++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพุธที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

รู้นะคิดอะไรอยู่

คนสมัยนี้ชอบพูดคำๆนี้กันนักแม้จะผิดสำเนียงไปบ้าง แต่ถึงจะพูดอย่างไรก็ไม่คลาดเคลื่อนไปจากความหมายนี้สักเท่าไร และใช้กันตั้งแต่ในระดับครัวเรือน ระดับสาธารณะ แม้กระทั่งการเมือง
อย่างเช่นภรรยาขี้หึง ก็มักจะบอกสามีของตนเองที่กลับดึกหน่อย หรือกลับดึกบ่อยๆว่ารู้นะคิดอะไรอยู่ รู้นะว่าไปทำอะไรมา
แกนนำกี่ฝักกี่ฝ่าย ไม่ว่าเสื้อสีไหน ก็มักจะพูดว่ารู้นะว่าฝ่ายตรงข้ามคิดอะไรอยู่
แม้กระทั่งนักวิเคราะห์น้ำที่ออกทีวีปาวๆก็พูดว่ารู้ทันน้ำหรือรู้นะน้ำคิดอะไรอยู่ และผลดูเหมือนจะออกมาตามที่ท่านพูดไว้จริงๆ
รวมทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน ตั้งแต่หลังเลือกตั้งจนกระทั่งทุกวันนี้ก็ยังพูดกันเช่นนี้ แต่อาจจะออกสำนวนเป็นว่าในยามภัยพิบัตินี้ ขอให้สามัคคีต่างคนต่างไปกันเถอะ อย่าทะเลาะกันจนชาวบ้านจะไขว้เขวเลย เพราะรู้นะชาวบ้านคิดอะไรอยู่
แต่การแก้ปัญหาภัยพิบัติของผู้มีหน้าที่ขณะนี้ ก็ออกจะเป๋ๆอย่างไรชอบกล คือฝ่ายรัฐบาลก็ทำไปทางหนึ่ง ฝ่ายค้านที่คุมกทม.ก็ไปอีกทางหนึ่ง แม้กระทั่งข่าวทีวี แต่ละช่องก็ดูๆแล้วทำให้ปวดหัวกันทั่วเมืองไทย จนไม่รู้ว่าสถานการณ์ภัยพิบัติตอนนี้มันดีขึ้นหรือเลวลงกันอย่างไร
เพราะถ้าอยากให้มันดี ก็ไปถ่ายทอดไอ้ตรงจุดที่น้ำลด และถ้าจะไม่ให้ดีก็ไปถ่ายในจุดที่น้ำมันเพิ่มสูงขึ้น ชาวบ้านที่เครียดๆอยู่ก็พาลจะเป็นบ้าไปเลย หากเสพข่าวสารแบบไม่บันยะบันยัง
ผู้เขียนก็เลยนึกถึงคำว่าสองมาตราฐานที่เคยชอบพูดกันมากในยุคสมัยหนึ่ง ถ้าใครไม่พูดคำๆนี้ก็ดูจะเชยๆอย่างไรชอบกล
แต่อย่างน้อยตอนนี้เราก็ได้ดูการทำงานของรัฐบาลว่ามีมาตราฐานอย่างหนึ่ง ฝ่ายค้านก็มีมาตราฐานอย่างหนึ่ง ดูช่างกลมกลืนสามัคคีดีนักแล
หรือว่าท่านทั้งหลายมีธรรมะในใจสูงและเชื่อในหลักว่ามันเช่นนั้นเอง มันเป็นอย่างนั้นเอง(ตถาตา) น้ำย่อมไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำดำลงสู่ทะเลวันยังค่ำ จะแก้หรือไม่แก้มันก็แก้ของมันเอง
ในฐานะผู้เขียนเองก็เอาใจช่วยทุกฝ่ายที่ลงแรงทำงาน เพราะดูเอาจริงเอาจังกันไปหมด เหนื่อยปาดเหงื่อกันแทบทุกคน และคิดว่าปัญาทุกอย่างแก้ไขได้ เอาอยู่
วันดีคืนดีก็มีแพทย์มาบอกนะว่าระวังโรคฉี่หนู ท้องร่วง ปอดบวม ติดเชื้อในช่องหู หนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ก็พาดหัวตัวเขียวว่า"ระวังโรคคันจิ๋มในผู้หญิง "จนคนเอาไปพูดต่อว่าคุณผู้ชายก็ควรระวังโรคคันจุ๋มเหมือนกัน
ผู้เขียนก็ได้แต่ถอนลมหายใจยาวๆ สูดลมหายใจลึกๆแล้วยิ้ม สูดลมหายใจเข้าก็สบาย สูดลมหายใจออกก็สบาย ตามที่ได้อ่านหนังสือของพระอาจารย์มิตซูโอะ เควสโกเขียนสอนไว้
