++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันศุกร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2554

รักแท้มีจริง สร้างเสน่ห์

รักแท้จะถามหาความถูกใจเป็นอันดับแรก ฉะนั้น ก้าวแรกของคุณจึงไม่ใช่การกวาดตาหาคนถูกใจ แต่เป็นการรู้จักทำตัวให้น่าถูกใจเสียก่อน!

วิธีที่คุณจะพลาดรักแท้ไปจนตายนั้นง่ายนิดเดียว คือทำอะไรตามใจตัวเองไปเรื่อยๆ

ต่อเมื่อทำความเข้าใจอย่างถูกต้องว่ารักแท้ก็คือกิเลสอย่างหนึ่ง คุณคงเลิกหลงสำคัญผิดคิดว่ารักแท้ไม่ต้องการอะไรเลย คุณจำเป็นต้องลงทุนออกแรงตามใจรักแท้บ้าง ไม่ใช่เอาแต่ตามใจตัวเอง

เมื่อกิเลสต้องการแรงดึงดูดใจ รักแท้ก็ต้องการแรงดึงดูดใจเช่นกัน ถ้าคุณไม่มีแรงดึงดูดใจอยู่ในตัว ก็อย่าไปถามหารักแท้ให้เหนื่อยเปล่า

แรงดึงดูดให้ติดใจ หรือเครื่องเร้าใจให้หลงรักนั้น เราเรียกกันว่า ‘เสน่ห์’ ใครมีเสน่ห์มากแปลว่าคนนั้นน่าติดใจมาก หรือเย้ายวนชวนให้ใครต่อใครตกหลุมรักได้ยิ่งกว่าคนทั่วไป

คนส่วนใหญ่เชื่อว่าเสน่ห์เป็นสิ่งที่สร้างไม่ได้ เพราะเป็นของติดตัวมาแต่เกิด ซึ่งก็เป็นความเชื่อที่ครึ่งผิดครึ่งถูก ขอเพียงรู้เหตุผลอย่างแท้จริงว่าเสน่ห์เกิดจากกรรมและจิตแบบไหน คุณก็อาศัยกรรมและจิตแบบนั้นสร้างเสน่ห์ขึ้นมาในตัวได้

บทนี้เรามาทำความรู้จักกับเสน่ห์มนุษย์ ในแบบที่จะรู้ลู่ทางสร้างเสริมให้คุณพร้อมเป็น ‘แม่เหล็กดึงดูดความรัก’ จะได้ไม่ต้องออกตะลอนพลิกแผ่นดินหาเองให้เหนื่อยเปล่า

เสน่ห์จากบุญเก่า

ถ้าอยากเข้าไปนั่งในหัวใจใคร การมีใบเบิกทางย่อมง่ายกว่าการพยายามออกแรงง้างเป็นไหนๆ

มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่บ้ารูป บ้าเสียง บ้ากลิ่น บ้ารส บ้าสัมผัส ดังนั้นความมีรูปงามและเนื้อหอมจึงเป็นข้อได้เปรียบ นี่เป็นสิ่งที่รู้ๆกัน แต่ที่ไม่รู้เลยคือสิ่งใดเป็นตัวกำหนดให้คนเราต่างกันดังเช่นที่เห็นๆอยู่

คนที่รู้นั่นแหละครับได้เปรียบอย่างแท้จริง เพราะต่อให้เดิมทีมีเสน่ห์ทางรูปกายน้อย ก็เพิ่มให้มากขึ้นได้ด้วยความรู้ความเข้าใจที่ตรงทาง และในทางตรงข้าม คนไม่รู้ก็อาจลดเสน่ห์ที่เคยมากให้น้อยลงได้อย่างน่าใจหาย

สิ่งปรุงแต่งให้รูปกายดูดีมีเสน่ห์คือ ‘บุญ’ และบุญเก่าก็เป็นยิ่งกว่าเวทมนตร์ เพราะเวทมนตร์เนรมิตรูปลวงตาได้เพียงชั่วครู่ แต่บุญเก่าบันดาลรูปจริงเป็นหน้าเป็นตาให้คุณได้ทั้งชาติ!

บุญเก่าทำงานอย่างไร? ก็ปรุงแต่งของน่ารักน่าใคร่ให้เกิดขึ้นในคุณไงครับ!

สัดส่วนที่ลงตัวของรูปพรรณสัณฐานจะเตะตาให้ ‘อยากมอง’ แก้วเสียงที่นุ่มนวลกระจ่างชัดจะสะดุดหูให้ ‘อยากฟัง’ ความน่ามองน่าฟังจะดึงดูดใจให้ใหลหลง แล้วนำไปสู่ความ ‘อยากเป็นเจ้าของ’ ในที่สุด

ดังนั้นถ้ามีคนอยากเป็นเจ้าของคุณทันที เพียงเมื่อเห็นคุณ ปรากฏตัว ก็แปลว่าเสน่ห์จากบุญเก่าของคุณแรงไม่เบา และยิ่งจำนวนคนอยากเป็นเจ้าของคุณมากขึ้นเท่าไร ก็พิสูจน์ว่าเสน่ห์จากบุญเก่าของคุณไม่ธรรมดายิ่งขึ้นเท่านั้น

เมื่อโตขึ้นมา แต่ละคนย่อมรู้ตัวว่าตนเองมีรูปร่างหน้าตาเป็น ‘ใบเบิกทาง’ หรือ ‘ใบสละสิทธิ์’ สำหรับผู้ที่ตระหนักชัดว่ามีหน้าตาเป็นใบสละสิทธิ์ก็อย่าเพิ่งเสียกำลังใจ ขอให้จำไว้ว่า ใบสละสิทธิ์มิใช่สิ่งที่คุณเต็มใจถือมาแต่แรก แล้วก็ไม่มีใครห้ามคุณยกระดับมันขึ้นเป็นใบเบิกทางด้วย ขอให้รู้วิธีเถอะ!

ส่วนพวกที่มีใบเบิกทางหลายใบก็อย่าชะล่า เพราะแม้ใบเบิกทางทำให้คุณได้เปรียบ แต่ก็ไม่ประกันว่าจะรักษาความพิศวาสของใครไว้ได้นาน

ช่องทางสร้างใบเบิกทางอยู่ที่ไหน? ก็อยู่ที่การพูดคุยกันตามธรรมดานี่แหละครับ สิ่งที่คุณควรทำความเข้าใจคือ รักแท้เกิดขึ้นจากการสื่อสาร ไม่ใช่การจ้องหน้ากัน

พูดให้ฟังง่ายคือความหลงรักอาจเกิดจากการจ้องหน้า แต่ถ้าหวังรักแท้ก็ต้องคุยกันให้เกิดความประทับใจและอยากใกล้ชิดได้ด้วย เมื่อใดเข้าใกล้และมีโอกาสพูดคุยกัน คนจะไม่ได้มองรูปทรงองค์เอวของคุณ ส่วนใหญ่สิ่งที่จะกระทบใจพวกเขาคืออากัปกิริยา นัยน์ตา และน้ำเสียง ฉะนั้น ถ้าคุณปรับปรุงเครื่องมือสื่อสารในตัวเองให้จับตาพวกเขาได้ ก็เท่ากับคุณมีใบเบิกทางไม่น้อยหน้าใครอยู่เหมือนกัน

ต่อให้คุณมีใบเบิกทางระดับเฟิร์สคลาสในมือ แต่ดันมีอากัปกิริยา นัยน์ตา และน้ำเสียงเป็นใบสละสิทธิ์ ก็เท่ากับตัดอายุใบเบิกทางลง ไม่อาจถางทางไปสู่รักแท้ได้ถึงไหน

วิธีเพิ่มเสน่ห์ทางอากัปกิริยา นัยน์ตา และน้ำเสียงนั้น มีมากมายร้อยแปดพันประการ แต่ในที่นี้ผมจะให้ทางลัดชนิดที่เห็นผลทันใจ และไม่ต้องเดินทางไปยังศูนย์พัฒนาบุคลิกภาพแห่งใดในโลกทั้งสิ้น

มาว่ากันเป็นอย่างๆเลยนะครับ
๑) อากัปกิริยา

อากัปกิริยาที่เป็นเสน่ห์ ไม่ใช่การพยายามดัดจริตเคลื่อนไหวให้โก้เก๋ แต่เป็นการเคลื่อนไหวที่แสดงถึงความรู้สึกตัว รู้จักจังหวะจะโคน ฉับไวในเวลาที่ควรฉับไว แช่มช้าในเวลาที่ควรแช่มช้า และที่สำคัญคือมีความนิ่มนวลสง่างามในที แบบที่ทำให้คนมองพลอยเกิดแรงบันดาลใจจะมีสติรู้สึกตัวตาม

