++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพุธที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2554

รักแท้มีจริง
บทที่ ๔ รักษาความรู้สึก คนที่ใช่ไม่ได้แปลว่าของตาย ถ้าพฤติกรรมของคุณไม่ใช่ ก็เปลี่ยนเขาหรือเธอจากใช่เป็นไม่ใช่ได้เสมอ
ความรักคืออารมณ์ คือความรู้สึกชนิดหนึ่ง ถ้าต้องการรักษาความรัก สิ่งที่ต้องรักษาก็คือความรู้สึกเดิมๆ หรืออารมณ์เดิมๆไว้ให้ได้นั่นเอง

การนั่งกอดยืนก อดกันทั้งชาติไม่มีทางหล่อเลี้ยงความรู้สึกระหว่างกันไว้ การรักษาความรู้สึกต้องใช้ใจ ไม่ใช่มือเท้า ฉะนั้นก่อนอื่นท่องไว้ให้แม่นเลยว่า ความเอาใจใส่คือสัญญาณว่าวันนี้ยังมีใจ ส่วนการตายใจคือสัญญาณเริ่มตายไปของความรัก

คนส่วนใหญ่แทบร้อยทั้งร้อย ยังไม่ทันหมั้นหรือแต่งงาน ขอเพียงไปมาหาสู่คุ้นเคยกัน ก็พร้อมจะเห็นกันและกันเป็นของตาย หรือกระทั่งเห็นคนรักเป็นถังขยะทิ้งอารมณ์ส่วนตัว

โลกนี้เต็มไปด้วยสิ่งล่อใจให้คิดอยากได้ และพวกเราก็ตั้งหน้าตั้งตาแต่จะเอามาให้ได้ ทว่าไม่มีความตระหนักว่ายิ่งได้มาเท่าไร ก็ยิ่งต้องพยายามรักษาไว้เท่านั้น โดยเฉพาะความรัก ซึ่งเปรียบเหมือนสิ่งมีชีวิตที่หิวเก่ง บาดเจ็บง่าย และตายไว

เพียงชะล่าใจไม่นาน หันมาอีกทีคุณจะพบว่าในบ้านเหลือแต่ชายหญิงคู่หนึ่งที่เดินไปมาสวนกัน ส่วนความรักหนีออกจากบ้านไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

ถ้ารักแท้ได้มาง่าย คุณก็คงรักษามันไว้ได้ง่ายๆ เหมือนปล่อยเป็ดไก่หากินตามลานดินเอาเองก็ไม่ตาย แต่หากประสบการณ์บอกคุณว่ารักแท้เป็นสิ่งได้มาโดยยาก คุณก็ควรรู้ว่าไม่อาจใช้วิธีทิ้งขว้าง ปล่อยให้มันเลี้ยงดูตัวเองแล้วจะรอด

สำหรับบทนี้ก็จะครอบคลุมตั้งแต่อาหารหล่อ เลี้ยงขั้นพื้นฐาน ไปจนถึงน้ำพุอมฤตที่บันดาลให้ความรักเป็นอมตะ อยู่เหนือความตายของคู่รักได้

ช่วงเริ่มปลื้ม อารมณ์หวานคือพยานให้กับความรัก แต่ช่วงเริ่มชิน อารมณ์หวานจะเป็นหลักฐานให้กับความไม่เที่ยง

อารมณ์หวานกับความรู้สึกนึกรักมักมาด้วยกัน จะแค่นึกรักเดี๋ยวเดียว จะหลงรักนานหน่อย หรือจะแสนรักเหมือนชนะกาลเวลา ต่างก็ยืนพื้นอยู่บนอารมณ์อ่อนหวานด้วยกันทั้งสิ้น

แต่อารมณ์หวานที่น้อยลง ก็ไม่ได้แปลว่าคุณหรือคนรักแปรใจ บาง คนสำคัญผิดคิดว่าอารมณ์หวานที่ลดลง หมายถึงไม่ได้รักกันแล้ว ความจริงคือพวกคุณไม่รู้จักทำให้อารมณ์หวานเติบโตขึ้นตามวันเวลาที่อยู่ด้วย กันต่างหาก มันจึงตกตะกอนนอนก้น หรืออยู่ในสภาพมีเหมือนไม่มี

สังเกตเถิด อารมณ์หวานจะมากับการกระทำ เช่น ในช่วงต้น คนที่ใช่มักเป็นแรงบันดาลใจให้อยากทำอะไรหวานๆบ้าง ต่อให้คุณเคยเป็นพวกเย็นชามานานแค่ไหน ทุกครั้งที่เห็นหน้าคนรัก อย่างน้อยก็ต้องอยากเรียกขานชื่อของเขาหรือเธอด้วยอารมณ์หวานบ้าง ซึ่งก็อาจออกแนวขี้เล่นกุ๊กกิ๊กขำๆอย่างเช่น ‘สุดที่รักจ๋า!’

ถึงคำพูดคล้ายจะแหย่ให้หัวเราะหรือแกล้งให้เลี่ยนเล่น แต่อารมณ์หวานก็เกิดขึ้นในใจจริงๆ และพวกคุณก็จะสัมผัสความจริงนั้นได้ด้วยใจ

อย่างไรก็ตาม อารมณ์หวานของคุณจะผูกติดอยู่กับคนรักเพียงในระยะแรกที่ความปลื้มยังไม่จาง นานไปพอความปลื้มจางลง ซึ่งอาจเร็วกว่าสีบ้าน อารมณ์หวานของคุณก็จะไม่เกิดขึ้นอีกต่อไป แม้จะรู้ตัวว่ายังคงปักใจอยู่กับเขาหรือเธอเช่นเดิมก็ตาม

แล้วจะทำอย่างไรให้อารมณ์หวานยังคงอยู่คู่ชีวิตรักของพวกคุณ? คำ ตอบคือต้องทำอะไรหวานๆบ้าง อย่าเอาแต่มองหน้าหรือพูดจากันด้วยความเคยชิน เพราะความเคยชินจะเหมือนแกงจืดที่เพิ่มปริมาณขึ้นทุกที กระทั่งความหวานถูกเจือจางจนไม่เหลือรส

การทำอะไรบ้างที่ว่าหวานๆ? คำตอบเป็นที่รู้อยู่ แต่คนสมัยนี้ชอบแกล้งทำเป็นแหวะใส่ อย่างเช่นการให้ดอกไม้กัน การใช้คำพูดคำจาเป็นศัพท์แสงลิเกเป็นครั้งคราว ตลอดจนพูดง่ายๆแต่ชัดถ้อยชัดคำว่า ‘ผมรักคุณ’ หรือ ‘เค้ารักตัวเองนะ’ แค่นี้ก็เรียกหวานแล้ว ไม่ใช่ต้องสร้างฉากวิลิศมาหราเลิศลอยเกินจินตนาการใดๆเลย

ถ้ากระดากที่จะพูดคำว่ารัก แต่ร้องเพลงรักได้เก่งก็เอาเลย ร้องมันเข้าไป ยิ่งถ้ามีฝีมือแต่งเพลงเองได้ก็ยิ่งแจ่ม แต่งให้คนรักแบบอุทิศให้เขาหรือเธอคนเดียว แบบนี้เรียกหวานอย่างมีเอกลักษณ์ คนรักจะประทับใจความคิดสร้างสรรค์ที่คุณทำให้โดยเฉพาะเหนือสิ่งอื่นใด แม้วันหนึ่งคุณหลงๆลืมๆแล้ว คนรักของคุณก็จะยังคงจดจำได้อย่างแม่นยำเสมอไป คำโบราณเขาเรียกซาบซึ้งตรึงตรา ซึ่งสมัยนี้หายากแล้ว

วันเกิดก็เป็นวันรักษาอารมณ์หวานประจำปี ด้วยนะครับ เป็นวันที่ห้ามลืมเด็ดขาด สั่งให้มือถือเตือนแบบประจำทุกปีไว้เลย เพราะนั่นเป็นวันแห่งตัวตน ถ้าจำวันเกิดไม่ได้ คนรักก็อาจเข้าใจว่าคุณจำตัวตนของเขาไม่ได้เช่นกัน

ถ้าเคยสร้างบรรยากาศน่าประทับใจในวันเกิด ไว้แค่ไหน ก็ให้รักษาระดับความพิเศษนั้นไว้ให้ดี มิฉะนั้นคนรักจะรู้สึกว่าคุณให้ความสำคัญกับเขาน้อยลง ทางที่ดีทำให้เป็นกลางๆตั้งแต่แรก ของขวัญซื้อแบบที่มีความหมาย ราคาไม่ถูกจนน่ายี้ แล้วก็ไม่แพงจนคุณต้องหนักใจทุกปี และอย่าสร้างสรรค์บรรยากาศเสียจนลวงให้คนรักรู้สึกว่าตัวเองเป็นเจ้าหญิง หรือเจ้าชาย เสร็จแล้วในปีหลังๆโดนลดบรรดาศักดิ์ ค่อยๆเลื่อนลงมาเป็นสามัญชน แล้วอาจตกฮวบลงมาคล้ายไพร่ เพราะท่านั้นไม่มีใครทนไหวหรอกครับ

