++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันศุกร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

เวทีนโยบาย:เสรีภาพสื่อเสรีภาพการชุมนุม

โดย ภาณุเบศร์ มหาเรือนขวัญ


โดยนัยแล้วเสรีภาพในการชุมนุม (Right to assembly)
นับเป็นปรากฏการณ์ต่อยอดของเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น (Right to
expression) ของประชาชน
หากเมื่อใดจำกัดเสรีภาพการชุมนุมและเดินขบวนของประชาชนเสียแล้ว
คุณลักษณะความเป็นเสรีประชาธิปไตยจะถูกทอนทำลายลงไป
เพราะนอกจากจะสะเทือนเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นที่เป็นสดมภ์หลักค้ำยัน
แล้ว ยังขัดกับหลักสิทธิมนุษยชนและสิทธิพลเมืองที่ทั่วโลกรับรองด้วย

เนื่องด้วยการชุมนุมและเดินขบวนเป็นการแสดงออกถึงความคิดเห็นแบบรวม
หมู่ (Collective express) ทั้งเชิงสนับสนุน คัดค้าน ต่อต้าน
หรือปกป้องผลประโยชน์ร่วมกันของปัจเจกบุคคลที่รวมตัวกันเป็นมวลชน
ยิ่งเป็นการชุมนุมและเดินขบวนทางการเมืองด้วยแล้วยิ่งพวยพุ่งอุดมการณ์
แรงกล้าฝ่าปราการกางกั้น
การพยายามหยุดยั้งการชุมนุมและเดินขบวนโดยสงบและปราศจากอาวุธจึงเท่ากับ
ยับยั้งพัฒนาการประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมที่ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย

อย่างไรก็ตาม ถ้าการชุมนุมและเดินขบวนอุดมอาวุธและวุ่นวาย
การจำกัดเสรีภาพดังกล่าวย่อมกระทำได้ในนามของการรักษาความมั่นคงสงบเรียบ
ร้อยของชาติบ้านเมือง ความปลอดภัยของสาธารณะ ป้องกันจลาจลหรืออาชญากรรม
ปกปักศีลธรรมหรือการสาธารณสุข หรือปกป้องสิทธิเสรีภาพของบุคคลอื่น
แม้นขณะเดียวกันนั้นจะเผชิญปัญหาว่าจะรักษา 'สัดส่วนสมดุล'
ระหว่างการส่งเสริมกับการจำกัดเสรีภาพด้านนี้อย่างไร

ทว่าด้วยสารัตถะสำคัญของเสรีภาพการชุมนุมและเสรีภาพในการแสดงความคิด
เห็นของบุคคลและสื่อมวลชนไม่ได้เป็นเสรีภาพเด็ดขาด รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550
มาตรา 63 และ 45
จึงบัญญัติให้สามารถจำกัดเสรีภาพดังกล่าวได้ถ้าเพื่อคุ้มครองประชาชนให้ได้
รับความสะดวกในการใช้ที่สาธารณะ
หรือเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยระหว่างภาวะสงคราม ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน
หรือประกาศใช้กฎอัยการศึก
หรือเพื่อไม่ให้ละเมิดสิทธิของบุคคลอื่นหรือขัดต่อประโยชน์สาธารณะ
หรือกระเทือนความมั่นคงของรัฐ ตามลำดับ

อีกทั้งมาตรา 28
ยังบัญญัติว่าบุคคลย่อมใช้สิทธิและเสรีภาพของตนได้เท่าที่ไม่ละเมิดสิทธิและ
เสรีภาพของบุคคลอื่น
ทั้งนี้เพื่อป้องกันการล่วงละเมิดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่นที่อยู่ร่วม
กันในสังคม โดยเฉพาะการชุมนุมและเดินขบวนที่ต้องใช้พื้นที่สาธารณะแสดงพลานุภาพ
พร้อมๆ กับแสดงความคิดเห็นโจมตีกล่าวโทษบุคคลหรือสถาบันต่างๆ

ดังนั้น หนึ่งทางออกของวิกฤตการชุมนุมคือการกำหนดพ.ร.บ.ว่าด้วยการชุมนุมและเดินขบวน
ให้สอดรับกับเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550
ที่มุ่งคุ้มครองเสรีภาพการชุมนุมของประชาชน
และปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (Universal Declaration of Human
Rights: UDHR) ข้อ 19 และ 20
ที่เน้นส่งเสริมเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการชุมนุมโดยสงบ (Peaceful
assembly)