บุญที่ทำให้เป็นผู้มีอากัปกิริยาท่าทีงาม สง่าและเต็มไป ด้วยความรู้สึกตัว คือการเป็นผู้รู้จักสำรวมในกาละเทศะอันควร โดยเฉพาะกับบุคคลและสถานที่อันเป็นมงคล อาศัยความรู้นี้ คุณก็สามารถทำบุญสร้างเสน่ห์ทางอากัปกิริยาได้ โดยเริ่มจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูง เช่น ทำความเคารพพระปฏิมาบนโต๊ะหมู่บูชาในบ้านด้วยกิริยาประณีต หรือเดินเข้าไปในวัดวาอารามด้วยความสำรวมกายสำรวมใจ

สำรวมไม่ได้แปลว่าเกร็งนะครับ แต่หมายถึงตามสบายอย่างมีสติรู้ทุกการเคลื่อนไหว ไม่กะเปิ๊บกะป๊าบด้วยความฟุ้งซ่านกระเจิดกระเจิง

ใจนั่นเองเป็นผู้ปรุงแต่งกายให้เกิดความ ประณีตและสำรวม ถ้าใจคุณเคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์จริง ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะแสดงกิริยาอันเป็นการเคารพ และกิริยาอันเป็นไปเพื่อความเคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็มีอยู่แค่ไม่กี่แบบ นับเริ่มตั้งแต่ไม่เอะอะมะเทิ่งใกล้เขตพระพุทธรูป เวลาก้มลงกราบมีความนบนอบศิโรราบ ตอนสวดมนต์ตั้งตัวตรงไม่โยกไปเยกมา เมื่อเหม่อลอยหรือฟุ้งซ่านก็ยอมรับว่าเหม่อลอย และค่อยๆหันเหกลับมาอยู่กับบทสวด เป็นต้น กิริยาอันเป็นบุญเหล่านี้ รวมกันแล้วจะทำให้คุณรู้สึกถึงความสว่างทางกายขึ้นมาทีละน้อย

ความรู้สึกว่าสว่างนั้นแหละตัววัดว่าเกิด บุญ ไม่ใช่ของหลอก ไม่ใช่อุปาทาน เพราะเมื่อบุญเกิดใจย่อมเป็นสุข แต่ถ้ายังเกร็งหรือต้องแกล้งฝืนทน คุณก็จะไม่รู้สึกถึงความสว่างและความเป็นสุข นั่นแปลว่าบุญยังไม่เกิดเต็มเม็ดเต็มหน่วย

เครื่องวัดว่าเป็นบุญติดตัวแน่แล้ว คือการเข้าสู่ภาวะสำรวมเรียบร้อยโดยอัตโนมัติเมื่ออยู่ต่อหน้าสิ่ง ศักดิ์สิทธิ์ กับทั้งมีความสม่ำเสมอ คืออยู่ในภาวะนั้นได้นานโดยไม่กระสับกระส่าย เช่น ตั้งแต่เริ่มสวดมนต์จนจบไม่กวัดแกว่งเลย แม้จะต้องกระดุกกระดิกแก้เมื่อยบ้างก็ไม่ทำให้รู้สึกว่าหลุกหลิก ยังคงความนิ่งทางใจไว้ได้สม่ำเสมอ

จากนั้นคุณจะรู้สึกว่าเป็นการง่ายที่จะสงบ สำรวมต่อหน้า ผู้ใหญ่หรือบุคคลผู้ควรให้ความนับถือ ไม่ว่าจะเป็นผู้ทรงศีลในจีวร ตลอดจนบิดามารดาผู้ให้กำเนิดคุณมา และโดยไม่ต้องฝึกพัฒนาบุคลิกตามขั้นตอนใดๆ บุญจะปรุงแต่งให้ทุกอิริยาบถของคุณงามขึ้นมาเอง คือเกิดสัญชาตญาณในการเคลื่อนไหวใหม่ๆ ในแบบที่ทราบได้จากข้างในว่าน่าดู น่ามอง

ถึงจุดหนึ่งคุณจะรู้เอง ว่าความเคลื่อนไหวของกายมนุษย์เป็นเครื่องล่อตาชนิดหนึ่ง เป็นแม่เหล็กดึงดูดสายตาคนได้ และถ้าเนิบนิ่งก็จูงจิตคนเห็นให้นิ่งตามได้ แต่หากคุณลอกแลกหลุกหลิกอยู่ตลอด จะเคลื่อนไหวแต่ละทีกระโดกกระเดกไร้สติ อันนั้นจะเป็นแรงผลักให้คู่สนทนาอยากเบือนหน้าหนี เพราะผู้คนมีจิตฟุ้งซ่านยุ่งเหยิงอยู่แล้ว จึงไม่อยากรับภาพกระทบตาที่ชวนให้ปั่นป่วนหนักเข้าไปใหญ่

แน่นอนว่าบุญใหม่ไม่อาจตกแต่งอากัปกิริยา ของคุณให้สง่า ผ่าเผยที่สุดในโลก เนื่องจากจะไปติดเพดานจำกัดที่สัดส่วนรูปพรรณสัณฐานซึ่งบุญเก่าให้มา แต่อย่างน้อยบุญใหม่ก็จะขับให้ออกท่าออกทางที่เหมาะเจาะที่สุด เท่าที่หัวตัวและแขนขาของคุณจะแสดงได้

อีกสิ่งหนึ่งที่ควรระลึกนะครับ คืออากัปกิริยาเท่ๆควรมากับกลิ่นตัวที่สร้างสรรค์หน่อย ไม่ใช่ขยับแต่ละทีเหมือนโยนสกั๊งใส่หน้าคนดู เป็นเหตุให้พวกเขาต้องเบนหน้าหลบอย่างไม่เกรงใจ หากอาบน้ำบ่อยยังไม่พอ ก็อย่าปล่อยเลยตามเลย ร้านสะดวกซื้อมีคำตอบให้สารพัด ทั้งโรลออนและสเปรย์ดับกลิ่น หากใครแพ้หรือรู้สึกยิ่งแย่หนักเข้าไปใหญ่ ลองซื้อแอลกอฮอล์ใส่ขวดสเปรย์ฉีดก็พอได้ผลเหมือนกัน อย่างน้อยช่วยลดความหมักหมมของแบคทีเรียที่รักแร้ ตลอดจนซอกอับที่หมักดองเหงื่อต่างๆได้บ้างครับ
๒) นัยน์ตา

นัยน์ตาที่เป็นเสน่ห์ ควรฉายแววแจ่มชัด ถ้าสาดประกายจับตาคนมองด้วยยิ่งดี แต่ ทั้งหมดนั้นไม่สำคัญเท่ามนต์สะกดที่ตรึงคู่สนทนาให้อยู่กับคุณได้ ด้วยการทำให้เขารู้สึกว่าคุณมองเขาอยู่คนเดียว และจะไม่ละสายตาไปไหน

บุญที่ทำให้เป็นผู้มีประกายตาเงางาม คือการรู้จักมองผู้อื่นด้วยความเมตตาเอ็นดู หรือเล็งแลสิ่งศักดิ์สิทธิ์ด้วยความเลื่อมใสบูชา อาศัยความรู้นี้ คุณก็สามารถทำบุญสร้างเสน่ห์ในประกายตาได้ โดยเริ่มจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูง เช่น หาพระพุทธรูปที่เห็นแล้วรู้สึกเลื่อมใสจับตาคุณมากๆมาประดิษฐานในห้องพระที่ บ้าน แล้วหมั่นแลมองด้วยสายตาตรงให้เห็นถนัดชัดทั้งองค์ แต่ละครั้งให้นิ่งและนานจนกว่าคุณจะรู้สึกได้ว่าประกายศรัทธาสาดออกมาจาก นัยน์ตาตัวเองอย่างคงเส้นคงวา

ระหว่างอยู่ในชีวิตประจำวัน พยายามมองผู้คนแบบที่จะเห็นความดีงาม ความน่ารักของพวกเขา กระทั่งคุณสามารถมองพวกเขาด้วยความเลื่อมใสคุณงามความดี และอยากมอบความรู้สึกดีๆให้กับพวกเขา อย่าไปจดจ้องอะไรที่เป็นเรื่องแย่ๆหรือคุณสมบัติที่เป็นโทษ เพราะนัยน์ตาคุณจะขุ่น ใจคุณจะเจือด้วยโทสะยามมอง

ส่วนการสร้างมนต์สะกดที่จะตรึงคู่สนทนาไว้ด้วยสายตาของคุณนั้น อยู่ที่วิธีฝึกมองเป็นหลัก ขอให้จำไว้ว่า การสบตาเปรียบเหมือนการเชื่อมกระแสสื่อสารระหว่างจิต การสื่อสารจะราบรื่นถ้ากระแสตาราบเรียบ แต่จะสะดุดเมื่อคุณลอกแลกอยู่ตลอด

การสบตาจะทำให้คู่สนทนาระลึกได้ในภายหลัง ว่าคุยอะไรกัน และการสบตาก็มีบทบาทสำคัญยิ่งเมื่อต้องชักชวนหรือโน้มน้าวให้ใครคล้อยตาม เหตุผลของคุณ

