++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันจันทร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ส.นักข่าว ชี้การเมืองเป็นจุดเปลี่ยนสังคม ยันเสื้อแดงลุ่มหลงในประชานิยม

สมาคมนักข่าวจัดเสวนา เรื่อง “จุดเปลี่ยนชนบท จุดเปลี่ยนฐานการเมือง” เผยผลสำรวจต่างความคิดเกิดจากความเหลื่อมล้ำในสังคม เพราะปัญหาการเมืองกว่าร้อยละ 70 ด้านนักวิชาการจากธรรมศาสตร์ วิเคราะห์กลุ่มคนเสื้อแดงถูกมอมเมาโดยนโยบายประชานิยมสมัย รบ.แม้ว จนกระทั่งถูกปลุกปั่นให้เกิดความรู้สึกเกลียดชัง จึงเป็นที่มาของการเรียกร้องปชต.เพราะอาลัยอาวรต่อผู้นำที่จากไป จนย้อนยุคสู่การเมืองก่อนปี 16

วันนี้ (18 ก.ค.) สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ร่วมกับสถาบันอิศรา มูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย จัดราชดำเนินเสวนา โครงการร่วมปฏิรูปประเทศไทย ครั้งที่ 10/2553 เรื่อง “จุดเปลี่ยนชนบท จุดเปลี่ยนฐานการเมือง” มี นายวิลาส สุวี รองผู้อำนวยการสำนักงานสถิติแห่งชาติ, ผศ.ดร.อภิชาติ สถิตนิรามัย จากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ดร.ยุกติ มุกดาวิจิตร อาจารย์ประจำคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, นายอภิชาต ทองอยู่ ประธานมูลนิธิสวัสดี และ ศ.ดร.ผาสุก พงษ์ไพจิตร คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เข้าร่วมเสวนา

นายวิลาส กล่าวว่า ตั้งแต่ปี 2533 ประชากรในสังคมไทยเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ ทำให้โครงสร้างของครัวเรือน ปรับเปลี่ยนมีครัวเรือนขยายเพิ่มมากขึ้น ทั้งประเภทอยู่คนเดียว หรือไม่ใช่ญาติ และเปลี่ยนบทบาทของผู้หญิงเป็นหัวหน้าครัวเรือน ซึ่งคนในชนบทย้ายเข้าสู่ชุมชนเมืองมากขึ้น

“ผลสำรวจความเดือดร้อนของประชากร ระหว่างวันที่ 18-24 มิ.ย.53 ที่ผ่านมา ทั่วประเทศ พบว่า 14.5% คิดว่า เป็นคนจน ซึ่งสาเหตุของความจนนั้น นอกเขตเทศบาล คิดว่า คือ ไม่มีทุนการประกอบอาชีพ และในกรุงเทพมหานคร คิดว่า ขาดโอกาส การเรียนน้อย เกิดมาจน ขี้เกียจไม่ขวนขวาย ตามลำดับ”

นายวิลาส กล่าวต่อว่า นอกจากนั้น ผลการสำรวจรายได้รายจ่าย พบว่า มีความห่างกันมากขึ้น ระหว่างชุมชนเมือง กับชุมชนชนบท เนื่องจากโครงสร้างชนบทอยู่ในภาคเกษตร แต่จุดเด่นของสังคมเมือง คือ การบริการ ซึ่งจากสถานการณ์ความไม่สงบในบ้านเมืองเมื่อเร็วๆ นี้ คนในเมือง มองว่า ความขัดแย้งทางเมืองเป็นปัญหา 72% ในขณะที่คนชนบทคิดเป็นปัญหาเพียง 58%

ผศ.ดร.อภิชาติ กล่าวว่า จากผลวิจัยที่ได้สำรวจในเบื้องต้น เรื่อง ใครคือเสื้อเหลืองเสื้อแดง พบว่า ในด้านอาชีพ เสื้อแดง มีแนวโน้มเป็นเกษตรกร แรงงาน รับจ้างนอกระบบ ส่วนคนเสื้อเหลือง มีอาชีพ รับราชการ รัฐวิสาหกิจ ค้าขาย ส่วนการศึกษา คนเสื้อเหลืองจะสูงกว่าคนเสื้อแดง อยู่ในระดับอนุปริญญาตรีขึ้นไป และสำหรับรายได้ คนเสื้อเหลือง มีรายได้สูงกว่า แต่หากเทียบเส้นความยากจน ตามสำนักงานสถิติแห่งชาติ ไม่จัดว่าไม่มีคนกลุ่มใดเป็นคนจน แต่มีเพียงเศรษฐกิจต่างกันเท่านั้น

“สิ่งที่น่าสนใจ คือ คนเสื้อแดง คิดว่า มีรายได้น้อยเพียง 18% แต่คนเสื้อเหลือง บอกว่า ยากจนถึง 23% ถือเป็นความเหลื่อมล้ำรุนแรงที่คนเสื้อเหลืองรู้สึกว่าห่างมากจนรับไม่ได้ มากกว่าเสื้อแดง ที่บอกว่า ห่างมากแต่พอรับได้”

ผศ.ดร.อภิชาติ กล่าวต่อว่า คนเสื้อแดงได้ประโยชน์จากประชานิยมอย่างชัดเจน จากโครงการ 30 บาท และกองทุนหมู่บ้าน เพราะอยู่นอกระบบประกันสังคม รายได้ผันผวนตามราคาพืชผล ไม่มีความมั่นคงทางด้านรายได้ โครงการต่างๆ จึงสอดคล้องกับความต้องการ กลุ่มคนเหล่านี้จึงตอบรับนโยบายของพรรคไทยรักไทย ส่วนสาเหตุการประท้วง คือ ต่อต้านการเมืองจากการแทรกแซงจากทหาร ปัญหาสองมาตรฐานและความยุติธรรม การที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง โดยที่ปัญหาความเหลื่อมล้ำและความยากจน ไม่มีคนใดเลือกเป็นเหตุผลจากการต่อสู้

