++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันเสาร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2554

ช่วยกันบดขยี้นักเลือกตั้งให้พ้นไปจากเวที โดย ราวี เวียงพยัคฆ์

กระแสโหวตโนที่เรียกร้องกันอยู่ขณะนี้ ทำให้นักการเมืองประเภทเขี้ยวลากดิน และไม่รู้ตัวเองออกมาพูดว่า ทุกวันนี้นักการเมืองของเราขาดแคลนอันเนื่องมาจากนักการเมือง 111 คนถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสิทธิทางการเมือง หาก 111 คนพ้นจากโทษที่ถูกตัดสิทธิประชาชนก็จะมีตัวเลือกอีก

ความจริงแล้วนักการเมืองไม่ได้ถูกตัดสิทธิเพียง 111 คน นั่นเป็นชุดแรก ยังมีชุดที่ 2 อีก คือจากพรรคพลังประชาชน พรรคชาติไทย และพรรคมัชฌิมาธิปไตย ทั้ง 3 พรรคนี้รวม 109 คน

ให้ 220 คนนี้กลับมาสู่เวทีการเมืองอีกก็อย่าได้หวังว่า การเมืองจะดีขึ้น หากแต่จะเลวลงเสียด้วยซ้ำ

จากเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ที่เราหวังว่าบ้านเมืองจะดีขึ้น ประชาธิปไตยจะฝังรากลึกลง ประชาชนจะมีสิทธิทางประชาธิปไตยมากขึ้น ความเป็นอยู่ของประชาชนจะดีขึ้น เปล่าเลย เรามีประชาธิปไตยแต่เปลือก ประชาชนมีสิทธิทางประชาธิปไตยเพียงชั่วเวลาไม่กี่นาทีที่อยู่ในคูหาเลือกตั้ง จากนั้นก็เป็นนักการเมืองที่ได้อำนาจรัฐ จากนั้นนักการเมืองก็ได้บริหารประเทศ ได้คุมงบประมาณแผ่นดิน ส่วนใหญ่จะเป็นรัฐบาลผสมจึงต้องตกลงเรื่องผลประโยชน์ แบ่งสันปันส่วนกระทรวง ทบวง กรม

นักการเมืองทุกคนต้องการเอาชนะการเลือกตั้งเพราะชัยชนะนำไปสู่การเลื่อนชั้น เลื่อนสถานะ มีอำนาจ มีความร่ำรวยมั่งคั่ง

ผู้แทนราษฎรเริ่มเปลี่ยนหน้าจากนักกฎหมาย ทนายความ ครู ผู้นำชุมชน ผู้นำท้องถิ่น มาเป็นพ่อค้า นักธุรกิจซึ่งก่อนหน้านี้อยู่เบื้องหลัง หรือให้การสนับสนุนนักการเมืองอยู่ห่างๆ เพราะเล่นเองดีกว่า ได้ทั้งอำนาจได้ทั้งเงิน

ธุรกิจการเมืองจึงให้ผลตอบแทนดีกว่าธุรกิจอื่นๆ แม้กระทั่งธุรกิจผิดกฎหมายอย่างยาเสพติด (ถ้าหากค้ายาบ้ารวยเป็นสิบล้านร้อยล้านอาจจะถูกจับ แต่ถ้าหากเป็นนักการเมืองรวยร้อยล้านแล้วก็ต้องหาให้ได้เป็นพันล้านหมื่นล้าน ก็ยิ่งจะทำให้มีอิทธิพลมากขึ้น ข้าราชการจะเคารพนบนอบ วิ่งเข้าหาพ่อค้า นักธุรกิจก็จะซูกฮก สื่อทั้งหลายก็จะพินบพิเทา)

ด้วยเหตุนี้เองจึงได้มีเสียงเรียกร้องให้การปฏิรูปการเมืองหลังการยึดอำนาจ รสช.เพราะรสช.ยึดอำนาจแล้วก็สมคบกับนักการเมืองชั่วที่ รสช.เคยตรวจสอบทรัพย์สินเขา แล้วก็จัดการอันใดมิได้ เพราะรสช.ก็อยากจะได้อำนาจรัฐ เช่นเดียวกับนักเลือกตั้งทั้งหลาย เพราะดังได้กล่าวแล้วว่า อำนาจบันดาลทุกอย่าง ทั้งอิทธิพลทางการเมืองและอิทธิพลทางเศรษฐกิจ

เสียงเรียกร้องให้ปฏิรูปการเมืองทำให้เกิดรัฐธรรมนูญ 2540 ขึ้น

นี่อาจจะเป็นรัฐธรรมนูญที่ดีฉบับหนึ่ง โดยออกแบบให้มีคณะกรรมการการเลือกตั้งมาดูแลการเลือกตั้งให้สะอาด บริสุทธิ์ ยุติธรรม เพิ่มอำนาจ ป.ป.ช.