หากมีเงินพอ การไปเที่ยวทางไกลด้วยกัน เอาแบบสถานที่ที่น่าประทับใจมากๆ ก็นับเป็นการสร้างอารมณ์หวานไม่รู้ลืม ฝรั่งเขาถึงเรียกการเที่ยวทางไกลด้วยกันว่าไป ‘ดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์’ หรือฮันนีมูนไงครับ

แต่การเดินทางที่ดีที่สุด หวานที่สุด ชนิดเงินอย่างเดียวซื้อไม่ได้ คือการเดินทางไปทำบุญ! คุณไม่จำเป็นต้องมีเงินมากนัก ขอแค่รู้จักวัดดี ขอแค่รู้จักเลือกของดีไม่กี่ชิ้นไปถวายพระ แค่นั้นก็พอๆกัน หรือเลิศกว่าไปฮันนีมูนแล้ว

ลองถวายสังฆทานด้วยความมีใจเลื่อมใสศรัทธา ร่วมกัน เอาให้ได้ ๔ วัดภายในวันเดียว ระวังอย่าให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งในวันนั้น แล้วดูว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับความรู้สึกของคุณ ความสบายใจอย่างประหลาด หรือความสุขอันโอฬาร หรือปีติเย็นซ่านไปทุกทิศ หรือโสมนัสจนต้องฉีกยิ้มค้างไว้อย่างนั้น

แล้วลองถามคนรักด้วยว่ารู้สึกอย่างเดียวกันไหม

ปีติสุขที่เกิดขึ้นไม่สามารถอธิบายด้วย เหตุผลทางวัตถุ เพราะข้าวของที่ถวายสงฆ์เป็นเพียงรูปธรรม แต่ความรู้สึกของพวกคุณเป็นนามธรรม คุณรู้แต่ว่ามันเวิร์ก รู้แต่ว่านี่แหละเขาเรียก ‘บุญ’

แล้วในที่สุดก็ได้ข้อสรุปแบบรู้อยู่เต็มอกว่า บุญร่วมกันนั่นแหละตัวเสกอารมณ์หวาน

ชีวิตแต่งงานมักนำมาซึ่งรสขมหลายรูปแบบ คุณต้องสู้กับกองทัพรสขมด้วยสายน้ำแห่งอารมณ์หวาน พยายามให้มันไหลรินไม่หยุดทุกวัน แล้วจะอัศจรรย์ใจว่าอารมณ์หวานกับโลกที่สว่างสวยยังคงอยู่กับพวกคุณ ไม่ว่าจะกี่เดือนกี่ปีผ่านไปก็ตาม

สรุปคือทางเดียวที่จะรักษาน้ำหวานที่ลดระดับลง คือต้องเติมของใหม่เพิ่มลงไปทุกวันนะครับ

เสียงหัวเราะเป็นได้ทั้งวิตามินและยาสมานแผล
วิตามินคือสารสำคัญที่ร่างกายของคุณต้องได้รับ มิฉะนั้นก็อาจเจ็บป่วย ฉันใดก็ฉันนั้น รอยยิ้มและเสียงหัวเราะคือวิตามินที่รักแท้ต้องได้รับ มิฉะนั้นอาจทรุดโทรมลงอย่างรวดเร็ว

คนเราใช้ชีวิตระมัดระวังอย่างไร ก็ต้องเจอดีได้แผลบนเนื้อตัวเข้าสักวัน ซึ่งหมอก็ปรุงยารักษาหรือสมานแผลไว้หลายขนาน แม้แต่น้ำผึ้งหวานๆก็มีสรรพคุณสมานแผลได้ดี เนื่องจากความเข้มข้นของน้ำผึ้งจะทำให้เชื้อโรคฝ่อตาย และนั่นก็เช่นกัน รอยยิ้มกับเสียงหัวเราะเปรียบเสมือนน้ำผึ้งที่สมานแผลให้รักแท้ได้ เมื่อเกิดอุบัติเหตุทางอารมณ์จนได้แผลทางใจระหว่างคุณกับคนรัก

วิตามินเป็นสิ่งที่ควรกินตุนไว้ทุกวัน ส่วนยาสมานแผลก็ควรมีประจำบ้านไว้ก่อนเกิดแผล ไม่ใช่เกิดแผลแล้วค่อยวิ่งหาซื้อ มันอาจช้าไปหน่อย

ถ้าคุณเลือกได้คนที่ใช่ตามแนวทางในบทก่อน แนวโน้มคือคุณกับคนรักจะพูดจากันด้วยความเข้าอกเข้าใจ อยู่ร่วมกันด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ทั้งนี้เพราะความรักทำให้ใจเปิดและสมองเบา ดังนั้นอะไรที่เกิดขึ้นกับความรักจึงมักเป็นเรื่องเบาสมองได้หมด

แต่คนเรามักหัวร่อต่อกระซิกกันแค่ในช่วงต้น พอเข้ามาอยู่บ้านเดียวกันก็ชักลืมๆ คล้ายต่างคนต่างต้องแอบไปหัวเราะกับเพื่อน นั่นถือเป็นความผิดอย่างใหญ่หลวงร่วมกัน ต้องมีสักคนพาเสียงหัวเราะกลับมานะครับ

หากรู้ตัวว่าคุณเป็นเสือยิ้มยากหรือสิงห์ เส้นลึกที่หัวเราะไม่ค่อยเป็น อันนี้น่าปรับปรุง ผมไม่ได้จะให้พวกคุณแกล้งขำโดยไม่มีเหตุผลเหมือนคนบ้า แต่อยากให้ใช้ความเครียดหรือความขี้โมโหของคุณนั่นแหละ เป็นสนามฝึกปล่อยอารมณ์ขัน

วิธีนั้นไม่ยาก แต่ต้องจำขั้นตอนให้แม่น และตั้งสติให้ทันเท่านั้น

ตอนคุณกำลังตึงเครียดหรือเผชิญปัญหากับคน รักด้วยความรู้สึกอึดอัด ใจคุณจะหนักอึ้ง ความคิดวนเวียนอยู่แต่ว่านี่เป็นเรื่องแย่ คุณจำเป็นต้องรู้สึกแย่ๆ และแบกความอึ้งหนักนั้นเอาไว้ มิฉะนั้นจะเหมือนไม่ให้ความสำคัญกับปัญหา

แต่ถ้าพลิกมุมมองใหม่แค่นิดเดียว ถามตัวเองว่า ‘ทำไมต้องให้ความสำคัญกับปัญหามากกว่าใจด้วยล่ะ?’

เมื่อเห็นค่าของใจ เมื่อเห็นแก่จิตมากกว่าเรื่องนอกตัว คุณจะฉลาดขึ้นทันที อย่างน้อยก็เลิกสำคัญผิดคิดว่ามีปัญหาต้องทำใจหนักๆจึงจะสมควร

ใจหนักๆตันๆน่ะ คิดไม่ค่อยออกนะครับ ไม่ใช่คิดได้แคล่วคล่องว่องไว ท่องไว้เป็นคาถาประจำตัวก็ได้ ยิ่งหนักอกเท่าไร ยิ่งโง่หนักขึ้นเท่านั้น

ขอให้อกใสใจเบาขึ้นหน่อยเถอะ ถอยออกมาจากตรงนั้นแล้วคุณจะเห็นเลยว่าความหนักอกทำให้คิดช้าลง ตัดสินใจผิดพลาดง่ายขึ้น

หลังจากพลิกมุมมองได้จริงๆแล้ว ต่อไปพอเกิดเรื่องกดดันให้เครียด หรือส่อเค้าว่าจะมีปากเสียงกัน คุณจะไม่ส่งสายตาจ้องหน้าคนรักอย่างเดียว แต่จะเฉลียวนึกขึ้นได้ว่าเอาแล้ว หนักอกแล้ว และกำลังจะพูดอะไรโง่ๆแล้ว

ทันทีที่รู้สึกตัว จิตจะเริ่มฉลาดขึ้นทันที และคลายอาการยึดมั่นถือมั่นออกได้เอง ดุจเดียวกับการปลดตะขอปล่อยถุงขยะทิ้งพื้น

การปลดตะขอแห่งความยึดมั่นออก จะทำให้ใจคุณโล่ง และเข้าสู่ภาวะรับความจริงได้ พร้อมจะแก้ปัญหาได้ ตลอดจนพร้อมจะพูดอะไรฉลาดๆออกไปอย่างทันการณ์ ที่เด็ดคือความเบาสมองจะช่วยให้คุณคิดมุขตลกออก ไม่เอาแต่ทำหน้าเครียดตีบตันอั้นตู้

ยกตัวอย่างนะครับ ตอนสมองข้นหนัก คุณอาจอยากร้องอุทานว่า ‘เฮ้ย! ทำไมเป็นอย่างนี้วะ?’ แต่ถ้าคุณมีอารมณ์ขันเป็นฐานแข็งแรงพอ ใจจะคลายได้ในพริบตาและเปลี่ยนเป็น ‘โอ๊! ทำไมเป็นอย่างนี้ได้ล่ะจ๊ะ… สุดที่รัก?’

