได้เห็นว่าคนพวก
นี้ยังมีความรับผิดชอบในฐานะมนุษย์อยู่มากน้อยแค่ไหนอย่างไร
คนลั่นกระสุนอาจเป็นกองกำลังไม่ทราบฝ่าย อาจเป็นทหาร
แต่นั่นก็เพียงกระดุมเม็ดสุดท้ายที่ทำให้การเข่นฆ่าสมบูรณ์เท่านั้น
กระดุมเม็ดแรกมาจากการสำเร็จความใคร่ทางปัญญาผ่านปากท่านเหล่านี้
หรือว่าเผลอไปตกปากรับคำ "คุ้มครอง" พวกเขาไปแล้วครับ??
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น