++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอังคารที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2553

“สนธิ ลิ้มทองกุล” บอกลูกมักได้นิสัยจากพ่อ ซึ่งพ่อตนซื่อสัตย์ ไม่คดโกงใคร ทำให้ตนคดโกงใครไม่เป็น

รายการ “แอน จินดารัตน์” ออกอากาศทางสถานี ASTV ด้วยในวันที่ผ่านมาเป็นวันพ่อแห่งชาติ ในวันนี้ (6 ธ.ค.) น.ส.จินดารัตน์ เจริญชัยชนะ ได้มาเยือนบ้านนายสนธิ ลิ้มทองกุล เนื่องจากเป็นบุคคลที่รู้จักกันดีในบ้านเมือง เพื่อพูดคุยถึงที่มาที่ไป และความสัมพันธ์ระหว่างนายสนธิ กับผู้ซึ่งเป็นบิดา

นายสนธิกล่าวเริ่มรายการเมื่อถูกถามว่าเป็นลูกคนที่เท่าไรว่า ตนเป็นลูกชายคนโต มีน้องอีก 4 คน พ่อเป็นคนจีนแต่เกิดที่ประเทศไทย จ.สุโขทัย มีย่าเป็นคนไทย ปู่เป็นคนจีน เดิมทีปู่ได้ตั้งปณิธานไว้ว่าจะให้บรรดาลูกๆ ใครก็ได้คนหนึ่งไปเรียนที่ประเทศจีน ก็ตกลงกัน ในที่สุดก็ให้พ่อของตนไปเรียน ซึ่งพ่อก็เลือกเรียนที่โรงเรียนนายร้อย จนจบทหาร อยู่สังกัดเจียงไคเช็ค สมัยนั้นมีสงครามได้ไปสู้รบกับญี่ปุ่นอยู่หลายปี จนได้ยศพันเอก ต่อมาเมื่อสงครามใกล้สงบ พ่อได้ตัดสินใจเดินทางเข้าประเทศไทย ด้วยเหตุนี้ทำให้พื้นฐานพ่อเป็นทั้งคนไทยและจีน

นายสนธิกล่าวถึงพี่น้องของพ่อว่า พี่ของพ่อ เป็นพ่อของนายแพทย์ศักดิ์ชัย ลิ้มทองกุล ซึ่งเป็นพ่อของนายวริษฐ์ ลิ้มทองกุล ส่วนพี่ชายอีกคน คือ นายสมศักดิ์ กับนายสุเทพ ลิ้มทองกุล เป็นอดีตผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรฯ ส่วนน้องชายประกอบอาชีพเป็นหมอ ชื่อ นพ.บุญเลิศ ลิ้มทองกุล อดีตเคยเป็นผู้ตรวจราชการสาธารณสุข สองคนนี้เป็นได้แต่ผู้ตรวจ ทั้งที่มีโอกาสขึ้นเป็นอธิบดีหลายครั้ง แต่ถูกต่อรองด้วยเงื่อนไขที่ว่าถ้าจะเลื่อนตำแหน่งต้องบอกให้ นายสนธิ ลิ้มทองกุล หยุดเคลื่อนไหว แล้วลำบากมากสำหรับคนที่มีนามสกุลลิ้มทองกุล หากจะเข้าทำงานในวงการราชการ ล่าสุดลูกหมอบุญเลิศจบวิศวะจุฬาฯ เรียนเก่งมาก ได้ไปสมัครเข้า ปตท. ปรากฏว่า ปตท.ไม่รับ ก็ด้วยเหตุผลเพราะตนปราศรัยโจมตี ปตท.

