++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพฤหัสบดีที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ผู้นำ-ผู้ตาม

ได้อ่านบทความช่วงระยะนี้มากเกี่ยวกับน้ำท่วม แต่แทบจะทุกบทความมักจะสรุปให้ฟังว่า สิ่งทั้งหลายที่เราได้เผชิญอยู่ในขณะนี้ล้วนแล้วแต่เกิดจากฝีมือของพวกเรากันเองทั้งนั้น โดยการทำลายทรัพยากรธรรมชาติที่เรียกว่าของฟรีที่เกิดขึ้นเอง เพราะความอยากสบายแต่เพียงอย่างเดียว
สบายแม้กระทั่งลำบากไม่เป็นหรือแทบจะเขียนคำว่าลำบากกันไม่ได้ แต่ทุกท่านที่เป็นเจ้าของบทความก็ยังมีข้อสรุปตรงกันคือ นี่เป็นเพียงบทเรียนที่ให้ทุกคนได้รู้ว่าผลของการทำลายทรัพยากรธรรมชาติเป็นเช่นไร และขอให้ทุกคนสงบใจ รวมทั้งเรียนรู้ธรรมชาติที่ควรรักษา และรู้จักคำว่าพอทั้งปากและใจ ไม่ใช่ปากไปทางใจไปอีกทาง ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ยาก หากพิจารณาคำว่ากิเลสมนุษย์
อำนาจทำลายล้างสูงสุดนี้เองเกิดมาจากมนุษย์ แม้กระทั่งภัยพิบัติครั้งนี้
ท่านอาจารย์นิติภูมิ นวรัตน์ได้คุยกับทางเจ้าหน้าที่กรมชลประทานท่านหนึ่ง( เพราะฟังไม่ค่อยได้ยินนักจึงจำชื่อท่านไม่ได้ ต้องขออภัยท่านด้วยนะครับ )ว่าน้ำที่ท่วมกรุงเทพฯตอนเหนือส่วนหนึ่งเกิดจากคนกลุ่มหนึ่งไปดึงกระสอบทรายหรือคันกั้นน้ำที่เขาสร้างไว้ น้ำก็เลยทะลัก ไม่รู้ว่าเจ้าหน้าที่บ้านเมืองหลังผ่านภาวะภัยพิบัติแล้ว จะสนใจกลุ่มบุคคลนี้หรือไม่ เพราะท่านอาจารย์ได้พูดว่าทำให้ประชาชนสูญเสียทรัพย์หรืออื่นๆเป็นจำนวนมาก และท่านยังพูดต่อไปว่าเป็นเพราะการเมือง ได้ฟังแล้วรู้สึกสงสารและสังเวชใจ
สงสารพี่น้องที่ถูกน้ำท่วมและสังเวชใจผู้ที่ประสบเคราะห์กรรมเพราะถูกกระทำจากคนร่วมชาติในประเทศสารขันธ์นี้ ถ้ามันจริงอย่างที่ท่านอาจารย์เล่าให้ฟังผ่านทางทีวี
"ยาพิษที่ร้ายแรงมากที่สุดในโลกยังร้ายไม่สู้ใจคน"สำนวนในหนังจีนเรื่องหนึ่ง หากมาพิจารณาตามความเป็นจริงแล้วจะรู้ว่าเป็นสัจธรรม เพราะยาพิษจะร้ายแรงแค่ไหนก็ตาม หากไม่มีคนลอบวางยาให้คนอื่น มันก็ไม่มีพิษสงอะไรเลย ยาพิษบางอย่างยังมีคุณมาก ดังที่เขานำมาใช้ทำยารักษาโรคหัวใจก็หลายอย่าง เพียงแต่ใช้ขนาดที่น้อยและจำเป็น
ที่น่าสงสารพี่น้องในประเทศสารขันธ์ก็คือภัยพิบัติคราวนี้เป็นเพียงโรงเรียนฝึกงานให้ผู้นำบางคนและผู้ตามบางคนที่ต้องเรียนรู้ ผู้เขียนเองก็เช่นกันที่ต้องเรียนรู้ เพราะตั้งแต่เกิดมาก็ไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้และสภาวะแบบนี้ แต่ยังแอบเชียร์ผู้นำในหลายส่วนงานที่พยายามช่วยกันแก้ไขโดยสุจริต และไม่อยากให้ผู้ตามวิ่งวุ่นไปคนละทิศคนละทางและร้องแต่ว่าของกูๆเพราะห่วงในทรัพย์มากเกินไป จนลืมนึกถึงชีวิต
ในสมัยโบราณยังมีสำนวนหนึ่งว่า"ตัดอวัยวะรักษาชีวิต" ก็เลยอยากจะพูดให้ฟังต่อกันไป ให้พี่น้องทั้งหลายโปรดตั้งสติและพิจารณาคำพูดเช่นนี้ให้ดี
การแก้ปัญหาขณะนี้ไม่ใช่ของง่าย เพราะล้วนแล้วแต่มีผู้ที่จะเสียหายในแทบทุกทางออกหรือคำตอบ และเป็นโจทย์ที่ตอบยาก แถมโจทย์ยังมีคำถามเปิดว่า"จะทำอย่างไรดี"