ขณะเดียวกันก็ต้องเปิดประตูคู่ขนานคุ้มครองสื่อมวลชนผู้ดำรงตนอยู่ใน
จริยธรรมวิชาชีพ (Code of conduct)
ไม่ได้ใช้ตำแหน่งหน้าที่แสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวหรือหมู่คณะโดยไม่ชอบธรรม
ให้สามารถนำเสนอข่าวสารและความคิดเห็นที่อยู่บนผลประโยชน์สาธารณะได้อย่าง
เสรี ไม่ให้ถูกทำร้ายตายบาดเจ็บมากมายดั่งปัจจุบันนี้
ที่ไม่เพียงนักข่าวท้องถิ่นจะตกเป็นเหยื่ออยู่เสมอๆ
หากแต่แกนนำมวลชนที่เป็นสื่อมวลชน 'สนธิ ลิ้มทองกุล'
ยังถูกลอบสังหารอุกอาจกลางพระนคร

แน่ละว่าปรากฏการณ์สื่อมวลชนถูกฆ่าเกิดขึ้นทั่วทุกมุมโลก
ไม่ใช่ไทยประเทศเดียว ดังสถิติสมาพันธ์ผู้สื่อข่าวนานาชาติ
(International Federation of Journalists: IFJ) ระบุว่าในปี 2008
มีสื่อมวลชนทั่วโลกถูกฆ่าในภารกิจหน้าที่ถึง 85 ราย
ในจำนวนนั้นเป็นผู้สื่อข่าวไทยเสีย 4 ราย
โดยภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกครองแชมป์นักข่าวถูกฆ่าสูงสุด 31 ราย
รองลงมาเป็นภูมิภาคละตินอเมริกา 19 ราย
หากกระนั้นการพยายามหยุดชีวิตสื่อมวลชนที่เป็นแกนนำมวลชนต่อต้านรัฐบาล
ทุจริตกังฉินนั้นกลับต่างออกไปด้วยเป็นการข่มขู่คุกคามทั้งเสรีภาพสื่อและ
เสรีภาพการชุมนุมในห้วงขณะเดียวกัน

ด้วยระยะยาวแล้วนอกจากความจริงเชิงข้อเท็จจริง (Factual truth)
จากการเจาะข่าวคอร์รัปชัน (Investigative reporting on corruption)
จะชะงักงันอันเนื่องมาจากแรงกดดันมหาศาลทางการเมืองแล้ว
การรวมตัวกันชุมนุมหรือเดินขบวนรักษาประโยชน์สาธารณะยังถูกคุกคามอย่าง
เหี้ยมโหด ด้วยไร้หลักประกันว่าผู้ลุกขึ้นมาหาญหักกับอำนาจอยุติธรรมจะถูกความป่า
เถื่อนล่าสังหารผ่านอาวุธอานุภาพทำลายล้างสูงเมื่อใด

ทั้งนี้ ในสถานการณ์เฉพาะหน้าที่การชุมนุมและเดินขบวนเป็นยุทธวิธีที่ประชาชน
โดยเฉพาะคนปลายอ้อปลายแขมเลือกใช้แสดงความคิดเห็นหรือเรียกร้องประท้วงคัด
ค้านทางการเมืองและอื่นๆ กอปรกับการเวียนมาถึงของวันเสรีภาพสื่อมวลชนโลก
(World Press Freedom Day) ในทุกวันที่ 3 พฤษภาคมของทุกปีที่ผลักดันโดย
UNESCO ตั้งแต่ปี 1993 นั้น
ทุกองคาพยพสังคมไทยน่าจะถือเป็นจุดริเริ่มเสริมแรงกันปกป้องคุ้มครองเสรีภาพ
สื่อมวลชน (Freedom of the press) อย่างแข็งขันเสียที

ด้วย ถึงที่สุดแล้วการปกป้องเสรีภาพสื่อให้มีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นเพียง
ประการเดียวได้สำเร็จ ก็เท่ากับคุ้มครองเสรีภาพการชุมนุม
รวมถึงเสรีภาพของประชาชนด้านอื่นๆ ที่ตามมามากมายด้วย
เพราะเป็นช่องทางผสานพลังปัญญา ศีลธรรม และปฏิบัติการเข้าด้วยกัน