จากการสะสมวัยหรือายุมาหลายสิบปี ซึ่งก็มีคนจำนวนมากชอบสะสมวัยเช่นเดียวกันกับผู้เขียนเหมือนกัน ที่เรียกกันง่ายๆว่าแก่ลงไปทุกวันๆ และยังอยากแก่อยู่อย่างนั้น ยังอยากสะสมวัยไปเรื่อย แม้น้ำจะท่วมถึงคอหอยแล้วก็ตาม เบื่อจนถึงหน้าผาก แต่ก็ยังชอบสะสมวัยอยู่อย่างนั้น
พอมาพิจารณาความเป็นจริงที่ครูบาอาจารย์ท่านเทศน์สอนเอาไว้มากมายว่าเกิด แก่ เจ็บ ตายมันเป็นของธรรมชาติ ของที่ใครก็ตามยากจะหนี แม้บางคนจะใจเสาะกายอ่อนไหวหนีสภาวะดังกล่าวไปก่อน สุดท้ายก็สำนึกได้ว่าไอ้ที่เราบอกว่าเรารู้โน่นรู้นี่ มันจริงหรือ
เพราะในแต่ละวันเราคุ้นชินกับการเป็นอยู่จนไม่รู้สึกว่ามันเปลี่ยนแปลง ทั้งๆที่ความเป็นจริงมันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาและอาจจะเปลี่ยนปลงมากด้วย เพียงแต่เราไม่ได้พิจารณา หรือรู้ไม่ทันมัน ไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลง ตั้งกำแพงปฎิเสธความจริงเช่นนั้น ว่ายังหนุ่ม ยังวสาว ยังแข็งแรง ยังไม่ไปไหน ยังไม่อยากไปไหน
ความจริงมันก็แสดงออกมาตลอดเวลา แสดงให้เห็นอย่างตรงไปตรงมา แสดงให้เห็นอย่างซื่อสัตย์ต่อหน้าที่และจรรยาบรรณ แม้เจ้าของร่างกายจะพูดเช่นไร แต่ความจริงมันก็ยังเดินหน้าไม่รู้จักหยุด เดินไปอย่างไม่มีเวลาพัก เดินไปอย่างไม่สนใจเวลาหรือการต่อรอง
ที่ว่ารู้ แต่ถ้าหากพิจารณาตามความเป็นจริงข้างต้นแล้ว ผู้เขียนคิดว่าแทบจะไม่รู้อะไร เลย ที่มัวแต่ไปรู้ทันใครๆ มันจริงหรือ แม้กระทั่งตัวเองจริงๆแล้วยังไม่รู้ทันเลยว่า
เราเกิดมาเป็นคนนั้นแสนยาก เรามีอายุแสนสั้น พ่อแม่ไม่ได้อยู่กับเราไปตลอด เรามิได้อยู่คนเดียวในโลก ชีวิตของเราขึ้นอยู่กับคนอื่นเสมอ ชีวิตนี้มิใช่ของเรา ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง วันหนึ่งเราจะแก่ วันหนึ่งเราจะเจ็บ วันหนึ่งเราจะตาย วันหนึ่งเราจะพลัดพราก เรามีกรรมเป็นสมบัติของตน สรรพสิ่งเป็นไปตามเหตุปัจจัย ตนต้องเป็นที่พึ่งของตน สันติสุขส่วนบุคคลคือสันติสากลของโลก เรามีสิทธิ์จะไม่ทุกข์-ไม่โง่ เราสามารถนิพพานที่นี่และเดี๋ยวนี้ เวลาไม่อาจรีไซเคิล...โปรดอย่าลืม (คัดลอกข้อเขียนของท่านว.วชิรเมธีมาลงให้อ่านกันอีก )
ทั้งหมดข้างต้นเป็นสิ่งที่รู้ทันความจริงของโลกที่เรามักจะทำเป็นลืม หรืออยากลืม ทั้งที่จะทำเช่นไรอย่างไร ก็ไม่สามารถหนีจากความจริงไปพ้น ยิ่งเราไม่ยอมรับ ไหนเลยเราจะพูดได้ว่าเรารู้ทัน แถมยังพยายามลืมมันไปเสียอีก แล้วผลก็ตามมาคือทุกข์แสนสาหัส
ข้อเขียนของท่านว.วชิรเมธีดังกล่าวข้างต้นเป็นความจริงที่ครอบคลุมและพิสูจน์ได้ด้วยตัวท่านเอง เพียงแต่ท่านผู้อ่านจะฝึกให้รู้ทันตนเองกันจริงๆหรือเปล่า หรือจะปล่อยไปตามยถากรรมที่เรียกว่าเป็นไปตามกรรมเก่าโดยการขาดการพัฒนาในศักยภาพแห่งตนหรือกรรมปัจจุบันที่ตัวเองไม่คิดจะรู้ทัน แล้วจะพูดได้อย่างไรว่ารู้นะคิดอะไรอยู่ ล้วนเหลวไหลทั้งสิ้นกับตนเอง เอวัง

