เ น มิ ร า ช ช า ด ก
บํ า เ พ็ ญ อ ธิ ษ ฐ า น บ า ร มี ( ๑ )
พระ เจ้าเนมิราช พระราชาของชนชาววิเทหรัฐ ผู้ทรงสงเคราะห์ชาวเมืองมิถิลา ครั้นตรัสพระคาถานี้ว่า ผมหงอกงอกขึ้นบนศีรษะของเราแล้ว ย่อมนำความหนุ่มไป เทวทูตปรากฏแล้ว สมัยนี้เป็นกาลสมควรที่เราจะบวช ดังนี้แล้ว ทรงบริจาคทานเป็นอันมาก ทรงเข้าถึงความเป็นผู้สำรวมในศีล
ในโลกแห่งความเป็นจริง มนุษย์ต่างแสวงหาความพอดี แต่เนื่องจากมีอวิชชามาบดบังดวงปัญญาไว้ จึงทำให้แสวงหาสิ่งต่างๆ มากเกินพอดี จนกลายเป็นความโลภ เป็นผลให้กิเลสพอกพูน การที่ไม่มีหลักธรรมมาคอยกำกับ ทำให้เกิดความอยากอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ส่วนการแสวงหาแก่นสารของชีวิต เพื่อมุ่งไปสู่การไม่ต้องแสวงหาอีก คือ การแสวงหาทางพ้นทุกข์ ยิ่งแสวงหา ความอยากก็ยิ่งลดน้อยลง ความสุขและความบริสุทธิ์กลับจะเพิ่มมากขึ้น การแสวงหาพระรัตนตรัย คือ การแสวงหาแก่นแท้ของชีวิต ชีวิตจะมีแก่นสารเมื่อได้พบพระรัตนตรัย
มีวาระพระบาลีที่ปรากฏใน เนมิราชชาดก ว่า
"พระเจ้าเนมิราช พระราชาของชนชาววิเทหรัฐ ผู้ทรงสงเคราะห์ชาวเมืองมิถิลา ครั้นตรัสพระคาถานี้ว่า ผมหงอกงอกขึ้นบนศีรษะของเราแล้ว ย่อมนำความหนุ่มไป เทวทูตปรากฏแล้ว สมัยนี้เป็นกาลสมควรที่เราจะบวช ดังนี้แล้ว ทรงบริจาคทานเป็นอันมาก ทรงเข้าถึงความเป็นผู้สำรวมในศีล"
พระบรมโพธิสัตว์ทั้งหลายได้สั่งสมบุญบารมีไว้มาก ทำให้เป็นผู้ที่พิจารณาเห็นโลกและชีวิตได้อย่างถ่องแท้ สามารถสอนตัวเองได้ โดยไม่ต้องมีใครมาแนะนำ เพียงแค่เห็นผมหงอกขึ้นบนศีรษะ ก็สามารถพิจารณาถึงความไม่เที่ยงของสังขารร่างกาย และรู้ได้ถึงเทวทูต คือ ความชราที่มาเยือน ก่อนที่จะละสังขาร ท่านจึงหาวิธีการที่ดีที่สุดในการเดินทางไปสู่สัมปรายภพในสุคติภูมิ ด้วยการบริจาคทาน สำรวมในศีล และประพฤติธรรมจนตลอดชีวิต
ครั้งนี้ หลวงพ่อจะนำเรื่องราวการบำเพ็ญบารมีของพระเจ้าเนมิราชโพธิสัตว์ มาเล่าสู่พวกเราได้ฟังกัน เพื่อเป็นกำลังใจในการสร้างบารมียิ่งๆ ขึ้นไปว่า ชีวิตของท่านดำรงอยู่ด้วยความไม่ประมาทอย่างไร สร้างบารมีอย่างไร ชื่อเสียงอันดีงามของท่านจึงขจรขจายไปทั้งในหมู่มนุษย์และชาวสวรรค์ชั้นฟ้า อันเป็นเหตุให้เหล่าทวยเทพอยากเห็นท่านมาก ถึงขนาดยอมให้มนุษย์อย่างท่านขึ้นไปบนสวรรค์ด้วยกายเนื้อ และอัญเชิญให้เสวยทิพยสมบัติในภาวะของความเป็นมนุษย์กันเลยทีเดียว เรื่องของท่านมีอยู่ว่า