ขอให้สังเกตว่าคนส่วนใหญ่ชอบเลี่ยงหลบไม่ ยอมสบตาคู่สนทนา พวกนี้ถึงตาสวยก็มีเสน่ห์ทางตาน้อย ส่วนอีกพวกหนึ่งแม้สบตาคู่สนทนาบ้าง แต่ก็ขาดๆเกินๆ เช่น บางทีสู้ตาแบบฉันไม่กลัวแก บางทีมองแนวคุกคามข่มขวัญ บางทีมองแบบเสียไม่ได้ บางทีมองแบบฝืนๆ ไม่ให้เกียรติอีกฝ่าย

คุณต้องฝึกความนิ่งในการมอง ยิ่งนัยน์ตาคุณนิ่งอยู่กับคู่สนทนาเท่าไร อีกฝ่ายจะรู้สึกว่าคุณให้ค่า ให้ความสำคัญกับเขาเท่านั้น และที่จะฝึกให้เป็นนิสัยก็ไม่ใช่ด้วยการเลือกที่รักมักที่ชัง คุณต้องฝึกความนิ่งในการมองทุกคน มนต์สะกดจากสายตาของคุณถึงจะอิ่มพลังอยู่ตัว

เริ่มต้นขึ้นมาขอให้ฝึกกับกระจกเงา สบตาตัวเองจะดีที่สุด เพราะได้เห็นๆกันเลยว่าคุณออกแรงน้อยเกินไปจนเหมือนครึ่งกล้าครึ่งแหย หรือว่าออกแรงมากเกินไปจนเหมือนแกล้งเพ่งให้อึดอัดกัน คุณควรเริ่มฝึกจากการมองธรรมดาที่สุด แต่ให้นิ่งนาน กระจกเงาจะฟ้องเลยว่าสายตาคุณแฉลบซ้ายแฉลบขวาบ่อยแค่ไหน โฟกัสเหมาะหรือไม่เหมาะ

โฟกัสที่พอดีที่สุด คือการมองตรงแล้วเห็นใบหน้าทั้งหมด ปกติเรามองเงากระจกเพื่อดูความเรียบร้อยเดี๋ยวเดียว แต่ในการฝึกมองนี้ คุณต้องเห็นทั้งใบหน้าของตัวเองให้นานขึ้น กับทั้งตั้งใจว่าต่อไปคุยกับใครจะเห็นทั้งหน้าของเขาให้ได้อย่างนี้

โฟกัสที่ดีรองลงมา คือการมองตรงแล้วเห็นสองตาพร้อมกันทั้งแนว การเล็งแลแบบนี้เป็นการปะทะสายตาโดยตรง ถ้าเป็นกระแสตาตัวเองที่ตอบมาจากกระจกคุณจะรู้สึกว่าไม่เป็นไร แต่ถ้าเป็นกระแสตาคนอื่น จะขึ้นอยู่กับว่ารังสีตาระหว่างคุณกับคู่สนทนามีความกลมกลืนหรือขัดกัน การมองคลุมเฉพาะแนวตาจึงอาจหมายถึงการท้าทายให้ลองกำลัง หรือหมายถึงการประสานสัมพันธ์ทางใจให้แนบแน่นเป็นพิเศษ ถ้ารู้สึกเป็นลบก็ควรเปลี่ยนไปมองทั้งหน้าจะดีกว่า และเหนื่อยน้อยลงด้วย

โฟกัสที่ไม่ค่อยดีนัก คือการมองตรงบ้าง เหล่มองบ้าง แล้วเห็นได้เพียงตาข้างเดียว การเล็งแลแบบนี้คับแคบ และดูเหมือนเพ่งพินิจมากไป การมองของคุณอาจให้ความรู้สึกแปลกๆ คล้ายไม่เต็มใจ หรือเว้าแหว่งครึ่งๆกลางๆชอบกล

เมื่อแน่ใจว่าสามารถมองตรงด้วยโฟกัสที่เหมาะแล้ว ขั้นต่อไปคือทำตาให้ยิ้มได้ เหมือนมียิ้มอยู่ในตา เพราะ การยิ้มหมายถึงกระแสความชอบใจ หากนัยน์ตาของคุณยิ้มขณะมองใคร ก็แปลว่าการสบตาระหว่างคุณกับเขาเป็นเรื่องน่าชอบใจ และจะดึงดูดให้เขาพลอยรู้สึกชอบใจตามไปด้วย

เริ่มฝึกคือสบตาตัวเองในกระจกพร้อมทั้งยิ้ม มุมปากไปด้วย แล้วสังเกตดูว่าความรู้สึกจากดวงตาเปลี่ยนไปแค่ไหน โดยธรรมชาติกระแสตาจะแปรไปตามวิธีที่ปากของคุณยิ้ม แต่ถ้าปากยิ้มแล้วดวงตาไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่อ่อนโยนลง ก็แปลว่าคุณแค่ฉีกยิ้ม โดยไม่ได้ยิ้มออกมาจากใจเลย

กระจกเงาจะฟ้องให้คุณรู้ตัว และปรับวิธียิ้มเสียใหม่ โดยเริ่มเปลี่ยนที่ใจ แววตาที่อ่อนโยนลงคือหลักฐานว่าใจคุณยิ้มจริง

คุณควรฝึกพิจารณาทั้งการฉีกยิ้มกว้างจนสุด และการยิ้มละไมเพียงน้อย การสนทนาที่ดีควรเริ่มต้นและจบลงด้วยยิ้มกว้างสุด แต่ระหว่างสนทนาควรยิ้มละไมเป็นระยะ

และที่สุดของการสร้างเสน่ห์ในดวงตา คือการพูดโดยไม่ละสายตาไปจากใบหน้าของคู่สนทนา ไม่ว่าเขาจะสบหรือหลบตาคุณ เริ่มต้นฝึกกับกระจกแบบสบายๆด้วยการเตรียมบทพูดอธิบายอะไรก็ได้สักย่อหน้า หนึ่ง ซึ่งอาจหมายถึงย่อหน้าที่คุณกำลังอ่านอยู่นี่เลยก็ได้ โดยทำความเข้าใจแล้วคิดคำอธิบายเอง

เมื่อได้บทพูดแล้ว ให้ค่อยๆพูดเหมือนตอนคุณพยายามทำให้ใครสักคนเข้าใจสิ่งที่คุณต้องการสื่อ ขณะเดียวกันก็สังเกตเป็นจังหวะ ว่าสายตาของคุณแข็งหรืออ่อน ทอดเหม่อหรือว่ายังตรงนิ่ง นัยน์ตาที่สะท้อนความมีสติในการอธิบาย จะมีความตรงนิ่ง กระจ่างชัด และอยู่ในโฟกัสเดิมค่อนข้างคงเส้นคงวา

เครื่องวัดว่าคุณมีเสน่ห์ทางตาแล้ว คือแม้กำลังโกรธก็ไม่อยากส่งตาขุ่นขึ้งคุกคามใคร ต่อให้เล็งแลศัตรูอยู่ ก็เป็นไปในลักษณะอ่อนโยนประนีประนอม ไม่ใช่มองอย่างจะกินเลือดกินเนื้อตามกิเลสขับดัน จะสังเกตลมหายใจไปด้วยก็ได้ ถ้ามองใครแบบฝืนๆ ลมหายใจของคุณจะติดขัด แต่ถ้ามองด้วยความเต็มใจ ลมหายใจจะยาวและนุ่มนวลราบรื่น

และถ้าคุณสามารถถ่ายทอดความรู้ใดๆให้คนอื่น เข้าใจได้ทั้ง ยังสบตาตลอด คุณจะพบว่าสติในการเรียบเรียงคำพูดแข็งแรงขึ้นทุกที และมีคนอยากฟังคำอธิบายจากคุณมากขึ้นเรื่อยๆด้วย นั่นเพราะนอกจากคำอธิบายของคุณจะสื่อออกมาจากจิตที่อยู่ในภาวะแจ่มชัดที่สุด แล้ว ตัวตนทั้งหมดของคุณยังเข้าไปประทับอยู่ในความทรงจำของผู้คน คล้ายมีมนต์เรียกให้อยากกลับมาฟังคุณพูดใหม่อีก

เสน่ห์ทางตาที่อิ่มตัวจะทำให้คุณมั่นใจว่า ตัวเองมีมนต์ สะกดให้ทุกคนรู้สึกดี สงบเย็นลง ตลอดจนชอบที่จะสบตาอย่างเป็นมิตรกับคุณ แน่นอนว่าบุญใหม่ไม่อาจตกแต่งนัยน์ตาของคุณให้เงางามน่ามองที่สุดในโลก เนื่องจากจะไปติดเพดานจำกัดที่คุณภาพของแก้วตาซึ่งบุญเก่าให้มา แต่อย่างน้อยบุญใหม่ก็จะฉายรังสีที่น่าดูที่สุด เท่าที่แก้วตาของคุณจะเปล่งประกายออกมาได้

แล้วก็อย่าลืมสังเกตด้วยนะครับว่ามีขี้ตา ติดอยู่หรือ เปล่า จะหมดท่าเลยล่ะถ้าอุตส่าห์มีมนต์สะกดทางตา แต่ปล่อยให้คู่สนทนาจับได้ว่าขี้ตาไหลไม่ยอมเช็ด
๓) น้ำเสียง