นายสนธิกล่าวต่อว่า ด้วยความที่พ่อของตนเป็นทหาร เคยต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ เป็นหนึ่งในหัวหอกคนสำคัญ จึงมีเลือดทหารอยู่เต็มตัว ทำให้มีนิสัยนักเลง ใจถึง ซึ่งตนก็ได้นิสัยในส่วนของพ่อในเรื่องความกล้าหาญ ซื่อสัตย์

“คำว่าพ่อนั้นมีหลายรูปหลายแบบ พ่อบางคนรักลูกมาก แต่ไม่แสดงออก ปล่อยให้ทำตามอำเภอใจ แต่ลึกๆ แอบห่วง พ่อชอบให้ความรู้ด้วยวิธีแปลกๆ อย่างเวลาไปร้านขนมจีบ ซาลาเปาแถวเยาวราช ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นคนจีนมาจับกลุ่มพูดคุยกัน เหมือนกับคนไทยที่ตั้งวงจิบน้ำชาคุยกันเรื่องการเมืองแหละ เท่าที่ตนสังเกตเมื่อพ่อไปร้านน้ำชาแต่ละครั้ง พ่อมักชวนเชิงบังคับให้ผมไปด้วย และเป็นอย่างนี้ประจำ พ่อชอบเล่าเรื่องตัวเอง แต่เผอิญว่าชีวิตของพ่อนั้นมีสีสันมาก ก็เลยเล่าได้สนุก ท่านชอบเล่าสมัยเป็นทหาร สู้รบกับญี่ปุ่น มักจะพูดถึงเจียงไคเช็ค รบกับประธานเหมาอย่างไร”

ตอนนั้นพ่อเกลียดคอมมิวนิสต์มาก มักจะพูดถึงแต่ความเลวร้ายของคอมมิวนิสต์ พูดซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนตนจับไต๋ได้ว่าจะพูดอะไรต่อไป อย่างไรก็ตาม มีคำพูดมาคำหนึ่งซึ่งน่าคิด พ่อพูดว่า “ป๊าตายไปแล้วไม่มีใครเล่าเรื่องนี้อีกแล้วนะ ให้จำเอาไว้ เมื่อมีโอกาสให้เล่าให้ลูกหลานฟัง” นายสนธิกล่าว และว่าตนเชื่อว่าสิ่งหนึ่งที่ลูกๆ ได้จากพ่อแต่ไม่เคยสังเกต คำสอนของพ่อบางครั้งอาจจะไม่ลึกซึ้ง แต่เต็มเปลี่ยมไปด้วยประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมา

“พ่อผมเป็นนักประวัติศาสตร์ เคยเป็นนักบรรณาธิการ เคยทำหนังสือร่วมเล่ม เรื่อง “ใครเป็นใครในประเทศจีน” หนังสือเล่มนี้จะเล่าตระกูลจีนว่าใครเป็นอย่างไร ทำงานอะไร พ่อผมเสมือนเป็นนักอัตชีวประวัติของชาวจีนที่มาพึ่งบรมโพธิสมภารในประเทศไทย ส่งผลให้ในบางครั้งตอนที่ผมประท้วงอยู่ ก็มีหมอบางคนเข้ามาทักว่าพ่อของผมเป็นเพื่อนรักของพ่อคุณ ตอนเด็กผมจำได้ พ่อคุณและพ่อผมคุยกันบ่อยๆ” นายสนธิกล่าว

นายสนธิกล่าวว่า สิ่งหนึ่งซึ่งลูกอาจได้จากพ่อแต่ลูกอาจไม่สังเกต ด้วยประสบการณ์ที่พ่อผ่านโลกมามาก คำสอนของพ่อในบางครั้งอาจไม่ลึกซึ่ง แต่เต็มไปด้วยประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมา เหมือนกับตนในช่วง พ.ศ.2531-2548 ช่วงนั้นชีวิตตนรุ่งมากมีกิจการอยู่ในเมืองนอก นั่งเครื่องไปอเมริกาแทบทุกเดือน นั่งคองคอร์ดจากลอนดอนเข้านิวยอร์ก จนหนังสือเอเชียวีก นิวยอร์กไทม์ ลอสแองเจลิส ลงเรื่องราวของตน ทุกคนในภูมิภาคนี้รู้จักตนหมดในฐานะที่เป็น media tycoon

