การหลงอำนาจของ ป.ป.ช.
โดย สิริอัญญา
วันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ 2557
ป.ป.ช. หรือคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เป็นหน่วยงานอิสระที่พัฒนามาโดยลำดับ ตั้งแต่ยังเป็น กตภ. เรื่อยมาจนเป็น ป.ป.ป. และมาเป็น ป.ป.ช. ในปัจจุบันนี้
การเกิดขึ้นและความหวังในการทำหน้าที่ของ ป.ป.ช. ก็เพื่อการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่น การฉ้อราษฎร์บังหลวง ซึ่งเป็นมะเร็งร้ายของแผ่นดินที่เกาะกินทำลายชาติบ้านเมืองและประชาชนจนยับเยินมาถึงปัจจุบันนี้
เพื่อบรรลุถึงความหวังตั้งใจดังกล่าว จึงได้มีการมอบหมายให้อำนาจแก่ ป.ป.ช. สูงมาก และเป็นอำนาจที่ศักดิ์สิทธิ์มาก เป็นอำนาจที่ครบถ้วนทั้งวงจร
คือมีทั้งอำนาจตักเตือนให้ป้องกันแก้ไข อำนาจในการตรวจสอบ อำนาจในการดำเนินคดี อำนาจในการถอดถอนหรือให้พ้นไปจากหน้าที่ ทำให้ ป.ป.ช. มีทั้งอำนาจบริหาร อำนาจนิติบัญญัติและอำนาจตุลาการบางส่วนอยู่ในองค์กรเดียวกัน
แต่ปรากฏว่าประเทศชาติและประชาชนต้องผิดหวังจากการใช้อำนาจหน้าที่ของ ป.ป.ช. ตลอดมา และยิ่งนานวันก็ยิ่งสิ้นหวังกับองค์กรแห่งนี้ เพราะความจริงในปัจจุบันนี้ชัดเจนแล้วว่า
มีเรื่องราวการทุจริตจำนวนมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ที่คั่งค้างทับถมอยู่ที่ ป.ป.ช. จนเหล่าบรรดาผู้ทุจริตคิดมิชอบต่อแผ่นดินหัวร่อเสพสุขกันอย่างสนุกสนานและคดีจำนวนมากก็ขาดอายุความ จนทำให้ ป.ป.ช. กลายเป็นองค์กรปกป้องการทุจริตแห่งชาติไปแล้ว
ที่สำคัญคือกระบวนการทำงานของ ป.ป.ช. และองค์ประกอบของกรรมการ ป.ป.ช. ส่อว่ามีปัญหาอยู่ในตัว ในประการที่สำคัญดังนี้
ข้อแรก องค์ประกอบของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ล้วนเป็นอดีตข้าราชการซึ่งส่วนหนึ่งเคยทำมาหากินอยู่กับนักการเมือง เคยเป็นลิ่วล้อบริวารนักการเมือง เคยคลุกคลีคราคร่ำอยู่กับการทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวง กระทั่งอยู่ในแวดวงอุปถัมภ์ ทำให้องค์ประกอบของ ป.ป.ช. ไม่บริสุทธิ์ จนกระทั่งมีเสียงตำหนิอย่างรุนแรงว่า “มี 3 เหี้ยอยู่ใน ป.ป.ช.” ซึ่งเป็นเรื่องที่ ป.ป.ช. ต้องสังวรอย่างยิ่ง
ดังนั้นหากมีการปฏิรูปก็ต้องปฏิรูปองค์ประกอบและคุณสมบัติของกรรมการ ป.ป.ช. ด้วย เพราะคนดีศรีแผ่นดินที่ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์นอกวงราชการก็มีอยู่เป็นจำนวนมาก ทำไมจึงต้องผูกขาดไว้เฉพาะอดีตข้าราชการ
ข้อสอง กระบวนการทำงานของ ป.ป.ช. หากดูแต่ผิวเผินก็จะเห็นว่าเป็นองค์กรที่มีความละเอียดถี่ถ้วนในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ จะทำการสิ่งใดก็ต้องมีหลายขั้นหลายตอน อ้างว่าเพื่อให้เกิดความยุติธรรม คือทำตัวเป็นผู้ประสาธน์ความยุติธรรมเสียเอง ความซับซ้อน ซ้ำซาก ของกระบวนการสืบสวนไปสู่กระบวนการแจ้งข้อกล่าวหาและไต่สวน ไปสู่กระบวนการชี้มูลความผิดและดำเนินคดีอย่างยาวเหยียด ไม่สามารถป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติได้ จนเป็นที่เย้ยหยันของบรรดานักโกงบ้านกินเมืองทั้งหลาย
