++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพุธที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2558

บัณฑิตผู้มีปัญญา "เกลียด" อะไรหนอ?

บัณฑิตผู้มีปัญญา "เกลียด" อะไรหนอ ?

"กิเลส" นั่นเอง
เป็น "สภาพธรรม"
ที่บัณฑิตผู้มีปัญญา "เกลียด"     
ไม่ควรแก่การเข้าใกล้เป็นอย่างยิ่ง  
ซึ่งจะเห็นได้ว่า.. สิ่งที่ร้าย ๆ 
สิ่งที่ไม่ดีต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นนั้น
ล้วนมาจาก "กิเลส" ทั้งสิ้น.
**

ใครนั้น ก็คือ "ภิกขุโกกาลิกะ" นั่นเอง
ประสงค์จะด่าพระอัครสาวก
ได้รับ "ผล" แห่งกรรม
ต่อมทั้งหลายผุดขึ้น
ทำลายกระดูกทั่วร่าง
ไม่เว้นที่ว่างแม้เพียงปลายเส้นผม
มีตัวสุกเละ นอนบนใบตอง
เหมือนปลาที่ถูกยาพิษ..


ใครนั้น ก็คือ "ภิกขุโกกาลิกะ" นั่นเอง
แตกกายตายไปเกิดใน "ปทุมนรก"

ข้อความบางตอน
จาก... อรรถกถา
สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
พรหมสังยุต ปฐมวรรคที่ ๑
ทุติยโกกาลิกสูตรที่ ๑๐              
อรรถกถาทุติยโกกาลิกสูตรที่ ๑๐              
              
ในทุติยโกกาลิกสูตรที่ ๑๐
มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้...
ก็เมื่อ 'พระผู้มีพระภาคเจ้า'
ประทับอยู่ในกรุงสาวัตถี
พระอัครสาวกทั้งสอง
พร้อมด้วยภิกขุประมาณ ๕๐๐ รูป
จาริกไปในชนบท เมื่อใกล้ถึงวันเข้าพรรษา
ประสงค์จะอยู่อย่างสงบ
จึงส่งภิกขุเหล่านั้นไป
ตนเองถือบาตรจีวร
ถึงนครนั้นในชนบท ได้ไปสู่วิหารนั้น.
              
แลในที่นั้น โกกาลิกภิกขุ
ได้แสดงวัตรแก่พระอัครสาวกทั้งสอง.
              
พระอัครสาวกทั้งสองชื่นชมกับพระโกกาลิกนั้น
กล่าวว่า อาวุโส พวกเราจักอยู่ในที่นี้ตลอดไตรมาส
ท่านอย่าได้บอกแก่ใครๆ แล้วถือปฏิญญาอยู่.
              
ครั้นอยู่จำพรรษาปวารณาในวันปวารณาแล้ว
พระอัครสาวกทั้งสองจึงบอกลาภิกขุโกกาลิกะ
ว่า... อาวุโส เราจะไปละ.
              
ภิกขุโกกาลิกะกล่าวว่า... อาวุโส
พวกท่านอยู่ในวันนี้วันเดียว พรุ่งนี้ก็จักไป ดังนี้แล้ว
วันรุ่งขึ้นจึงเข้าเมือง บอกพวกมนุษย์ว่า..
อาวุโส พระอัครสาวกมาอยู่ในที่นี้
พวกท่านไม่รู้ ไม่มีใครถวายปัจจัยสี่เลย.

พวกชาวเมืองกล่าวว่า... ท่านขอรับ
พระเถระอยู่ที่ไหน ทำไมจึงไม่บอกพวกเรา.

ภิกขุโกกาลิกะกล่าวว่า.. อาวุโส
บอกแล้วจะมีประโยชน์อะไร
พวกท่านไม่เห็นภิกขุ ๒ รูป
ที่นั่งบนเถระอาสน์ หรือ
นั่นแหละ พระอัครสาวก.

พวกมนุษย์รีบประชุมกัน
รวบรวมเนยใส น้ำอ้อย เป็นต้น
และ ผ้าจีวร.
              