นายสนธิกล่าวอีกว่า มีอยู่วันหนึ่งขณะที่นั่งคุยกับพ่อ ได้เถียงกันในบางเรื่องด้วยความเห็นไม่ตรงกัน ตนไม่เห็นด้วยที่พ่อไปสนับสนุนเจียงไคเช็คเต็มตัว เนื่องจากตนไปเรียนประวัติศาสตร์ที่อเมริกาแล้วได้ข้อมูลใหม่มา ซึ่งข้อมูลที่ตนได้ไม่กันกับพ่อในที่สุดก็จบลงด้วยคำพูดที่พ่อพูดว่า “คนอย่างลื้อนี้นะ ทำอะไรก็ตามลื้อไม่เคยแพ้ แล้วลื้อจะรู้ว่าคนที่ไม่แพ้จะชนะในที่สุดไม่ได้ ลื้ออย่าคิดว่าลื้อจะชนะได้ตลอด คนเราต้องแพ้เสียก่อนจึงชนะได้” ด้วยคำพูดนี้เอง ทำให้ตนยึดถือเป็นสัจธรรมติดตัวมาตลอด อย่างในช่วงปี พ.ศ.2540 ตนล้มละลาย แต่ก็ฟันฝ่ามรสุมมาได้ก็ด้วยคำพูดที่พ่อเคยพูดไว้ ทั้งนี้ เหตุการณ์ในวันนั้นไม่ต่างอะไรจากวันนี้ที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ไม่เคยสนใจ ไม่คิดว่าจะแพ้ คิดแต่ว่าตนมีอำนาจ ตัวอย่างล่าสุดก็กรณีที่นายสุเทพซึ่งคิดว่าตัวเองใหญ่มีอำนาจมาก จู่ๆ นึกจะด่าตนก็ด่า แต่นายสุเทพลืมไปว่าตำแหน่งหน้าที่ในปัจจุบันนี้เป็นแค่เพียงหัวโขน ถ้าหากวันใดที่ นายสุเทพหรือนายอภิสิทธิ์แพ้ขึ้นมาจะยับเยินมาก เหตุผลเพราะว่าเวลาชนะ เขาชนะโดยไม่ได้เอาธรรมนำหน้า แต่ชนะด้วยเล่ห์กล

ทั้งนี้ ไม่ต่างจากตนเมื่อปี 2530 เลย นิสัยเหมือนกัน เพียงแต่ตนได้รับบทเรียนมาแล้ว ทำให้ตนเรียนรู้ สิ่งนี้ทำให้ตนย้อนกลับไปมองคำพูดของพ่อ ด้วยเหตุนี้ตนอยากเตือนวัยรุ่นบางคนที่มักไม่ฟังคำพูดของพ่อแม่ มักพูดว่าพ่อแม่ไม่รู้เรื่อง โลกพัฒนาไปถึงไหนแล้ว แต่พออายุมากขึ้นก็จะพูกกลับกันว่าทำไมพ่อแม่ฉลาดจัง เราจึงได้ข้อเท็จจริงอย่างหนึ่ง ดังที่คนโบราณบอกว่า ผู้ใหญ่อาบน้ำร้อนมาก่อน

“มีพ่อบางประเภทที่ทำตัวเลวให้ลูกเห็น โดยเฉพาะพ่อที่เป็นนักการเมืองที่คดโกงชาติบ้านเมือง แล้วเอาเงินมาให้ลูกใช้อย่างฟุ่มเฟือย ขับรถสปอร์ต ส่งเรียนเมืองนอก ซึ่งลูกเขาก็มีความรู้สึกว่าเงินที่เขาใช้นี้เป็นเงินของพ่อเขา แต่เขาไม่เคยรับรู้และไม่อยากรับรู้ว่าเงินพวกนี้เป็นเงินคดโกงมา คนพวกนี้คือผลผลิตของนักการเมืองชั่วๆ หลายๆ คนในสมัยก่อนจนมาก แต่ขณะนี้สร้างบ้านที่อังกฤษให้ลูกอยู่ด้วยเงินของประชาชนที่โกงมาทั้งนั้น กลับกันสิ่งหนึ่งที่ตนได้จากพ่อคือความซื่อสัตย์ พ่อไม่เคยคดโกงใคร หรือรีดไถใคร พ่อยืนด้วยอุดมการณ์” นายสนธิกล่าว