ทั้งสีหน้าสีตา ท่าทาง ตลอดจนน้ำเสียงของคุณ รวมกันอาจบ่งได้ว่าคุณยังโมโหอยู่นั่นแหละ คำว่า ‘สุดที่รัก’ อาจถูกเค้นออกมาด้วยน้ำเสียงขื่นหรือขึ้งเคียด แต่ไม่ใช่แบบขาดสติ แล้วก็ไม่มีความคิดประทุษร้ายคนรักเจืออยู่ด้วยเลย ยิ่งไปกว่านั้น ตัวถ้อยคำที่เกินๆ ยังแฝงแววตลก ดูออกว่าอีกไม่กี่พริบตาคุณก็หัวเราะได้ และนั่นก็อาจทำให้คนรักของคุณชิงหัวเราะตัดหน้าเสียก่อน

ถ้าตั้งต้นอยู่ด้วยกันเป็นอย่างนี้ ยิ่งเกิดเรื่องน่าโมโหบ่อยขึ้นเท่าไร ระหว่างคุณกับคนรักก็จะยิ่งอบอวลด้วยบรรยากาศขำขันมากขึ้นเท่านั้น

และเช่นกัน หากเกิดเรื่องร้ายแรงให้ต้องทะเลาะเบาะแว้งหนักๆ ชนิดที่ตอนแรกยังจุกอก หัวเราะไม่ออก หรือกระทั่งรู้สึกเหมือนเกิดรอยร้าวขึ้นในหัวใจ ต้องเมินๆหรือเหินห่างกันสักพัก ถึงจุดหนึ่งเมื่อพอที่จะหันหน้าเข้าหากัน เสียงหัวเราะและรอยยิ้มจะมามีบทบาทสำคัญในการช่วยประสานสัมพันธ์ได้

อย่าไปเชื่อใครนะครับว่าความรักเหมือนแก้ว เปราะบาง ร้าวแล้วไม่อาจประสาน เพราะความจริงก็คือคุณอาศัยเสียงหัวเราะและอารมณ์ขันประสานรอยร้าวได้สนิท ดังเดิม หรืออาจจะแนบเนียนยิ่งกว่าเดิมเสียอีก

แล้วถ้าเลือกได้ หมั่นดูหนังตลกหรือที่ทำให้หัวเราะครึกครื้นร่วมกัน มากกว่าหนังสยองขวัญหรือหนังเศร้าโศกหดหู่ก็จะดี ความจริงถึงเป็นหนังประเภทไหน ถ้าได้ดูกับคนรักก็มีความสุขทั้งนั้น แต่ หนังตลกหรือหนังน่ารักที่พวกคุณดูแล้วยิ้มหรือหัวเราะร่วมกันบ่อยๆ จะสร้างแนวโน้มทางอารมณ์ให้พวกคุณอยากคุยกันในเรื่องเฮฮามากกว่าเรื่องเคร่ง เครียด

หัวข้อนี้ท่องไว้นิดเดียวก็ได้ วิตามินยังต้องกินวันละหน ฉะนั้นพวกคุณก็ต้องหัวเราะร่วมกันให้ได้อย่างน้อยวันละครั้ง แล้วขำแบบฝืดๆกับขำแบบไม่จริงใจนี่ไม่ถือเป็นวิตามินนะครับ!

สรุปคือทำใจเบาๆ ทำสมองเบาๆเข้าไว้ให้ชินแต่เนิ่นๆเถิด แล้วจะรู้เองว่าทุกปัญหาในโลกนี้เบาเหมือนปุยนุ่นได้หมด แต่ถ้าคุณมองอย่างยึดมั่นถือมั่นเป็นจริงเป็นจังไปทุกเรื่อง โลกนี้ทั้งใบก็คือลูกเหล็กให้คุณอุ้ม!

ความรู้สึกเล็กๆน้อยๆคือเรื่องใหญ่ที่สุดในชีวิตคู่ เพราะไม่มีความรู้สึกใดเกิดขึ้นบ่อยเท่านี้อีกแล้ว
ความรู้สึกเล็กๆน้อยๆที่ดูเหมือน ‘ไม่มีอะไร’ หรือเหมือนชินๆผ่านๆไปนั่นแหละครับ พอผ่านเดือนผ่านปีสะสมรวมตัวกันแล้ว จะกลายเป็นความรู้สึกที่แท้จริงที่มีต่อกัน

คิดให้ดี คนเราคบหาและอยู่ร่วมกัน ส่วนใหญ่จะมีแต่ความรู้สึกเล็กๆน้อยๆ นานทีปีหนหรอกถึงจะเกิดความประทับใจใหญ่ๆขึ้นมา และเวลาคนเราระลึกถึงกัน ก็จะนึกถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้นระหว่างอยู่ด้วยกันตามปกติ ไม่ใช่ความรู้สึกแสนพิเศษในเทศกาลไหน

ฉะนั้น เร่งสำรวจเถิด…
วิธีทักทายยามเจอกัน คุณยิ้มให้หรือเมินเฉย?
วิธีใช้คำทัก คุณพูดทีเล่นทีจริงเช่น ‘หวัดดีอีแก่’ บ่อยแค่ไหน?
วิธีใช้หางเสียง คุณออกห้วนตลอดหรือทอดเสียงอ่อนโยนบ้าง?
วิธีเจรจาปัญหา คุณใช้เสียงกระด้างหรือนุ่มนวลเป็นเหตุเป็นผล?
วิธีแสดงความไม่เห็นด้วย คุณใช้โทสะหรือเมตตา?
วิธีพูดว่า ‘ไม่ให้’ คุณอธิบายเหตุผลอย่างดีหรือมีเพียงคำปฏิเสธ?
วิธีแสดงความไม่พอใจ คุณใช้ท่าทีกระแนะกระแหนหรือรอให้หายขุ่นแล้วค่อยพูด?
เวลาอยู่ท่ามกลางเพื่อนฝูง คุณจิกกัดแบบขายกันเองหรือยกยอปอปั้นกันดีๆ?
เวลาเห็นอีกฝ่ายเหนื่อย คุณเอาเรื่องเย็นไปลูบหรือเอาเรื่องร้อนไปช่วยซ้ำ?
เวลาอีกฝ่ายเข้ามาสัมผัส คุณเบี่ยงหลบหรือสัมผัสตอบ?
เวลาไปเที่ยวกัน คุณคุยโทรศัพท์กับเพื่อนเป็นชั่วโมงหรือรีบขอวาง?
เวลาเดินไปด้วยกัน คุณเหล่หนุ่มเหล่สาวอย่างเปิดเผยหรือขอแค่ตอนคนรักเผลอ?
เวลาป่วยไข้ คุณอยู่ตรงนั้นเนิ่นนานหรืออ้างธุระขอตัวเร็ว?
เวลาร้องไห้ คุณเป็นความอบอุ่นหรือตัวเพิ่มความเหน็บหนาว?
คน เราจะทำตามอำนาจความเคยชิน แล้วทุกคู่นะครับ ถ้าผ่านเดือนผ่านปีไปนานๆ ถึงเวลานั่งปรับความเข้าใจครั้งใหญ่กันเมื่อใด ก็มักอ้าปากหวอด้วยความงงว่าเรื่องแค่นี้คิดด้วยเหรอ?
ทุกสิ่งที่คุณทำ กระทบหูกระทบตาคนรัก มันกระตุ้นให้คิดหมดแหละครับ ถ้านึกว่ามีสิ่งใดเป็นเรื่องเล็ก ขอให้คิดใหม่ และให้ถามตัวเองว่า ถ้าจะให้เรื่องเล็กๆนั้นแปรเป็นความทรงจำด้านดี คุณจะต้องลงทุนอะไรบ้าง?
ส่วน ใหญ่นะครับ ก็แค่เปลี่ยนคำพูดบางคำ หรือกระทั่งเปลี่ยนน้ำเสียงเสียใหม่ ในระยะยาวคุณจะอยู่ในความทรงจำของคนรักเป็นอีกแบบหนึ่งอย่างสิ้นเชิง
ตัวตนของคุณในความทรงจำของคนรักน่ะ เรื่องใหญ่หรือเรื่องเล็กล่ะครับ?
สรุปคือต้องให้ค่าความสำคัญเป็นอันดับหนึ่งกับความรู้สึกเล็กๆน้อยๆนะครับ ไม่ใช่ให้เป็นอันดับสุดท้ายอย่างที่ทำกันผิดๆเกือบทุกคู่

รักแท้ไม่ได้แปลว่ามีความสุขตลอดกาล แต่หมายถึงการร่วมสุขร่วมทุกข์ด้วยกันตลอดไป
ทุกครั้งที่เอ่ยถึงความรัก สิ่งแรกที่คนส่วนใหญ่จะนึกถึงคือความสุขหวานแหวว พอพบรักที่กำลังสดชื่นตื่นใจก็ลิงโลด หัวใจพองโตราวกับขึ้นสวรรค์ และปักใจว่านี่แหละ รางวัลทางความรู้สึกที่คนๆหนึ่งควรได้รับจากความรัก

