++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอังคารที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่ พอเหลาลงไปกลายเป็นบ้องกัญชา

โดย ดร.ป.เพชรอริยะ 26 กรกฎาคม 2553 15:04 น.
แน่นอนว่าทุกรัฐบาลของประเทศไทย
ไม่ว่าจะเป็นใครขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี ล้วนแล้วแต่มีลักษณะ
"ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่ พอเหลาลงไปกลายเป็นบ้องกัญชา" เอาใกล้ๆ
นับแต่รัฐบาลชาติชาย รัฐบาลบรรหาร รัฐบาลชวน รัฐบาลชวลิต รัฐบาลทักษิณ
รัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ รัฐบาลสมัคร รัฐบาลสมชาย และล่าสุดรัฐบาลอภิสิทธิ์

ทุกรัฐบาลที่กล่าวมาตอนขึ้นเป็นรัฐบาลใหม่ๆ
ประชาชนต่างก็คิดว่าเป็นความหวังของประชาชน แต่ลงท้ายก็ไปไม่รอดสักรัฐบาล
มีอันต้องเป็นไปในลักษณะต่างๆ
และผลโดยตรงทุกรัฐบาลล้วนแล้วทำให้ทั้งประเทศชาติและประชาชนล้มเหลว

บางคนบอกว่าหนีเสือปะจระเข้ หรือพูดแรงๆ ก็ว่า "อัปรีย์ไป จัญไรมา"

ทั้งนี้เพราะเหตุอะไร มีเหตุประการเดียว คือ
ผู้ปกครองไทยทุกรุ่นเข้าใจว่าเป็นระบอบประชาธิปไตยแล้วนี้เอง ถ้าเป็นจริง
เป็นแล้วมันก็สามารถพัฒนาการเมืองแบบประชาธิปไตยไปได้
กระทั่งทุกวันนี้ต่างก็กล่าวกันว่า
การเมืองไทยยุคปัจจุบันไม่ต่างไปจากช่วงต้นของการเปลี่ยนแปลงการเมืองการ
ปกครองเมื่อ 24 มิถุนายน 2475
หลายฝ่ายต่างก็บอกว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลยในทางการเมือง
เห็นได้เหตุผลนี้มีความเป็นจริงอยู่มาก และเป็นการมองสภาพการณ์ได้ถูกต้อง

ทั้งนี้ สภาพการณ์ที่แท้จริงของไทยเรามันยังเป็นการเมืองแบบเผด็จการ
(คือยังไม่มีตัวระบอบหรือหลักการปกครอง)
มีเพียงรัฐธรรมนูญเอาไว้ตบตาหลอกประชาชน
แต่ผู้ปกครองไทยรุ่นแล้วรุ่นเล่าร่วมมือกับนักวิชาการในยุคนั้นๆ ว่า
การมีรัฐธรรมนูญ มีรูปการปกครองคือระบบรัฐสภา มีวิธีการการเลือก ส.ส.
ส.ว.แล้วบอกว่านี่คือระบอบประชาธิปไตย

แต่แท้ที่จริงนี่คือความเข้าใจผิดอย่างร้ายแรงของผู้ปกครองและนัก
วิชาการ (ไร้ซึ่งสติปัญญา)
ทุกยุคทุกสมัยของการรัฐประหารและการร่างรัฐธรรมนูญ หรือแก้ไขรัฐธรรมนูญ
เป็นความเข้าใจผิดที่ว่าการร่างรัฐธรรมนูญคือการสร้างระบอบประชาธิปไตย
แต่พอนำมาใช้ปกครองบริหารบ้านเมือง
ไม่เป็นที่พอใจประชาชนในท้ายที่สุดก็ถูกรัฐประหาร
ขณะเดียวกันคณะรัฐประหารมองว่าเหตุวิกฤตชาติ เพราะรัฐธรรมนูญไม่ดี
ไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ แล้วก็เริ่มร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่กันใหม่