น้ำเสียงที่เป็นเสน่ห์ ควรมีความแจ่มชัดเป็นกังวานนุ่มนวล แต่ละคำถูกเปล่งออกมาเต็มปากเต็มคำโดยไม่มีการดัด และดีที่สุดคือมีชีวิตชีวา เสียงขึ้นสูงลงต่ำอย่างเหมาะกับจังหวะจะโคนตามธรรมชาติ สามารถกล่อมอารมณ์คนฟังให้เพลิดเพลินราวกับเสียงเครื่องดนตรีที่เล่นโดยมือ อาชีพ

บุญที่ทำให้เป็นผู้มีกังวานเสียงน่าฟัง คือการมีใจเป็นสุขกับการพูดจาด้วยถ้อยคำที่เป็นจริง ที่สุภาพไพเราะ ที่ประสานสัมพันธ์ และที่ฟังแล้วเกิดสติทั้งเราทั้งเขา ตลอดจนมีปีติกับการสรรเสริญผู้ควรสรรเสริญเช่นพระพุทธเจ้าและผู้ทรงคุณ ประเสริฐทั้งหลาย อาศัยความรู้นี้ คุณก็สามารถทำบุญสร้างเสน่ห์ให้กับน้ำเสียงได้ โดยเริ่มจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูง เช่น กล่าวสรรเสริญพระพุทธเจ้า พระธรรมคำสอนของท่าน และพระสงฆ์สาวกของท่าน ด้วยถ้อยคำที่เป็นจริง ด้วยความไพเราะ ด้วยความเข้าใจอันดี และด้วยความมีสติ

การกล่าวสรรเสริญพระรัตนตรัยมีมานมนาน ผ่านรูปแบบของการสวดมนต์นั่นเอง บทสวดอันเป็นที่นิยมที่สุดมาจากการจาระไนคุณสมบัติอันเป็นจริงของพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ หรือที่เรียกกันสั้นๆว่าบท ‘อิติปิโส’

สิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัดกับ ‘ผู้สรรเสริญสิ่งศักดิ์สิทธิ์ด้วยใจ’ คือประกายแก้วเสียงที่สดใสเสนาะโสตขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด อาจจะในทันทีที่สวดจบ และแก้วเสียงจะยกระดับขึ้นถาวรเมื่อสวดต่อเนื่องอย่างมีโสมนัสทุกวัน ถ้า คุณจะคิดว่านี่คือคาถาเปลี่ยนเสียงก็ไม่น่าจะเกินจริงนัก ขอเงื่อนไขเพียงต้องท่องคาถาด้วยใจโสมนัสด้วยนะครับ ไม่ใช่ท่องแบบนกแก้วนกขุนทอง

บทสวดภาษาบาลีอาจเป็นอุปสรรคกับความเข้าใจ ซึ่งจะมีส่วนลดทอนความรู้สึกดีๆลงได้ ผมจึงขอนำเอาบทอิติปิโสพร้อมคำแปลมาให้คุณไว้ ณ ที่นี้เลย จะได้ไม่ต้องตามหากันที่อื่นอีก เวลาสวดเอาเฉพาะคำบาลี แต่ให้น้อมใจไปตามประมาณคำแปลนะครับ

อิติปิโส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจะระณะสัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู อะนุตตะโร ปุริสสะธัมมะสาระถิ สัตถาเทวะมะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ

(ส่วนนี้เป็นการกล่าวตามสัจจะความจริงที่ ว่า พระพุทธเจ้าเป็นผู้ไกลจากกิเลส เป็นผู้ตรัสรู้ชอบโดยพระองค์เอง เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้อันวิเศษและความประพฤติชอบ เป็นผู้ไปดี เป็นผู้รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง เป็นผู้สามารถฝึกผู้ควรฝึกได้อย่างไม่มีใครเสมอเหมือน เป็นครูผู้สอนของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานในธรรม เป็นผู้มีความสามารถจำแนกธรรมสั่งสอนสัตว์)

สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม สันทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปะนะยิโก ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิติ

(ส่วนนี้เป็นการกล่าวตามสัจจะความจริงที่ ว่า พระธรรมคำสอนเป็นสิ่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว เป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาและปฏิบัติตามพึงเห็นจริงได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องให้ผู้อื่นบอกหรือยืนยัน เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้จริงโดยไม่จำกัดกาล เป็นสิ่งที่ควรชักชวนผู้อื่นให้มาเห็นตามกัน เป็นสิ่งที่ควรน้อมเข้ามาใส่ตัว และเป็นสิ่งที่ผู้รู้พึงรู้ได้เฉพาะตน รู้เผื่อคนอื่นไม่ได้)

สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ยะทิทัง จัตตาริ ปุริสสะ ยุคานิ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อาหุเนยโย ปาหุเนยโย ทักขิเนยโย อัญชะลิกะระนีโย อะนุตตะรัง ปุญญะเขตตัง โลกัสสาติ

(ส่วนนี้เป็นการกล่าวตามสัจจะความจริงที่ ว่า สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ปฏิบัติดี ผู้ปฏิบัติตรง ผู้ปฏิบัติสมควร ผู้ปฏิบัติเพื่อรู้จักธรรมอันนำออกจากทุกข์ได้แล้ว ย่อมได้ชื่อว่าเป็นอริยบุคคล มีโสดาบัน สกทาคามี อนาคามี และอรหันต์ อันนับเป็นสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าอย่างแท้จริง เป็นผู้สมควรแก่เครื่องสักการะที่เขานำมาบูชาหรือต้อนรับ เป็นผู้ควรรับทักษิณาทาน เป็นผู้ที่บุคคลทั่วไปควรประนมมือไหว้ เป็นเนื้อนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งไปกว่า)

ย้ำว่าเสียงที่ไพเราะที่สุด เกิดขึ้นเมื่อคุณมีความสุขที่จะพูดให้เต็มเสียง โดยถ้อยคำพรั่งพรูออกมาจากหัวใจที่ชื่นบาน และบุญแบบลัดๆที่จะสร้างความมั่นใจว่าคุณสามารถพูดแบบสายน้ำไหลรินได้ ก็คือท่องบทสวดให้ขึ้นใจ แล้วเปล่งเสียงอย่างต่อเนื่องเป็นจังหวะจะโคน ไม่ช้าเกินไป ไม่เร็วเกินไป กับทั้งระวังอย่าให้มีการกระแทกเสียง นอกจากนั้นคุณต้องค้นให้พบด้วยว่าระดับเสียงควรสูงหรือต่ำเพียงใดจึงฟังแจ่ม ชัดที่สุด

เลือกเวลาเช้าหรือเย็นก็ได้ สวดอิติปิโสสักสองสามจบ หรือสวดจนกว่าจะรู้จักความสุขอันเกิดจากการเปล่งเสียงสรรเสริญอย่างต่อ เนื่อง ถ้าฟังเสียงสวดของตัวเองแล้วใจเย็นลง มีความสงบและอบอุ่นผาสุก คล้ายปากกำลังยิ้มอยู่น้อยๆตลอดเวลาที่สวด นั่นแหละใช้ได้แล้ว

หลังจากนั้นพอออกไปพูดคุยกับใคร ให้ใช้ใจอันเบิกบานแบบเดียวกันในการขับเสียง และเปล่งเสียงออกมาให้ชัดถ้อยชัดคำที่สุด บุญอันเกิดจากการใช้เสียงสรรเสริญพระรัตนตรัย จะช่วยให้คุณเกิดสัญชาตญาณในการพูดให้น่าฟังไปเอง

คุณบางคนอาจเป็นพวกขาดความมั่นใจในการพูด คุย แค่เริ่มต้นก็หงอแล้ว ทำท่าเหมือนพะอืดพะอมที่จะต้องตั้งหลักเจรจาแล้ว ถ้าเป็นเช่นนั้นต่อให้แก้วเสียงล้ำเลิศเพียงใดก็คงเปล่าประโยชน์

เคล็ดลับการเพิ่มความมั่นใจให้อยากคุยมี อยู่นิดเดียว คือตั้งต้นเจรจา หรือ ‘ทักทาย’ ให้มีพลัง คือทำให้คู่สนทนารู้สึกว่าคุณดีใจที่เห็นเขา และเต็มใจที่จะเปล่งเสียงขานชื่อของเขา เมื่อเริ่มต้นดี การพูดคุยที่ตามมาจะแตกต่างไปเอง