แต่พออยู่กับความรักไปได้สักพัก พบว่ารักไม่ได้มีให้แต่ความสุข แต่ยังพ่วงทุกข์มาด้วยอีกเป็นขบวนยาว สีหน้าสีตาคุณจะเปลี่ยนไปเป็นผิดหวัง ซมเศร้า และอยากถอยหนี แต่ก็เป็นไปแบบกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพราะชักสับสนว่าที่เผชิญอยู่นั้นเป็นสุขหลอกๆ ทุกข์จริงๆ หรือว่าสุขจริงๆ ทุกข์หลอกๆ กันแน่

ความอ่อนแอทางกายจะทำให้คุณมีภูมิต้านทานโรคต่ำ ส่วนความอ่อนแอทางวิญญาณจะทำให้คุณมีภูมิต้านทานความทุกข์น้อย ถ้าพื้นฐานของคุณเป็นคนมีความอดทนสูง ความรักก็จะไม่ถูกกระทบกระเทือนให้สั่นคลอนง่ายนัก

แล้วก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณเข้าใจความจริงข้อนี้ได้แค่ไหนด้วยครับ ความ จริงคือ เหตุการณ์ภายนอกไม่ใช่ทั้งสุข ไม่ใช่ทั้งทุกข์ สุขและทุกข์เป็นของจริงที่เกิดขึ้นจริงในใจคุณ แล้วก็จะหายไปจากใจคุณจริงๆเช่นกัน สุดแต่ว่าจะช้าหรือเร็วเท่านั้น

คุณไม่ได้กำลังหายใจอยู่บนสวรรค์ คุณกำลังปักหลักยืนอยู่บนพื้นดิน และบนพื้นดินนี้ก็มีทั้งเรื่องน่าชอบใจและไม่น่าชอบใจเรียงรายหลายหลาก ฉะนั้น อย่าหวังว่าจะไม่เป็นทุกข์เลยอย่างเด็ดขาด แม้จะได้รับการคุ้มครองจากคนรัก คุณก็มีสิทธิ์แค่คาดหมายว่าคนรักจะอยู่เคียงข้างคุณเสมอ ไม่ว่าจะกำลังเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ และในทางกลับกัน คุณเองก็ต้องเป็นความคาดหวังให้คนรักเช่นเดียวกันด้วย

เวลาคนรักเป็นสุข คุณอยู่ที่นั่นไหม?

แล้วเวลาที่คนรักเป็นทุกข์ล่ะ คุณอยู่ด้วยหรือเปล่า?

ขณะกำลังเสวยสุข คนรักจะเป็นสุขยิ่งขึ้นถ้ามีคุณร่วมสุขด้วยอีกคน เหมือนเทียนสองดวงย่อมสว่างกว่าเทียนดวงเดียว และการประสานแสงสุขคู่กันย่อมให้รสดูดดื่ม แตกต่างจากการส่องแสงสุขของจิตเพียงโดดเดี่ยวเอกา

และขณะกำลังเสวยทุกข์ ความรู้สึกของคนรักเหมือนเปลวเทียนดับ ก็อาจกลับส่องสว่างได้ใหม่ถ้าแสงสุขของคุณยังไม่มอด การมีคุณอยู่ข้างเคียงย่อมเปรียบเหมือนการต่อเทียนให้ใหม่แทนเปลวเดิมที่ดับ แล้ว

สำคัญคือพวกคุณต้องไม่เป็นเปลวเทียนที่ดับ พร้อมกัน เมื่อเห็นทำท่าริบหรี่จะดับรอมร่อทั้งคู่ ต้องปลุกปลอบกันและกัน เป็นกำลังใจให้กันและกัน ว่าเราจะกอดคอกันลุก ไม่ใช่เหนี่ยวตัวกันล้ม

คนในโลกเป็นความห่อเหี่ยวให้แก่กันและกัน อยู่แล้ว ทุกคนจึงต้องการใครสักคนที่ไว้ใจได้ว่าจะเป็นความชุ่มชื่นให้ และนั่นก็คือความหมายของการพบรักและมีคนรักไว้เคียงกัน เพียงเริ่มต้นด้วยความตั้งใจจะเป็นความชุ่มชื่น อุบายวิธีจะหลั่งไหลมาเหมือนน้ำริน เหมาะกับการดับไฟในแต่ละสถานการณ์ไปเอง

ช่วงเวลาที่มีกันและกันทั้งยามสุขและยาม ทุกข์ จะประทับลงในความทรงจำของคุณไปจนตาย ฉะนั้นจึงคุ้มที่จะอยู่ที่นั่น แม้คุณจะต้องแลกกับอะไรบ้าง ก็เชื่อเถอะว่ามีไม่กี่อย่างในโลกนี้หรอก ที่คุ้มกว่าความทรงจำยามได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับคนรัก

คู่รักที่มีความทรงจำร่วมกันน้อย จะมีความเดียวดายติดอยู่ในความทรงจำมากเกินไป จนกระทั่งจำได้แม่นอย่างเดียว คือความสูญเปล่าของการมีกันและกัน

สรุปคือเมื่อคนรักเป็นทุกข์ อย่าทิ้ง เมื่อคนรักเป็นสุข ให้รีบเสนอหน้าก่อนใคร!

ไม่สำคัญว่าพวกคุณแก้ปัญหาอย่างไร มันสำคัญที่พวกคุณพยายามแก้ปัญหาด้วยกันหรือเปล่า

เพราะโลกนี้มีโจร ตำรวจจึงเป็นความอุ่นใจ

เพราะชีวิตนี้มีโรค หมอจึงเป็นความอุ่นใจ

และเพราะการครองเรือนเต็มไปด้วยปัญหา คนรักจึงเป็นความอุ่นใจยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด!

คิดให้เห็นคู่ตรงข้ามเช่นนี้แล้ว ความรู้สึกที่มีต่อปัญหาน่าจะเปลี่ยนไปได้บ้างนะครับ แม้ ว่าปัญหาจะไม่ใช่สิ่งดีที่น่ารอคอย แต่ก็เป็นสิ่งน่าสนใจไม่น้อย ถ้าคิดว่ามันเป็นเหตุให้คุณกับคนรักรู้จักความอุ่นใจในการมีกันและกัน

แต่ละคนมีดี มีสิ่งที่อีกฝ่ายขาดอยู่เสมอ ขอเพียงเปิดโอกาสให้ปัญหามาเป็นเครื่องพิสูจน์เถอะ ทุกครั้งที่ช่วยกันปัดเป่าปัญหาใหญ่น้อยให้ผ่านพ้นไปได้ พวกคุณจะรู้สึกอุ่นใจกับการมีกันและกันมากขึ้นทุกที อาจเพราะได้เห็นเปรียบเทียบว่าดีกว่าแก้ปัญหาด้วยความเหน็บหนาวตามลำพัง เพียงใดนั่นเอง

สำคัญคืออย่าเผลอหันเอาแง่ร้ายของแต่ละฝ่ายมาซ้ำเติมปัญหาเท่านั้น!

จุดเริ่มต้นของการรู้จักร่วมกันแก้ปัญหา อาจเป็นอะไรที่ง่ายดาย แค่ยกของหนักด้วยกัน แค่ล้างจานด้วยกัน แค่ทำความสะอาดบ้านด้วยกัน แค่ช่วยทำครัวด้วยกัน ลองสำรวจเถอะว่าอย่างไหนให้ความรู้สึกดีกว่า ระหว่างทำคนเดียวกับมีอีกคนช่วย

การหัดทำภาระเล็กๆน้อยๆให้ลุล่วง จะจุดชนวนให้ระบบความคิดของคุณทั้งสองสามารถประสานงานกัน เห็นการขจัดอุปสรรคคือเรื่องเป็นไปได้ด้วยการร่วมแรงร่วมใจ แต่ถ้างานไหนต้องการสองแรงร่วมกันแล้วมีฝ่ายหนึ่งผละหนีด้วยความคิดเอา เปรียบ ก็จะเป็นชนวนความคิดทำนอง ‘เรื่องของแก!’ และ ‘ฉันไม่เกี่ยว!’ จนติดเป็นนิสัย แล้วกลายเป็นชีวิตคู่แบบต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างพยายามผลักภาระ

ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ต้องดูตามจริงด้วยนะครับ ว่าขอบเขตความสามารถในการแก้ปัญหาหนึ่งๆของคุณ มีมากหรือน้อยกว่าคนรัก บางคนเป็นพวกไฮเปอร์จัด อยากแสดงให้เห็นว่าช่วยคนรักแก้ปัญหาได้ทุกเรื่อง อาจกลับกลายเป็นเพิ่มปัญหาอย่างบริสุทธิ์ใจไปโน่น

สรุปคือเมื่อปัญหามา ทำอะไรได้ให้รีบทำ และเป็นการทำร่วมกันด้วย แต่ถ้าทำไม่ได้ก็อย่าเพิ่งเข้าโหมดขยัน ปล่อยให้ฝ่ายที่ถนัดกว่าแก้ปัญหาไป แค่คุณคอยเอาใจช่วย หรือคอยอยู่ฝ่ายสนับสนุนเมื่อคนรักขอ ก็นับว่าดีพอแล้ว

ปัญหาที่น่าหนักใจที่สุดของชีวิตคู่ คือการเอาคนมีปัญหาสองคนมาอยู่ด้วยกัน

แต่ละคนมีปัญหาติดตัวมาเสมอ เช่น ปัญหานอนห้องแอร์แล้วแพ้ ปัญหาฟังเพลงลูกทุ่งได้แนวเดียว ปัญหากรนดัง ปัญหานิยมดูดบุหรี่ก่อนนอน ปัญหาเข้าผู้ใหญ่ไม่ค่อยเก่ง ฯลฯ

ปัญหาส่วนใหญ่จะไม่เป็นปัญหาถ้าอยู่คนเดียว แต่จะเริ่มเป็นปัญหาทันทีเมื่อมาอยู่ร่วมกับใครอีกคน!