ภิกขุโกกาลิกะคิดว่า พระอัครสาวกเป็นผู้มักน้อยอย่างยิ่ง
จักไม่ยินดีลาภที่เกิดขึ้นด้วยวาจาที่ประกอบขึ้น
เมื่อไม่ยินดีก็จักบอกว่า ท่านทั้งหลาย
จงถวายแก่ภิกขุที่อยู่ประจำอาวาส ดังนี้
ให้พวกมนุษย์พากันถือลาภนั้นๆ
ไปสำนักของพระเถระทั้งสอง.
              
พระเถระทั้งสองเห็นดังนั้น จึงห้ามว่า ปัจจัยเหล่านี้
ไม่ควรแก่พวกเรา ไม่ควรแก่ภิกขุโกกาลิกะ ดังนี้แล้วหลีกไป.

ภิกขุโกกาลิกะเกิดอาฆาตขึ้นว่า..
มันเรื่องอะไรกัน พระอัครสาวกทั้งสอง เมื่อตนเองไม่รับ
ยังไม่ให้พวกมนุษย์ถวายแก่เราแล้วหลีกไป.

แม้พระอัครสาวกทั้งสองไปเฝ้า 'พระผู้มีพระภาคเจ้า'
ถวายบังคมแล้วพาบริษัทของตนเที่ยวจาริกไปตามชนบท
แล้วกลับมายังเมืองนั้น ในรัฐนั้น ตามลำดับ.
              
ชาวเมืองจำพระเถระได้ ตระเตรียมทาน
พร้อมทั้งเครื่องบริขารทั้งหลาย
สร้างมณฑปกลางเมืองถวายทาน
และ น้อมบริขารทั้งหลายเข้าไปถวายพระเถระ.
              
พระเถระได้มอบถวายแก่ภิกขุสงฆ์.
              
ภิกขุโกกาลิกะเห็นดังนั้น คิดว่า..
เมื่อก่อนพระอัครสาวกเหล่านี้ ได้เป็นผู้ปรารถนาน้อย
บัดนี้กลายเป็นผู้ปรารถนาลามก
แม้ในกาลก่อน ทำทีเสมือนผู้มักน้อย
สันโดษ และ ชอบสงัด จึงเข้าไปหาพระเถระ
กล่าวว่า.. อาวุโส เมื่อก่อน ท่านเป็นเหมือนมักน้อย
แต่บัดนี้ท่านกลายเป็นภิกขุลามก คิดว่า..
จำเรา (ภิกขุโกกาลิกะ) จักทำลายที่พึ่ง
ของพระอัครสาวกเหล่านั้น ขั้นรากฐานทีเดียว
รีบออกไปยังกรุงสาวัตถี
เข้าไปเฝ้า 'พระผู้มีพระภาคเจ้า' ถึงที่ประทับ.
              
ภิกขุโกกาลิกะนี้ พึงทราบว่า เข้าเฝ้า เพราะเหตุนี้เอง.
              
'พระผู้มีพระภาคเจ้า' พอทอดพระเนตรเห็น
ภิกขุโกกาลิกะกำลังมาโดยรีบด่วน
ทรงรำพึง ก็ทราบว่า... ภิกขุโกกาลิกะนี้
ประสงค์จะด่าพระอัครสาวก จึงได้มา.

และทรงรำพึงว่า... เรา 'ตถาคต'
อาจห้ามได้ไหมหนอ
ทรงเห็นว่าไม่อาจห้ามได้

ภิกขุโกกาลิกะนี้
ทำผิดในพระเถระทั้งหลาย
จึงมาตายแล้วจักเกิดในปทุมนรกโดยส่วนเดียว
เพื่อจะเปลื้องวาทะ ว่า...
'พระผู้มีพระภาคเจ้า' ทรงทราบบุคคลผู้ติเตียน
พระสารีบุตร และ พระโมคคัลลานะแล้ว ยังห้ามไม่ได้
และ เพื่อจะแสดงการกล่าวร้ายพระอริยะว่ามีโทษมาก
จึงทรงห้ามว่า มา เหวํ ดังนี้ถึง ๓ ครั้ง.
              