เพื่อฝึกทักทายให้เป็นนะครับ ไปยืนหน้ากระจกที่เห็นได้ทั้งตัว เสมือนกำลังเผชิญหน้ากับคนอื่นอยู่ แล้วเปล่งเสียงว่า สวัสดี! (แล้วเอ่ยชื่อคุณเองตามหลัง) เมื่อได้ยินเสียงทักตัวเองแล้วก็ให้สำรวจดู หากรู้สึกแจ่มใส รู้สึกสดชื่นขึ้นกว่าเดิม หรือรู้สึกว่าชื่อของคุณมีค่าควรเรียกขานให้เต็มเสียง ก็ให้จำไปทักคนอื่นแบบเดียวกันทุกประการ แต่หากรู้สึกทะแม่งๆ หรือกระทั่งรู้สึกห่อเหี่ยว มีอาการคล้ายกล้ำกลืนก้อนฝืนอยู่ในอก อันนี้ก็ขอให้ปรับแต่งเสียใหม่ เอาให้รู้สึกว่าเงาในกระจกมันทักคุณเหมือนดีใจที่ได้เห็นคุณ และเหนี่ยวนำให้คุณพลอยดีใจที่ได้เห็นมัน

คุณจะพบว่าถ้าตั้งใจจริงๆ การฝึกทักทายให้คนดีใจจะใช้เวลาแค่ ๕ หรือ ๑๐ นาทีเท่านั้น แต่สามารถจำเอาไปใช้ได้ตลอดชีวิตที่เหลือ ซึ่งเท่ากับมีกระสุนเชื่อมไมตรีไว้ยิงเข้าหัวใจคนได้ทุกครั้งที่ทักทายพวก เขา การทักทายให้คนดีใจได้สำเร็จ จะนำมาซึ่งความเชื่อมั่นในการพูดคุยได้ออกรสไปเอง

และยิ่งถ้าบวกบุญอันเกิดจากการพูดคุยกับผู้ คนอย่างมีสติ มีเจตนาดี พูดแต่คำที่เป็นจริง พูดแต่คำที่เป็นประโยชน์ คุณก็จะยิ่งเห็นผลอันน่าอัศจรรย์ แม้บุญใหม่ไม่อาจตกแต่งเสียงของคุณให้เพราะพริ้งที่สุดในโลก เนื่องจากจะไปติดเพดานจำกัดที่คุณภาพของแก้วเสียงซึ่งบุญเก่าให้มา แต่อย่างน้อยบุญใหม่ก็จะขับเสียงที่ไพเราะที่สุด เท่าที่แก้วเสียงของคุณจะเปล่งออกมาได้

แล้วก็อย่าลืมอีกนิดหนึ่ง น้ำเสียงเพราะๆควรมากับกลิ่นปากหอมๆนะครับ ถ้าพูดแต่ละทีมีกลิ่นเหมือนคุณอมหนูตายไว้ในปาก ก็คงไม่มีใครอยากฟังเป็นแน่ ถ้าใช้ยาสีฟันยี่ห้อดีแล้วไม่เวิร์ก ก็ต้องปรึกษาหมอฟันเพื่อรักแท้กันต่อไป
เสน่ห์อย่างชาย

แค่ความรวยอย่างเดียว ก็อาจเป็นแรงกดดันให้หลายคนเข่าอ่อนยอมกายโดยง่าย แต่ความรวยอย่างเดียว ไม่เคยมีพลังมากพอจะบีบใครให้ใจอ่อนยอมรักได้เลย

เสน่ห์อย่างชายหมายถึงแรงดึงดูดที่ทำให้เพศ หญิงสะดุดตา หรือสะดุดใจ เมื่อพูดถึงเสน่ห์อย่างชาย เกือบร้อยทั้งร้อยมักคิดถึงความกำยำล่ำสัน และผู้หญิงนั้น ถ้าไม่แกล้งอายก็ต้องยอมรับว่าสนใจองค์ประกอบสำคัญทางกายแห่งชายชาตรีมากโข อยู่

แน่นอนว่าเครื่องเพศเป็นตัวดึงดูดสายตาได้ เป็นเครื่องกระตุ้นให้เพศตรงข้ามอยากขึ้นเตียงด้วยได้ ตลอดจนเป็นผงชูรสซองสำคัญของรักแท้ได้ อันนี้เป็นความจริงประจำโลกรู้ แต่เสน่ห์ชายไม่ได้มีแค่ที่กายอย่างเดียว ไม่ว่าสมัยนี้หรือสมัยไหนนะครับ ถ้าเอาหนุ่มน้อยอายุ ๒๐ สูงล่ำดำดกแต่ตกงาน มายืนคู่กับชายวัย ๔๐ พุงพลุ้ยหัวเถิกแต่เบิกให้ทีละแสน รับรองว่าสาวๆกรี๊ดหนุ่ม ๒๐ แต่เลือกจดทะเบียนกับชาย ๔๐ เกือบยกบาง!

นี่แปลว่าอะไร เสน่ห์แห่งความเป็นชายมีหลายแบบ และแต่ละแบบก็มีน้ำหนักให้ชั่งวัดกันด้วยหรือ? ใช่แล้ว! ก็เซ็กซ์นั้น พอเคยๆแล้วก็รู้ครับว่าเป็นเรื่องเดี๋ยวเดียว แต่เงินนี่สิเรื่องยาวกันทั้งชีวิต อันไหนสำคัญกว่าไม่ต้องนั่งเถียงกันหรอก

ยุคอินเตอร์เน็ตนี้คนส่วนใหญ่ไม่เลือกมาก คือถ้ารู้ว่ารวยก็เลือกเลย องค์ประกอบอื่นไม่ต้องพูดถึง ประมาณว่ามีเงินแล้วค่อยหาชู้ แต่ต้องอยู่กับคนมีเงินให้ได้ก่อน!

ด้วยค่านิยม ‘เลือกเงินก่อน’ ของคนยุคเรา จึงเป็นเหตุให้เกิดคติ ‘รักแท้แพ้เงินสด’ แล้วก็พูดกันติดปากเสียด้วย เพราะเหตุนั้นเอง คนยุคเราจึงศรัทธาในรักแท้น้อยลงทุกที ค่าของหัวใจถูกตีค่าเป็นเงิน แล้วเสน่ห์อย่างชายก็ถูกมองเป็นความสามารถในการควักกระเป๋า ใครควักได้มากกว่าแปลว่าเสน่ห์แรงกว่าชายอื่นหมด

ข้อเท็จจริงก็คือถ้ามี ๕๐ ล้านเป็นเศษเงิน คุณอาจซื้อร่างนางเอกระดับประเทศไปนอนด้วยได้ แต่ต่อให้ทุ่มตั้ง ๕๐๐ ล้าน คุณก็จะไม่มีทางซื้อแม้รักจากใจของสาวบ้านนา! หรือมีเงินแค่ร้อยเดียวอาจจ้างให้สาวขี้เล่นที่ไหนก็ได้พูดว่า ‘ฉันรักคุณ’ แต่ต่อให้เงินตั้งร้อยล้าน คุณก็ไม่อาจละลายความโลภที่ห่อหุ้มหัวใจผู้หญิง เพื่อฉายแสงรักออกมาให้คุณรู้สึกได้จริงๆเลย!

นั่นเพราะรักแท้ไม่ได้สร้างด้วยเงิน แต่ด้วยความพอใจ!

สรุปคือทั้งเซ็กซ์และเงินไม่ใช่เสน่ห์อย่าง ชายที่จะดึง ดูดรักแท้มาหาคุณ ตรงข้าม พวกมันเป็นเพียงเหยื่อล่อให้คุณวิ่งเตลิดออกห่างจากรักแท้ และยากจะหาทางกลับได้เจอ เพราะใจที่กร้านโลกจะทำให้คุณเห็นไปว่าโลกนี้มีแต่การแลกซื้อเซ็กซ์กันด้วย เงิน และความรักเป็นเพียงนิทานหลอกเด็กเท่านั้น แถมคุณก็จะเจอแต่ผู้หญิงที่ช่วยยืนยันความเชื่อพรรค์นั้นไปตลอดชีวิต ไม่มีโอกาสรับรู้เลยว่าโลกนี้ยังมีผู้หญิงอีกพวกหนึ่งอยู่

คุณลักษณ์เด่นแห่งความเป็นบุรุษมีอยู่มาก มายหลายหลาก แต่ขอเพียงคุณมี ‘รากฐานความเป็นวีรบุรุษ’ เพียงสองข้อ ก็จะลากจูงคุณลักษณ์ความเป็นชายอื่นๆเข้ามาเองในภายหลัง ดังนี้ครับ
๑) ความเป็นที่พึ่ง

ความเป็นที่พึ่งเป็นภาวะที่สอดคล้องกับเพศ ชาย เพราะธรรมชาติให้ความแข็งแกร่งกับร่างกายมามากกว่าฝ่ายหญิง หมายความว่าถ้ามองที่ร่างกาย ยิ่งใครสูงใหญ่ล่ำสันและสง่างามเท่าไร ก็จะยิ่งดูเป็นที่เกาะที่พึ่งมากขึ้นเท่านั้น แต่ถ้ามองกันที่จิต ก็ต้องดูกันตรงความหนักแน่นมั่นคงเป็นหลัก เพราะความหนักแน่นมั่นคงคือลักษณะของคนที่เอาตัวรอดได้ แก้ปัญหาได้ ตลอดจนพร้อมจะช่วยเหลือคนอื่นได้

