ความเข้มแข็งที่แท้จริง
ไม่ใช่การสะสมความแข็งแกร่งทางกาย
แต่เกิดจากการเอาชนะความอ่อนแอทางใจ
บางทีคุณอาจสะสมความอ่อนแอทางใจ
เพิ่มขึ้นทุกวันโดยไม่รู้ตัว ด้วยอะไรง่ายๆ เช่น
รู้คิดว่าไม่น่าพูด แต่ก็รู้สึกอยากพูด
และพูดตามที่รู้สึกอยาก
รู้ผิดชอบชั่วดีว่าพูดแล้วเป็นบาป เป็นมลทิน
ก่อความเสียหายให้คนอื่น
แต่ก็รู้สึกอยากพูด และพูดตามที่รู้สึกอยาก
เคยเรียนรู้ว่าพูดแล้วเป็นโทษมากกว่าเป็นคุณ
แต่ก็รู้สึกอยากพูด และพูดตามที่รู้สึกอยาก
ก่อนพูดอะไรไม่ดี
คุณจะรู้สึกได้ถึงแรงดันอัดอกให้อยากพูด
ไม่พูดแล้วอึดอัด
เหมือนอะไรจะทะลักออกมา
ถ้าฝืนห้ามก็คันอกคันใจ
คนส่วนใหญ่จึงไม่ทน
และปล่อยให้มันทำลายทำนบกั้น
พรั่งพรูออกมาเป็นคำพูดคำจากระทบหูคน
จึงค่อยโล่งและรู้สึกสมใจที่ได้พูด
ถ้าพูดผิดน้อย แต่รู้สึกผิดมาก
แปลว่าคุณไม่ชินกับความรู้สึกผิด
เพราะที่ผ่านมาไม่ได้มีคำร้ายๆผ่านปากมากนัก
ถ้าพูดผิดมาก แต่รู้สึกผิดน้อย
แปลว่าคุณชินกับความรู้สึกไม่ดีในใจ
เพราะที่ผ่านมายอมให้คำร้ายๆผ่านปากมากแล้ว
การฝึกความเข้มแข็งทางใจแบบพุทธ
อาจเริ่มจากการเลือกคำพูดในชีวิตประจำวันง่ายๆ
เริ่มจากการมีสติรู้สึกถึงแรงดันให้อยากพูดไม่ดี
ขอให้ดูทันทีว่าเมื่อใดเกิดแรงดันชนิดนี้ขึ้น
เมื่อนั้นจะเกิดกำแพงสำนึกผิดชอบ
หรือกำแพงมโนธรรมขึ้นมาขวางไว้เสมอ
อาจบอบบางหรือแน่นหนา
ขึ้นอยู่กับการสะสมที่ผ่านมาของแต่ละคน
สำคัญคือให้สังเกตว่า
หลังจากยอมพูดไม่ดี
ปล่อยให้คำแย่ๆหลุดจากปาก
คุณจะรู้สึกว่ากำแพงชนิดนั้นถูกทำลายลง
และรู้ตัวได้ทันทีว่าไม่มีภูมิต้านทานแรงกดดัน
ให้พูดอะไรแย่ๆอยู่เลย ณ ขณะนั้น
แต่หากยับยั้งได้
เอาชนะแรงกดดันให้พล่อยพูดได้
คุณจะรู้สึกถึงความหนาแน่นขึ้นของกำแพง
กลายเป็นความแข็งแรงทางใจที่เพิ่มขึ้น
รู้สึกเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น
สงบหนักแน่นขึ้นกว่าเดิม ทีละครั้ง ทีละหน
อีกทั้งจะไม่เก็บกด ไม่อัดอั้น
เมื่อสติเจริญพอจะสังเกตว่า
แรงดันไม่ได้เท่าเดิมตลอดเวลา
เมื่อสกัดกั้นได้ มันก็ค่อยๆแผ่วหายไปได้เอง
และแม้จะย้อนกลับมากดดันใหม่
คุณก็เอาชนะได้อีก และแผ่วหายไปเองอีก
รู้อย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ยิ่งบ่อยเท่าไร ใจคุณจะยิ่งเบา
รู้สึกสะอาดขึ้นเรื่อยๆ สงบหนักแน่นขึ้นเรื่อย
จนเข้าใจเองว่า ความเข้มแข็งที่แท้จริงหน้าตาเป็นอย่างไร
ดังตฤณ
กุมภาพันธ์ ๕๘
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น