++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอังคารที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ภาคีฯเขาพระวิหารประณาม "ยูเนสโก" สร้างมายา-หาประโยชน์

เปิดจดหมายภาคีผู้ติดตามเขาพระวิหาร ระบุ "ยูเนสโก"
ไม่มีอำนาจขึ้นทะเบียนมรดกโลกเขาพระวิหาร ชี้
การเข้าแทรกแซงและกดดันของยูเนสโก ไม่มีธรรมาภิบาล
และการเพิกเฉยต่อการทักท้วงของไทย
ส่งผลให้ภาพของยูเนสโกเป็นเพียงองค์กรที่ไร้ค่า สร้างมายา หาผลประโยชน์
ล้มเหลว และเป็นเจ้าอาณานิคมใหม่ต่อสายตาประชาคมโลก

ในวันที่ 27 ก.ค.นี้ เวลา 10.00
น.กลุ่มภาคีเครือข่ายผู้ติดตามสถานการณ์ปราสาทพระวิหาร กลุ่มสันติอโศก
และพันธมิตรฯภาคใต้ 16 จังหวัด จะเข้ายื่นหนังสือต่อองค์การการศึกษา
วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ประจำประเทศไทย
เพื่อคัดค้านการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก และประณามยูเนสโก
โดยเตรียมยื่นจดหมายมีข้อความดังนี้...

"จดหมาย คัดค้านการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกของยูเนสโก
ตัวแทนภาคประชาชนไทยเครือข่ายต่างๆ ทั่วประเทศไทย กรุงเทพฯ ประเทศไทย
27 กรกฎาคม 2553
เรื่อง คัดค้านการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกของยูเนสโก
และประณามการกระทำผิดอย่างน่าละอายที่ UNESCO WHC ต้อง แก้ไข
เรียน ผู้อำนวยการใหญ่ยูเนสโก (ผ่านตัวแทนยูเนสโก กรุงเทพฯ)...
สิ่งที่ส่งมาด้วย เอกสารของภาคประชาชนไทย เรื่อง "Approval for
Inscription of the Temple of Phra Viharn on the World Heritage List :
Shameful and Wrongful Acts that the World Heritage Committee Must
Rectify." 1 ชุด (19 หน้า)

ตัวแทนภาคประชาชนไทยเครือข่ายต่างๆ ทั่วประเทศไทย
ดังมีรายชื่อข้างท้ายนี้
ขอคัดค้านอย่างถึงที่สุดที่รัฐบาลไทยสนับสนุนองค์การยูเนสโก
และประเทศกัมพูชา ดำเนินการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก
โดยร่วมกันใช้แผนที่มาตราส่วน 1 : 200,000 ของฝรั่งเศส
ที่กัมพูชาใช้กำหนดขอบเขตพื้นที่บริหารจัดการในการอนุรักษ์มรดกโลกปราสาทพระ
วิหาร ที่กัมพูชาได้รับการขึ้นทะเบียนแล้ว เนื่องจากแผนที่ดังกล่าว
ประเทศไทยไม่เคยรับรอง ตลอดจนไม่มีหลักฐานใดๆ ว่า ได้รับรอง
แผนที่ดังกล่าวไม่เคยผ่านการพิจารณาตามกระบวนการกฎหมายภายในของไทย
หรือแม้แต่กระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนไทยตามกฎหมายสูงสุดของ
ประเทศ คำพิพากษาของศาลปกครองกลางของไทย เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2552
ให้การรับรองในเรื่องนี้
และมีคำสั่งมิให้รัฐบาลไทยสนับสนุนการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก
ของยูเนสโกและกัมพูชา
ที่เป็นการกระทำอันไม่เป็นคุณต่ออาณาเขตของประเทศไทย

เรื่องนี้ประชาชนไทยได้แจ้งต่อองค์การยูเนสโกผ่านตัวแทนที่กรุงเทพฯ
แล้ว โดยส่งสำเนาคำพิพากษาให้ทราบตั้งแต่วันที่ 26 มกราคม 2553
และขอร้องให้องค์การยูเนสโกยึดถือหลักการเรื่องความมีเหตุผล ความสงบสุข
และสันติภาพ โดยไม่แทรกแซงวิถีการอยู่ร่วมกันในรัฐภาคี ระหว่างรัฐภาคี
ตลอดจนรัฐต่างๆ ในภูมิภาคนี้

นอกจากนี้ ประชาชนไทยขอเน้นย้ำอีกครั้งหนึ่งในข้อเท็จจริง
ที่องค์การยูเนสโกควรยึดหลักการและเหตุผล ว่า เรื่องปราสาทพระวิหารนั้น
ประเทศไทยได้ตั้งข้อสงวนไว้ตามหนังสือของ ฯพณฯ ถนัด คอมันตร์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2505
จึงยังเป็นพื้นที่ที่มีปัญหา โดยมีการยื่นคำคัดค้านไว้

