ท่านสะมะชัยโยบอกผู้เขียนว่าเขียนบทความตามหาแก่นธรรมกับพ้องเพื่อนมานานกว่าสองปี แรกๆก็ประหม่านิดหน่อย เพราะคิดว่าตนเองความรู้น้อย แม้จะรวบรวมสรรพกำลัง(สำนวนฮิต)จากพี่ๆที่เป็นนักปฎิบัติและนักภาษาศาสตร์รวมทั้งที่เป็นผู้ศึกษาพระไตรปิฎก มาช่วยกันคัดกรองให้ ก็เลยสบายใจไปได้เปราะหนึ่ง
แต่ที่ผ่านมาก็ไม่เคยถูกท้วงติงอะไรเลยจากท่านทั้งหลายเหล่านั้น รวมทั้งท่านผู้อ่านตามหาแก่นธรรมด้วย เคยมีอยู่ท่านหนึ่งที่เอ่ยปากว่าเขียนอะไรโง่ๆให้ท่านสะมะชัยโยฟัง ซึ่งท่านก็น้อมฟังแล้วยิ้มเงียบ ผู้เขียนเชื่อว่าตนเองรู้ว่าท่านสะมะชัยโยท่านคิดอะไร รู้ว่าท่านคิดว่า"ไม่โง่แล้วจะเกิดหรือ"
ท่านสะมะชัยโยยังบอกเล่าอีกว่าการเขียนตามหาแก่นธรรม เริ่มต้นมาจากการตั้งใจเขียนให้ตนเองอ่านและสนทนาธรรมกับเพื่อนๆหมู่เล็กๆเท่านั้น ในช่วงเวลาที่แต่ละคนมีเวลาเหลือน้อย ลงๆไปทุกวัน เพราะหลายๆคนก็เลือนหายไปจากรูปถ่ายที่อัพเดทกันแล้วทุกๆปี
ไม่ว่าจะเป็นคนดี คนไม่ดี คนรวย คนจน เด็ก ผู้ใหญ่ คนแก่ มันเป็นกาละหรือเวลาที่ต้องพลัดพราก
มีแต่ธรรมะของพระพุทธองค์เท่านั้นที่ดำรงอยู่และทันสมัยอยู่เสมอเพราะเป็นความจริงที่เรียกกันว่า"อกาลิโก"
ความจริง คำนี้ดูออกจะแปลกที่ว่าใครๆก็ต้องเจอ ใครๆก้ต้องผ่านมันไป ใครๆก็ต้องอยู่กับมัน แต่ใครๆก็ล้วนแต่พยายามหนีมัน ความจริงในเรื่องเกิด แก่ เจ็บ ตาย
ความจริงในเรื่องมีลาภ แต่ไม่อยากเสื่อมลาภ มียศแต่ไม่อยากเสื่อมยศ ชอบให้ผู้คนสรรเสริญเยินยอ แต่ไม่ชอบให้ใครติฉินนินทา ชอบแต่ความสุขแต่รังเกียจทุกข์
ความจริงที่ไม่สามารถแก้ไขได้ ความจริงที่ไม่สามารถบิดเบือนได้ แต่ผู้คนล้วนหลบเลี่ยง บิดเบือน หนีมันไปเพื่อให้ตัวเองมีความรู้สึกที่ว่ามีแต่ความสุขเมื่อได้สนองความต้องการให้ใจมันฟูในชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น
แต่สุดท้ายความจริงก็กลับมาให้ทุกคนได้เห็นและยอมรับ เรียกว่ามาดีๆไม่ชอบ ก็ ต้องให้มาแบบบังคับให้ยอมรับ ทั้งที่ความจริงก็มาแบบตรงๆ ไม่มีอคติ ลำเอียง แบ่งพรรคแบ่งพวก เลือกข้าง ประนีประนอม รอ ผลัดวันประกันพรุ่ง หากความจริงจะมา เพราะความจริงไม่มีสัญญาณไฟเขียงไฟเหลืองไฟแดง
ไม่มีใครสามารถจะปฏิเสธได้ แต่ในโลกใบนี้ทุกคนชอบที่จะบิดเบือนความจริงเพราะ ไม่เข้าใจหรือรู้จักความจริงดีพอ หรือไม่รู้จักมันเลย ว่าความจริงสุดท้ายก็ย่อมเป็นความจริง เหมือนคำพูดโบราณที่ว่าความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย แต่ก็มีคนเอาไปแผลงเป็ว่านความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย แต่ว่าผู้พูดความจริงจะตายเสียก่อน
ความจริงเป็นของมีค่ามากกว่าสิ่งใดๆในโลก แม้กระทั่งพระบรมศาสดาจะถูกห้อม ล้อมด้วยอามิสสุขหรือเครื่องมือที่จะทำให้มีแต่ความสุขทางโลกด้วยวัตถุ ไม่ว่าชาติตระกูล ทรัพย์สมบัติ เหลือคณานับ พระมเหสี พระโอรส ปราสาทสามฤดูอันงดงามและแสนสบายกาย ในฐานะเจ้าชายสิทธัตถะ