สมมติว่า หากว่าคณะรัฐประหารคณะใดเมื่อยึดอำนาจแล้วได้ล่วงรู้ว่า
อ๋อ ปัญหาที่แท้จริงของชาติมันอยู่ที่เราไม่มีหลักการปกครองโดยธรรม
หรือระบอบโดยธรรมนี่เอง
แล้วก็ดำเนินการผลักดันด้วยนโยบายสถาปนาหลักการปกครองโดยธรรม
หรือระบอบโดยธรรมนั่นเอง
ถ้าทำได้อย่างนี้คณะรัฐประหารก็จะกลายเป็นคณะปฏิวัติที่ยิ่งใหญ่ของชาติ
แต่มันยังไม่มีคณะรัฐประหารที่เข้าใจอย่างถูกต้องนะสิ

สมมติว่า รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
มีปัญญาได้รับรู้ปัญหาของชาติและประชาชน
มาอย่างกว้างขว้างและได้มีปัญญารู้ว่า
เหตุวิกฤตชาติที่แท้จริงเพราะเรามีแต่รัฐธรรมนูญซึ่งเป็นวิธีการปกครองเท่านั้นเอง
เรายังไม่มีหลักการปกครอง (Principle of Government) หรือระบอบ (Regime)
รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเมื่อดังนี้แล้ว
ก่อนอื่นใดทั้งสิ้นรัฐบาลก็จะต้องรู้ว่า
รัฐบาลจะต้องมีนโยบายในการสถาปนาหลักการปกครอง
หรือสถาปนาระบอบโดยธรรมในทันที
อันเป็นหลักการที่เป็นธรรมต่อปวงชนไทยทุกคนอย่างเสมอหน้ากัน
อย่างมีความเสมอภาคทางโอกาสเสมอกัน

แต่ รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นรัฐบาลมาปีกว่า
รัฐบาลนี้ก็หาได้มีปัญญารู้ว่าอะไรคือเหตุวิกฤตชาต
เมื่อรัฐบาลนี้ไม่รู้ว่าอะไรคือเหตุวิกฤตชาติที่แท้จริง
รัฐบาลก็ได้แต่แก้ปัญหาปลายเหตุอันเป็นผลของเหตุวิกฤตชาตินั่นเอง
ในท้ายที่สุดรัฐบาลนี้ก็เช่นรัฐบาลอื่นๆ ที่ผ่านมามีลักษณะ
"ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่ พอเหลาลงไปกลายเป็นบ้องกัญชา" เฉกเช่นรัฐบาลอื่นๆ
ทั้งหลายที่ผ่านมา สมดังคำกล่าวที่ว่า "การแก้ปัญหาปลายเหตุ
นอกจากจะแก้ไขเหตุวิกฤตชาติไม่ได้แล้ว
ยังจะนำภัยร้ายให้เกิดขึ้นอย่างไม่รู้จบสิ้น" หรือลักษณะ "ทำดี
แต่ไม่เป็นอันทำ" หรือ "ทำดีที่สุดแล้ว แต่ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย"
ท่านผู้เป็นใหญ่ของชาติก็คงต้องนอนก่ายหน้าผากกันต่อไป

อันที่จริงเมื่อรัฐบาลไม่รู้ ไม่มีปัญญาว่าอะไรคือเหตุวิกฤตชาติ
รัฐบาลก็ควรจะรัฐฟังการแนะนำจากผู้ที่มีความรู้จริงๆ ซึ่ง
ผู้เขียนและคณะก็ได้ทำหน้าที่แนะนำให้รัฐบาลมาตลอดนับแต่รัฐบาลพลเอก เปรม
ติณสูลานนท์ เป็นต้นมา แนะรัฐบาลชาติชาย
ให้สถาปนาหลักการปกครองแบบประชาธิปไตย รัฐบาลนี้ไม่ฟัง
ในท้ายที่สุดก็ถูกรัฐประหาร แนะนำรัฐบาลทักษิณ
ก็ไม่รับฟังในท้ายที่สุดก็ถูกรัฐประหาร
การแนะนำของผู้เขียนและคณะก็ได้แนะนำทุกรัฐบาลในลักษณะเช่นนี้เสมอมา
แต่ไม่มีรัฐบาลไหนเชื่อ ก็ต้องมีอันเป็นไป