คิดไปคิดมาคุณอาจมองก็ได้ว่า คนเราแตกต่างกัน การเอาความแตกต่างมาอยู่ร่วมกันนั่นแหละคือตัวปัญหา

เมื่อปัญหามันเริ่มส่อเค้ามาตั้งแต่ตอนจับคู่กัน คุณก็ต้องเตรียมใจไว้ว่า คู่ รักเริ่มต้นจากความเข้ากันได้เป็นบางส่วน และเข้ากันไม่ได้เป็นบางส่วนเสมอ ต่อเมื่อได้อยู่ด้วยกัน ลงท้ายจะพบว่าคุณกับคนรักเข้ากันได้เป็นบางส่วน และเข้ากันไม่ได้เป็นบางส่วนอยู่ดี!

การเตรียมใจจะนำไปสู่ความพร้อมในการยอมรับ ความจริง ตลอดจนยอมปรับตัวบางอย่าง ไม่ใช่จะเอาแต่พยายามปรับทุกอย่างให้มาเข้ากับตัวท่าเดียว

เมื่อความรักถูกสร้างขึ้นจากคนสองคนที่ไม่เหมือนกัน ความรักจึงคล้ายการประกบประกอบของวัตถุสองชิ้นที่ต่างเหลี่ยมต่างทรง คุณ จำเป็นต้องหาจุดที่เชื่อมต่อกันได้มาเป็นศูนย์กลางยึดเหนี่ยวไว้ และปล่อยให้เหลี่ยมมุมที่เหลือหันไปอยู่ด้านนอกไกลๆ ไม่ต้องมาโดนกัน

อยู่กับสิ่งที่พอใจร่วมกันให้มาก จับตามองจุดนั้นให้ชัด แล้วความไม่น่าพอใจจะดูพร่าเลือนไปเอง เช่น พวกคุณชอบพรรคการเมืองคนละฟากพรรค คนหนึ่งเข้าข้างรัฐบาล อีกคนเข้าข้างฝ่ายค้าน ก็อย่าคุยเรื่องการเมือง หันหัวข้อเกี่ยวกับการเมืองออกไปห่างๆ ไม่ว่าจะนึกคึกอยากด่านักการเมืองแค่ไหน พยายามเหหัวสนทนาไปหาเรื่องที่ชอบด้วยกัน เป็นต้นว่ารายการทีวีสุดโปรด หนังใหม่ประจำสัปดาห์ เบื้องหลังการถ่ายทำ ฯลฯ ขอให้ชอบด้วยกัน ใจตรงกันเถอะ ยิ่งคุยเรื่องที่ใจตรงกันบ่อยขึ้นเท่าไร คุณจะรู้สึกว่าส่วนที่ต่างกันลดน้อยถอยลงเรื่อยๆเท่านั้น

ตอนอยู่บ้าน บางทีคุณต้องพูดบางเรื่องที่ชอบใจให้น้อยลง เพื่อเพิ่มความชอบใจในการอยู่บ้านร่วมกับคนรักให้มากขึ้น!

สรุปนะครับ การเตรียมใจไว้ล่วงหน้าเป็นที่มาของการปรับตัว ปรับความรู้สึก และปรับวิถีชีวิตให้เข้ากับ ‘ตัวจริง’ ของคนรัก แต่การคาดหวังว่าทุกอย่างจะเป็นดังเดิมเหมือนเมื่อครั้งเป็นโสด ก็คือการนับถอยหลังเข้าสู่ภาวะ รับไม่ได้ ทนไม่ไหวนั่นเอง

คนเราจะทำผิดกี่ครั้งก็ถูกหมด ถ้าพยายามแก้ไข

การเรียนรู้จากความผิดพลาด คือคุณสมบัติเด่นที่มนุษย์ทำได้เหนือกว่าสัตว์อื่น

และยิ่งกว่านั้นนะครับ การเปลี่ยน ความผิดพลาดให้เป็นความถูกต้อง หรือกลับร้ายให้กลายเป็นดี พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส คืออาวุธชิ้นเดียวที่มนุษย์จะชนะกรรมเก่าเน่าๆของตัวเองได้

คุณๆที่เชื่อหมอดูนะครับ ถ้าหมอดูระดับประเทศทายทักว่าดวงต้องเลิกกัน คุณจะหักคำทำนายได้ก็ด้วยอาวุธชิ้นนี้แหละ!

หมอดูแม่นๆอาจทายถูกว่าคุณกับคนรักจะลงเอย ดีหรือร้าย ก็เพราะกรรมเก่า ของพวกคุณถูกฟ้องไว้หมดแล้วบนดวงดาว แต่หมอดูไม่มีทางบอกถูกว่าคุณ จะเปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดีด้วยท่าไหน เพราะกรรมใหม่ของพวกคุณอยู่ที่ การตัดสินใจ ซึ่งยังไม่เคยเกิดขึ้นที่ไหนมาก่อนเลย

สาเหตุของการเลิกร้างกันจะว่าไปก็เป็น เรื่องตื้นๆแต่แก้ยากของมนุษย์ นั่นคือทำผิดแล้วไม่รับผิด อย่าว่าแต่จะพยายามแก้ไขจากผิดให้เป็นถูกเลย อัตตาของคนเราจะบีบให้รู้สึกว่าตัวเองดีอยู่แล้ว ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไรอีกแล้ว คนอื่นนั่นแหละต้องเปลี่ยนให้เหมือนกับที่เราคิด! การฝึกนิสัยเปลี่ยนผิดให้เป็นถูกนั้น เริ่มง่ายๆจาก ‘ตัว’ ของคุณนี่แหละ

ถ้ารู้ว่าเหม็นก็หมั่นอาบน้ำให้บ่อยขึ้น ลงทุนซื้อยาสีฟันดีๆมาฆ่าแบคทีเรียในปาก เพื่อยับยั้งกลิ่นซะ ผมเผ้าอย่าปล่อยรุงรังเป็นทาร์ซานเข้าเมือง ฯลฯ นิสัยปล่อยตัวตามสบายนี่ถ้าอยู่คนเดียวในห้องเล็กๆตามลำพังก็เรื่องของคุณ แต่เมื่ออยู่ร่วมบ้านกับคนอื่น มันคือการรบกวน มันคือความผิด มันคือ ความไม่เห็นอกเห็นใจคนอื่น มันคือความเห็นแก่ตัว!

กระโดดจากความผิดเล็กๆขึ้นไปหาความผิดใหญ่ๆ กันเลย อย่างเช่นเรื่อง ชู้สาวที่มักเป็นตัวการเรียกใบหย่าอันดับต้นๆนั้น ไม่ได้แค่ท้าทายความรู้สึกผิดชอบ ชั่วดีอย่างเดียว แต่ยังเป็นบทพิสูจน์ด้วยว่าคุณมีความพยายามแก้ไขความผิดสักแค่ไหน หากคุณหน้ามืดถลำเข้าห้องลับกับใครที่ไม่ใช่คู่ผัวตัวเมีย คุณได้ชื่อว่า ผิดแล้วที่ ‘ตั้งใจ’ ละเมิดศีลข้อกาเมฯ แต่ยังแก้ไขได้ทัน ถ้ากลับลำเดินพรวดพราด ออกจากห้องเสียก่อนจะมีการเข้าด้ายเข้าเข็ม การแก้ไขข้อผิดพลาดของคุณ จะยังไม่ทำให้คุณทำผิดสำเร็จ แค่มัวหมอง ไปบ้าง ศีลด่างพร้อยไปหน่อย แต่จุดใหญ่ใจความคือคุณพูดได้เต็มปากว่า คุณยังไม่ได้ทำผิด คุณยังเป็นคนถูกอยู่ คุณยังไม่ทำศีลขาด!