แม้จะมีผู้ช่วยตอบโจทย์นี้กันมาก แต่ไม่รู้ว่าจะเป็นคำตอบที่ถูกต้องหรือไม่กับโจทย์ ที่มีผู้ตั้งเป็นพลังธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ ที่จะให้บทเรียนราคาแสนแพงแก่ผู้คนในประเทศสารขันธ์นี้และยังรวมทั้งประเทศทั่วโลกที่มีผู้ตั้งโจทย์รอคำตอบคนเดียวกัน
การหลงโจทย์ของผู้ตอบคำถามคือการประเมินที่หาหลักที่จะคาดการณ์ไม่ได้ ยิ่งทำให้การหาคำตอบให้แก่โจทย์นั้นยากยิ่งขึ้น
แม้ในประเทศสารขันธ์นี้ ที่มักจะมีคนกล่าวว่าตัวเองรู้ แต่พอถึงระยะเวลาหนึ่งความรู้นั้นมันจางหายไปอย่างรวดเร็ว จนคนฟังคำตอบของผู้ตอบเกิดอาการ"งง" และหลงทางไปกันใหญ่
ผู้ฟังบางคนก็ไม่ฟังอะไรเลย มัวแต่สนใจว่ากูจะเอาอย่างนี้ ยิ่งทำให้ภาวะเช่นนี้ไร้เสถียรภาพหรือเรียกแบบชาวบ้านได้ว่า"มั่ว"กันได้อย่างเต็มปาก
มั่วทั้งผู้ที่จะช่วยเหลือและผู้ที่รอคอยความช่วยเหลือ ดังที่ท่านผู้อ่านได้เห็นมาเป็นระยะเวลานานพอสมควรแล้ว
ผู้ตามก็จะมีอาการเหมือนปลาช่อนถูกทุบหัวก่อนที่จะนำมาขายในตลาดสด ที่ดิ้นพราดๆจนดูน่าสงสาร กระทั่งคนดูหลายคนจึงซื้อปลาช่อนไปปล่อยก็มี
สิ่งหนึ่งที่พระพุทธศาสนาสอนให้ตอบโจทย์ทุกๆเรื่องได้อย่างชัดเจน เพียงแต่คนอ่านหรือคนฟังสนใจจะเอาใจใส่ที่จะอ่านและฟังหรือไม่ และนำเอามาเป็นหนทางแห่งความรู้หรือเปล่า ที่เรียกว่าสุตมยปัญญาหรือปัญญาที่เกิดจากการอ่านและฟัง จินตมยปัญญาหรือปัญญาที่เกิดจากคิดพิจารณาอย่างมีเหตุผลและยังต้องอาศัยปํญญาที่เกิดจากการกระทำให้มีขึ้นและเป็นขึ้น หรือได้แก่ภาคปฎิบัติที่เรียกว่าภาวนามยปัญญา แต่ปัญญาทั้งหลายต้องเป็นสัมมาปัญญาหรือปัญญาอันเกิดจากการรู้ถูก
ไม่ใช่ปัญญาที่เกิดจาการรู้ผิดที่เรียกว่ามิจฉัปปัญญาหรือมิจฉาปัญญา ( รายละเอียดโปรดหาอ่านได้จากกระทู้จินตนาการสำคัญกว่าความรู้ในเว็บthammasatu.comในพระนิพนธ์ของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกที่อ่านง่ายและลึกซึ้งอย่างยิ่ง )
ถ้าผู้ตามได้พิจารณาหลักของพระพุทธศาสนาจนเห็นความจริงแล้ว อาการเหนื่อยใจหรือเครียดก็จะคลายลง และเมื่อพิจารณาในเรื่องของวิบากกรรมที่หนูมะลิได้ยกมาเขียนให้อ่านในตามหาแก่นธรรม 208ตอนwake up ได้ตรึกตรองให้ดี อย่างน้อยสติก็จะกลับคืนมา สตินี้รวมไปด้วยสัมปชัญญะที่เป็นปัญญาขั้นต้นที่หมายความรวมกันได้ว่ามีความรู้ตัวระลึกได้ว่าทำอะไรและจะทำอะไรต่อไป
ในฐานะผู้ตามก็ต้องปล่อยให้ท่านผู้นำได้บริหารจัดการรับมือกับภัยพิบัติตามภาระหน้าที่ของท่านอย่างสงบ และต้อง เตรียมตัวเตรียมใจรับมือกับภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นในระยะกระชั้นชิด รวมทั้งยอมรับผลของเหตุต่างๆอย่างสงบและนิ่งเฉย
เพราะสุดท้ายทุกอย่างมันก็จะผ่านไปตามหลักพระไตรลักษณ์ คือเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป
ไม่ว่าท่านจะอยู่ในภาวะผู้นำหรือผู้ตามก็ช่างเถอะ แต่ถ้าท่านมีสภาวะธรรมสู่ศีล สมาธิ ปัญญาแล้วท่านจะเป็นผู้นำและผู้ตามในคนเดียวกัน
หากท่านมีปัญญามากแล้วจนเกิดปัญญาที่เรียกว่าวิปัสสนาปัญญาหรือรู้เกิดรู้ดับแล้ว เรื่องทั้งหมดสามารถเรียกตามภาษาที่วัยรุ่นชอบพูดทางเน็ทว่าสุโค่ยที่น่าจะมาจากคำว่าสุโค่ย เด็สซุที่มาจากภาษาญี่ปุ่นว่าสุดยอดดดด.....แล้วปล่อยให้มันผ่านไป เอวัง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น