รัฐบาลอภิสิทธิ์ก็เช่นกัน
เราตั้งใจแนะนำให้อย่างดีที่สุดส่งให้ทางอีเมลถึงมือมานานร่วม 2 ปี
นับตั้งแต่ท่านอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
แต่ท่านก็ไม่อ่าน ไม่สนใจ ท่านไม่เข้าใจ ท่านไม่ติดต่อ ถามไถ่ ท่านประมาท
เราก็รู้ได้ทันทีว่า รัฐบาลอภิสิทธิ์ ก็ไปไม่รอด เสียเวลา
และทำให้เสียโอกาสของชาติต้องสูญสิ้นไปอย่างน่าเสียดาย
"ทุกรัฐบาลเมื่อไม่คิดแก้ไขระบอบฯ ระบอบฯ จะเล่นงานนายกฯ ท่านนั้นๆ
ให้เสียผู้เสียคนไปต่างๆ นานา ตามเงื่อนไขของการเมืองในช่วงนั้นๆ

ทั้งนี้ ทำไม รัฐบาลต่างๆ ไม่เชื่อเรื่องการแก้ไขเหตุวิกฤตชาติ
คือการสถาปนาหลักการปกครองโดยธรรม ก็เพราะว่า
รัฐบาลทุกรัฐบาลมีแนวคิดตามลัทธิรัฐธรรมนูญที่ปลูกฝังมานาน 78 ปี นั่นเอง
คือเข้าใจว่า รัฐธรรมนูญ คือระบอบประชาธิปไตย
ซึ่งเป็นความเข้าใจผิดอย่างมโหฬาร เป็นความเข้าใจผิดอย่างร้ายแรงของชาติ
และเป็นความเข้าใจผิดที่แก้ไขยากที่สุดของประเทศ
และมีเพียงประเทศไทยเท่านั้นที่เข้าใจผิดเช่นนี้

สมมติว่า องค์การทางการเมืองภาคประชาชน เช่น พันธมิตร
ประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หากแกนนำได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า
การแก้ไขเหตุวิกฤตชาติ ที่แท้จริงมีเพียงทางเดียว และอย่างเดียวเท่านั้น
คือการผลักดันการสถาปนาหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9

สำหรับการปกป้อง ป้องกันการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปี 50 ของพันธมิตรฯ
แก้ไขเพื่อประโยชน์ของนักการเมือง เพื่อประโยชน์ของคนบางคนที่ทำผิด
เพื่อให้พ้นผิด อันนี้ทางผู้เขียนเห็นด้วยกับพันธมิตรฯ
เพราะการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะกี่มาตราก็ตาม
เมื่อแก้ไปแล้วผลของมันกลายเป็นการกระชับให้ระบอบเผด็จการโดยรัฐธรรมนูญเป็นเผด็จการมากขึ้น

หากว่าแกนนำพันธมิตรฯ โดยเฉพาะ คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ซึ่ง
มีลักษณะเป็นผู้นำตามธรรมชาติ หากท่านนำแนวคิด
การสถาปนาหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 ไปประชาสัมพันธ์
ผลักดันในการต่อสู้ทางการเมือง
ก็เชื่อได้เลยว่าชัยชนะของปวงชนในชาติก็จะนำโดย คุณสนธิ ลิ้มทองกุล
หากทำได้สำเร็จ เหตุวิกฤตชาติก็จะได้ตกไป อย่าลืมว่า
การแก้ไขเหตุวิกฤตชาติทำได้โดยพรรคที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติเท่านั้น
เพราะเป็นพรรคที่เกิดจากประชาชนอย่างแท้จริง