ดังนั้น องค์การยูเนสโกจึงไม่มีอำนาจจดทะเบียนเป็นมรดกโลกตามการเสนอของกัมพูชา
นอกจากนั้น คำพิพากษาของศาลโลกยังไม่มีผลผูกพันประเทศที่สาม
หรือองค์การระหว่างประเทศที่สามอย่างองค์การยูเนสโก
องค์การยูเนสโกจึงไม่มีอำนาจหน้าที่ขึ้นทะเบียนโดยมิได้รับความยินยอมอย่าง
ถูกต้องสมบูรณ์ตามกระบวนการกฎหมายภายในของประเทศไทยจากประเทศไทย

การผลักดันของยูเนสโก ทำให้เกิดความเดือดร้อน
และเกิดความขัดแย้งทั้งของประชาชนและรัฐคู่ภาคี
เกิดการสู้รบของทหารทั้งสองฝ่าย
ทหารไทยต่อสู้เพื่อปกป้องอธิปไตยและดินแดน
ส่วนทหารกัมพูชาต่อสู้เพื่อให้มีพื้นที่บริหารตามมาตรฐานการอนุรักษ์มรดกโลก
ของตน และ UNESCO

ข้อแนะนำของยูเนสโกที่ให้รัฐภาคีทั้งสองมีข้อตกลงเพื่อเป็นหลักฐาน
แห่งความสงบสันติ ดังปรากฏในเอกสารประกอบมติคณะกรรมการมรดกโลกครั้งที่ 33
นั้นเป็นการแทรกแซงรัฐภาคีและกดดันให้รัฐภาคีกระทำการอันไม่ถูกต้องตาม
กระบวนการของกฎหมายภายในประเทศของตน
บ่อนทำลายความเป็นธรรมาภิบาลของรัฐภาคี
และสะท้อนให้เห็นความไม่มีธรรมาภิบาลขององค์การยูเนสโกเพิ่มขึ้น
จากการกระทำต่างๆ
ที่ขัดต่อเจตนารมณ์ของอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองมรดกโลก
ที่ถูกประณามไว้แล้วตั้งแต่การผลักดันและกระทำทุกอย่างเพื่อขึ้นทะเบียนตัว
ปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2551 เป็นต้นมา

ประชาชนไทยร้องขอต่อยูเนสโกมาอย่างน้อย 4 ครั้งแล้ว ในเวลา 2 ปี
และยูเนสโกไม่เคยแม้แต่จะแยแส หรือให้คำตอบอย่างใดต่อประชาชนไทย
นี่หรือหลักการแห่งความสงบสุข สันติ
และส่งเสริมการใช้เหตุผลของส่วนรวมลงมาจนถึงระดับปัจเจกบุคคล

พวกเราตัวแทนภาคประชาชนไทยเครือข่ายต่างๆ ทั่วประเทศไทย
จึงขอประณามเจตนารมณ์หลอกลวงประชาคมโลกของยูเนสโก
และประณามการกระทำผิดอย่างน่าละอาย
ในกรณีการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก
สมควรที่ยูเนสโกจะต้องพิจารณาแก้ไข ไม่เพิกเฉย มิฉะนั้น
ยูเนสโกจะไม่เป็นสัญลักษณ์แห่งการใช้เหตุผล
การมีความรู้สึกภาคภูมิใจในมรดกวัฒนธรรมและธรรมชาติ
ตลอดจนหลักการของความสงบสุข และสันติภาพ แต่ยูเนสโกจะเป็นองค์กรที่ไร้ค่า
สร้างมายา หาผลประโยชน์ ล้มเหลว
และเป็นเจ้าอาณานิคมใหม่ต่อสายตาประชาคมโลก สมควรที่รัฐภาคีต่างๆ
จะพิจารณาลาออกจากสมาชิกภาพเสียในทันที

ขอส่งความปรารถนาดีของประชาชนไทยเพื่อให้ยูเนสโกคิดทบทวน"

ทั้งนี้ ภาคีเครือข่ายผู้ติดตามสถานการณ์ปราสาทเขาพระวิหารได้จัดทำเอกสารเผยแพร่
ขึ้น เพื่อให้ นายสุวิทย์ คุณกิตติ รองนายกรัฐมนตรี
ไปแจกในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก ที่ประเทศบราซิล โดยจัดทำขึ้นเป็น 3
ภาษาดังนี้

เอกสารภาษาไทย
http://www.praviharn.net/images/stories/PRAVIHARN2010UNESCO34/PhraViharnThaiVersion.pdf
เอกสารภาษาอังกฤษ
http://www.praviharn.net/images/stories/PRAVIHARN2010UNESCO34/PhraViharnEnglishVersion.pdf
เอกสารภาษาฝรั่งเศส
http://www.praviharn.net/images/stories/PRAVIHARN2010UNESCO34/PhraViharnFrenchVersion.pdf

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น