++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพฤหัสบดีที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2556

พระองค์ทรงเป็น “กษัตริย์เกษตร”

นับแต่เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 เป็นต้นมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประกอบพระราชกรณียกิจด้วยพระราชหฤทัยมุ่งมั่น เพื่อบำบัดความทุกข์ยากและเพื่อประโยชน์สุขของอาณาประชาราษฎร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ยากไร้ด้อยโอกาสในชนบทที่ห่างไกล ซึ่งนับเป็นพระราชภาระอันยิ่งใหญ่ พระองค์ทรงระลึกเสมอว่าทุกข์ของประชาชนคือทุกข์ของพระองค์ จึงทรงคิดค้นหาแนวทางการพัฒนาด้วยพระวิริยอุตสาหะ เพื่อประโยชน์สุขของประชาชนทุกหมู่เหล่าทั่วราชอาณาจักร อันเป็นที่ประจักษ์แล้วว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่เคยทอดทิ้งประชาชน

ที่ประทับของพระมหากษัตริย์ทั่วโลก ทั้งในอดีตและปัจจุบัน จะเต็มไปด้วยสิ่งประดับที่สวยสดงดงามและราคาแพง แต่ภายในพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต อันเป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กลับเต็มไปด้วยบ่อปลา นาข้าว ฝูงโค โรงสี และโรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับงานทางการเกษตร ทรงสนพระราชหฤทัยและให้ความสำคัญในอาชีพการเกษตรเพราะประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศเป็นเกษตรกร

จึงเป็นที่ยอมรับจากทั่วโลกว่าพระองค์ทรงเป็น “กษัตริย์เกษตร” ปกเกศคุ้มเกล้าชาวสยามด้วยความยิ่งใหญ่แห่งพระราชกรณียกิจ ที่อุทิศพระองค์ทรงงานเพื่อราษฎร ประยุกต์ศาสตร์ต่างสาขาเพื่อพัฒนาการเกษตรด้วยพระวิริยอุตสาหะอย่างต่อ เนื่อง ทรงสืบสานงานแผ่นดินด้วยความมุ่งมั่น แน่วแน่ ไม่หวั่นไหวท้อแท้แก่อุปสรรคนานา และปัญหาสารพันที่บั่นทอนพระราชหฤทัย ทรงทำให้ทวยราษฎร์ทั้งหลายได้ประจักษ์ว่า “ค่าของคนอยู่ที่ผลแห่งงาน และการมีชีวิตที่ยืนได้ด้วยลำแข้งของตนเองนั้นเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจเหนือ สิ่งอื่นใด” ซึ่งก็คือการยึดแนวทางปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปปฏิบัติใช้ในชีวิตประจำวันนั่นเอง

โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริกว่า 3,000 โครงการ ในพื้นที่ทั่วประเทศและอีกหลายประเทศที่ขอพระราชทานความช่วยเหลือมานั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัวทรงเลือกใช้วิธีการพัฒนาในรูปแบบ ต่าง ๆ ที่จะให้ราษฎรสามารถพึ่งตนเอง ได้ทั้งในทางเศรษฐกิจ และสังคม เป็นขั้นเป็นตอน ประหยัดด้วยมรรควิธีที่นุ่มนวล กระชับและเรียบง่ายตลอดจนสะดวกต่อการยอมรับ โดยทรงวางโครงการอย่าง สอดคล้องกับภูมิสังคมของแต่ละแห่งหน พร้อมทั้งมีการบริการแบบเบ็ดเสร็จที่ จุดเดียว คือ ประชาชนสามารถเข้ามา รับบริการได้ ณ ที่แห่งเดียวอย่างครบ วงจรและสามารถน้อมนำไปปฏิบัติได้ด้วย ตนเอง

ทั้งนี้ยังไม่รวมถึงการทดลองวิจัยกว่า 700 เรื่อง ของศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ทั้ง 6 แห่งที่ทรงให้จัดตั้งขึ้นตามภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศ เพื่อเป็นศูนย์กลางในการศึกษาค้นคว้า วิจัย ตลอดจนแสวงหาแนวทางการพัฒนาที่เหมาะสม สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมและการประกอบอาชีพของราษฎร พร้อมนำผลสำเร็จของการพัฒนาออกสู่พื้นที่ของเกษตรกรโดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อ ให้ราษฎรมีความเป็นอยู่อย่างพอมี พอกิน และพอเพียงควบคู่กับการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยมีสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราช ดำริ (สำนักงาน กปร.) เป็นหน่วยงานหลักในการประสานแผนงานและความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การดำเนินโครงการเป็นไปตามพระราชดำริ

นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณต่อ พสกนิกรชาวไทยอย่างล้นพ้นที่มีพระมหากษัตริย์ที่ทรงเปี่ยมด้วยพระอัจฉริยภาพ และพระปรีชาสามารถ น้ำพระราชหฤทัย พระเมตตาตลอดจนการทรงงานอย่างหนักตรากตรำอย่างต่อเนื่องและทรงเสียสละทุ่มเท พระวรกายเพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุขและทรงขจัดความทุกข์ยากเดือดร้อนลำเค็ญให้ กลับกลายเป็นความอยู่ดีมีสุขแก่ทวยราษฎร์ มิใช่เพียงขจรไปทั่วแผ่นดินไทยหากยังเป็น ที่ทราบและประจักษ์ไปทั่วโลกจนได้รับ พระราชสมัญญาว่า ทรงเป็นกษัตริย์เกษตรและนักพัฒนาที่ทรงงานหนักที่สุดในโลก ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น