ภาวะแกร่งกล้าที่เห็นกันง่ายๆด้วยตาเปล่าใน แวบแรก คือเสน่ห์จับตาชั่วคราว ต้องรู้จักและเห็นพฤติกรรมกันสักระยะหนึ่ง คุณจึงรู้ได้ว่าภาวะแกร่งกล้าที่เห็นคือไม้หลักปักขี้เลน หรือเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรอย่างแท้จริง ภาวะที่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรนั่นแหละ คือเสน่ห์จับใจถาวร

เสน่ห์อย่างชายในข้อนี้จึงเป็นสิ่งที่ดูยาก ถ้าคุณเล่นกีฬาเก่ง ขยันฟิตซ้อมทุกวัน ร่างกายและจิตใจก็ดูแข็งแกร่งมั่นคงพอจะเตะตาสาวๆให้นึกอยากกรี๊ดได้ ต่อเมื่อพวกเธอลองมาอยู่ใกล้สักพัก แล้วพบว่าคุณอ่อนไหว ขี้น้อยใจ ถือสาเอาเรื่องหยุมหยิมมาเป็นอารมณ์ แถมในกระเป๋าแทบไม่มีเงินสักบาท อีกทั้งยังเห็นแก่ตัว ไม่ยอมแม้จะช่วยเธอถือของหนักให้ อย่างนี้เจอสองสามทีเธอก็รู้แล้วว่าคุณเป็นแค่ไม้หลักปักขี้เลน ไม่น่าเล่นด้วยหรอก

แต่บางคนมีนะครับ ที่ทำบาปไว้ในปางก่อน เช่น ชอบทำตัวกร่างอวดศักดาไปทั่ว ชาติปัจจุบันจึงถือกำเนิดในร่างอ้วนเตี้ย ขาสั้นเหมือนขาตั้งโต๊ะสนุ้ก หรือไม่ชาติก่อนก็เคยกดขี่ข่มเหงเพศหญิงเป็นอาจิณ ชาติปัจจุบันจึงถือกำเนิดด้วยรูปร่างเล็กบางน่ารังแก ทว่านิสัยใจคอในชาตินี้เป็นพวกชอบช่วยคน เป็นที่พึ่งได้เสมอมาและเสมอไป พอสนิทกับเขาสักพัก ท้ายสุดเราจะเลิกขำบุคลิกภายนอก แต่จะอยากสรรเสริญหัวใจพ่อพระของเขาไม่ขาดปากไปแทน

เพื่อสร้างความเป็นที่พึ่งให้เกิดขึ้นในตนอย่างครบวงจร คุณจึงจำเป็นต้องหมั่นออกกำลังกาย รวมทั้งสร้างความเชื่อมั่นในคุณค่าของตนเองด้วยการบำเพ็ญตนเป็นผู้อุปการะสังคม จะมากหรือน้อยก็ตาม ขอเพียงให้สม่ำเสมอเป็นพอ

เริ่มต้นขึ้นมาไม่ต้องคิดอะไรยากๆ ทำอะไรยากๆหรอกครับ แค่ทำหน้าที่ตรงหน้าของตัวเองให้เสร็จ รู้สึกว่าเอาตัวรอดได้ เป็นที่พึ่งของตัวเองได้ ก็นับว่าจุดชนวนเสน่ห์อย่างชายได้แล้ว เพราะคนเราจะเป็นที่พึ่งให้คนอื่นได้ ต้องมีความรู้สึกขั้นพื้นฐานว่าเป็นที่พึ่งของตนเองได้เสียก่อน

จากนั้น พอได้ยินเสียงขอความช่วยเหลือเมื่อไรก็อย่าดูดาย โลกนี้เต็มไปด้วยเสียงขอความช่วยเหลือ ใช้ชีวิตอยู่ดีๆ เดี๋ยวคุณก็ต้องได้ยินเอง พอมองแล้วเห็นเป็นคนที่สมควรได้รับการช่วยเหลือและก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรงของ คุณ ก็ช่วยไปเถอะ

สำคัญคือ อย่าหวังผลตอบแทนจากพวก เขา ให้หวังผลตอบแทนจากธรรมชาติ คือถ้าช่วยสำเร็จแต่ละครั้ง ก็เท่ากับสร้างเสริมภาวะทึ่พึ่งในตนเองให้แกร่งขึ้นทีละหน ความภาคภูมิใจกับการเป็นที่เกาะ เป็นที่พึ่งให้คนอื่นได้นั่นแหละ คือรางวัลอันคุ้มค่าเหนื่อยแล้ว

เมื่อทำบุญจนเกิดภาวะความเป็นที่พึ่ง ขึ้นในคุณ ไม่ว่าเดิมทีคุณจะรูปร่างหน้าตาเปราะบางหรือบึกบึน จิตใจคุณจะห้าวหาญขึ้น มีความหนักแน่นมั่นคงขึ้น เต็มใจฝ่าอุปสรรคมากขึ้น จนผู้หญิงรู้สึกได้ถึงความเป็นเกราะกำบังคุ้มแดดคุ้มฝน หรืออย่างน้อยที่สุดคือเห็นคุณมีดีพอจะปกป้องเธอ ให้ความอบอุ่นกับเธอได้
๒) ความเป็นผู้นำ

ความเป็นผู้นำคือสิ่งที่พัฒนาต่อยอดมาจากความเป็นที่พึ่ง ถ้าคุณยังเป็นที่พึ่งให้ตนเองและคนอื่นไม่ได้ ก็ยากมากหรือเป็นไปไม่ได้เลยที่คุณจะเป็นผู้นำ

และภาวะผู้นำก็เป็นภาวะที่สอดคล้องกับเพศ ชายเช่นกัน เพราะธรรมชาติให้สัญลักษณ์ทางเพศเป็นฝ่ายเริ่มต้นก่อน ไม่ใช่ฝ่ายตาม หมายความว่าถ้ามองที่ร่างกาย ยิ่งใครมีโหงวเฮ้งดูเด็ดเดี่ยว เป็นตัวของตัวเองมากขึ้นเท่าใด ก็จะยิ่งดูเป็นผู้นำมากขึ้นเท่านั้น แต่ถ้ามองกันที่จิต ก็ต้องดูกันตรงความมีสติอยู่กับเนื้อกับตัวเป็นหลัก เพราะ ความมีสติอยู่กับเนื้อกับตัว คือลักษณะของคนที่คิดเองได้ รู้ผิดรู้ชอบเองได้ ไม่ตามคนอื่นด้วยเหตุผลทางอารมณ์ ตลอดจนไม่เอาแต่ตามใจตนด้วยอัตตามานะ

ความเป็นผู้นำไม่ได้ตั้งต้นจากการเป็นหัวหน้าคนอื่น เพราะตำแหน่งหัวหน้าไม่ได้ประกันว่าคุณจะนำใครได้ โดยที่แท้แล้ว ความเป็นผู้นำตั้งต้นจากการเป็นผู้ริเริ่มก่อน และสิ่งที่ริเริ่มนั้นต้องเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ไม่ใช่ประโยชน์เฉพาะตน

ถ้าจะแสดงความเป็นผู้นำ คุณต้องกล้าคิด กล้าพูด กล้าทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าแน่ใจว่าดีแล้ว ถูกแล้ว อย่าได้หันรีหันขวางถามใครว่าควรทำไหม ให้ลงมือทำเลย กับทั้งทำอย่างมีพลังมากพอจะก่อกระแส กระทบหูกระทบตาคนอื่นให้เกิดแรงบันดาลใจใคร่ทำตาม หรือกรูมาช่วยเหลือคุณคนละไม้คนละมือโดยไม่ต้องบีบบังคับกัน

ความเป็นตัวของตัวเอง อาจนำคุณไปสู่ความเก่งกล้าสามารถยากจะหาใครเสมอเหมือน หรือดีกว่านั้นคือมีความริเริ่มสร้างสรรค์โลกใหม่ที่แตกต่าง เพราะตั้งต้นขึ้นมาคุณจะไม่กลัวการทุ่มเทชีวิตทั้งหมดให้กับงานที่คุณพอใจ ไม่กลัวที่จะต้องใช้ชีวิตแตกต่างจากคนอื่น หรือได้รับผลประโยชน์น้อยกว่าคนอื่น จึงไม่ค่อยมีเส้นทางทับกับคนอื่นเขา หาใครมาแข่งด้วยยาก

บุญที่จะทำให้เกิดสัญชาตญาณผู้นำนั้น เกิดจากการเป็นผู้คิดริเริ่มในการบุญและทำสำเร็จ เป็นไปตามเป้าหมาย ตลอดจนจูงใจคนรอบข้างให้เห็นดีเห็นงาม ยอมให้ความร่วมมือ และเชื่อมั่นว่าคุณรู้จักทิศทางไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง

การเริ่มทำบุญเพื่อสร้างภาวะผู้นำนั้นง่ายกว่าที่คิด แค่หัดเริ่มชักชวนคนใกล้ตัวให้เห็นดีเห็นงามตามคุณในทางที่ชอบที่ควร ก็นับเป็นบุญที่จุดชนวนภาวะผู้นำขึ้นมาได้แล้ว

