ในสายตาของผู้เขียนในหลายสิบปีที่ผ่านมา ที่ได้รู้ได้เห็นอะไรๆมาหลายๆอย่าง จากประสบการณ์อันหลากหลาย หลังจากที่ได้พบผู้คนมากมาย
หลายๆคนก็ดูเหมือนฉลาดกับเรามาก แต่หลายๆคนที่เราเองก็รู้สึกว่าดูเหมือนโง่กว่าเรา ทั้งๆที่ในความเป็นจริงแล้วความคิดเช่นนี้อาจจะไม่ถูกเลยสักอย่างก็ได้ แต่จากความคิดเห็นในตอนนั้น...มันใช่เลยว่าเราคิดถูก
เพราะในตอนนั้นผู้เขียนแบกยศแบกตำแหน่งเยอะมาก คุมโปรเจ็คเป็นมูลค่าหลายร้อยล้านบาท รวมกันมากกว่าห้าโปรเจ็ค มีลูกน้องในสายบังคับบัญชาโดยตรงกว่าเจ็ดร้อยคน เรียกได้ว่าแทบจะเป็นเจ้าของโปรเจ็คเองก็ว่าได้ เพราะต้องหาเงินเป็นพันล้านบาทเอง ควบคุมวิธีใช้เงินเอง ดูผลผลิตของการใช้เงินว่าจะเกิดอย่างไรเอง แล้วก็เห็นเงินมันเพิ่มขึ้นๆตามผลผลิตที่เกิดขึ้น และส่วนหนึ่งในผลผลิตเหล่านั้นเกิดจากหยาดเหงื่อแรงงานและมันสมองของเราเอง
ท่านผู้อ่านลองคิดตามดูนะครับว่าจากเด็กชายยากจน ที่คิดว่าตัวเองจะมีโอกาสได้เรียนหนังสือน้อยมาก แล้วกลับมาเป็นคนที่ต้องมาแบกยศแบกตำแหน่งแบกความรับผิดชอบมากมาย แถมยังต้องไปนั่งประชุมกับนายกสมาคมต่างๆ รวมทั้งรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ที่มีพื้นเพอยู่แถวๆปทุมธานีที่จมน้ำในขณะนี้ที่ประเทศสารขันธ์เป็นต้น
แต่ด้วยความเป็นคนบ้างาน ก็บากบั่นจนปัญหาร้อยแปดนานาประการผ่านพ้นไปได้ ด้วยดี ทุกปัญหาที่สำคัญยังจดจำได้และที่สำคัญที่ไม่เคยลืมเลยคือลืมตัว เพราะในช่วงงานหนัก ผู้เขียนกลับหาทางออกด้วยการดื่มเหล้า สูบบุหรี่วันละกว่าหลายซองจนเหม็นมือเหม็นหัวตัวเอง แต่ก็ยังหันมานั่งฟังเทศน์ อ่านหนังสือธรรมะอย่างต่อเนื่องยาวนาน เพราะเป็นผู้รักการอ่านมาแต่เด็ก
จนวันหนึ่งเหม็นสาบตัวเองในการดมกลิ่นบุหรี่ และเบื่อการดื่มแอลกอฮอล์ จึงได้วางมือจากบุหรี่และวางแก้วเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของมแอลกอฮอล์ทุกชนิดอย่างไม่สนใจ
ที่สำคัญได้ถอนตัวออกจากการเป็นพ่อพวงมาลัยกับสุภาพสตรีทั้งหลายจนหมดสิ้น ชาติก่อนผู้เขียนคงจะก่อกรรมกับพวกเธอทั้งหลายมายาวนานและมากมาย
คำพูดที่เธออันเป็นที่รักของผู้เขียนเหล่านั้น เกือบแทบทั้งหมดชอบพูดให้ผู้เขียนฟังว่า"แม้ผู้เขียนจะไม่ได้เป็นคนหล่อแต่มีเสน่ห์เหลือเกิน" เลยแบกยศเพิ่มอีกอันหนึ่งว่าเป็นชายเจ้าเสน่ห์กับเขาด้วย
