++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอังคารที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2552

"หลวงตาฮาร์วาร์ด" พระดร.พิชัย ฐิติลาโภ ในวัย ๑๐๘ ปี

"ฮาร์วาร์ด" เป็นมหาวิทยาลัยอันดับต้นๆ ของโลกได้อย่างยาวนานกว่า ๓๐๐ ปี
คนไทยคนแรกที่เข้าเรียนฮาร์วาร์ด คือ พระยาศัลวิธานนิเทศ หรือ นายแอบ
รักตประจิต (Aab Raktaprachit)
ยังมีเกียรติประวัติเป็นคนที่มีชื่อแรกอยู่ในหนังสือรายชื่อศิษย์เก่าของฮาร์วาร์ดทุกปี
เป็นเวลา ๘๐ ปีติดต่อกัน

แต่ใครเลยจะคิดว่าหลวงตาแก่ๆ แห่ง สำนักสงฆ์เขาหงษ์ ต.นิคม อ.เมือง
จ.ลพบุรี อย่าง พระ ดร.พิชัย ฐิติลาโภ หรือ หลวงตาพิชัย หรือ
หลวงปู่เขาหงษ์ อายุ ๑๐๘ปี (เกิด ๒๒ เมษายน ๒๔๔๕)
จะจบปริญญาเอกครุศาสตร์จาก มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เช่นกัน

เมื่อนับดูวันเวลาที่ล่วงเลยมา หมายความว่า ชีวิตได้ผ่านมาถึง ๕
แผ่นดินด้วยกัน นับตั้งแต่รัชกาลที่ ๕ มาจนถึงทุกวันนี้นั่นเอง

ดร.พิชัย รัตนพันธ์ เป็นชื่อและสกุลเดิมของหลวงตาพิชัย
ส่วนความเกี่ยวข้องกับนามสกุล ณ ป้อมเพชร เป็นนามสกุลของมารดาท่าน

ทั้งนี้หลายคนอาจจะสงสัยว่าท่าจบจากฮาร์วาร์ดจริงหรือไม่
แต่สิ่งหนึ่งที่แตกต่างจากหลวงตาทั่วๆ ไปคือ ท่านพูดภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส
เยอรมัน รวมทั้งภาษาของชาวตะวันตกอื่นๆ ได้อีกหลายภาษา

ขณะเดียวกันภาษาของประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ว่าจะเป็นลาว เขมร จีน พม่า มอญ
ท่านพูดได้หมด หากใครได้พบหรือสนทนาธรรมกับท่าน ลองสนทนาเป็นภาษาอังกฤษ
หรือเยอรมันก็ได้

เหตุผลเดียวที่หลวงตาพิชัยเดินทางไปเรียนต่างประเทศ คือ ด้วยความอยากรู้
และอยากจะช่วยเหลือญาติให้หายจากโรคมะเร็ง
จึงไปปรึกษาขอความรู้จากเพื่อนที่เป็นหมอคนหนึ่ง
แต่ก็ไม่ค่อยได้เรื่องได้ราวอะไรนัก

ในที่สุดจึงตัดสินใจเดินทางไปเรียนหมอที่แฟรงก์เฟิร์ต ประเทศเยอรมนี
ก่อนที่จะไปเรียนด้านการศึกษาที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด โดยใช้เวลาเรียน ๕
ปี

จากนั้นกลับมารับราชการที่กระทรวงธรรมการ
หรือกระทรวงศึกษาธิการในปัจจุบันนี้
ตำแหน่งในกระทรวงธรรมการสุดท้ายเป็นศึกษาธิการจังหวัดนครสวรรค์

และเมื่อถูกคำสั่งให้ย้ายไปอยู่ที่เชียงใหม่
ซึ่งมีเหตุมาจากความขัดแย้งกับผู้บังคับบัญชาอย่างรุนแรง
จึงตัดสินใจลาออกจากราชการในวัย ๕๘ ปี และบวชเป็นพระมาถึงทุกวันนี้

