++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพุธที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

โค้งสำคัญพันธมิตรฯ : จาก 193 วันถึงพรรคการเมืองใหม่!?

โดย สำราญ รอดเพชร *-*


พักนี้ได้ฟังการสนทนา
ได้อ่านบทความ...ว่าด้วยการตั้ง-ไม่ตั้งพรรคการเมืองของพันธมิตรประชาชน
เพื่อประชาธิปไตย จนอิ่มแปร้ แต่ที่อยากจะฟังมากๆ ก็คือ
เสียงจากตัวแทนพันธมิตรฯ ทุกจังหวัดนับพันคนที่จะชักแถวเข้าประชุม
"สภาพันธมิตรฯ" ในวันที่ 24 พ.ค.52 ณ อาคารนันทนาการ มหาวิทยาลัยรังสิต

จากที่ได้รับฟัง ได้อ่านความเห็นปฏิกิริยาสะท้อนต่างๆ แล้ว
บอกได้อย่างเดียวว่า...คือความงดงามในความเห็นต่างของพ่อแม่พี่น้อง
พันธมิตรฯ และวิญญูชนคนทั่วไป ผมนึกภาพเลยเถิดไปไกลถึง "อิน-จัน"
แฝดสยาม..ตัวติดกันแท้ๆ แต่คิดต่างกันก็มากมายหลายเรื่อง
นอนบนเตียงเดียวกัน ตัวติดกันแต่ฝันกันคนละเรื่อง...

ประสาคนมองโลกในแง่ดี ผมคิดว่าความเห็นต่าง
เรื่องการตั้ง-ไม่ตั้งพรรคการเมือง
เป็นปรากฏการณ์การถกเถียงทางปัญญาครั้งสำคัญของพันธมิตรฯ
ไม่ว่าผลสรุปในวันที่ 24-25 พ.ค. 52 จะเป็นอย่างไร
ผมยังเชื่อมั่นว่ามวลชนพันธมิตรฯ
ส่วนใหญ่จะยังร้อยรัดความรักกันเป็นหนึ่งเดียวเอาไว้ได้...

เหมือน 193 วันแห่งการต่อสู้
ที่หลายคนหรือแม้แต่ผมในบางครั้งรู้สึกทดท้อเหนื่อยล้าเพราะความยืดเยื้อและ
วิธีการต่อสู้ในบางครั้ง
แต่เพราะความเชื่อมั่นทั้งต่อแกนนำและพี่น้องพันธมิตรฯ
ว่า...ทุกคนมีแต่ความจริงใจในการต่อสู้ สู้เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์

ทำให้เรายืนหยัดอยู่ได้จนถึงวันที่ 193

ยอมรับว่า การตั้ง-ไม่ตั้งพรรคการเมือง คือโค้งสำคัญของพันธมิตรฯ

ว่าจะต่อสู้บนแนวทางองค์กรภาคประชาชนโดยพัฒนาปรับแต่งขบวนให้เข้ม
แข็งมากขึ้นและมากขึ้น
เพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบถ่วงดุลเป็นหูเป็นตาเป็นยามเฝ้าแผ่นดิน
ไม่ให้พวกโจรมันปล้นชาติปล้นเมืองต่อไป

หรือว่าจะปรับขบวน ยกระดับการต่อสู้ของพันธมิตรฯ
ขึ้นมาอีกรูปแบบหนึ่งด้วยการตั้งพรรคการเมือง
สู้ในแบบประชาธิปไตยตัวแทนคือมี ส.ส.ในสภา
หรือตลอดจนในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นด้วย
เพื่อจะได้เป็นปากเป็นเสียงเป็นไม้เป็นมือในการขับเคลื่อนกฎหมาย-นโยบายให้
เป็นรูปธรรม แทนที่จะต้องยืมจมูกคนอื่นหายใจ
หรือต้องลงแรงชุมนุมทางการเมืองกันเรื่อยไป..

ถามว่าผมคิดอย่างไร...เรื่องการตั้ง-ไม่ตั้งพรรคการเมือง
ก็ต้องตอบตามตรงว่าแม้จะมองเห็นทั้งข้อดีข้อด้อยของทั้งสองแนวทาง
แต่เมื่อบวกลบคูณหารแล้ว ผมเห็นว่า...ได้เวลาที่พันธมิตรฯ
ควรจะยกระดับการต่อสู้ด้วยการตั้งพรรคการเมือง
โดยที่ยังไม่ละทิ้งองค์กรภาคประชาชนอย่างพันธมิตรฯ

เหตุผลกว้างๆ

1) แม้ในอนาคตความจำเป็นที่จะต้องชุมนุมทางการเมืองขนาดใหญ่อาจจะมี
แต่ก็คงมีไม่มากหรือไม่บ่อยครั้ง
ขณะที่การชุมนุมเคลื่อนไหวในลักษณะอารยะขัดขืน เช่น ยึดถนน
ยึดสถานที่ราชการก็มีความจำกัดและยากลำบากกว่าเดิม

ผมกำลังบอกว่าการเมืองบนท้องถนน
อาจจะยังจำเป็นอยู่ในบางสถานการณ์เท่านั้น
แต่ไม่ควรและไม่น่าจะใช่ทางเลือกหลัก