“สรุปได้ 4 ประเด็นว่า 1.ความยากจนและความเหลื่อมล้ำ ไม่ได้เป็นสาเหตุของความคับข้องใจของคนเสื้อแดง 2.ความเหลื่อมล้ำไม่ได้เป็นที่มาของคนเสื้อแดง 3.ฐานะเศรษฐกิจเสื้อแดงน้อยกว่าเสื้อเหลือง นโยบายประชานิยม จึงตอบโจทย์มากกว่า 4.หากปฏิรูปประเทศเน้นที่ความไม่เป็นธรรมในการกระจายรายได้เพียงอย่างเดียว ไม่แน่ใจว่าจะแก้ได้ นอกจากนั้นความรู้สึกโดนเหยียดหยาม ว่าเป็นคนอีสาน เป็นสีแดง ความรู้น้อย รู้สึกว่าสังคมมีการแบ่งชนชั้น ไม่ยุติธรรม เพราะคนเสื้อแดงทำอะไรก็ผิด รู้สึกต้องต่อสู้ ประท้วงเพื่อประชาธิปไตย ขอสิทธิคืน”

ดร.ยุกติ กล่าวว่า อยากให้ทำความเข้าใจชนบทในภาพใหม่ ว่า ปัจจุบันชนบทเป็นตัวแบบชนชั้นกลางรุ่นใหม่และเป็นพลเมืองที่กำลังตื่นตัว เพราะจากการเมืองไทยหลังเหตุการณ์พฤษภา 2535 เกิดเป็นการเมืองของชนชั้นกลางเก่า คือ เสื้อเหลือง กับชนชั้นกลางใหม่ เป็นกลุ่มเสื้อแดง เกิดขึ้นคู่ขนาน เป็นปรากฏการณ์ที่เปลี่ยนไป

“โดยกลุ่มชนชั้นกลางใหม่ที่เกิดขึ้นเพื่อเรียกร้องสิทธิ อาจจะประชดตนว่า เป็น ไพร่ เพื่อชี้ความเหลื่อมล้ำทางการเมืองมากกว่าเศรษฐกิจ มาจากชุมชนท้องถิ่น จากเครือข่ายทางการเมืองแบบใหม่ ก้าวพ้นชุมชนแบบเก่า มีแนวความคิดที่ถูกปลูกฝังจากวิทยุชุมชน ปัญญาชนท้องถิ่น ต่อยอดกับคนที่เป็นปัญญาชนในกรุงเทพที่เข้าไปให้ข้อมูลข่าวสารสู่ชนบทในการ ต่อสู้เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย และสิ่งที่ควรจะได้รับมากขึ้น มากกว่าการรอคอยไม่มีปากเสียงเช่นเดิม และมองว่า ตนเองเป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่มีสิทธิเรียกร้อง”

นายอภิชาติ กล่าวว่า ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนของชนบท แต่เป็นเพราะ วิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เกิดกระแสโลกาภิวัตน์ ครัวเรือนเปิดกว้าง ร่วมสมัย และผลจากการเมือง โครงสร้างการเมืองเปลี่ยนไปที่คอร์รัปชั่นอย่างมหาศาล และการเปลี่ยนแปลงที่ขับเคลื่อนแนวประชานิยมที่ไม่มุ่งสร้างเงื่อนไขการ สร้างสังคมสวัสดิการอย่างถาวรทำให้เกิดการผลิตซ้ำของระบบอุปถัมภ์ใหม่

“ขณะนี้ชาวนากำลังออกจากอาชีพดั้งเดิม เป็นปัญหาที่ต้องรอให้จัดการสะสาง สร้างทัศนคติขึ้นใหม่ จากที่ชนบท ถูกกดทับจากพาณิชย์ จากนักการเมืองท้องถิ่นที่ใช้สิ่งเหล่านี้เป็นเงื่อนไข สร้างเกิดความเหลื่อมล้ำ การเข้าถึงแหล่งเงินทุนในการประกอบอาชีพได้ยาก”

ศ.ดร.ผาสุก กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงสังคมไทยเกิดขึ้นกว่า 15 ปี หากดูสังคมโดยรวม มีการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น ทำให้คนท้องถิ่น มีสิทธิ์เลือกตั้ง กระบวนการเลือกตั้งส่งผลกับวิถีชีวิต ทัศนคติ สำคัญ คือ ได้เรียนรู้ ว่า เป็นช่องทางนำมาซึ่งงบประมาณต่างๆ ที่สามารถเรียกร้อง ให้มีบทบาทตัดสินใจนโยบายต่างๆ ในกระบวนการโหวตและสามารถจะปรับปรุงชีวิตได้ดีขึ้น

“ปรากฏการณ์ทักษิณจึงทำให้เกิดความมุ่งหวังของชาวบ้าน ว่า ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน เพราะรัฐบาลยุคนั้นได้ทำทุกอย่างที่ได้สัญญาไว้ เป็นสิ่งที่ชาวบ้านได้รับรู้ และสัมผัสได้จริง จุดประกายอะไรที่ทำให้เกิดกระบวนการขึ้น ซึ่งต่อไปการต่อสู้ของคนเสื้อแดงไม่ใช่เรื่องความยากจน แต่เป็นเรื่องของการไม่มีทางออกเมื่อผู้นำจากไป นำไปสู่ความต้องการกลับไปสู่การเมืองก่อนปี 2516”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น