++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันจันทร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

แนะรัฐดันสมุนไพรสู่อุตสาหกรรม ชูภูมิปัญญาไทย

นักวิชาการ ชี้ คนอีสานนิยมใช้สมุนไพรทำยา-เครื่องสำอาง สูงถึงร้อยละ 75 แนะรัฐเร่งผลักดันเชิงอุตสาหกรรม หนุนสมุนไพรไทยให้เป็นที่รู้จัก ด้าน เภสัชกรแนะ ไทยควรหนุนปลูก มะขามป้อม ใช้สูงถึงปีละ 20 ตัน

ดร.อุษา กลิ่นหอม นักวิชาการผู้สึกษาวิจัยด้านสมุนไพรภาคอีสาน เปิดเผยว่า ชาวบ้านในพื้นที่ภาคอีสานมีอัตราการใช้ประโยชน์จากสมุนไพรอยู่สูงถึงร้อยละ ไม่ต่ำกว่า 75% โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ 1.การใช้สมุนไพรเป็นยาสำหรับรักษา 2.ใช้สมุนไพรเป็นเครื่องสำอาง เช่น ในด้านตำหรับยานั้นชาวบ้านมักใช้ ดอกจาน หรือ ทองพรหมชาติ ทำเป็นยา แก้ไข้ ขับปัสสาวะ หยอดตาแก้ตาแดง และใช้ แก่น ทาแก้ปวดฟัน ใช้ใบ ตำพอกฝีและสิว ถอนพิษ แก้ปวด ท้องขึ้น ริดสีดวง เข้ายาบำรุงกำลัง ใช้รากประคบบริเวณที่เป็นตะคริว ขับพยาธิ เป็นต้น ส่วนการใช้ประโยชน์เพื่อเป็นเครื่องสำอาง นั้น พบว่า ส่วนใหญ่เป็นชาวภูไทในพื้นที่ จ.สกลนคร นครพนม มุกดาหาร กาฬสินธุ์ หนองคาย อำนาจเจริญ และ อุดรธานี ชาวบ้านในพื้นที่ดังกล่าวให้ความสำคัญกับการใช้แป้งหอมภูไท ซึ่งมีส่วนประกอบของสมุนไพร 9 ชนิด ได้แก่ 1.ชะลูด หรือเครือตั้งตุ่น มีฤทธิ์เป็นยาบำรุงกำลัง ทำให้หัวใจชุ่มชื้น 2.ขมิ้น แก้ผื่นคันได้ 3.ใบเนียม มีกลิ่นหอมสดชื่น 4.ใบครุฑหอม 5.ใบเสน 6.ว่านหอม 7.เร่วหอม 8.ใบอ้ม และ 9.ใบคำพอง ซึ่งชาวบ้านนิยมนำออกมาทาเพื่อป้องกันแมลงในกรณีที่ต้องออกลุยทุ่งนา หรือเข้าป่า เป็นต้น

ดร.อุษา กล่าวต่อว่า เหตุผลที่ชาวบ้านในภาคอีสานจำนวนมาก ยังนิยมใช้ยาสมุนไพรนั้นส่วนหนึ่งเนื่องจากวิถีชีวิตของคนท้องถิ่นนั้นคลุก คลีกับการธรรมชาติ ดังนั้น จึงมีความไว้ใจในผลผลิตที่ธรรมชาติให้มา และเลือกที่จะใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ แม้ว่าการแพทย์แผนปัจจุบันจะมีบทบาทอย่างมากก็ตาม และด้วยความสำคัญดังกล่าวนี่เอง ที่ทำให้ชาวบ้านพยายามรักษาไว้ซึ่งป่าที่สมบูรณ์เสมอ นั่นเพราะพวกเขาหวงแหนในภูมิปัญญา จึงอยากฝากภาครัฐ ว่า ควรให้ความสำคัญ กับการพัฒนาการแพทย์พื้นบ้านและพยายามผลักดันให้เกิดอุตสาหกรรมการผลิตยา สมุนไพรและเครื่องสำอางสมุนไพรที่ทันสมัยมากขึ้น และเพื่อส่งเสริมภูมิปัญญาไทยในด้านดังกล่าวด้วย

ด้านภญ.สุภาภรณ์ ปิติพร หัวหน้ากลุ่มงานเภสัชกรรม และหัวหน้าโครงการพิพิธภัณฑ์การแพทย์ไทยอภัยภูเบศร รพ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศร กล่าวว่า พืชสมุนไพรไทยที่กำลังได้รับความนิยม ได้แก่ 1.ขมิ้นชัน มีประโยชน์ในการช่วยต้านอนุมูลอิสระ 2.มะขามป้อม แก้ไอ บำรุงสุขภาพ 3.ฟ้าทลายโจร แก้หวัด 4.เถาวัลย์เปรียง แก้ปวดเมื่อย 5.เพชรสังฆาต ช่วยรักษาริดสีดวง ซึ่งสมุนไพรดังกล่าว ยังมีการปลูกกันน้อยทั้งที่มีประโยชน์อย่างมาก ซึ่งหากนำไปวิจัยในเชิงลึกมากขึ้นก็จะสามารถพัฒนาไปเป็นสินค้าเชิง อุตสาหกรรมได้ และสำหรับพืชที่เห็นว่าต้องเร่งสนับสุนให้เกษตรกรปลูก คือ มะขามป้อม เพราะในประเทศไทยมีอัตราการใช้ถึงปีละ 20 ตัน หรือประมาณ 200,000 กก.เนื่องจากสามารถสกัดเป็นยาที่มีสรรพคุณหลายด้าน

“มะขาม ป้อมนั้นค่อนข้างเป็นสมุนไพรที่มีความสำคัญ เนื่องจากมีสรรพคุณหลากหลาย ทั้งช่วยต้านมะเร็ง แก้หวัด แก้ไอได้ดี และลดไข้ เป็นที่รู้กันในทุกประเทศที่มีมะขามป้อม จนปัจจุบันมีสิทธิบัตรจดในประเทศสหรัฐอเมริกาของตำรับยาที่มีส่วนผสมของ มะขามป้อมอยู่ ระบุสรรพคุณในการแก้หวัด แก้ไข้ ซึ่งอาจเนื่องมาจากวิตามินซี หรือสารในกลุ่มแทนนิน อาการเป็นหวัด ไอ เจ็บคอ ปากคอแห้ง ให้ใช้ผลสด 15-30 ผล คั้นเอาน้ำมาจากผล หรือต้มทั้งผลแล้วดื่ม แทนน้ำเป็นครั้งคราว ขับเสมหะ หรือช่วยระบายของเสีย ให้ใช้ผลสด 5-15 ผล ต้มหรือคั้นน้ำมาดื่ม” ภญ.สุภาภรณ์ กล่าว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น