หลวงตาพิชัย อุปสมบท ณ พระอุโบสถ วัดสุทัศนเทพวราม เมื่อปี ๒๔๙๓
จากนั้นก็เรียนจบเปรียญธรรมประโยค ๖
และก่อนหน้านี้ท่านเคยได้รับสมณศักดิ์ที่ พระสุนทรธรรมรส
แต่ด้วยเหตุผลทางด้านการเมืองของคณะสงฆ์
เนื่องจากมีบางสิ่งบางอย่างในวงการสงฆ์ ขัดความรู้สึก และความคิดของตนเอง
จึงต้องกลายเป็นพระที่โดดเดี่ยว และได้รับฉายาว่าเป็น "ปราชญ์ดำปากหมา"
แห่งวัดสุทัศนฯ เนื่องจากชอบวิพากษ์วิจารณ์นั่นเอง

ท่านจึงลาออกจากสมณศักดิ์ดังกล่าว ไปใช้ชีวิตอย่างพระบ้านนอก
ซึ่งขณะที่ลาออกนั้นพระที่เป็นระดับสมเด็จในปัจจุบัน
ส่วนใหญ่ยังเป็นสามเณรอยู่เลย ทั้งนี้
หากท่านไม่ลาออกเวลานี้คงได้รับสมณศักดิ์ในชั้นสมเด็จไปแล้ว
หลังจากนั้นท่านได้ออกธุดงค์ไปทั่วประเทศ รวมทั้งประเทศเพื่อนบ้าน
ท่านไปมาหมด และสุดท้ายมาอยู่ที่สำนักสงฆ์เขาหงษ์

แม้วัยของหลวงปู่จะล่วงเลยมากถึง ๑๐๘ ปี
แต่ความทรงจำอันหลากหลายเรื่องราว ที่ยังแจ่มชัดในความทรงจำ
นอกจากนี้แล้วสิ่งที่คนเคยพบเจอกับหลวงปู่ รู้สึกทึ่งเป็นอันมาก
ก็คืออายุ ๑๐๘ ปี แต่ผิวพรรณ หน้าตา รวมทั้งพละกำลังต่างๆ
ดูไม่ร่วงโรยตามอายุขัยแต่อย่างใด

ตรงกันข้ามกลับมีสายตาดี พูดคุยชัดเจน สามารถพูดคุยได้หลายภาษา
และเดินขึ้นลงวัดที่สร้างเอาไว้บนเนินเขาได้อย่างสบาย

ขณะเดียวกันก็จดจำเรื่องราวต่างๆ ในอดีตได้ และถ่ายทอดให้ฟังอย่างอารมณ์ดี
"อาตมาไม่ใช่คนไทย เพราะตอนที่อาตมาเกิดนั้น ประเทศไทยยังไม่เกิด
เพลงชาติที่ร้องกันอยู่ทุกวันนี้ยังไม่มี วันที่
วันขึ้นปีใหม่ยังเป็นวันที่ ๑๓ เมษายน อยู่เลย
อาตมาเกิดในแผ่นดินสยามช่วงปลายรัชกาลที่ ๕ โน้น เกิดได้ ๙ ปี
ก็สิ้นรัชกาลที่ ๕ ใช้เงินมาตั้งแต่เงินพดด้วง เงินฬส เงินไพ เงินเฟื่อง
เงินอัฐ เงินสตางค์ เงินสลึง เงินบาท เงินกระดาษ
และปัจจุบันก็ใช้เงินพลาสติก เงินบำนาญที่อาตมาได้รับอยู่เดือนละกว่า ๒
หมื่นบาทนั้น เป็นเงินบำนาญของกระทรวงธรรมการ ไม่ใช่ของกระทรวงศึกษาธิการ
และตำบลบ้านเกิดที่บางเขนนั้น เปลี่ยนชื่อมา ๓ ครั้งแล้ว
เมืองไทยในยุคที่มีประชากรทั่วประเทศ ๑๘ ล้านคนนั้น แต่ปัจจุบันมีกว่า ๖๐
ล้านคน สภาพแตกต่างจากทุกวันนี้อย่างสิ้นเชิง"
นี่คือคำยืนยันจากปากของหลวงตาพิชัย