แต่หากคุณหน้ามืดตามัวขนาดทุกกระบวนการ ดำเนินไปเองจนเสร็จสิ้น ราวกับนักบินเข้าโหมดบินอัตโนมัติ ประทับตรา ‘ข้าคือชู้’ ไว้ในวิญญาณเรียบร้อย แล้ว คุณก็ได้ชื่อว่าผิดศีลข้อกาเมฯ ทำศีลขาดทะลุอย่างสมบูรณ์ แต่คุณยังไม่ตาย ยังมีโอกาสกลับตัว ยังทันเปลี่ยนแปลงตนเองไม่ให้ตายเยี่ยงคนทุศีลได้! การกลับตัวกลับใจไม่ได้เริ่มขึ้นบนเตียง แต่เริ่มขึ้นได้ที่นี่ เดี๋ยวนี้ ในใจคุณ! แค่ตั้งใจเด็ดเดี่ยวว่าจะไม่เอาอีก เป็นตายอย่างไรไม่มีการทำอีก นั่นแหละ ครับ รอดจากการเป็นคนทุศีลมาครึ่งหนึ่งแล้ว และ เมื่อมีตัวยั่วมาล่อให้เข้าห้อง แห่งความลับอันดำมืดอีกครั้ง หรือหลายๆครั้ง นั่นแหละคือโอกาสพิสูจน์ตัว ว่าเลิกเป็นคนทุศีลเด็ดขาดแล้ว ขอเพียงคุณปฏิเสธ หรือปฏิญาณไว้ว่า ยอมตายดีกว่าเสียสัตย์เสียศีล! นะครับ! ถ้ามีมันจุกอก กดดันจนเลือดกำเดาออกตาย ก็ให้ตายไปเลย! ตายเพื่อรักแท้หรือตายเพื่อรักษาศีล ก็ได้ชื่อว่าตายอย่างคนถูกคนดีทั้งสิ้น

นอกจากเรื่องชู้สาวที่ถือเป็นความผิดขั้น อาญาต่อรักแท้ ยังมีความผิด อีกชนิดหนึ่ง ที่แม้ไม่ผิดขั้นอุกฉกรรจ์เยี่ยงการมีชู้ ก็ถือว่าฆ่ารักแท้ให้ตายแบบ ผ่อนส่งได้ ความผิดชนิดนี้ เป็นผิดซ้อนผิด และจัดเป็นโรคชนิดหนึ่งของมนุษย์เรา นั่นคือโรคยัดเยียดความผิดให้คนอื่น!

ความผิดหนึ่งๆนี่นะครับ ส่วนใหญ่แค่ยอมรับก็สิ้นเรื่องแล้ว ให้อภัยได้แล้ว แต่เพราะคนเรามีโรคบ้าอัตตา มีทิฐิมานะอยากปกป้องตนเอง แทนที่ผิดแล้ว จะยอมรับผิด ก็กลับไปยัดเยียดให้คนอื่นดูชั่ว แล้วตัวเองดูดีไปเสียหมด คนเป็นโรคพรรค์นี้ถ้าเข้าขั้นเรื้อรัง ชนิดเอาตะปูตอกหน้าไม่เป็นรูแล้วล่ะก็ ไม่ทราบจะอภัยท่าไหนดีเลยครับ ในเมื่อเจ้าตัวยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนผิด แล้วจะให้ ไปรับการอภัยจากใครได้

ขอให้ระลึกไว้ว่าเวลาเกิดกรณีใครผิดใครถูก ขึ้นมา มีคุณคนเดียวที่รู้อยู่แก่ใจ ว่าทำอะไรหรือไม่ทำอะไรลงไปบ้าง ตลอดจนตั้งใจหรือไม่ตั้งใจไว้แค่ไหน ฉะนั้น มีแค่คุณเองที่พิพากษาได้เที่ยงธรรม คนอื่นได้แค่ปรักปรำตามที่เห็นหรือคาดเดาเอา ถ้าคุณยืนยันจะไม่พิพากษาให้ตัวเองผิด ยืนกระต่ายขาเดียวจะยัดข้อหาให้ คนอื่น แม้รู้ทั้งรู้อยู่แก่ใจว่าตัวเองคือต้นเหตุ บ้านจะเริ่มเบี้ยวบิดผิดรูปไปทีละน้อย จริงๆนะครับ

พูดเหมือนหนังการ์ตูน แต่ลองสังเกตดูจะทราบว่าเป็นอย่างนั้นแหละ หากคุณทำผิดแล้วไม่รับ ตัวเองทำบอกว่าคนอื่นทำ กล้าโกหก กล้ากลับดำให้เป็น ขาว ข้าวของจะขวางหูขวางตาง่าย คนในบ้านจะเป็นเป้าให้เพ่งโทษง่าย ราวกับ บ้านทั้งหลังไม่สมประกอบ ผิดสัดส่วน ผิดปกติไปหมด ไม่น่าพอใจไปหมด โลกไม่ได้เบี้ยวบิด แต่จิตของคุณนั่นแหละบิดเบี้ยว! นิสัยเอาดีเข้าตัว โยนชั่วให้คนอื่นนั้น เมื่อเป็นแล้วแก้ยากมาก นับวันจะทวีขึ้น เรื่อยๆ มีวิธีเดียวคืออย่าเริ่มเป็นมันเลย อย่าให้มีก้าวแรกเป็นนับหนึ่งขึ้นมาได้ เพราะ คุณอาจได้นับถึงสิบภายในเวลาอันสั้น และถึงตรงนั้นคุณจะลืมวิธีคิดอย่างมีเหตุผล รูปความคิดจะวิกลวิการ ผิดจากเดิมจนไม่เหลือความน่ารักแล้ว

ทุกคนเริ่มจากความไม่รู้และการถูกกิเลสจูงจมูก ไม่มีใครเริ่มต้นชีวิตได้ด้วย ความไม่ผิด ฉะนั้นให้มีความรักเป็นกำลังใจในการเปลี่ยนผิดเป็นถูกเสีย แล้วคุณจะได้จำว่าความรักทำให้คุณเป็นคนดีขึ้น ความรักเปลี่ยนแปลงชีวิตคุณได้! ถึงเวลานั้นจะได้รู้ไงครับว่าความรักมีค่าขนาดไหน สรุปคือปากที่แก้ตัวเก่ง อาจพาคุณรอดตัวครั้งแล้วครั้งเล่า แต่มือเท้าที่ ไม่ชอบแก้ไข จะพาชีวิตคู่ของคุณไปสู่หายนะอยู่ดี คนเราจะอยู่กันให้ยืดได้ ไม่ใช่ด้วยการพยายามทำทุกอย่างให้ถูกหมด ต้องได้รับคำชมไปหมด แต่เป็น การรู้ตัวว่าผิดแล้วเร่งคิดแก้ไข ได้รับเสียงติแล้วย้อนดูตัวโดยพลัน!

รักมีคำเดียว แต่ความหมายของรักนั้น มีได้มากเท่าวิธีเห็นแก่ตัวของแต่ละคน!
ความเห็นแก่ตัวและความเสียสละนั้น เมื่อสั่งสมสิ่งใดให้มากแล้ว จะฉายออก มาทางตาได้นะครับ

คิดดูว่าจริงไหม อำนาจนัยน์ตาของคน ที่รักคุณจริง อาจทำให้คุณสงบลงได้ทั้งที่กำลังวุ่นวายสิ้นดี แต่อำนาจนัยน์ตาของคนที่ เอาแต่เรียกร้องให้คุณรัก อาจทำให้คุณวุ่นวายสิ้นดีทั้งที่กำลังสงบอยู่แท้ๆ

ตั้งคำถามขั้นพื้นฐานง่ายๆดู ระหว่างความเห็นแก่ตัวกับความเสียสละ อันไหนทำหน้าที่รักษาความรู้สึกได้ดีกว่ากัน? ตอบน่ะตอบได้ แต่จะมีสักกี่คนที่เอา ‘คำตอบที่ถูกต้อง’ ไปใช้ประคบประหงม รักแท้

มาดูนิยามความรักกันดีกว่า นิยามใดทำให้คุณรู้สึกว่าตรงกับตัว ก็โปรด พิจารณาเถิดว่าควรรักษาไว้หรือได้เวลาเปลี่ยนแปลงนิยามเสียที ต่อไปนี้คือความหมายของรักที่เต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว

ถ้าต่างฝ่ายต่างจ้องจะเอาเปรียบด้วยกันทั้งคู่ คู่รักนั้นย่อมกล่าวว่าความรักคือ ‘ผลประโยชน์’

ถ้ามีฝ่ายหนึ่งจ้องจะเอาเปรียบ แต่อีกฝ่ายพร้อมจะให้เปล่า คู่รักนั้นย่อมกล่าว ว่าความรักคือ ‘ความไม่เสมอภาค’

ถ้าทั้งสองฝ่ายผลัดกันเอาเปรียบและผลัดกันให้เปล่า คู่รักนั้นย่อมกล่าวว่า ความรักคือ ‘การใช้หนี้’

แล้วความหมายของรักที่เจืออยู่ด้วยความเสียสละคืออะไร?

ถ้าต่างฝ่ายต่างจ้องจะให้เปล่าด้วยกันทั้งคู่ คู่รักนั้นย่อมกล่าวว่าความรักคือ ‘ความเอื้ออาทร’ ต่างฝ่ายต่างเอื้ออาทรนั่นแหละ ความรู้สึกแบบรักแท้!