ความว่า เธออย่าได้กล่าวอย่างนี้เลย.

ผู้ทำตนให้เป็นที่มาแห่งศรัทธา
ผู้นำมาซึ่งความเลื่อมใส
อีกอย่างหนึ่ง ผู้มีคำอันบุคคลพึงเชื่อได้.
ผู้มีถ้อยคำที่จะพึงยึดเป็นที่อาศัยได้.
              
เมื่อภิกขุโกกาลิกะหลีกไปไม่นานนัก..
ต่อมทั้งหลายผุดขึ้นทำลายกระดูกทั่วร่าง
ไม่เว้นที่ว่างแม้เพียงปลายเส้นผม.

ก็เพราะกรรมเห็นปานนั้น
ไม่ให้ผลในขณะที่อยู่เฉพาะพระพักตร์
'พระพุทธเจ้า' ทั้งหลาย ด้วยพุทธานุภาพ
พอพ้นทัศนวิสัยไปแล้ว ย่อมให้ผล
ฉะนั้น เมื่อภิกขุโกกาลิกะนั้นหลีกไปแล้วไม่นาน
ต่อมทั้งหลายจึงผุดขึ้น.
              
ภิกขุโกกาลิกะถูกอานุภาพแห่งกรรมตักเตือน จึงหลีกไป.               
จริงอยู่ ใครๆ ไม่อาจที่จะห้ามกรรมที่ทำโอกาสแล้ว
กรรมนั้นไม่ให้ภิกขุโกกาลิกะนั้นอยู่ในที่นั้น.  
           
บทว่า กฬายมตฺติโย
ได้แก่ ประมาณเท่าเมล็ดถั่วเขียว.               
บทว่า เวลุวสลาฏุกมตฺติโย
ได้แก่ ประมาณเท่าผลมะตูมอ่อน.              
บทว่า ปภิชฺชึสุ แปลว่า แตกแล้ว.

เมื่อต่อมเหล่านั้นแตกแล้ว
สรีระทั้งสิ้นของภิกขุโกกาลิกะนั้น
ก็สุกเละ เธอมีตัวสุกเละ
นอนบนใบตองที่ซุ้มประตูพระเชตวัน
เหมือนปลาที่ถูกยาพิษ.      
        
ลำดับนั้น พวกมนุษย์ที่พากันมาฟังธรรม
กล่าวว่า... ภิกขุโกกาลิกะได้ทำกรรมที่ไม่สมควร
ถึงความพินาศเพราะอาศัยปากคมดังมีดของตน นั่นเอง.

พวกอารักขเทวดา
ได้ฟังพวกมนุษย์เหล่านั้น
ได้กระทำการติเตียน
อากาสเทวดาได้ฟังอารักขเทวดา
ได้กระทำการติเตียน
ได้เกิดการติเตียนอย่างเดียวกัน
จนถึงอกนิฏฐภพโดยอุบายนี้ ด้วยประการฉะนี้     
         
ครั้งนั้น อุปัชฌาย์ของเธอมา รู้ว่า...
เธอไม่รับโอวาทติเตียนแล้วหลีกไป.               
เมื่ออุปัชฌาย์หลีกไป ภิกขุโกกาลิกะได้ทำกาละ (ตาย) แล้ว.               

ชื่อว่า ปทุมนรกไม่มีเฉพาะแต่อย่างเดียว.
ภิกขุโกกาลิกะเกิดในที่หนึ่ง
ในอวิจีมหานรกที่จะพึงหมกไหม้
โดยการคำนวณปทุมหนึ่ง
(ปทุมนั้นเป็นสังขยาซึ่งมีจำนวนสูญ ๑๒๔ สูญ).             
             
จบอรรถกถาทุติยโกกาลิกสูตรที่ ๑๐     
              
จบปฐมวรรคที่ ๑ 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น