* วันหนึ่ง พระบรมศาสดาพร้อมด้วยภิกษุจำนวนมาก เสด็จจาริกไปที่สวนป่ามะม่วงในเวลาเย็น ทอดพระเนตรเห็นภูมิประเทศแห่งหนึ่งเป็นรมณียสถาน มีพระประสงค์จะตรัสบุพจริยาของพระองค์ จึงทรงแย้มพระโอษฐ์ พระอานนทเถระเห็นแสงสว่างจากพระเขี้ยวแก้ว จึงทูลถามเหตุที่ทรงแย้มพระโอษฐ์นั้น บางท่านอาจจะสงสัยว่า พระอานนท์เดินตามหลังจะมองเห็นพระพุทธองค์แย้มพระโอษฐ์ได้อย่างไร
ที่เป็นเช่นนั้น เพราะขณะที่พระองค์ทรงแย้มพระโอษฐ์นั้น เกลียวรัศมีมีประมาณเท่าต้นตาลใหญ่ รุ่งเรืองแปลบปลาบประดุจสายฟ้ามีช่อตั้ง ๑๐๐ พวยพุ่งออกจากพระโอษฐ์ ประหนึ่งมหาเมฆที่ยังฝนให้ตกในทวีปทั้ง ๔ ตั้งขึ้นจากพระเขี้ยวแก้วทั้ง ๔ กระทำทักษิณาวัตรพระเศียรอันประเสริฐของพระพุทธองค์ ๓ รอบ แล้วอันตรธานหายไปตรงที่พระเขี้ยวแก้วนั่นเอง เพราะฉะนั้น แม้พระอานนท์จะเดินตามหลังพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็จะรู้ถึงอาการแย้มพระโอษฐ์ด้วยสัญญานั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า "ดูก่อนอานนท์ ภูมิประเทศนี้ เราเคยอาศัยอยู่ เจริญฌานในกาลที่เราเสวยชาติเป็นมฆเทวราช" ตรัสดังนี้แล้วทรงนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ภิกษุทั้งหลายพากันกราบทูลให้ทรงแสดงธรรม พระพุทธองค์จึงประทับนั่ง ณ บวรพุทธอาสน์ที่ปูลาดไว้ ทรงนำอดีตนิทานของพระองค์มาแสดงถึงประวัติการสร้างบารมีในอดีตชาติ ณ สถานที่แห่งนี้ว่า
ในอดีตกาล ที่กรุงมิถิลา แคว้นวิเทหรัฐ มีพระมหากษัตริย์ทรงพระนามว่า มฆเทวราช พระองค์ทรงเล่นอย่างราชกุมารในวัยเด็กอยู่ ๘๔,๐๐๐ ปี ครองราชย์อีก ๘๔,๐๐๐ ปี เมื่อเสวยราชย์เป็นพระราชาธิราชได้ ๘๔,๐๐๐ ปี ทรงมีพระราชดำรัสกับเจ้าพนักงานภูษามาลาว่า "เมื่อใดเจ้าเห็นผมหงอกบนศีรษะของเรา ขอให้เจ้าช่วยบอกเราด้วย" ครั้นต่อมาอีกหลายร้อยปี เจ้าพนักงานภูษามาลาเห็นเส้นพระเกษาหงอก จึงกราบทูลพระราชา พระองค์ทรงสั่งให้ถอนด้วยแหนบทองคำ และวางไว้ในพระหัตถ์ของพระราชา
พระราชาทอดพระเนตรผมหงอก ทรงพิจารณาเห็นมรณะเป็นประหนึ่งว่ามาใกล้อยู่ที่พระนลาต จึงทรงดำริว่า บัดนี้เป็นกาลที่จะออกผนวช จึงพระราชทานบ้านส่วยแก่เจ้าพนักงานภูษามาลา แล้วตรัสเรียกพระโอรสคนโตมาให้โอวาท พลางรับสั่งว่า "ขอให้ลูกจงครองราชสมบัติโดยธรรมต่อไปเถิด พ่อจักออกบวช เพื่อแสวงหาโมกขธรรม"