มนุษย์เราอยากมีคนรักไว้เป็นพวกเดียวกัน แต่ในความเป็นจริง คู่รักมัก แบ่งข้างกันโดยไม่รู้ตัว และ คนส่วนใหญ่ก็ไม่ทราบไปจนตาย ว่าสิ่งเดียวที่ จะทำลายการแบ่งข้างลงได้ ก็คือความพร้อมใจเสียสละ ไม่ใช่กะเกณฑ์ ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีน้ำใจคิดให้อยู่ข้างเดียว

เรามีคนรักไว้รบกวนกันหรือเป็นกำลังหนุนแก่ กันก็ได้ แน่นอนว่าถ้าคุณ เลือกคนที่ใช่มาเป็นคู่ ก็ต้องดูดีแล้ว ว่ามีพื้นฐานของความพร้อมจะเสียสละ เพื่อกันและกันไม่มากก็น้อย แต่ ขอให้ทราบเถิดว่ายากที่จะมีความเท่าเทียม ในการอยู่ร่วมกัน และเพียงอยู่ร่วมกันไม่นานนัก ความไม่เท่าเทียมก็มักเป็น แรงกระตุ้นความเห็นแก่ตัวให้กำเริบได้โดยไม่มีใครทันสังเกต เพื่อให้ความรักของคุณเป็นไปตามความหมายของการเอื้ออาทร คุณต้อง ไม่ลืมกฎสำคัญ คือ เมื่อได้รับ อย่าลืมขอบคุณ เมื่อได้ให้ อย่าลืมอมยิ้ม

นอกจากนั้น พวกคุณต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับ ‘เวลาของครอบครัว’ ให้ดี ครอบครัวเริ่มตั้งต้นขึ้นเมื่อชายหญิงมาอยู่ร่วมกัน ถ้ายังหาเวลาให้ครอบครัวได้ ไม่มากพอ ก็อย่าเพิ่งริมีครอบครัว เพราะครอบครัวต้องการเวลาจากสมาชิกทุกฝ่าย เหมือนร่างกายต้องการลมหายใจ ขาดลมหายใจแล้วตายฉันใด ครอบครัวขาดเวลา จากสมาชิกก็ต้องล่มสลายฉันนั้น

ถ้าชีวิตมาถึงความเป็นภาวะคู่จริง ชีวิตต้องให้ความรู้สึกที่แตกต่างจาก ภาวะเดี่ยว ถ้าคุณยังรู้สึกเหมือนเป็นโสด ทำตัวตามสบาย ไม่ต้องแคร์ใคร เวลาทั้งหมดอุทิศให้แก่ตัวเองแต่เพียงผู้เดียว ก็แปลว่าคุณยังมาไม่ถึงภาวะคู่ แถมใบสมรสของคุณยังอาจกำลังทำให้ใครบางคนเศร้า เหงา และทนทุกข์ อย่างมากมายเสียด้วย การพูดแล้วไม่ทำตามที่พูด สัญญาไม่เป็นสัญญา นัดไม่เป็นนัด ถ้าหาก ไม่มีเหตุผลภายนอกบีบ ก็เหลือเหตุผลภายในอันเดียว คือคุณเห็นแก่ตัวมาก! ในทางกลับกัน เวลาของครอบครัวไม่ใช่ ‘เวลาทั้งหมด’ ที่คนในครอบครัว จะถือสิทธิ์เอาแค่ไหนก็ได้ ต่างคนต่างต้องทำหน้าที่สร้างบ้านและรักษาบ้าน ขณะเดียวกันต่างคนต่างก็ต้องการเวลาส่วนตัว เพื่อพักวางภาระจากภาวะคู่ บ้าง ได้สูดกลิ่นอิสรภาพคล้ายในภาวะเดี่ยวบ้าง การได้เวลาในชีวิตของเขาหรือเธอไว้ทั้งหมด ไม่ได้ทำให้คุณมีคนรักหรอก นะครับ แต่เป็นนักโทษต่างหาก! ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็เท่ากับว่าความรักช่วยให้คุณได้นักโทษมาคนหนึ่ง และ ต้องทำให้คุณเป็นทุกข์กับฐานะผู้คุมนักโทษ ที่ระแวงอยู่ตลอดเวลาว่าวันหนึ่ง นักโทษจะทนไม่ได้ และหาทางแหกคุกหนีไป

เคยสัมผัสใช่ไหม ตอนที่ใครได้ทำอย่างใจตัวเอง มีเวลาเป็นอิสระบ้าง เขาเต็มไปด้วยความสุข ความยินดี และหายใจหายคอได้ด้วยความแน่ใจว่า ตนไม่ใช่นักโทษ ถ้าดีใจเวลาเห็นใครเป็นสุข คุณอาจไม่จำเป็นต้องรักเขาเสมอไป แต่ถ้าอ้างว่าคุณรักใครแล้วไม่ยินดีกับความสุขของเขา แปลว่าคุณเห็นแก่ตัวและดีแต่พูดเท่านั้น จำไว้ว่าการอยู่ใกล้นานเกินไป จะพลิกผันเป็นแรงผลักให้คนรักอยากออกห่าง มากขึ้นทุกที ความหึงหวงและการบังคับหน่วงเหนี่ยวกักกัน อาจทำให้คุณพอใจ ที่ได้เห็นกับตาว่าได้คนรักไว้ใกล้ตัวเกือบตลอด แต่คุณจะรู้ได้ด้วยใจ ว่าใจของเขา หรือเธอไม่อยากอยู่ตรงนั้น หรือกระทั่งหนีหายไปที่อื่นนานแล้ว

รักแท้ไม่ใช่การอยู่ใกล้กันตลอดเวลา แต่คือการยอมรับกฎธรรมชาติระหว่าง ชายหญิงที่มีทั้งแรงดูดและแรงผลัก ห่างกันบ้างเพื่อให้คิดถึง และเติมแรงดึงดูดเข้ามาหากันใหม่ ดีกว่าเอาแต่ อยู่ใกล้แล้วสะสมแรงผลัก หรือเก็บกดกระทั่งระเบิดแตกกระจายออกจากกันเป็น เสี่ยงๆอย่างถาวร ใกล้ชิดกันบ้างเพื่อให้อบอุ่นกายอบอุ่นใจ และสร้างแรงผลักให้ออกไป หาอิสระบ้าง ดีกว่าเอาแต่อยู่ห่างแล้วสะสมความโหยหา จนแปรเป็นการไปหา คนอื่นแทนอย่างไม่มีวันได้กลับมาใกล้กันอีกเลย

รูปแบบความรักในชีวิตหลังแต่งงานนั้น จะไม่เป็นไปตามข้อตกลงหรือ คำมั่นสัญญาใดๆก่อนแต่งงาน มนุษย์มีคำพูดในวันก่อนเอาไว้ลืม แต่มี ความเห็นแก่ตัวเฉพาะหน้าไว้จำ ถ้าอยากรักษาความรู้สึกดีๆก่อนแต่งงานไว้ พวกคุณต้องให้ความร่วมมือด้วยกันทั้งสองฝ่าย ทำเหตุของผลที่อยากได้ อย่าอยากได้ในสิ่งที่เคยสัญญากันด้วยปากแบบลมๆแล้งๆ ถามตัวเองสั้นๆนะครับ ระหว่างยอมเหนื่อยกับยอมเสียความรัก คุณเลือก อันไหน คำตอบจะเป็นตัวชี้ชะตาความรักของพวกคุณ!

สรุปคือรักที่ตายได้คือรักแต่จะเอา ส่วนรักอมตะคือรักการสละความเห็นแก่ตัว คุณคาดหวังได้ว่าจะอยู่กินกับคนรักเพียงสองคน แต่อย่าคาดหวังว่าจะไม่ต้อง ข้องเกี่ยวใดๆเลยกับญาติพี่น้องของคนรัก ทุกคนมีฐานของความรู้สึกในชีวิต ซึ่งดั้งเดิมจะอยู่กับผู้ให้กำเนิด ญาติผู้ใหญ่ ญาติพี่น้อง ตลอดจนวงศ์วานว่านเครือ ความเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกันทำให้ มนุษย์รู้สึกว่าตนมีที่มาที่ไป แน่ใจว่าไม่ได้ถูกคนแปลกหน้าเก็บมาเลี้ยง ตนเอง ยังมีหน้ามีตาคล้ายคลึงกับใครอยู่ มีความผูกโยงทางกายใจกับใครอยู่

ความรักเป็นเรื่องของคนสองคน แต่ก็เป็นธุระของญาติหลายๆคนด้วย
เมื่อจะมีคู่ชีวิต ฐานของความรู้สึกในชีวิตอาจแตกต่างไปบ้าง คล้าย ขาข้างหนึ่งก้าวออกมาเหยียบยืนอยู่บนฐานใหม่ที่สร้างเอง แต่ขาอีกข้างของ คนส่วนใหญ่ ยังคงต้องปักหลักอยู่บนฐานเดิมที่พ่อแม่ให้มาอยู่ดี จะเต็มเท้า หรือแค่แตะไว้หน่อยเดียวก็ตาม คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าแค่แคร์ความรู้สึกของคนรักก็น่าจะพอแล้ว คนอื่นแม้ ไม่เอาใจใส่ให้มากก็ไม่น่าจะถือว่าบกพร่อง แต่ขอให้ลองเอาใจเขามาใส่ใจเรา

ถ้าพ่อแม่พี่น้องมาฟ้องว่าคนรักของคุณดูถูกพวกเขา ไม่ให้เกียรติพวกเขา คุณ จะรู้สึกอย่างไร?