อย่างไรก็ตาม ในอดีตหลวงตาพิชัยขึ้นชื่อว่าเป็นพระดูหมอ และใบ้หวยแม่นมาก
ไม่ต่างจากที่วัดหลวงพ่อปากแดง จ.นครนายก ในทุกวันนี้

แต่ปัจจุบันนี้ท่านประกาศไว้ชัดเจน หน้าสำนักสงฆ์ว่า
ศาสนพิธีทุกอย่างไม่ทำที่นี่ เครื่องรางของขลัง ดูหมอ ใบ้หวย ฯลฯ
ไม่รับทำ

แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงทำต่อเพื่อเป็นทานแก่ชาวโลกคือ
ทำยาสมุนไพรรักษาโรคได้หลายอย่าง เช่น เอดส์ เบาหวาน ความดัน
ริดสีดวงทวาร รวมทั้งมะเร็ง ซึ่งเป็นที่รู้กันในหมู่ลูกศิษย์
โดยบอกกันแบบปากต่อปากเท่านั้น

หลายคนเชื่อในสรรพคุณยาของท่าน ในขณะที่หลายคนไม่เชื่อ
แต่สิ่งหนึ่งที่ยืนยันในความสามารถจัดยาสมุนไพร คือ อนุสิทธิบัตร
ที่ออกโดย กรมทรัพย์สินทางปัญญา และใบประกอบวิชาชีพด้านสมุนไพรแผนไทย
ที่หลวงพ่อได้รับจากกระทรวงสาธารณสุข

ทั้งนี้ หลวงตาพิชัยพูดไว้อย่างน่าคิดว่า "ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อ
เป็นสิทธิของคน เราจ่ายเงินแพงๆ จ่ายเงินหลักแสนหลักล้าน
เพื่อซื้อยานอกมากินรักษาโรค หายบ้างไม่หายบ้าง แต่ที่แน่ๆ คือ
แพงและมีผลข้างเคียง แต่สมุนไพรไทยราคาอยู่ในหลักร้อย
อย่างเก่งไม่เกินหลักพัน กินไปไม่มีผลข้างเคียงใดๆ เพราะเป็นสมุนไพร
อย่างนี้แหละที่เขาเรียกว่าใกล้เกลือกินด่าง"

แต่มี ยาอายุวัฒนะ อยู่สูตรหนึ่งที่ไม่เคยปิดบังเลย
สามารถไปซื้อสมุนไพรมาผสมกินเองได้ และไม่เป็นอันตรายใดๆ โดยใช้ชื่อว่า
"สูตรยาน้ำผึ้ง"

ประกอบด้วย ๑.เหงือกปลาหมอน้ำจืด น้ำหนัก ๕ กรัม ๒.ถั่งเช่า น้ำหนัก ๕
กรัม ๓.ไข่มุก น้ำหนัก ๕ กรัม ๔.โป๊ยกั๊ก น้ำหนัก ๕ กรัม และ
๕.น้ำผึ้งป่า ๑ ขวดแม่โขง

นำมาผสมลงไปในขวดและกวนให้เข้ากัน กินเช้า ๑ ช้อนยาว เย็นอีก ๑ ช้อนยาว
นอกจากจะช่วยให้สุขภาพดีแล้ว ยังช่วยให้มีอายุยืนเหมือนท่านด้วย

1 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ20 สิงหาคม 2552 เวลา 14:28

    สาธุ กราบนมัสการพระคุณเจ้าขอรับ

    ตอบลบ