พระราชโอรสทรงสงสัยว่า ทำไมเสด็จพ่อถึงตัดสินใจออกผนวช พระองค์จึงตรัสบอกพระราชโอรสว่า "ผมหงอกที่งอกบนศีรษะของพ่อ ได้นำความหนุ่มของพ่อไป เทวทูตได้ปรากฏแล้ว บัดนี้ พ่อจึงออกบวช เพื่อเตรียมตัวเดินทางไปสู่สุคติ" ตรัสดังนี้แล้ว ทรงอภิเษกพระราชโอรสในสิริราชสมบัติ และพระราชทานพระโอวาทว่า "แม้ตัวลูกเองก็เช่นเดียวกัน เมื่อเห็นผมหงอก บนศีรษะเช่นนี้แล้ว พึงบวชเถิด อย่าได้ประมาทในชีวิตนี้เลย" ตรัสฉะนี้แล้ว ทรงเสด็จออกจากพระนคร ได้ผนวชเป็นฤาษีทันที
เมื่อตัดสินพระทัยผนวชแล้ว ทรงหมั่นเจริญสมาธิภาวนาไม่ได้ขาด ท่านได้เจริญพรหมวิหาร ๔ ตลอด ๘๔,๐๐๐ ปี และได้ไปบังเกิดในพรหมโลก แม้พระราชโอรสของพระเจ้ามฆเทวราช เมื่อเห็นผมหงอกบนศีรษะแล้ว ก็ทรงผนวชตามพระบิดา เช่นเดียวกัน เป็นผู้มีพรหมโลกเป็นที่ไปในเบื้องหน้า ประเพณีอันดีงามนี้ได้สืบทอดกันมายาวนานไม่ใช่เพียง ๕ หรือ ๑๐ พระองค์เท่านั้น แต่สืบทอดกันมาตามลำดับนับได้ ๘๔,๐๐๐ พระองค์ นอกจาก ๒ องค์สุดท้ายเท่านั้น นอกนั้นทุกองค์ ต่างอาศัยเหตุที่ผมหงอกเป็นเครื่องเจริญมรณานุสติกันทั้งนั้น โดยตัดสินพระทัยสละราชสมบัติ และออกผนวชในพระราชอุทยานอัมพวันนั้น ครั้นละโลกต่างไปสู่พรหมโลกทุกพระองค์
ส่วนพระเจ้ามฆเทวะที่ทรงบังเกิดในพรหมโลกก่อนกษัตริย์องค์อื่นๆ ได้ตรวจดูราชวงศ์ของพระองค์ว่าเป็นอย่างไร ทุกๆ พระองค์ยังคงรักษาประเพณีอันดีงามนี้ไว้หรือไม่ เมื่อตรวจตราแล้วเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดทรงยินดีเป็นอย่างยิ่ง และทรงพิจารณาต่อไปว่า ต่อไปข้างหน้า ประเพณีอันดีงามของเรานี้ จะมีการสืบต่อไปหรือจะขาดสูญ ทรงรู้ด้วยกำลังแห่งฌานสมาบัติว่า จะไม่อาจดำรงอยู่อีกต่อไป จึงมีความคิดว่า เรานี่แหละ จักสืบต่อวงศ์ของเราเอง
ครั้นดำริเช่นนั้นแล้ว ด้วยความเป็นห่วงราชวงศ์ของพระองค์ จึงตัดสินใจจุติจากพรหมโลก ลงมาถือปฏิสนธิในพระครรภ์แห่งพระอัครมเหสีของพระราชาในกรุงมิถิลา เมื่อประสูติแล้ว พระราชาได้ตรัสเรียกพวกพราหมณ์ผู้รู้ทำนายลักษณะ เมื่อพวกพราหมณ์ตรวจดูพระลักษณะแล้ว กราบทูลว่า "พระราชกุมารนี้เป็นผู้ที่จะมาสืบต่อวงศ์ของพระองค์ เนื่องจากวงศ์ของพระองค์เป็นวงศ์บรรพชิต ต่อแต่พระกุมารนี้ไปเบื้องหน้า จักไม่มีผู้ออกผนวชอีกต่อไป" พระราชาสดับเช่นนั้น ทรงปีติโสมนัสว่า "พระราชโอรสนี้เป็นผู้เกิดมาเพื่อสืบวงศ์ตระกูลของเราโดยแท้" พระราชาจึงทรงขนานพระนามพระโอรสว่า เนมิกุมาร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น