รักแท้ไม่ได้อยู่ข้างการกระทำลวกๆที่ขาด พิธีรีตอง รักแท้เป็นอะไรที่ต้อง มีฐาน มีราก ไม่น้อยหน้าน้อยตา ไม่หลบๆซ่อนๆ จึงจะตั้งอยู่ได้อย่างมั่นคง ถ้า คุณยังเห็นพิธีหมั้นและพิธีแต่งเป็นส่วนเกินของชีวิต ทำให้ชีวิตไม่ปราดเปรียว ตามสมัยนิยม ก็ขอให้มองย้อนกลับมาที่ใจตัวเอง เอาใจของคุณเองเป็นที่ตั้งว่า การอยู่ด้วยกันเฉยๆ เข้าฝ่ายไหนระหว่างความรู้สึกผิดกับความรู้สึกถูกต้อง

การทำความรู้จักกับญาติของคนรัก เท่ากับการยอมรับรากของความเป็น คนรัก การ แสดงความรังเกียจญาติของคนรัก ก็คือรังเกียจรากแห่งตัวตน ของคนรักนั่นเอง มันอาจเจ็บได้เท่ากับหรือยิ่งกว่าแสดงความรังเกียจ ตัวคนรักเองก็ได้ นอกจากญาติก็ยังมีเพื่อนและผู้คนในสังคมของคนรักรวมทั้งของคุณเอง ทุกคนเป็นส่วนประกอบใหญ่บ้างเล็กบ้าง ขอ ให้จำไว้ว่าถ้าคนรักแคร์ใคร คุณ ก็จงแคร์คนนั้นด้วย ไม่ว่าใจส่วนลึกจะชอบหรือชัง อย่างน้อยคุณต้องระลึก ให้ดีว่าคนๆนั้นสำคัญกับความรู้สึกของคนรัก คุณปฏิบัติต่อคนๆนั้นอย่างไร ก็เหมือนกระทำกับความรู้สึกของคนรักอย่างนั้น

การพูดถึงคนรักให้เพื่อนๆหรือญาติๆของคุณ ฟัง เป็นสิ่งควรระมัดระวัง อย่าเอามันปากเข้าว่า เพราะสังคมมนุษย์เป็นสังคมกระจายข่าว พูดกระซิบข้างหู บางคน ไม่ได้แตกต่างอะไรกับพูดใส่โทรโข่งให้คนฟังกันเป็นพัน ขอให้ถามตัว เอง ว่าแต่ละคำที่คุณคุยให้คนอื่นฟัง ถ้าคนรักได้ยินกับหูจะเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่า จะพูดกับคนที่คุณรู้สึกไว้ใจขนาดไหน ขอให้นึกถึงความเป็นไปได้ว่านั่น จะไปถึงหูคนรักได้เสมอ แค่อย่านำไฟในออก อย่านำไฟนอกเข้ายังไม่พอ เสียงชมต้องดังกว่าเสียงติ ด้วยนะครับ ติอย่างมีเหตุผลในห้องนอน แล้วชมอย่างสบายอารมณ์ในห้องรวมญาติ แล้วคุณจะรักษาความรู้สึกดีๆที่มีต่อกันไว้ได้เสมอไป

สรุปคือเวลาคุยกับญาติของคนรัก ให้นึกถึงหน้าของคนรัก แล้วคุณ จะไม่เผลอนึกว่ากำลังคุยกับคนแปลกหน้า อย่างที่กล่าวแล้วแต่ต้น ความรักคือกิเลสทางเพศ กิเลสทางเพศก็คือ กามราคะ และสิ่งเร้ากามราคะได้แก่ความน่าพอใจทางรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ตลอดจนความตรึกนึกถึงเพศสัมพันธ์กับใครสักคนที่คุณปิ๊ง หากปราศจากแรงดึงดูดทางกาย หรือหากคนเราปราศจากกามราคะ เนื้อหนังมังสาของมนุษย์ก็คงถูกเห็นว่าสักแต่เป็นธาตุ ไม่ต่างจากก้อนดิน ผืนน้ำ ไอแดด และสายลม ที่เอามาผสมรวมกันชั่วคราว หาความน่าสนใจมิได้

กามราคะทำให้ร่างกายของมนุษย์เป็นวัตถุกาม และมีกระบวนวิธีเสพกาม แบบที่เราเรียกกันสั้นๆทุกวันนี้ว่า ‘มีเซ็กซ์กัน’ เซ็กซ์ในหมู่มนุษย์แตกต่างจาก เซ็กซ์ในสัตว์อย่างเห็นได้ชัด คือมนุษย์มีอารมณ์หวานและพิธีการนำมาก่อน ส่วนสัตว์นั้นเป็นไปตามฤดู ไม่ต้องมีอารมณ์หวาน ไม่ต้องมากเรื่องมากพิธี คลำดูมีหางเป็นใช้ได



แรงดึงดูดเริ่มที่กาย แต่สุดท้ายสายใยอยู่ที่จิต
ธรรมชาติของเซ็กซ์เป็นเรื่องลึกซึ้งเกินกว่าจะพูดง่ายๆว่ามีเซ็กซ์คือ การมีความสุข เพราะ เซ็กซ์เป็นได้ทั้งตัวการทำให้รักกันหวานชื่น เป็นได้ทั้ง ตัวการทำให้เกลียดกันเข้าไส้ หรือเป็นได้กระทั่งวิธีทำร้าย วิธีลงโทษ และ วิธีสั่งสอนกัน มันตั้งต้นกันที่ใจ ใจจะนำไปสู่การปฏิบัติทางกาย ที่ให้ความรู้สึกว่าเซ็กซ์ เป็นแค่ของต่ำ หรือเป็นสัมผัสแห่งรักอันจัดจ้านถึงใจ เป็นต้มยำรสสะเด็ดสะเด่า หรือเป็นเนื้อเน่าชวนคลื่นเหียน

ว่ากันโดยความรู้สึกเลยนะครับ… เซ็กซ์ที่ปราศจากความรักรองรับ คือเซ็กซ์จากสัญชาตญาณดิบ ให้ความรู้สึก ต่ำ เซ็กซ์ที่ปราศจากพิธีการนำหน้า คือเซ็กซ์ที่ก่อให้เกิดความรู้สึกผิด นั่นเพราะโดยจิตสำนึกแล้ว สิ่งมีชีวิตระดับมนุษย์จะมีเซ็กซ์เพื่อแสดงว่า ยอมรับกันและกันเป็นคู่ครอง ยอมเปิดเปลือกออกหมดแล้ว พร้อมจะร่วมทุกข์ ร่วมสุขโดยปราศจากเครื่องห่อหุ้มปิดซ่อนแล้ว มีเพียงคู่ครองเท่านั้นที่มีสิทธิ์ได้เห็น และสัมผัสเนื้อแท้ของกันและกัน

การเปิดเปลือกออกโล่งโจ้งเร็วเกินไป หรือขาดพิธีการที่ให้เกียรติกัน ย่อม นำมาซึ่งความรู้สึกไม่มีค่า ไม่มีความหมาย ไม่ต้องใช้ความพยายาม ซึ่งหมายความ ว่าเมื่อพบตำหนิเพียงน้อยในสิ่งไร้ค่านั้น ใจคุณย่อมพร้อมจะผละจากหรือทิ้งขว้าง อย่างไม่แยแส ผมไม่ได้พูดแบบคนหัวโบราณนะครับ นี่ว่ากันตามเนื้อผ้าจริงๆ ถ้าคุณทำงาน หาเงินเลี้ยงตัวได้ เนื้อตัวของคุณก็เป็นสิทธิ์ของคุณ แต่ถ้าไวไฟไปหน่อย ยังไม่ทัน รู้จักมักจี่ ยังไม่ทันมีกิจกรรมเกื้อกูลให้เห็นน้ำใจสักกี่มากน้อย แล้วแลกเนื้อแลกหนัง ให้ชื่นชมกันในที่ลับ เซ็กซ์จะอยู่ในความทรงจำของคุณในฐานะเครื่องชี้ว่า คุณไม่มีความห้ามใจ ยิ่งถ้าคุณยังมีผู้ปกครอง ต้องใช้เงินพ่อแม่ซื้อข้าวน้ำมาเลี้ยงเนื้อเลี้ยงตัว แต่เอาเนื้อตัวไปใช้ในแบบที่ไม่รู้ว่าเจ้าของยินยอมหรือเปล่า คุณย่อมได้ชื่อว่า ละเมิดสิทธิ์ของผู้อื่น

กิจกรรมที่ร่วมกันละเมิดสิทธิ์ผู้อื่น ถือเป็นการร่วมกันทำผิด ย่อมไม่อาจนับเป็นการทำอะไรดีๆร่วมกันได้ อย่างที่เคยกล่าวไว้ก่อนแล้ว ว่าธาตุความเป็นชายและธาตุความเป็นหญิง คือสิ่งดึงดูดให้เข้าหากัน แต่เมื่อใกล้ชิดกันแล้วก็จะผลักออกจากกัน แรง ดึงดูด ของเซ็กซ์นั้น แท้จริงแล้วไม่ได้อยู่ที่รูปพรรณสัณฐานของอวัยวะเพศ แต่ อยู่ที่ความลับของสิ่งที่

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น