เมื่อวางแก้วเหล้าและบุหรี่ และเริ่มถอยห่างจากเธออันเป็นที่รักทั้งหลาย( จริงๆนะ) แต่ก็ยังเป็นเพื่อนสนิทกับทุกคนจนถึงปัจจุบัน ก็เริ่มรู้สึกตัวเพิ่มขึ้นว่า ความคิดของเราเปลี่ยนไป สุขภาพของเราดีขึ้น หัวสมองปลอดโปร่งขึ้น ใจดีขึ้น แม้แต่เดิมก็ใจดีอยู่แล้ว ขนาดเลขาคู่ใจที่ติดตามผู้เขียนมานานกว่าสิบปี ยังกล่าวชมผู้เขียนเลยว่า ไม่เคยเห็นผู้เขียนดุด่าว่าใครหรือตำหนิผู้ใต้บังคับบัญชาเลยสักคน
จนกระทั่งผู้เขียนได้แต่งงานกับผู้หญิงที่รักมานานและรักที่สุด จนมีลูกชายกับเธอ ก็คือภรรยาของผู้เขียนในปัจจุบัน
หลังจากแต่งงานอย่างราบรื่นมาหลายปี ความคิดแปลกๆก็เกิดขึ้นกับเธอผู้เป็นภรรยา เช่นเมื่อภรรยาได้เอ่ยชมพระรูปหนึ่งให้ผู้เขียนฟังว่าเป็นพระดี และเป็นพระสุปฎิปันโน( ปฏิบัติดีแล้ว )อุชุปฎิปันโน( ปฏิบัติตรงแล้ว ) ญายปฎิปันโน ( ปฏิบัติธรรมเป็นเครื่องออกจากทุกข์แล้ว ) สามีจิปฎิปันโน( ปฏิบัติสมควรแล้ว )รูปหนึ่ง แต่เธอกลับตำหนิคนรอบข้างท่านว่าล้วนแต่ไม่ดีเลย
ผู้เขียนจึงอยากรู้จักท่านขึ้นมา เพราะมีความเชื่อว่าพระดีย่อมทำให้คนรอบข้างดีด้วย เพราะศีลและธรรมของท่านมันเหมือนผงซักฟอก นอกจากจะซักฟอกใจตัวเองให้ขาวสะอาดแล้ว ยังซักฟอกใจของคนรอบข้างได้อีกด้วย
ผู้เขียนจึงได้เข้าไปกราบท่านกับเพื่อนสนิท คือคุณเม้าตาอิน ผู้เป็นนักเขียนที่โด่งดังไม่น้อยในหนังสือประเภทโลกและจักรวาลขณะนี้ พระรูปนั้นคือ"หลวงตาช้วน คุณธมฺโม"แห่งวัดแค นางเลิ้ง
วัดแคนี้เคยมีพระเอกหนังไทยชื่อดังในอดีตคือคุณมิตร ชัยบัญชาที่โด่งดังมานานกว่าพระเอกหนังไทยคนอื่นๆในประวัติศาสตร์เป็นลูกศิษย์ ( ยกเว้นคุณสมบัติ เมทะนี ) เพราะเป็นสุภาพบุรุษรูปหล่อและนิสัยดี จึงมีหนังให้เเสดงกว่าสามร้อยเรื่อง รวมทั้งหนังตอนต่อเรื่องอินทรีย์แดงที่สร้างชื่อเสียงให้กับท่านมาก ซึ่งคนอายุรุ่นห้าสิบปีขึ้นไป จึงจะรู้จักคุณมิตรดี
เนื่องจากุคุณมิตรมีงานแสดงมาก เพราะเป็นพระเอกหนังไทยชื่อดังอันดับหนึ่งในยุคนั้น ( สมัยนี้คงเรียกว่าซุปเปอร์สตาร์ ) จึงหักโหมในงานแสดงและยังจริงจังกับการทำงาน ไม่ยอมใช้ตัวแสดงแทนในหนังบู๊ตอนต่อเรื่องอินทรีย์แดงดังกล่าว จนตกบันไดเฮลิคอปเตอร์เสียชีวิต แล้วก็เอาศพมาทำพิธีที่วัดแคนางเลิ้งนี่แหละ ผู้เขียนแม้ตอนนั้นยังเด็กก็ยังพอจะจำได้ว่ามีผู้คนมาร่วมงานศพของคุณมิตรกันแทบจะเรียกว่ามืดฟ้ามัวดิน ในวัดที่มีโบสถ์ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยแห่งนี้
