++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันเสาร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2554

อย่าเป็นห่วงการเมืองไทย โดย ชัยอนันต์ สมุทวณิช

ยิ่งใกล้วันเลือกตั้งเข้ามาทีไร ข่าวลือก็ยิ่งหนาหูขึ้นทุกวันว่า จะไม่มีการเลือกตั้งแม้จะมีการยุบสภา ขนาดคุณอานันท์ ออกมาประกาศให้ทราบว่า คณะกรรมการปฏิรูปประเทศ จะลาออกก่อนการยุบสภาเจ็ดวัน ก็ยังไปวิเคราะห์กันว่าอยากสละเรือไปก่อนจะมีเหตุการณ์ร้ายๆ ทางการเมือง

ที่จริงคุณอานันท์พูดกับคณะกรรมการปฏิรูปมา 3-4 เดือนแล้วว่า หากมีการยุบสภาก็จะลาออก คุณอานันท์ถามกรรมการทุกคนซึ่งทุกคนก็เห็นด้วย เหตุผลก็ง่ายๆ คือควรเปิดโอกาสให้รัฐบาลใหม่ได้มีทางเลือก ก็เป็นการแสดงออกตามวิถีทางของมารยาทตามปกติ ไม่มีเบื้องหน้าเบื้องหลังอะไร

ที่มีข่าวลือมากก็ด้วยเหตุผลใหญ่ๆ 2 ประการ คือ คนไทยเกิดความไม่แน่นอนใจเกี่ยวกับการเมืองอย่างหนึ่ง กับมีความรู้สึกเบื่อหน่ายว่าการเลือกตั้งไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นสำหรับบ้านเมือง ดังนั้นผู้คนจำนวนไม่น้อยจึงอยากให้ข่าวลือเป็นจริง

เหตุที่คนคิดว่าการเมืองจะแย่ลงก็เพราะเมื่อมองดูการเคลื่อนไหวทางการเมืองแล้ว ก็เห็นแต่นักการเมืองหน้าเก่าๆ แม้จะมีการรวมกลุ่มกัน แต่ก็เป็นคนหน้าเดิมทั้งสิ้น คนใหม่ๆ ที่เข้ามาก็มองไม่เห็นว่าเป็นทางเลือกของผู้นำที่ดีได้ แม้จะมีชื่อ ร.ต.อ.ปุระชัย เข้ามา แต่เมื่อถามข้าราชการกระทรวงมหาดไทย และตำรวจหลายคนก็พากันส่ายหน้า แม้จะมือสะอาด แต่คนก็วิจารณ์ว่าเป็นผู้นำไม่ได้ เพราะวางตัวขึงตึงเข้าหายาก และฟังคนรอบข้างไม่กี่คน จะเรียกว่า ระมัดระวังตัวมากเกินไปก็ได้ ชื่อใหม่ๆ ที่โผล่ขึ้นมาก็เป็นลูกนักการเมือง ทำให้ข้อกล่าวหาที่ว่าการเมืองเป็นกิจของลูกเมียนักการเมืองดังขึ้นมาอีก

สิ่งที่น่าจะเกิดขึ้นก็คือ การที่ไม่มีพรรคการเมืองหนึ่งพรรคการเมืองใดได้คะแนนเสียงข้างมากเด็ดขาด จนสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้โดยลำพัง บางคนบอกว่าอภิสิทธิ์มีข้อเสียตรงไป “พายเรือให้โจรนั่ง” แต่อีกคนก็บอกว่า ถ้าไม่อยากให้เขาต้องทำเช่นนั้น ก็เลือกประชาธิปัตย์เข้ามาแยะๆ ซิ

มีคนมาบอกว่าลองทำโพลดู ปรากฏว่าพรรคภูมิใจไทยมีเสียงหนาแน่นพอๆ กับพรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์นั้นประกาศชัดเจนว่า จะไม่ร่วมกับพรรคเพื่อไทย ดังนั้นหากพรรคประชาธิปัตย์ได้คะแนนน้อยกว่าพรรคภูมิใจไทย ก็คงให้คนของพรรคภูมิใจไทยเป็นนายกฯ แต่ดูทีท่าว่าจะมีตัวสำรองไว้แล้ว คือ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ จากพรรคชาติไทยพัฒนา