แต่เอาเข้าจริงก็สู้นักธุรกิจที่ผันตัวเองมาเป็นนักการเมืองนักเลือกตั้งที่เลวไม่ได้ มันเปิดรัฐธรรมนูญศึกษาดูว่าอะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ และอะไรที่ทำไม่ได้ ถ้าหากจะทำ จะต้องทำอย่างไร มันรู้ว่าชนะการเลือกตั้งก็ได้อำนาจรัฐ มันก็เอาชนะการเลือกตั้งให้ได้ เริ่มตั้งแต่ซื้อนักการเมืองเข้าพรรคทุ่มเทเงินทองเพื่อให้ชนะการเลือกตั้ง จากการเลือกตั้งที่เคยแจกปลาทูเค็ม มาเป็นแจกเงินหัวละห้าร้อยบาทพันบาท

ศาลรัฐธรรมนูญหรือ เอาเงินฟาดหัวมัน

กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) หรือ เอามันมาเป็นพวกให้ได้

คณะกรรมการปราบปรามการทุจริตหรือแต่งตั้งคนของตัวให้ได้

เมื่อได้อำนาจรัฐแล้วก็รุกคืบไปสู่หน่วยงานอื่น ตรวจก็เตรียมคนของตัวไว้เป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติให้ได้ ทหารก็เอาญาติโกโหติกาไปเป็น ผบ.ทบ.กองสลากก็หาคนไปคุมเพื่อจะได้ออกหวย 2 ตัว 3 ตัว เอาเงินมาถลุงเล่น กฎหมายใดๆ ถ้าหากเป็นอุปสรรคต่อการทำมาหากินก็ใช้ให้รัฐมนตรีที่มันเป็นยิ่งกว่าขี้ข้าแก้ไขเสีย เพื่อธุรกิจของครอบครัวตัวจะได้ทำกำไรมากขึ้น หุ้นพุ่งสูงขึ้น

แทนที่เราจะก้าวไปสู่การปฏิรูปกลับลงเหวไปสู่ปฏิกูล

ประเทศไทยดีขึ้นมาหน่อยที่ 111 คน และ 109 คนมันลงเหวไป

แต่ก็ดีขึ้นเพียงหน่อยเดียวเท่านั้น มีคนใหม่มาแทนมันก็อีหรอบเดิม ได้อำนาจรัฐ เป็นรัฐบาลก็ประกาศว่าจะยุติการเมืองที่ล้มเหลว ฟังแล้วก็แอบชื่นชมนิดๆ ที่ไหนได้ 2 ปีที่ผ่านมา มีแต่ที่จะล้มเหลวหนักขึ้นไปอีก

เป็นรัฐบาลยังไม่ทันไรเอาเงินมาแจกแล้ว 1,500 บาท ทั้งที่ก่อนหน้านี้ด่าเขาโครมๆ ว่าทำให้วินัยทางการเงินเสีย

เป็นรัฐบาลไม่ทันไรเอาของไปแจกบรรเทาความเดือดร้อนให้ชาวบ้าน ทะลึ่งเอาปลากระป๋องเน่าไปให้

เป็นรัฐบาล แต่ปล่อยให้พรรคร่วมรัฐบาลคอร์รัปชันโครมๆ ทั้งกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงคมนาคม

เป็นรัฐบาลของประเทศที่ส่งออกปาล์ม น้ำมันปาล์มกลับขาดแคลน ปั่นราคาขึ้นไปอีกลิตรละ 7-8 บาท

เป็นนายกรัฐมนตรีชาวบ้านหนีภัยสงครามที่ศรีสะเกษ กลับเดินทางไปนครปฐม

บอกจะไม่แก้รัฐธรรมนูญกลับแก้เพื่อประโยชน์ของพรรคตัวเอง ตอนเป็นฝ่ายค้านบอกว่าเสียงของประชาชนมีความหมายต้องรับฟัง พอมาเป็นรัฐบาลมีประชาชนชุมนุมประท้วงบอกว่า คนกลุ่มน้อยเสียงดัง

ฯลฯ ทั้งหลายทั้งปวงนี้ต่างหากที่นำไปสู่เสียงเรียกร้องให้โหวตโน โดยหวังว่าจะเป็นการก่อกระแสให้ประชาชนทั้งหลายได้สำนึกและช่วยกันคิดว่า เราจะนำพาประเทศชาติไปทางไหน โดยหวังว่าประชาชนทั้งหลายจะได้ถ่มถุยให้นักเลือกตั้ง นักการเมืงทั้งหลายที่อยู่ในเวทีการเมืองในช่วง 4 ทศวรรษที่ผ่านมาได้มีสำนึกว่า พวกเขาจะบ่อนเซาะทำลายประเทศชาติต่อไปอีกไม่ได้แล้ว ประชาชนไม่ยอมแล้ว

เหมือนกับการลุกขึ้นสู่ของนักเรียน นิสิต นักศึกษา ประชาชนเมื่อ 14 ตุลาคม 2516 ซึ่งทำให้ เผด็จการทหารค่อยๆ ถอยออกไป (อย่างน้อยที่สุดการยึดอำนาจ การรัฐประหารทุกวันนี้ก็ไม่มีใครกล้ามีอำนาจเกิน 1 ปีต้องรีบร่างรัฐธรรมนูญ รีบจัดการเลือกตั้ง รีบคืนอำนาจให้ประชาชน)

เราหวังว่า โหวตโนจะค่อยๆ บดขยี้นักการเมืองชั่ว นักการเลวให้ถอยออกไปจากเวทีการเมืองของประเทศไทยในที่สุด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น