แต่ที่ผู้เขียนรู้จักพระวัดนี้ก็เพียงไม่กี่รูป ที่ใกล้ชิดท่านมากๆก็คือหลวงตาช้วนศิษย์เอกของหลวงปู่ธูป เขมศิริ ( พระราชธรรรมวิจารณ์ )เจ้าอาวาสในสมัยนั้นเพราะเกิดศรัทธาและเลื่อมใสในตัวท่าน ผู้เขียนจึงเริ่มเข้าไปทำบุญที่วัดแค ในตอนนั้นหลวงปู่ธูปท่านได้ล้มป่วยเป็นอัมพาตแล้ว จึงไม่เคยเจอหลวงปู่เลย ทั้งๆที่ท่านเป็นพระวิปัสสนาจารย์ที่มีชื่อเสียงในการเจริญสมาธิวิปัสสนามากในตอนนั้น
ทุกครั้งผู้เขียนจะไปทำบุญถวายค่ายาที่ใช้รักษาหลวงปู่กับหลวงตาช้วน และทุกครั้งหลวงตาช้วนก็จะบอกผู้เขียนว่าท่านรู้นะ ตอนแรกๆที่ผู้เขียนได้ฟังท่านพูด ก็สงสัยอยู่ในใจเสมออยู่เหมือนกันว่า(หลวงปู่ )ท่านจะรู้ได้อย่างไร ในเมื่อผู้เขียนไม่เคยได้กราบหลวงปู่เลย
จนมีอยู่วันหนึ่งที่ผู้เขียนได้เข้าไปกราบหลวงตาช้วน และจะรีบไปทำงานต่างจังหวัด ในตอนนั้นเพิ่งกลับออกมาจากอ๊อฟฟิศก็ตรงมาที่วัดเลย จึงไม่ได้ถอดเน็กไทออก พอก้มลงกราบหลวงตา ท่านก็ทักว่า "หลานจะไปต่างจังหวัดหรือ" ผู้เขียนถามท่านว่ารู้ได้อย่างไร ท่านก็ยิ้ม
เพื่อนคนหนึ่งของท่านสะมะชัยโยไปกราบท่านครั้งแรก เห็นว่าที่จอดรถของวัดน้อยก็เลยจอดรถข้างกำแพงวัดริมฟุตบาท แล้วก็เดินเข้าไปกราบท่านในระยะทางหนึ่งจากรถมาที่กุฎิ หลวงตาช้วน
ท่านยืนหันหลังให้เพื่อนผู้เขียน พอหันหน้ามาก็ถามเพื่อนผู้เขียนเป็นคำทักทายครั้งแรกว่า"โยมเกรงใจวัดขนาดไม่กล้าเข้ามาจอดรถในวัดเลยหรือ" ทำเอาเพื่อนผู้เขียนถึงกับอึ้งและศรัทธาในกิริยาสำรวมของท่านมาก จนมอบตัวเป็นลูกศิษย์ท่านตั้งแต่นั้นมานานกว่าสิบปี
เพื่อนคนนี้มีบริษัทรับเหมาก่อสร้างทีต้องช่วยดูแล มีงานใหญ่งานหนึ่งที่ต้องทำให้เสร็จทันตามกำหนด ตัวอาคารสร้างเสร็จแล้ว เพียงแต่ขาดถนนทางเข้าอาคารที่ยังไม่เสร็จสักที เนื่องจากลงมือทำถนนทีไรก็เจอฝนตกหนักทุกที
สุดท้ายเพื่อนของผู้เขียนก็ไปก้มลงกราบหลวงตาช้วนกับผู้เขียน แล้วกราบเรียนถามท่านว่า"จะทำอย่างใดดี แม้จะใช้วัสดุอย่างดีจากต่างประเทศแล้วก็ไม่สำเร็จ "
ท่านนิ่งอยู่สักพักแล้วก็เอ็ดด้วยความเมตตาว่า"ไม่ต้องใช้ของนอกเลย ให้ใช้หินคลุกก่อนแล้วก็ทำตามแบบชาวบ้านนั้นแหละ เรื่องฝนนั้นไม่ต้องห่วงจะไม่ตกหรอก เพียงแต่ให้ไปตั้งเครื่องไหว้ที่ตรงด้านหน้าทางเข้า แล้วท่านก็กำหนดจุดให้