2) แม้พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคการเมืองที่มีแนวทางแนวคิดสอดคล้องกับมวลชน
พันธมิตรฯ มากที่สุด แต่ด้วยความจำกัดทั้งโครงสร้างของการเมืองรัฐบาลผสม
บวกกับวัฒนธรรม วิธีคิดของพรรคประชาธิปัตย์ทำให้รัฐบาลประชาธิปัตย์ไม่ได้ตอบสนองข้อเสนอข้อ
เรียกร้องของพันธมิตรฯ อย่างมีนัยสำคัญแต่ประการใด

แปลไทยเป็นไทยว่า...ถ้าพรรคประชาธิปัตย์เจ๋งกว่านี้ พันธมิตรฯ
ก็ไม่ควรตั้งพรรคการเมืองให้เมื่อยตุ้ม

3) ทิศทางการเมืองเบื้องหน้า
ปลายปีนี้หรือต้นปีหน้ามีแนวโน้มสูงยิ่งที่จะยุบสภาเลือกตั้งทั่วไปกันใหม่
พรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคภูมิใจไทย จะเป็น 3 พรรคใหญ่สุด
ส่วนพรรคขนาดกลาง ขนาดเล็กก็เดิมๆ โครงสร้างอำนาจ-การเมืองก็ยังจะเดิมๆ
การเข้ามาถอนทุนของแต่ละพรรคการเมืองหรือการปล้นชาติผลาญเมืองก็จะยังเกิด
ขึ้นต่อไป

ถ้าพันธมิตรฯ
ประสานเสียงการต่อสู้อย่างสร้างสรรค์ทั้งนอกสภาและในสภา
การปกป้องผลประโยชน์ชาติก็น่าจะหนักแน่นขึ้น

หรือว่าเราจะปล่อยให้การโกงบ้านกินเมืองเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเราอีก
โดยที่เราทำได้เพียงนั่งวิพากษ์วิจารณ์หรือด่าทอด้วยความคลั่งแค้นที่ตัวเอง
ช่วยอะไรประเทศชาติไม่ได้

4) การแจ้งเกิดของพรรคพันธมิตรฯ
ไม่ว่าจะมีตัวแทนในสภากี่ที่นั่งก็ตาม
แต่เป็นโอกาสสำคัญที่จะได้ใช้ความเสียสละ ความซื่อสัตย์และความกล้าหาญ
ตลอดจนความรู้ความสามารถ จุดความหวังให้ประชาชนที่กำลังเบื่อหน่าย
สิ้นหวังกับการเมือง(เก่า)
และผนึกพลังกันเดินหน้าสร้างการเมืองใหม่ให้เป็นจริงในอนาคตได้

และถ้าพรรคพันธมิตรฯ ผ่านการพิสูจน์บทแรกด้วยความสมบูรณ์สวยงาม
นักธุรกิจ ปัญญาชน นักต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม คนดีๆ
ที่รักบ้านรักเมืองอีกจำนวนมากก็คงชักแถวออกมาเข้าร่วมมากขึ้นและมากขึ้น

5) ความเป็นพรรคการเมืองของพันธมิตรฯ
มิได้เป็นการปิดกั้นหรือลดทอนพลังแห่งการจุดเทียนแห่งปัญญาให้กับประชาชนแต่
ประการใด ตรงข้ามภายใต้โครงสร้างที่มีสาขาพรรค
หรือแม้แต่ตัวองค์กรพันธมิตรฯ ก็จะทำหน้าที่จุดเทียนสร้างปัญญาได้ต่อไป

...ฯลฯ...

ครับ เหล่านี้เป็นทั้งความรู้สึกและความเชื่อส่วนตัวของผม
ผิด-ถูกอย่างไรก็ถือเสียว่าเป็นการแลกเปลี่ยน
ไม่ได้ออกมาชี้แนะชี้นำแต่ประการใดทั้งสิ้น

ส่วนรายละเอียดโครงสร้างพรรค
ตัวบุคคลระดับนำที่จะร่วมกันสรรค์สร้าง
นำพาพรรคการเมืองพรรคนี้ในเบื้องต้นผมเชื่อมั่นว่ามีมากมาย
จะให้ลองเอ่ยชื่อเล่นๆ เพื่อให้เห็นภาพบ้างก็ยังได้...

นอกเหนือจาก สนธิ ลิ้มทองกุล และอีก 4 แกนนำแล้ว
ผมเชื่อว่าคนอย่าง น. ต.ประสงค์ สุ่นศิริ, ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์,
พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ, ดร.สิทธิชัย โภคัยอุดม, พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์
เตมียาเวส, คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑะกา ฯลฯ
ก็ไม่น่าจะขัดข้องที่จะเข้าร่วมหากไปเทียบเชิญ

แน่นอนในภาคปฏิบัติหรือชีวิตจริงการทำพรรคการเมืองให้บรรลุเป้า
ภายใต้ค่านิยม วัฒนธรรมการเมืองเก่าที่ฝังรากลึกไม่ง่ายหรอก
และหลายคนเกรงว่าพันธมิตรฯกำลังจะเดินหลงทางเข้าร่องแข้งของพวกนักเลือกตั้ง
บางพวกที่จ้องจะโจมตีด่าว่า ก็เป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังและพึงตระหนัก
ซึ่งผมเห็นด้วยว่าอย่าประมาท...เพียงแต่ผมไม่เห็นด้วยถ้าเราจะเกร็งกันจนยอม
จำนนจนไม่กล้าขยับที่จะทำอะไรใหม่ๆ

ครับ ทั้งหมดด้วยความบริสุทธิ์ใจครับ


samr_rod@hotmail.com

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000056049

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น