และโลกนี้ก็เต็มไปด้วยสถานที่ที่พร้อมจะให้ คุณบำเพ็ญ บารมีผู้นำ อย่างเช่นตามสถานสงเคราะห์ คุณมีสิทธิ์เปลี่ยนชีวิตของเด็กอนาถาจากภาวะไม่รู้หนังสือ ให้กลายเป็นคนอ่านออกเขียนได้ เพียงอาสาไปเป็นครูสอนเพียงอาทิตย์ละวัน แต่ละวันใช้เวลาไม่นาน การตั้งใจเดินทางไปเปลี่ยนชีวิตคนอื่นให้ดีขึ้น โดยไม่มีใครขอ โดยไม่มีใครชักชวนนั่นแหละ จุดเริ่มต้นของความเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่

ผู้หญิงจะรู้สึกดีที่สุดกับผู้ชายที่นำเธอ ได้ หมายถึงว่านำได้ในระดับของความคิด เปลี่ยนความเข้าใจ เปลี่ยนวิธีมอง ตลอดจนเปลี่ยนแปลงนิสัยบางอย่าง ฉะนั้น ชายที่ทอดอาลัยตายอยากกับชีวิต กระทั่งลุกขึ้นประกาศหาหญิงสาวสักคนที่จะมาทำให้ชีวิตของตนเปลี่ยนแปลงไปใน ทางดีขึ้น จึงไม่รู้ตัวว่าได้มอบเสน่ห์อย่างชายให้กับฝ่ายหญิง ตลอดจนนำความเป็นหญิงมาสู่ตนเสียแล้ว!
เสน่ห์อย่างหญิง

คุณอาจหลอกให้คนอื่นหลงรูปภายนอกอันสะสวย แต่ไม่มีทางหลอกให้รักตัวเองได้เลย ตราบเท่าที่รู้อยู่แก่ใจว่าภายในยังน่าเกลียดขนาดไหน

เสน่ห์อย่างหญิงหมายถึงแรงดึงดูดที่ทำให้ เพศชายสะดุดตา หรือสะดุดใจ และเมื่อกล่าวถึงเสน่ห์อย่างหญิง เกือบร้อยทั้งร้อยมักคิดถึงดวงหน้า ทรวงอก สะโพก เรียวแขน ปลีขา กับอื่นๆที่เป็นความเย้ายวนล่อตาให้น้ำลายหก

และนั่นเอง ผู้หญิงส่วนใหญ่จึงคิดว่าหมดสวยเมื่อไรก็ไร้ค่าเมื่อนั้น อายุยิ่งมากขึ้นเท่าไร เหมือนยิ่งมีความผิดติดตัวที่ต้องปิดบังอำพรางซ่อนพิรุธกันมากขึ้นทุกวัน

นารีมีรูปเป็นทรัพย์ และรักแท้ก็ต้องการ ‘ทรัพย์’ ดังกล่าวของผู้หญิงไม่มากก็น้อย ยิ่งรูปทรัพย์ของฝ่ายหญิงมากขึ้นเท่าใด แรงดึงดูดก็มากขึ้นตามส่วน หากปฏิเสธข้อเท็จจริงนี้ ก็เท่ากับไม่พยายามทำความรู้จักกับรักแท้ให้ถึงแก่น

ผู้ชายบางคนอุตส่าห์ฉลาดมาทุกเรื่อง แต่พอเจอสาวสวยทีเดียวก็เข้าโหมดโง่ทันที ขออะไรให้หมด ถ้าโชคดีเธอรักผู้ชายคนนั้นจริงก็ลงเอยสวยเหมือนรูปร่างหน้าตาของเธอ แต่ความจริงมักไม่ใช่เช่นนั้น ผู้หญิงสวยจะรู้สึกอยู่ลึกๆว่าผู้ชายที่มาหลงรูปเธอเป็นพวกหน้าโง่ ไม่มีค่าพอให้เทใจไปรักจริง

มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ผู้หญิงสวยจะพบอย่างรวดเร็ว ว่าเมื่อใดผู้ชายหลงใหลเสน่ห์แห่งรูปกายเธอ ใจเขาจะเหม่อลอยไร้สติ เหมือนเจอมนต์สะกดหรือถูกสาปให้ไม่เป็นตัวของตัวเอง ภาวะเหม่อลอยขาดสติมันเข้ากันได้กับความฉลาดเสียที่ไหน เสนอหน้าให้เห็นเมื่อไรคุณจะคิดทันทีว่าหน้าโง่ๆนี้โผล่มาอีกแล้ว เหมือนตัวคุณเป็นกับดัก และเขาก็เป็นกวางน้อยที่เข้ามาติดกับอย่างง่ายดาย

แล้ววัดจากความรู้สึกของตัวเอง คุณชอบอยู่กับคนโง่กว่าหรือ? ก็อาจจะชอบอยู่หรอก แต่เอาไว้หลอกใช้นะครับ ไม่ใช่เอาไว้เป็นคู่ชีวิต!

แม้จะรำคาญพวกหน้าโง่และแอบด่าอยู่ในใจแค่ไหน ผู้หญิงก็ยังภูมิใจที่มีทาสความงามเป็นบริวารเยอะๆอยู่ดี หลาย คนรู้ตัวดีว่าความภูมิใจในตนจะพอกพูนขึ้นพร้อมๆกับความรังเกียจตัวเอง มองกระจกแล้วหลงรักเงาสะท้อนที่อ่อนหวานงดงามไร้ที่ติ แต่ปิดไฟมืดเมื่อไรเป็นต้องอึดอัดกับความคิดร้ายๆที่หาดีไม่ได้ร่ำไป

ความขัดแย้งในตัวเองมักดำเนินไปเรื่อยๆ ผ่านเดือนผ่านปีไปถึงจุดหนึ่ง ที่ต้องยอมรับว่าเกลียดตัวเองจนเบื่อแม้แต่เงาในกระจก ในกระจกไม่มีอะไรมากกว่าผู้หญิงหน้าตายู่ยี่ ขี้รำคาญ ไม่สบอารมณ์ไปหมด แต่งให้สวยด้วยเครื่องสำอางยี่ห้อไหน ก็ลบรอยยับอันเกิดจากโทสะไม่ได้อยู่ดี

อยู่กับผู้ชายที่ทำให้เธอเกลียดตัวเอง ในที่สุดเธอจะเกลียดผู้ชายคนนั้นเข้าไส้!

ฟังอย่างนี้แล้ว ผู้หญิงที่หน้าตาธรรมดาลงไปจนถึงขี้เหร่จึงไม่น่าไปตั้งความอิจฉาริษยาอะไร กับผู้หญิงสวยเกินเหตุทั้งหลาย เพราะส่วนใหญ่พวกคุณเธอก็มีปัญหาอันเกิดจากความสวยให้ต้องสะสางกันจนกว่าจะ หมดสวยนั่นแหละ สำคัญคือถ้าไม่สร้างเสน่ห์อย่างหญิงที่แท้จริงไว้แต่เนิ่นๆ พอหมดเสน่ห์ทางกายเมื่อไรก็ไร้ค่าขึ้นมาจริงๆเมื่อนั้น

คุณลักษณ์เด่นแห่งความเป็นสตรีมีอยู่มากมาย หลายหลาก แต่ขอเพียงคุณมี ‘รากฐานความเป็นเทพธิดาในฝัน’ เพียงสองข้อ ก็จะลากจูงคุณลักษณ์ความเป็นสตรีอื่นๆเข้ามาเองในภายหลัง ดังนี้ครับ
๑) ความเป็นที่ฝากใจ

ความเป็นที่ฝากใจเป็นภาวะที่สอดคล้องกับเพศ หญิง เพราะธรรมชาติให้ความละมุนละไมกับร่างกายมามากกว่าฝ่ายชาย หมายความว่าถ้ามองที่ร่างกาย ยิ่งใครมีสัดส่วนโค้งงอนชวนมองมากขึ้นเท่าไร ก็จะยิ่งดูน่าเอาใจไปฝากไว้มากขึ้นเท่านั้น แต่ถ้ามองกันที่จิต ก็ต้องดูกันตรงความอ่อนโยนเป็นหลัก เพราะความนิ่มนวลอ่อนโยนคือลักษณะของคนที่เป็นสุขกับตัวเองได้ เผื่อแผ่ความสุขให้คนอื่นได้ ตลอดจนปลอบใจให้ใครๆหายว้าวุ่นได้

ความอ่อนโยนจะทำให้สีหน้าของผู้หญิงสงบ เยือกเย็นลง ธรรมชาติออกแบบให้ผู้หญิงดูดีที่สุดเมื่ออ่อนโยน แต่ก็ธรรมชาติเช่นกันที่เหมือนจะให้จิตผู้หญิงโน้มเอียงไปในทางแข็งกระด้าง หรืออยากอาละวาดเกรี้ยวกราด ขนาดอยู่ดีๆก็แกล้งให้ร่างกายผิดปกติ มีเลือดไหลได้ทุกเดือน ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลงชวนให้เห็นอะไรขวางหูขวางตา ขนาดหมาบิดขี้เกียจยังผิด!