พอถึงวันที่จะนำไปไหว้ คนงานได้มาแจ้งว่าจุดที่จะมาไหว้นี้เคยขุดไปเจอศพเด็กอยู่ตรงนั้น แต่ก็ดำเนินการถวายเครื่องไหว้เรียบร้อยในวันนั้น งานก็ลุล่วงไปได้ด้วยดีเสร็จตรงตามกำหนดอย่างเฉียดฉิว โดยไม่มีฝนตกลงมาสักหยดหนึ่ง
หลวงตาท่านเป็นพระทันสมัย แต่มักจะกล่าวออกตัวว่าเรียนหนังสือน้อย ไม่มีความรู้อะไร แต่พอยามที่ลูกศิษย์ไปขอปรึกษาปัญหากับท่าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการงานหรือเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ทุกคนมักจะได้คำตอบดีๆกลับไปเสมอ
บางครั้งมีคนเครียดไปกราบท่าน ท่านก็จะแนะให้ไปนอนฟังเพลง หากดีขึ้นหน่อยแล้วก็ให้สวดมนต์ แล้วจึงทำสมาธิ
คำสอนยอดฮิตของหลวงตาเรื่องหนึ่งก็คือ หากลูกศิษย์คนใดท้อแท้ ท่านก็จะให้ฟังเสียงฝนกระทบหลังคา แล้วถามว่า"ได้ยินไหมหลานว่า...เสียงอะไร" ลูกศิษย์ยังไม่ทันตอบคำถาม ท่านก็จะเฉลยให้เพื่อไม่ให้เสียเวลาว่า"ซู๋ๆ...หรือสู้ๆไงหลาน" ตามด้วยรอยยิ้มเสมอ
เมื่อประมาณสองอาทิตย์ก่อน ผู้เขียนได้มีโอกาสไปกราบท่านพร้อมน้องชายคนหนึ่ง สนทนาธรรมกับท่านได้สักครู่ใหญ่ และได้ถามท่านว่าหลวงตาถึงธรรมหรือยังครับ ท่านเงียบแล้วก็ยิ้ม ผิดไปจากหลายครั้งที่ท่านจะพูดเสมอว่ามีแต่หลวงปู่เท่านั้นที่เป็นพระพ้นโลก แล้วท่านก็ชี้ให้กราบรูปหล่อคล้ายหลวงปู่ ผู้เชียนจับมือท่านใส่ศีรษะท่านก็ลูบแล้วอวยพรให้อย่างเมตตาพร้อมกับน้องชายที่ตามไปด้วย แล้วพูดว่า"สุวิชาโน ภวังโหตุ ผู้รู้เป็นผู้เจริญ"
เมื่อวันที่17/10/54ที่ผ่านมา ผู้เขียนทราบข่าวจากลูกศิษย์ของหลวงตาคนหนึ่งว่าท่านละสังขารแล้ว หลังจากป่วยด้วยโรคมะเร็งร้ายมานานหลายปี แต่หลายๆคนไม่เคยทราบเรื่องโรคร้ายนี้เลย เพราะหลวงตาไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้ มีแต่ยิ้มรับและนิ่งเฉย
ตอนนี้ผู้เขียนรู้แล้วนะครับว่าที่หลวงตาพูดว่าหลวงปู่ธูป เขมศิริ รู้แล้วตอนที่หลานคนนี้ไปถวายค่ายารักษาหลวงปู่กับหลวงตา แม้ไม่ได้เข้าพบและกราบท่านเองก็ตาม
ที่สุดไม่ว่าจะเป็นดีที่สุด เลวที่สุด สุดท้ายมันเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วก็ดับไป ถ้าไม่มีตอนต่อจากเรื่องที่สุดทุกเรื่องมันคงจะดีนะครับ
คำว่าที่สุด...นี้บอกว่าถึงจะที่สุดอย่างไรก็ตาม ถ้ายังไม่ได้เห็นความจริงในอริยมรรคและอริยผลแล้ว ก็ยังมีจุด จุด จุดอยู่ คือยังคงเวียนว่านตายเกิดอยู่นั้นเอง เอวัง
ธรรมะสวัสดี
แทนสะมะชัยโย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น