ตามประวัติของท่านเล่าว่า ชีวิตในเยาว์วัยอายุได้ ๒ ขวบ มารดาของท่านก็ถึงมรณะกรรม คุณตาของท่านก็รับภาระ เลี้ยงดู สิ้นบุญของคุณตาหลวงพ่อสมชายก็มาอาศัยอยู่กับญาติ ซึ่งมีฐานะเป็นลูกผู้พี่ แต่เมื่อพี่สะไภ้ได้เสียชีวิตจากไป ท่านต้องรับภาระเลี้ยงดูหลาน ๔ -๕ คนแทนเพราะพี่ชายเมื่อสิ้นพี่สะไภ้ ก็กระทำตัวเป็นนักเลงหัวไม้ หาได้สนใจในหน้าที่ของพ่อที่มีต่อลูกไม่
ท่านจึงได้พยายามสร้าง ฐานะขึ้นมา ให้ทัดเทียมกับผู้อื่น ด้วยอุปนิสัยที่เป็นผู้มีนิสัยเด็ดเดี่ยว เอาจริง ถ้าตั้งใจจะทำสิ่งใดแล้วต้องทำให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี เป็นนักเสียสละบำเพ็ญประโยชน์ ของส่วนรวม ไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยาก เป็นผู้มีความทรหดอดทน กล้าหาญ ท่านได้สร้างฐานะขึ้นมาจนสำเร็จ เป็นที่เคารพยกย่อง นับถือของตระกูล ตลอดจนคนทั่วไปในหมู่บ้านนั้น
ระลึกชาติได้
ตอนที่ท่านยังไม่บวช เวลาท่านนอน มือท่านทั้งสองข้างมาพนมเข้าหากัน และบริกรรมว่า "โอม ปถวีๆๆ" ขานั้นก็นั่งขัดสมาธิ หลุดปุ๊บ..ก็ระลึกถึงชาติเก่าทันที ท่านบอกว่าเป็นอยู่อย่างนี้ ระลึกได้ถึง ๔ ปี ทุกคืน และเป็นไปอัตโนมัติ ว่า
ชาติที่ ๑ นั้น ท่านเกิดเป็นฤาษี บวชเป็นฤาษี ลุงของท่านเป็นหัวหน้าฤาษีในชาตินั้น ชาตินี้ลุงของท่านก็กลับมาเป็นพ่อของท่าน
ชาติที่ ๒ ก็เป็นอย่างนั้นอีก (เหมือนชาติที่ ๑)
ชาติ ที่ ๓ ได้เกิดเป็นลูกชาวประมง พอโตขึ้นหน่อย พ่อแม่ก็ให้ออกไปหาปลาเพราะเป็นชาวประมง แต่ท่านไม่เอา ท่านก็เลยบวช พอไปก็ไปพบกับสำนักของฤาษีอีก พอกลับชาตินี้ คือชาติปัจจุบัน ท่านก็กลับมาเป็นลูกของลุงในชาติอดีตคือ "ฤาษี" นั่นเอง กลับมาเกิดเป็นพ่อของท่าน
ภายหลังท่านได้ตั้งสำนักปฏิบัติธรรมบนเขา แล้วตั้งเป็นวัดชื่อว่า วัดเขาสุกิม อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี จนมีชื่อเสียงและเป็นที่เคารพนับถือทั่วไป ต่อมาท่านก็ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ที่ พระวิสุทธิญาณเถระ หลังจากนั้นท่านก็ได้มรณภาพไปในที่สุด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น