เมื่อดูรายชื่อนักการเมืองตามพรรคต่างๆ แล้ว สภาพการเมืองไทยก็ต้องเป็นไปอย่างนี้อีกหลายสิบปี แม้การเมืองจะไม่เปลี่ยนไปมาก แต่สังคมได้เปลี่ยนไปมากแล้ว และการมีสมัชชาปฏิรูป และคณะกรรมการปฏิรูปก็มีข้อดีตรงที่ว่า ปัญหาหลักๆ ของประเทศได้ถูกนำมาตีแผ่ให้พรรคการเมืองต้องตอบสนอง ดีแล้วที่ นพ.ประเวศ วะสี ยังไม่ลาออกเพราะบทบาทต่างไปจากคุณอานันท์ ตรงที่บทบาทของหมอประเวศ มุ่งไปในทางการเคลื่อนไหว เครือข่าย และมวลชน ยิ่งอยู่นานยิ่งเป็นโอกาสให้สามารถขยายความคิด และเครือข่ายประชาชนได้มากขึ้น เรื่องนี้มีความสำคัญเพราะจะเป็นการสร้างสภาพแวดล้อมทางการเมืองที่กดดันนักการเมืองได้ ที่น่าเป็นห่วงก็คือ นักการเมืองจะตอบสนองความต้องการของประชาชนกลุ่มต่างๆ ได้รวดเร็วเพียงใด เพราะเวลานี้ประชาชนถูกปลุกขึ้นแล้ว เวลาที่มีอยู่ก็คือการที่นักการเมือง และพรรคการเมืองต้องเร่งดำเนินการ จะใช้วิธีเดิมๆ คือเอาเงินลงไปแจกประชาชนในชนบทคงไม่ได้แล้ว

พรรคการเมืองจะต้องมีนโยบายที่ชัดเจนขึ้น ที่จริงกลุ่มต่างๆ ที่เคลื่อนไหวก็ได้ทำตัวให้เป็นประโยชน์ คือ ช่วยพรรคการเมืองระบุประเด็นความเดือดร้อน และความต้องการของประชาชน

จะว่าไปแล้วมีเรื่องเดียวที่ประชาชนไม่พอใจนักการเมือง นั่นคือ การแสวงหาผลประโยชน์ ตราบใดที่การเมืองยังต้องใช้เงินมาก ตราบนั้นก็ต้องมีการหาเงินเข้าพรรค เคยมีคนเสนอความคิดว่า เรามีการเลือกตั้งโดยไม่มีการหาเสียงได้หรือไม่ คือ ไม่ยอมให้นักการเมืองออกไปหาเสียง แต่จัดป้ายให้ไม่ต้องทำป้ายเอง หรือจะยอมให้มาพูดทางทีวี และวิทยุแนะนำนโยบาย และตัวเองก็ได้ ผมว่าน่าจะลองดู แต่คนคงมาลงคะแนนน้อย แต่ก็เป็นการวัดใจประชาชนว่า ที่พูดกันว่า “เงินไม่มา กาไม่เป็น” นั้นจริงหรือไม่

อีกทางหนึ่งก็คือ จะต้องมีการสอดส่องดูแล และปราบปรามการคอร์รัปชันให้มากกว่าเดิม ทำเหมือนกับในจีน และเวียดนามที่เอาจริง น่าจะได้ผลเพราะเท่าที่ผ่านมา เราลงโทษนักการเมืองเบามาก และมีน้อยคนที่โดน ส่วนมากเป็นแค่การตัดสิทธิเท่านั้น

หากมีการเลือกตั้ง และมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ความคาดหวังของประชาชนจะมีสูงมาก เรื่องที่มีคนร้องเรียนไว้โดยเฉพาะเรื่องที่ดิน และเรื่องที่ค้างคามานมนานอย่างเขื่อนปากมูลก็รออยู่ หากไม่มีการดำเนินงานคงมีการเคลื่อนไหวใหญ่ และเครือข่ายที่คุณหมอประเวศสนับสนุนอยู่ก็คงจะร่วมด้วย อย่างไรก็ดี สมัชชาปฏิรูปเป็นเครื่องมือของการเคลื่อนไหวแบบสันติวิธิที่มีการออกแบบไว้เพื่อป้องกันความรุนแรงในสังคมไทย ไม่ใช่เป็นการซื้อเวลาให้รัฐบาล ทุกรัฐบาลล้วนจะได้รับอานิสงส์จากการเคลื่อนไหวของสมัชชาปฏิรูปทั้งสิ้น

โดยสรุปแล้ว อนาคตการเมืองไทยก็ไม่มืดมนเสียเลยทีเดียว ในทางตรงกันข้าม กลับมีผู้เข้ามาช่วยแยะ รวมทั้งคณะกรรมการปฏิรูปที่คุณอานันท์เป็นประธานอยู่ด้วย หากพรรคการเมืองจะมาสนใจพิจารณาข้อเสนอของสมัชชาปฏิรูป และคณะกรรมการปฏิรูปอย่างจริงจัง ก็จะเป็นประโยชน์เพราะเท่ากับสองกลุ่มนี้ได้สร้างสะพานเชื่อมโยงภาคการเมืองกับภาคประชาชนให้แล้ว และเป็นเส้นทางที่มีแต่สันติ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น