แต่ความจริงที่รายล้อมพระองค์ เป็นความจริงบางส่วนที่ปรุงแต่ง แต่ก็หนีไม่พ้นพระไตรลักษณ์คือเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วก็ดับไป ความจริงแท้ทั้งหมดที่เกิดในพระหทัยหรือใจของเจ้าชายสิท
ธัตถะก็คือความทุกข์
ความทุกข์ที่พระองค์ทรงเห็นคือความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ความจริงที่พระองค์ทรงเห็นเห็นเป็นเพียงสมมุติสุข แค่ผลัดเปลี่ยนแล้วก็จากไป
ความจริงที่พระองค์ทรงเห็นว่ามันวนเวียนไปมาเหมือนน้ำที่เน่าที่มีอยู่ทั่วกรุงเทพฯและในจังหวัดที่ถูกภัยพิบััติในขณะนี้ พระองค์ทรงถามพระองค์เอง และทรงหาคำตอบด้วยพระองค์เองว่า มีทางออกจากความทุกข์ที่เหล่ามนุษย์เวียนว่ายตายเกิดอยู่ร่ำไปหรือไม่
และสุดท้ายพระองค์ก็หาหนทางออกได้โดยทรงออกผนวชหรือบวช ปฏิบัติธรรมจนบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณเป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง เป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้าหรือพระพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้ธรรมทั้งปวง เป็นพระผู้โลกวิทูคือรู้แจ้งโลกยากที่จะหาผู้รู้ได้อย่างเสมอเหมือน ยกตัวอย่างเรื่องเล็กน้อยในมวลใหญ่ในพระปัญญาของพระองค์เช่น
ทรงรู้จัก อธิมุติ คือความน้อมไป ความเอนเอียงไปแห่งจิตของสัตว์ทั้งหลาย ทรงรู้จักผงคือกิเลสที่เข้าตาใจของสัตว์ทั้งหลายว่าผู้ใดมีน้อย ผู้ใดมีมาก ทรงรู้จักอินทรีย์คือธรรมะที่ครองจิตใจ อันได้แก่ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ของสัตว์ทั้งหลายว่าใครมีแก่กล้า ใครมีอ่อน ได้ทรงรู้จักอาการของสัตว์ทั้งหลายว่าใครมีอาการดี ใครมีอาการไม่ดี ทรงรู้จักพื้นแห่งปัญญาของสัตว์ทั้งหลายว่าใครรู้ได้ง่าย ใครรู้ได้ยาก
ทรงรู้จักพื้นภูมิของสัตว์ทั้งหลาย อันเกี่ยวแก่กิเลส เกี่ยวแก่กรรม เกี่ยวแก่ปัญญาเป็นต้นว่าใครเป็นภัพพสัตว์คือเป็นสัตว์ที่สมควรที่จะรับธรรมะ บรรลุถึงธรรมะได้ ใครเป็นสัตว์ที่เป็นอภัพพะคือไม่สมควร ที่เรียกว่าอาภัพ ไม่สามารถที่จะรับธรรมะ ที่จะเข้าถึงธรรมะได้ พระองค์ได้ทรงรู้จักสัตวโลกโดยอาการที่ท่านพระอาจารย์ได้ยกมาดังที่กล่าวนี้ และมิได้รู้ติดหรือว่ารู้ยึด ได้ทรงรู้พรากออกได้ จึงทรงเป็นโลกุตระอยู่เหนือโลก (หาอ่านรายละเอียดได้จากหนังสือพระนิพนธ์เรื่องพระพุทธคุณบทว่าโลกวิทู(๑และ๒) ของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณนายก วัดบวรนิเวศวิหาร )
สิ่งที่สำคัญที่พระองค์นำมาสอนแก่เวไนยสตว์ผู้ที่มีผงธุลีอยู่ในดวงตาทั้งหลาย ไม่ใช่ความรู้มากมายที่พระองค์มี
เพราะไม่ได้เป็นไปเพื่อการพ้นทุกข์ และมีผู้อื่นสอนไปมากแล้ว ธรรมะที่พระองค์นำมาสู่โลกเป็นธรรมะเพื่อการพ้นทุกข์ หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏนี้แต่เพียงเท่า นั้น เปรียบความรู้นั้นเป็นได้เสมือนกับใบไม้ในกำมือของพระองค์ที่ทรงนำมาสอนเท่านั้น ไม่ใช่ใบไม้นอกกำมือในป่าที่มีมากมาย
เช่นเดียวกับในพระไตรปิฎกที่มีพระธรรมคำสั่งสอนมากมายถึง 84,000พระธรรมขันธ์ซึ่งเป็นความรู้มากมาย สำหรับพระผู้ปฎิบัติเพื่อหนทางแห่งการหลุดพ้น