ธรรมะสวัสดี

ราเชนท์

เฮ้อ...นี่สินะสำนวนแก่นธรรมอีกไสตล์หนึ่งที่น่าอ่าน ขอบคุณคุณราเชนท์ ว่างๆเขียนมาอีกนะครับ
ได้อ่านอะไรๆแบบนี้ก็ดี รื่นเริงใจ ย้อนคิดถึงตนเอง ย้อนคิดถึงหลวงตาช้วนผู้เป็นพระเปี่ยมเมตตาที่ท่านละสังขารแล้ว และยังตั้งศพสวดอภิธรรมอยู่ที่วัดแคนางเลิ้งทุกคืนวันจนกว่าจะครบร้อยวันตามที่ลูกศิษย์ท่านกำหนด
หลวงตารู้ทันมานานแล้ว แม้เวลาหลวงตาจะลุกไปไหนก็จะยืนขยับตัวก่อนสักครู่เพื่อไม่ให้ล้มในสังขารที่ชราภาพมาก หลวงตาพร่ำสอนตามวาระจิตของหลานๆในแต่ระดับ หลวงตาพูดแต่ความจริง สุดท้ายหลวงตาก็แสดงความจริงในบทสุดท้ายให้ดู
หลวงตาไม่ได้ไปไหน เหมือนพระธรรมของพระบรมศาสดาที่อยู่คู่โลกไปนานแสนนาน ตราบใดที่คำว่าไม่แน่จะยังอยู่หรือไม่ีอยู่บนโลกนี้ก็ตาม เก่งหรือไม่เก่ง รวยหรือไม่รวย จนหรือไม่จน โง่หรือไม่โง่ อย่ามัวฟังหรือเสพข่าวสารจนลืมหน้าที่ของตัวเองเลยที่ว่า เราเกิดมาเพื่อบรรลุธรรม
จริงๆ ครูบาอาจารย์ท่านต่างรับรอง เพียงแต่ว่าเราจะเดินตามวิถีแห่งมรรคที่มีองค์แปดหรือไม่ หากเราไม่ทันตัวเป็นแก้วน้ำรั่วชาล้นถ้วย ใกล้นักปราชญ์ ย่อมเกิดปัญญาไม่มากก็น้อย
ผมเชื่อเช่นนั้น

สะมะชัยโย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น