ลักษณะกระบวนการที่หลงอำนาจก็คือ การตั้งตัวเป็นประหนึ่งศาลสถิตยุติธรรมเสียเอง คือในชั้นสืบสวน ชั้นสอบสวน ชั้นไต่สวน ก็จะต้องแสวงหาพยานหลักฐานจนแน่นหนาปราศจากข้อสงสัย ซึ่งเป็นแบบแผนระบบเดียวกันในการเอาผิดในคดีอาญาที่จะลงโทษได้ ก็ต้องมีหลักฐานพยานที่ชัดเจนปราศจากข้อสงสัย
ทำให้คนทั้งหลายหลงผิดคิดว่าเป็นเรื่องดี แต่ตรงนี้นี่แหละคือช่องโหว่มโหฬารที่จะปกป้องคนพาลสันดานโกงให้โกงบ้านกินเมืองกันต่อไป ดังตัวอย่างที่เห็นตำตาก็คือโครงการโกงจำนำข้าว ที่โกงกันต่อเนื่องมาสองปีและโกงกันเป็นจำนวนมโหฬารที่สุดก็ยังจะให้โกงกันต่อไป
อันลำดับชั้นของการแสวงหาพยานหลักฐานนั้นมีหลายระดับดังนี้
ระดับที่หนึ่ง เป็นกรณีที่ต้องมีพยานหลักฐานชัดเจนปราศจากข้อสงสัยอันเป็นหลักในการรับฟังพยานหลักฐานในคดีอาญา ซึ่งเป็นอำนาจของศาลยุติธรรม
ระดับที่สอง เป็นกรณีที่ต้องมีพยานหลักฐานในระดับที่ “เชื่อได้ว่า” คือมีพยานหลักฐานเพียงเชื่อได้ว่าโดยไม่จำเป็นต้องถึงขั้นปราศจากข้อสงสัย
ระดับที่สาม เป็นกรณีที่มีพยานหลักฐานในระดับที่ “น่าเชื่อว่า” คืออ่อนลงมาเพียงแค่น่าเชื่อ ไม่ต้องถึงขั้นว่าเชื่อได้ก็ใช้ได้แล้ว
ระดับที่สี่ เป็นกรณีที่มีพยานหลักฐานในระดับที่ “น่าสงสัยว่า” มีการกระทำความผิดก็ใช้ได้แล้ว
ระดับที่ห้า เป็นกรณีที่รัฐธรรมนูญบัญญัติเกี่ยวกับการสืบสวนสอบสวนและชี้มูลความผิดในคดีทุจริตโกงบ้านกินเมืองของ ป.ป.ช. ซึ่งบัญญัติระดับชั้นพยานหลักฐานแค่ “ส่อว่า” นั่นคือเป็นการรวบรวมพยานหลักฐานเบื้องต้นที่มีน้ำหนักเพียงส่อว่า ป.ป.ช.ก็ต้องดำเนินการไปตามกระบวนการ คือแจ้งข้อกล่าวหา ตรวจสอบไต่สวน และชี้มูลความผิด เพื่อนำพยานหลักฐานในระดับส่อว่านั้นส่งไปยังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
รัฐธรรมนูญและระบบป้องกันปราบปรามการทุจริตในชั้นที่สุดนั้นเป็นของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งใช้ระบบการไต่สวน โดยอาศัยหลักฐานเบื้องต้นที่ ป.ป.ช. รวบรวมในระดับชั้น “ส่อว่า” เท่านั้น ซึ่งศาลฎีกาจะทำการไต่สวนคดีอย่างรอบคอบและละเอียดตามวิธีพิจารณาที่บัญญัติไว้
รัฐธรรมนูญและกฎหมายมอบความไว้วางใจไว้ที่ศาลฎีกา ไม่ใช่ที่ ป.ป.ช. การที่ ป.ป.ช. จะดำเนินการต่อเมื่อมีพยานหลักฐานตั้งแต่ชั้นสืบสวน สอบสวน ชี้มูล ไปจนถึงขั้นดำเนินคดีในระดับที่ปราศจากข้อสงสัย เนื้อแท้ก็คือการปกป้องคุ้มครองการคอร์รัปชั่นนั่นเอง
และเป็นการตัดอำนาจศาลฎีกาอย่างหน้าตาเฉย!
http://www.paisalvision.com/content/88-features/11110----q-q-12--2557.html
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น