นายสนธิกล่าวต่อว่า ความที่พ่อของตนเป็นนักเรียนนายร้อย ย่อมมีเพื่อนมากเป็นธรรมดา มีอยู่ช่วงหนึ่งตอนเวียดนามแตก เพื่อนพ่อที่เป็นทหารมาด้วยกันที่เป็นคนจีนที่เกิดในเวียดนามบ้าง มาเลเซีย หรือสิงคโปร์ บ้าง ต่างถูกขับไล่ไม่มีที่อยู่ ต้องนั่งเรือมาจากเวียดนาม ทรัพย์สินที่มีก็ถูกนำไปเป็นค่าผ่านทางหมด คนที่แอบไปรับช่วยเหลือคนเหล่านั้นคือพ่อของตน ที่ใช้เส้นสายไปรับมาต้องอุปการะเลี้ยงดูทั้งครอบครัว รวมแล้วกว่า 20 ครอบครัว จากนั้นพ่อของตนได้จัดแจงไปติดต่อสถานทูตไต้หวัน ออกพาสปอร์ตให้คนพวกนี้วิ่งเต้นซื้อตั๋วเครื่องบิน ให้บินไปไต้หวัน แล้วบินไปอเมริกาอีกที ตอนนี้คนที่พ่อเคยช่วยบางรายก็เป็นอภิมหาเศรษฐีในเวียดนามไปแล้ว ซึ่งตนได้มามองย้อนหลังเขารวยตนก็ไม่ได้ไปขอเขากิน แต่มันเป็นความสุข นี่เป็นจิตใจที่พ่อทำให้ คือวีรกรรมของพ่อ พ่อช่วยคน มีเมตตาธรรมสูง รักเพื่อนพ้อง มีสัจจะ ทำให้ตนได้นิสัยทางด้านคุณธรรม เมตตา กล้าหาญ สัจจะ เหมือนกับพ่อมาโดยไม่รู้สึกตัว

“เคยถามพ่อว่า ป๊าเที่ยวตระเวนไปสัมภาษณ์คนจีน พ่อได้ตอบกลับมาว่า ประวัติคนสำคัญกับเรามาก คนต้องมีที่มาที่ไป ให้ละลึกเสมอว่าเรามาจากไหน มีอยู่ช่วงหนึ่งคนจีนที่เข้ามาในประเทศไทยต่างไปเปลี่ยนนามสกุล เนื่องจากนามสกุลที่ขึ้นต้นด้วย แซ่ จะลำบากมากในเรื่องการเข้ารับราชการ แต่พ่อบอก ลื้อมีเชื้อสายจีนจะปฏิเสธได้อย่างไร อย่างไรก็ตาม โชคดีอย่างหนึ่งในทะเบียนราษฎรของพ่อ ระบุว่ามีสัญชาติไทย” นายสนธิกล่าว

นายสนธิกล่าวถึงนิสัยอวดดีของตนว่า มีตั้งแต่กลับมาจากอเมริกา ช่วงนั้นมีชื่อเสียง ไม่เคยเห็นใครอยู่ในสายตา นั่นคือที่มาที่พ่อด่า “ลื้อต้องแพ้ ลื้อรู้หรือป่าวการแพ้คือการชนะ ถ้าลื้อไม่รู้จักแพ้อย่างสงบ ก็แพ้อย่างราบคาบแพ้อย่าจริงใจ ลื้อจะไม่มีวันชนะ” พ่อสอนเสมอว่า ถ้าแพ้แล้วมุมานะเพื่อล้างแค้น จะทำให้แพ้จริงๆ แต่เรามาเริ่มใหม่จะทำให้เรามีความรอบคอบ เมื่อชนะก็จะไม่หลงระเริง อ่อนน้อมถ่อมตน