แต่ครูบาอาจารย์ที่ท่านศึกษามาดีแล้ว ท่านกลับนำมาสรุปให้เราชาวพุทธบริษัทฟังว่ามันย่อมาเหลือแค่ศีล สมาธิ ปัญญา คือไม่เบียดเบียนผู้อื่นและไม่เบียดเบียนตนเองทั้งกาย วาจาใจ ซึ่งการจะกระทำเช่นนั้นได้จำเป็นต้องศึกษาและปฎิบัติเพื่อรู้ความจริง ความจริงให้เรารู้จักสงบจิตและสงบกิเลส ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่หลงอารมณ์หรือหลงโลก และมองโลกด้วยสายตาที่รู้จริง
ว่าทุุกอย่างเป็นเรื่องที่เิกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย ไม่มีตัวไม่มีตน ไม่มีอะไรให้ยึดถือ ความจริงที่เป็นสิ่งสมมุติและความจริงที่เป็นวิมุตติ สมมุติให้ยึดถือ วิมุตติให้หลุดพ้นจากความยึดถือ โดยมีตรงกลางเป็นการเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปของสิ่งทั้งหลายทั้งปวง
วิทยาศาสตร์เป็นศาสตร์ที่อาศัยการพิสูจน์ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย เท่านั้นที่สัม ผัสด้วยวัตถุ
แต่พุทธศาสนาสอนให้รู้จักความจริงได้มากกว่านั้นว่าสามารถพิสูจน์ได้ด้วยใจ เพราะมีความชอบ ความชัง ความสุข ความทุกข์ที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถพิสูจน์ได้ แต่พุทธศาสนามีคำตอบที่จบสิ้นทั้งหมด ทั้งโลกและธรรม เป็นทางออกที่ประเสริฐ สงบ สว่าง สะอาดและสบาย แค่เริ่มต้นฝึกถอนลมหายใจยาวๆก็รู้สึกได้ว่าทุกข์บางเบา ไหนเลยจะฝึกฝนต่อเนื่องด้วยความเพียรชอบจะหาไม่พบทางออกที่แท้จริง
ทางออกแห่งทุกข์ ทางออกแห่งวัฎสงสารหรืออสังสารวัฎนี้ หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ แห่งวัดสะแกนอกท่านรับรองว่าได้แน่หากเอาจริง ผู้เขียนที่ศรัทธาในคำสอนของหลวงปู่ หลวงตา พ่อแม่ครูบาอาจารย์เห็นเช่นนั้น เพียงแต่ว่าอยู่ในระหว่างเิดินทางจากซอยเล็กเพื่อออกไปสู่ถนนใหญ่ในทางสายกลาง
น้ำก็เรื่องของน้ำ ดินก็เรื่องของดิน ลมก็เรื่องของลม ไฟก็เรื่องไฟ มันเป็นเรื่องของโลกที่ย้อมให้เราหลง เพราะกิเลสที่ไม่ได้สงบแล้วยังหลงมันอีก ทุกเรื่องที่แปรปรวนอย่างที่เห็นมันเกิดจากโลภ โกรธหลง หรือหลงโลกทั้งนั้น แล้วบอกว่าหาทางออกไม่ได้
ผู้มีอำนาจในแผ่นดินหลายต่อหลายท่าน ไม่ว่าจะก่อกุศลกรรมและอกุศลกรรม ในบั้นปลายชีวิตผู้เขียนเห็นแต่ไปนั่งสนทนาธรรมกับครูบาอาจารย์แทบทั้งนั้น หากละเลยไป อย่างที่เห็นก็มีแค่ผ้าคลุมหน้า น้ำรดศพเท่านั้นเอง
นั่นเป็นเรื่อของโลก แม้ไม่ห่างจากเรื่องของธรรมสักเท่าไร แต่คนยังมองไม่เห็นทางออก ที่เราได้ยินได้ฟังได้อ่านมานาน แล้วมันก็ผ่านไปจริงๆอย่างไม่มีความหมาย แล้วก็มาจมโลกกันต่อไป อย่างน่าเสียดาย เอวัง
แทนสะมะชัยโย
ช่วงนี้ท่านผู้อ่านตามหาแก่นธรรม ได้อ่านกันจุใจอย่างต่อเนื่อง กระทบกระแทกมุมแห่งธรรมนานาประการในทัศนะของผู้เขียนตามแต่ภูมิรู้ ตามแต่วาระ แต่อย่างน้อยความสงบก็น่าจะเกิดขึ้นกับท่านผู้อ่าน ท่ามกลางความแปรปรวนของความจริงคือเท็จ ความเท็จคือจริง เชื่อหรือศรัทธาต่อพระพุทธองค์แล้วพิสูจน์ให้เห็นจริงกับตัวเองดีกว่าครับ ไม่เสียชาติเกิด
สะมะชัยโย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น