++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

สมมุติ




                                    สมมุติว่าถ้าเรามีเงิน 20,000,000.00 บาท เราจะทำอะไรก่อน บ้างก็เริ่มต้นคิดถึงการซื้อบ้าน บ้างก็คิดถึงการซื้อรถ บ้างก็คิดถึงการนำเงินไปลงทุนทำอะไรก็ได้ที่เป็นเงินต่อเงิน แม้กระทั่งจะไปช้อปที่ไหนดี เที่ยวที่ไหนดี หรือไปกินไปดื่มที่ไหนดี แต่จะมีสักกี่คนที่คิดถึงพ่อและแม่บ้าง
                                     เริ่มต้นแค่นี้ผู้คนก็ส่งจิตออกไปปรุงแต่งกันแล้วสารพัดเรื่อง ดังได้กล่าวมาพอประมาณข้างต้นแล้ว ฟังดูแล้วก็ออกจะเพ้อ เจ้อกันมากที่พูดอะไรกันอย่างนี้ แต่เชื่อหรือไม่ว่าถ้าเปิดประเด็นนี้ขึ้นมา คงจะมีผู้ร่วมเสวนากันไม่มากก็น้อย ไม่ต้องคิดรวมไปถึงพวกชอบดูหนังดูละคร อันนั้นก็เริ่มต้นด้วยหลักเดียวกันนั่นแหละด้วยคำว่าสมมุติ
                                     โลกยิ่งพัฒนามากไปเท่าไร การสมมุติมันก็มากไปเท่านั้น วิทยาศาสตร์ก็เป็นศาสตร์แห่งการสมมุติฐานทั้งนั้น เราจึงมีเครื่องมือเครื่องไม้ที่่ทันสมัย เพราะการสมมุติ ยกตัวอย่างเช่นคนเราอยากบินได้ วิทยาศาสตร์ก็เลยให้เครื่องบินมา เราอยากคุยกันในระยะไกลกันได้ วิทยาศาสตร์การสื่อสารก็ให้เราคุยกันข้ามโลกได้ด้วยโมบายด์ แถมยังให้เห็นหน้ากันได้อีกผ่านคอมพิวเตอร์ที่ติดกล้อง
                                     สมมุติว่า x=y อันนี้ก็เป็นหลักทางคณิตศาสตร์ ที่ตั้งขึ้นมาแล้วมาแก้โจทย์กันที่หลัง จนมาเป็นรหัสที่เรามาใช้ทางอินเตอร์ เนท เฟสบุ๊ค หรือเครื่องมืออีเล็คโทรนิค คอมพิวเตอร์มากมาย รวมทั้งดาวเทียมสื่อสาร หรือแม้แต่สิ่งที่เรานึกไม่ถึง ในรถยนต์ ซีดี ดีวีดี ทุกอย่างเกิดจาการสมมุติทั้งนั้น หรือแม้แต่เครื่องมือทางการแพทย์ เช่นเครื่องเดินสายพานตรวจวัดการทำงานของหัวใจ เครื่องวัดความดันโลหิตดิจิตอลก็เช่นกัน
                                     เรื่องสมมุติจึงไม่ใช่เรื่องล้อเล่นหรือไร้สาระไปเสียทั้งหมด เพราะทุกผู้คนในโลกนี้ล้วนเดินตามสมมุติสัจจะกันทั้งนั้น ไม่ว่าใครที่ไหนจะชื่ออะไร ล้วนแต่เป็นสมมุติทั้งนั้น แต่พวกเราล้วนมองเรื่องสมมุติทั้งหมดเป็นจริงเป็นจัง ใช่เลย แน่แล้ว แล้วก็คล้อยตามมันไป เพราะแรงดันของกิเลสพอปล่อยไปตามแรงผลักดันของกิเลส สมมุติสัจจะจึงกลายมาเป็นความจริงแท้ ความจริงที่ทุกคนยอมรับ ขวนขวาย ถวิลหา
                                    ความจริงที่ทุกคนต้องมีพ่อมีแม่ มีพี่ มีน้อง มีญาติ มีภรรยา มีลูก มีหลาน มีเพื่อน มีคนใช้ มีเจ้านาย มีบ้าน มีรถ มีเงิน มีกาม
                                   ถ้าทุกคนมีโอกาสได้มาพิจารณาความจริงในสิ่งที่เห็นที่เป็น จะรู้ว่าสิ่งต่างๆที่เรามีหรืออยากมี ล้วนแล้วแต่ไม่จีรังยั่งยืน ถึงแม้เราจะได้ครอบครองมาอย่างเต็มภูมิแล้วก็ตาม สักวันมันก็จากไป หรือกลายไปเป็นของผู้อื่น ที่เราเหนื่อยยากแสนลำบากที่ขวนขวายให้มันมี ให้มันเป็น ให้มันเกิดขึ้น ด้วยน้ำพักน้ำแรงชั่วชีวิต แล้วมันก็ปลิวลมหายไปทั้งสิ้น ไม่ว่าจะได้มันมาอย่างง่ายดายหรือด้วยความยากลำบาก ตัวเราเองเท่านั้นที่จะตระหนักรู้และต้องยอมรับความเป็นจริงนั้น
                                   โจทย์กี่โจทย์ทางคณิตศาสตร์ ปัญหาทั้งหลาย ไม่ว่าเราจะแก้หรือไม่แก้ สุดท้ายล้วนแต่มีคนแก้ทั้งสิ้น ความจริงมันเป็นอย่างนั้น ความจริงมันก็เป็นความจริงของมันวันยังค่ำ มันเป็นของมันตลอดกาล มานานแสนนานแล้ว