กล่าวอีกนัยหนึ่ง
การแสดงความคิดเห็นของสื่อมวลชนประดุจสะพานเชื่อมร้อยไปสู่เสรีภาพในการ
ชุมนุมของประชาชน
ยิ่งฐานรากแข็งแกร่งยิ่งถ่ายทอดข้อมูลข่าวสารครบถ้วนรอบด้าน
โดยเฉพาะห้วงวิกฤตการชุมนุมที่ทั้งก่อน ระหว่าง และหลังสถานการณ์
ข้อเท็จจริงและความเที่ยงตรง (Truth and accuracy)
สำคัญกว่าการนำเสนอรวดเร็วแต่ขาดการชั่งน้ำหนักและเปรียบเทียบกับข้อมูล
อื่นๆ

การพยายามฆ่าสื่อมวลชนจึงเท่ากับฆ่าความจริงที่ถูกถ่ายทอดสู่สาธารณชน

เช่นนี้ การทำงานของสื่อมวลชนทั่วไปจะมีเสรีภาพ
ปราศจากความกลัวการแทรกแซง คุกคามข่มขู่ถึงขั้นคร่าตายได้อย่างไร
ในเมื่อสื่อมวลชนที่เป็นทั้งแกนนำมวลชนและผู้ก่อตั้งสื่อเครือ ASTV
ผู้จัดการยังถูกลอบสังหารด้วยอาวุธสงครามกลางกรุงเพราะนำเสนอความคิดเห็นแตก
ต่างทุกๆ เช้า

เพราะห้วงขณะสังคมตะโกนก้อง 'ไม่ทำร้ายประเทศไทย
ไม่ใช้ความรุนแรง' อย่างเอิกเกริกนั้น
หาได้มีความพยายามลดทอนความรุนแรงเชิงวัฒนธรรมและโครงสร้างสักเท่าใดนัก
เนื่องจากเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของสื่อมวลชนที่เป็นรากฐานการปกครอง
ระบอบประชาธิปไตยที่ศรัทธาในความคิดเห็นแตกต่างยังไม่ได้รับหลักประกันใดๆ
เลยว่าจะไม่ถูกปิดปากด้วยปากกระบอกปืน

ทั้งๆ ที่การดำเนินการกับสื่อมวลชนที่แสดงความคิดเห็นแตกต่างจะต้องเป็นไปตาม
กระบวนการกฎหมาย ไม่ใช่วิธีการโหดเหี้ยมป่าเถื่อนเช่นนี้
อีกทั้งสังคมไทยยังต้องการความกล้าหาญของผู้มีอำนาจกุมโกร่งไกปืนอย่างชอบ
ธรรมให้เข้ามาคลี่คลายวิกฤตด้วยการจับกุมผู้ลอบสังหาร
ไม่ใช่ปัดปฏิเสธโดยอ้างว่าอาวุธสงครามใครก็มีกันได้

หรือว่าต้องรอให้สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยและสมาคม
นักข่าววิทยุและโทรทัศน์ต้องออกแถลงการณ์ร่วมให้ตำรวจเร่งติดตามจับกุมคน
ร้ายที่ลอบยิงสื่อมวลชนคนอื่นๆ อีก
ถึงจะระบุว่าอาวุธสงครามไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อสังหารประชาชนผู้ชุมนุมหรือ
สื่อมวลชนผู้นำเสนอข้อเท็จจริง
ดังที่พี่น้องและแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเผชิญมา

เมื่อเมืองไทยเคยรณรงค์ 'เสรีภาพสื่อเสรีภาพประชาชน' มาแล้ว
การขยายขอบเขตเป็น 'เสรีภาพสื่อเสรีภาพการชุมนุม'
เพื่อเพิ่มพูนความแข็งแกร่งแก่ระบอบประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมจึงถือเป็นการ
ต่อยอด โดยต้องทวีคูณการเรียนรู้สิทธิเสรีภาพซึ่งกันและกันของภาคประชาชน
เพื่อทุกๆ การชุมนุมจะสงบ ปราศจากอาวุธ
ไม่กระทบสิทธิเสรีภาพของบุคคลอื่นเพื่อการันตีการไม่ถูกแทรกแซงจากรัฐ
รวมถึงการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองก็มุ่งประโยชน์สาธารณะมากกว่าปัจเจก
บุคคล

ตลอด จนเสรีภาพในทางประชาธิปไตยที่เป็นกลไกในการเข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมืองจะ
ได้ผลัดใบใหม่เสียที
โดยมีเลือดเนื้อแลจิตวิญญาณของสื่อมวลชนผู้ไม่ตกใต้อาณัติอิทธิพลคอยหล่อ
เลี้ยง.-

เวทีนโยบายสาธารณะ มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.)

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000049900

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น