ความอ่อนโยนที่เห็นกันง่ายๆด้วยตาเปล่าใน แวบแรก จึงถือเป็นเสน่ห์จับตาชั่วคราว ต้องรู้จักและเห็นพฤติกรรมกันสักระยะหนึ่ง คุณจึงรู้ได้ว่าผู้หญิงแต่ละคนควบคุมความโยกเยกทางอารมณ์ได้เพียงใด ความอ่อนโยนที่เห็นคือลมอ่อนต้นพายุร้าย หรือเป็นสายลมรำเพยเย็นสบายหายห่วงอย่างแท้จริง ความเป็นสายลมรำเพยนั่นแหละ คือเสน่ห์จับใจถาวร

เสน่ห์อย่างหญิงในข้อนี้อาจดูยาก เรือนกายที่แบบบางน่าทะนุถนอมของเธอบางคนอาจหลอกตา เห็นยิ้มละไมแล้วชวนให้ทุกคนนึกว่าเธออ่อนหวานน่ารัก น่าหนุนตัก แต่ที่ไหนได้ เข้าใกล้เดี๋ยวเดียวนางมารร้ายเริ่มออกจากที่ซ่อน ถึงแม้ไม่มีเขี้ยวโผล่ออกมาจากเหงือก คุณก็นึกออกอยู่ในใจชัดเลยล่ะว่าเขี้ยวยักษ์และเล็บมารเป็นอย่างไร

แต่บางคนมีนะครับ ที่ทำบาปไว้ในปางก่อน เช่น ชอบอาละวาดฟาดงวงฟาดงากับคนสนิท อย่างเช่นสามีหรือลูกหลาน ชาติปัจจุบันจึงถือกำเนิดในร่างร้าย หน้าตาดุดันเหมือนนางโจร ทว่านิสัยใจคอในชาตินี้เป็นพวกไม่ชอบมีเรื่องมีราว หนักนิดเบาหน่อยอภัยได้ อยู่ใกล้แล้วสบายใจเสมอ พอสนิทกับเธอสักพัก ท้ายสุดคุณจะเลิกเบะปากให้กับความ ‘ไม่สวยอย่างแรง’ ของเธอ เมื่อใดอยากเข้าหาศาลาพักใจ ใบหน้าของเธอจะลอยเด่นขึ้นมาก่อนใครเพื่อน

เพื่อสร้างความเป็นที่ฝากใจให้เกิดขึ้นในตน เริ่มต้นขึ้นมาก็แค่หัดอภัยให้เป็น อย่าเก็บเรื่องที่แล้วไปแล้วมาคิดมาก อย่าเอาเรื่องไม่เป็นเรื่องมาเป็นเรื่อง แล้วที่สำคัญอย่าหาเรื่องก่อน เพศชายรบกันเองมากพอแล้ว พวกเขาจึงต้องการเขตปลอดสงครามไว้พักรบบ้าง ผู้หญิงคนไหนทำตัวเป็นเขตปลอดภัยไร้พิษสง หรือดีกว่านั้นคือเป็นเขตอภัยทานสำหรับเขา เขาก็จะรู้สึกถึงเสน่ห์น่าเข้าใกล้ ร้อนเมื่อใดเป็นต้องนึกอยากมาหาความเย็นอย่างคุณเมื่อนั้น

เขยิบขึ้นมาอีกขั้นหนึ่งคือหัดรับฟังปัญหา ของคนอื่น รู้จักปลอบด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นเป็นเหตุเป็นผล อย่าถือโอกาสสั่งสอนหรือเผลอตัวใช้น้ำเสียงกดข่มให้เขารู้สึกโง่นะครับ อันนั้นนอกจากไม่สร้างแล้วยังทำลายเสน่ห์อย่างแรงด้วย

เมื่อทั้งตัวของคุณกลายเป็นเครื่องผลิตความ เย็น แถมเห็นช่องทางที่จะปลอบคนอื่นให้รู้สึกดีขึ้นได้ คุณจะเป็นที่คิดถึงของคนหลายคน ความเป็นที่คิดถึง ความเป็นที่อยากฝากใจของหลายคนนั่นเอง คือเสน่ห์อย่างหญิงที่สำคัญยิ่ง
๒) ความเป็นผู้ดูแล

ความเป็นผู้ดูแลคือสิ่งที่พัฒนาต่อยอดมาจากความเป็นที่ฝากใจ ถ้าใจคุณแคร์คนน้อย ก็ยากมากหรือเป็นไปไม่ได้เลยที่คุณจะมีความเป็นผู้ดูแล

และภาวะผู้ดูแลก็เป็นภาวะที่สอดคล้องกับเพศ หญิงเช่นกัน เพราะธรรมชาติให้สัญลักษณ์ทางเพศเป็นฝ่ายรับฝากชีวิต หมายความว่าถ้ามองที่ร่างกาย ยิ่งใครมีเนื้อหนังอิ่มเต็มมากขึ้นเท่าใด ก็จะยิ่งเหมือนผู้ดูแลมากขึ้นเท่านั้น แต่ถ้ามองกันที่จิต ก็ต้องดูกันตรงความมีสติอยู่กับเนื้อกับตัวเป็นหลัก เพราะความมี สติอยู่กับเนื้อกับตัว คือลักษณะของคนที่มีจิตสำนึกเอาใจใส่ผู้คนและสิ่งรอบข้างได้อย่างถูกจังหวะ ถูกเวลา กับทั้งมีความรอบคอบ ไม่ดูดาย ไม่ละเลย

ความเป็นผู้ดูแลไม่ได้ตั้งต้นจากการเป็นแม่คน เพราะการให้กำเนิดทารกไม่ได้ประกันว่าคุณจะเลี้ยงใครได้ โดยที่แท้แล้ว ความเป็นผู้ดูแลตั้งต้นจากการเป็นผู้มีใจเมตตาการุณย์ ปรารถนาการให้ความอนุเคราะห์แก่คนและสัตว์จากใจจริง

ในขั้นของการเป็นผู้ดูแลจึงไม่ใช่แค่พูด ปลอบ คุณต้องลงมือช่วยในทางใดทางหนึ่งอย่างเป็นรูปธรรมได้ด้วย ธรรมดามนุษย์ไม่ได้อยู่คนเดียว อย่างไรต้องมีพ่อแม่หรือญาติผู้ใหญ่ให้ฝึกปรนนิบัติดูแล เช่น หาน้ำท่าหรือเตรียมหยูกยาไว้รอบริการ แต่หากคุณถูกเลี้ยงมาให้เป็นคุณหนู หยิบจับเป็นแต่แท่งลิปสติกหรือขวดน้ำหอมมาตกแต่งตนเองให้ดูดี ก็คงสร้างเสน่ห์อย่างหญิงข้อนี้ได้ยากหน่อย

ความมีแก่ใจเป็นห่วงเป็นใย เต็มใจดูแลคนรอบข้างนั้น อาจนำคุณไปสู่จิตวิญญาณแบบหมอหรือพยาบาล ซึ่งเป็นกลุ่มบุคคลมีเกียรติที่โลกนี้ขาดไม่ได้ ฉะนั้นอย่าแปลกใจถ้าคุณไม่ได้เป็นหมอ แต่คนที่เห็นเขานึกว่าเป็นหมอ

ผู้ชายจะรู้สึกดีที่สุดกับผู้หญิงที่ดูแล เขาได้ เป็นพลังผลักดันให้เขาพุ่งไปข้างหน้าได้ มีแก่ใจสร้างครอบครัวให้เป็นปึกแผ่นได้ ฉะนั้น หญิงที่คิดว่าสวยอย่างเดียวก็พอ รอผู้ชายรวยๆมาเนรมิตข้าทาสให้ ไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องดูแลความเป็นไปในชีวิตของเขา จึงไม่รู้ตัวว่าได้มอบเสน่ห์อย่างหญิงให้กับฝ่ายชายไปเสียหมด
เสน่ห์แห่งความคิด

คนที่เอาแต่คอยความรักจะไม่เจอความรักไปจนตาย ส่วนคนที่เฝ้าแต่สร้างความรักจะรู้จักความรักในสามวันเจ็ดวัน!

ไม่มีใครที่ไม่คิด แต่คิดแล้วเกิดอะไรขึ้นบ้าง นั่นแหละที่ไม่รู้กัน เกือบร้อยทั้งร้อยเข้าใจว่าแค่คิดคงไม่เป็นไร เพราะมันอยู่ในหัวเรา ไม่ได้รบกวนใคร

แท้จริงแล้วผิดถนัด! แค่คุณคิด ฟุ้งซ่าน ก็มีคลื่นความปั่นป่วนกระจายออกมาแล้ว แค่คุณคิดอาฆาตพยาบาท ก็มีคลื่นความร้อนผะผ่าวออกมาแล้ว ความปั่นป่วนและความร้อนล้วนเป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น