                                    สิ่งที่จะพลิกโฉมความจริงในสมมุติสัจจะ ก็คือการรู้ตัว การรู้ตัวเป็นการรู้ที่แท้จริง รู้ความจริงแท้ในโลก รู้ความจริงในอริยสัจจะคือ ทุกข์ ที่มาแห่งทุกข์ สภาวะแห่งการพ้นทุกข์ และหนทางแห่งการหลุดพ้นจากทุกข์ ที่องค์พระบรมครูของเราคือพระสัมมา สัมพุทธเจ้า ผู้ที่ทรงตรัสรู้เองในพระอนุตรสัมโพธิญาณ และทรงมาโปรดสรรพสัตว์ทั้งหลายเช่นเรา ความจริงอันประณีตที่ทรงตรัสรู้ยากนักที่จะหามหาบุรุษใดในโลกทำได้ เพราะทรงบำเพ็ญบารมีมานานแสนนาน... 
                                    สิ่งที่พระองค์ทรงตรัสล้วนเป็นสัจจะหรือความจริงแท้ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะโดยสมมุติสัจจะ เพื่อให้เหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลายหรือเทวดาทั้งปวงได้อยู่กันอย่างศานติธรรม ในสมมุติสัจจะ และวิมุตตีสัจจะหรือปรมัตถ์สัจจะ เพื่อให้เหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลาย เทวดาทั้งปวงได้บรรลุธรรมกันอย่างศานติหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง
                                   สมมุติก็อยู่ด้านหนึ่ง แต่วิมุตติก็อยู่อีกด้านหนึ่ง มันขนานเคียงคู่กันไปโดยตลอด เหมือนฝุ่นละอองเมื่อรวมกันก็เป็นก้อนดิน มีน้ำมีลมมีไฟมาสานกันขึ้นมาเป็นกายนี้ โดยมีใจที่เป็นตัวผู้รู้มาประกอบด้วย 
                                     ความเอร็ดอร่อย ความสุข ความทุกข์ ความสนุกสนาน ความรันทด ความหดหู่ใจ ความรัก ความเกลียด ความชอบความชัง ล้วนเป็นสมมุติสัจจะที่อยู่ในหน้าเดียวกัน แต่ต่างมุมมอง มันเป็นเพียงสังขารที่แปลว่าการปรุงแต่งล้วนๆ ที่จิตมันส่งออกหรือจิตไหวตัว
                                    สมถะยานิกที่เจริญสมถะกรรมฐานที่นิยมกินลมเป็นอาหารวิเศษจะรู้ได้ดีว่าลมหายใจมันมีค่าและด้อยค่า หากมันวิ่งเข้าวิ่งออกมันก็มีค่ารักษาชีวิต หากมันวิ่งเข้าแล้วไม่ออกหรือวิ่งออกแล้วไม่เข้า มันหมดค่าอย่างสิ้นเชิง เพราะชีวิตที่ประกอบด้วยลมหายใจในกายนี้มันแสดงเช่นนั้น
                                   ความจริงอันพิสุทธิ์ก็คือการพิจารณาลมแล้วรู้ว่าสักแต่ว่าธาตุลม ธาตุดิน ธาตุน้ำ และธาติไฟมาประชุมกันเป็นกายนี้และมีผู้รู้หรือใจที่เป็นส่วนประกอบมาดำรงอินทรีย์นี้ไว้
                                   การเจริญกรรมฐานทั้งปวงก็เพื่อให้เราตระหนักรู้ถึงความจริงในสมมุติสัจจะและวิมุตติสัจจะ เพื่อเข้าสูพุทธภาวะแห่งการหยั่งรู้ที่เรียกว่าวิสังขารหรือไม่ปรุงแต่งทั้งปวง
                                   ท่านผู้อ่านที่รัก ผู้ที่เป็นครูของผู้เขียน ที่ได้แสดงความรัก ความชอบ ความเกลียด ความชัง ร่วมทุกข์และสุขกันมานานแสนนาน ทั้งภพนี้และภพก่อนหน้านี้ ผู้ที่เคยแสนฉลาดและโง่เขลา หากท่านหยั่งรู้ถึงตัวผู้รู้ สมมุติที่อมทุกข์ก็จะกลายเป็นวิมุตติที่คลายทุกข์และหลุดพ้นทันที แค่พลิกหลังมือมาเป็นหน้ามือ โดยการพลิกฝ่ามืออย่างมีสติสัมปชัญญะเท่านั้นเอง เอวัง


                                                                                             ธรรมะสวัสดี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น