ในประวัติศาสตร์การเมืองของโลก
ไม่มีพรรคการเมืองที่จดทะเบียนแล้วสามารถนำการแก้ไขเหตุวิกฤตชาติได้เลย
มีแต่เพียงพรรคโดยธรรมชาติเท่านั้น เช่น ในอังกฤษ สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส
จีน อินเดีย มาเลเซีย เวียดนาม เป็นต้น

ยังมีองค์การทางการเมืองภาคประชาชนอีกกลุ่มหนึ่ง คือ
แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. องค์กรนี้
การตั้งชื่อว่า "แนวร่วม" เป็นการนำศัพท์ของพรรคคอมมิวนิสต์มาใช้
หากเราอ่านแนวคิดของ นายวิสา คัญทัพ ในหนังสือพิมพ์มติชน
เราก็รู้ได้เลยว่าเป็นแนวคิดและภาษาที่ใช้เป็นลักษณะของลัทธิคอมมิวนิสต์
เพราะลัทธิคอมมิวนิสต์ในระยะเริ่มต้น
ก็โฆษณาชวนเชื่อเรียกร้องประชาธิปไตยต่อสู้เผด็จการ
ทั้งนี้เพื่อต้องการนำพลังมวลชนที่รักประชาธิปไตยมาเป็นแนวร่วมให้แก่พวกเขา
นำไปเป็นกำลังทางยุทธวิธีเท่านั้นหากพวกเขาชนะ
พวกเขาก็จะเป็นเผด็จการกับนายทุน สถาบันพระมหากษัตริย์ ฯลฯ และพวก
เขาทำแนวร่วมกับทักษิณ เพื่อเอาเงินของทักษิณมาเป็นกำลังทางยุทธวิธี
พูดง่ายๆ ว่า เขาหลอกทักษิณและชนชั้นกลางบางส่วนมาเป็นเป็นกำลังทางยุทธวิธีให้
นปช. นั่นเอง

รู้ได้อย่างไรว่า นปช.หลอก ทั้งนี้เพราะ
นปช.ไม่ได้เป็นองค์การทางการเมืองแนวประชาธิปไตยที่แท้จริง
ไม่ได้ชูหลักการปกครองให้เห็น

ท่านผู้อ่านที่รักทั้งหลายโปรดทราบว่า
องค์การทางการเมืองแนวทางลัทธิประชาธิปไตย (ที่แท้จริง)
องค์การทางการเมืองนั้นๆ จะประกาศหลักการปกครองแบบประชาธิปไตย
หรือแบบธรรมาธิปไตยให้เห็นเด่นชัด และให้ความรู้อย่างเป็นธรรม ตรงไปตรงมา
เปิดเผยถึงที่มาที่ไปและโยชน์ของหลักการปกครองธรรมาธิปไตยที่จะเกิดขึ้นแก่
ประชาชน ไม่ปิดบังซ่อนเร้น "เปิดหลักการ
เปิดปฏิบัติให้สอดคล้องเป็นไปตามลักษณะพิเศษของบุคคลและอาชีพนั้นๆ"
หรือหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9
เป็นจุดศูนย์กลางและเป็นเอกภาพของปวงชนในชาติ

ขณะเดียวกัน
วิธีการย่อมแตกต่างหลากหลายตามลักษณะพิเศษของกลุ่มอาชีพต่างๆ
วิธีการของชาวนา ย่อมต่างจากพ่อค้าคนกลาง (นายทุน)
วิธีการของนายทุนย่อมแตกต่างจากวิธีการของข้าราชการ
วิธีการของกรรมกรย่อมแตกต่างจากนายทุน
ความแตกต่างหลากหลายของปวงชนแต่มีจุดมุ่งหมายที่เป็นธรรมเดียวกัน
คือหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9
สัมพันธภาพที่ถูกต้องทางการเมืองเป็นเบื้องต้น คือ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น