“พ่อมักพูดว่า การถอยคือการชนะ เพราะได้พัก การไม่ยอมถอยคือความดื้อด้าน แล้วจะนำไปสู่การแพ้อย่างราบคาบ ผมเชื่อว่าลูกหลานพันธมิตรฯ ต่อไปจะเป็นบุคลากรที่เป็นคุณภาพของสังคม เพราะพ่อแม่เขาต่อสู้มารู้จักแพ้ รู้จักถอยแล้วเริ่มใหม่ อย่างไรก็ตาม เรื่องส่วนตัวอาจจะไม่ถูกกันบ้าง แต่ถ้าเป็นเรื่องชาติบ้านเมืองแล้วเขาเป็นหนึ่งเดียวกัน ผมถึงบอกว่าคนที่เป็นลูกหลานพันธมิตรฯ คือคนที่ชาติต้องการ” นายสนธิกล่าว

นายสนธิกล่าวถึงลูกชายคนเดียวว่า เป็นคนโชคดีที่ได้แม่ที่ดี ซึ่งแม่เขาสอนลูกเหมือนกับที่เขาเคยได้รับการอบรมณ์มาจากพ่อของเขา คือ ให้ประหยัด มีระเบียบ นอกจากนั้นยังได้รับการอบรมตั้งแต่เด็ก เนื่องจากแม่เขาเป็นอาจารย์ ยามว่างก็ไปหาแม่ของเขา คลุกคลีอยู่กับอาจารย์ที่สอนพิเศษ

อย่างไรก็ดี ตนไม่ได้สอนลูกอย่างที่พ่อเคยสอนตน เนื่องจากโดยอาชีพตนทำงานกับสื่อมวลชนตลอด ทำให้ลูกชินกับแวดวงของสื่อมวลชน เห็นตนออกไปต่อสู้ ขึ้นศาล พฤษภาทมิฬ ในบางครั้งการที่เขาเรียนจบในด้านการตลาด มาทำให้อุดมการณ์ต่างกันบ้าง อย่างช่วงชุมนุม 193 วัน ในบางครั้งเขาถามว่าทำไมพ่อต้องทำ ต้องเสี่ยงถึงขนาดนี้ ซึ่งในตอนนั้นเขาไม่ยอมรับ แต่ด้วยความที่เขาก็แอบเป็นห่วงพ่อ ดังจะเห็นได้จากเวลาที่ตนขึ้นเวทีก็จะเห็นเขาตลอด จากนั้นเขาเริ่มซึงทรัพย์มวลชนที่ไปสู้ มาวันนี้ตนเห็นหลายๆ สิ่งที่เขาทำ ทำให้มั่นตนใจได้ ว่า วันนี้อุดมการณ์เขาเป็นอุดมการณ์พันธมิตรฯ ร้อยเปอร์เซนต์

“ผมเป็นคนให้กำลังใจยาก ดูเหมือนชาเย็น แท้จริงแล้วใครให้กำลังใจมา ผมรับไว้ตลอด แต่ไม่แสดงออก อย่างตอนที่เดือดร้อนใจแทบขาดก็ไม่เคยขอเงินพี่น้องพันธมิตรฯ จะเห็นได้จากในช่วงชุมนุม ผมขายทรัพย์สินมาใช้ในการชุมนุมจนหมด ซึ่ง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ขอให้พูดขอความช่วยเหลือกับพี่น้องที่เข้าร่วมชุมนุม แต่ผมทำไม่ได้ ก็ได้พี่จำลองนี่แหละที่พูดให้” นายสนธิกล่าว

นายสนธิกล่าวอีกว่า ตนกับลูกไม่เคยคุยเรื่องความรู้สึกห่วงใยกัน อย่างวันเกิดตน ตนก็ไม่ได้อะไรที่พิเศษจากลูก และวันเกิดเขา ตนก็เฉยๆ ไม่ได้ซื้อของอะไรให้ ความห่วงใยไม่จำเป็นต้องแสดงออก แต่ขอให้เข้าใจกันให้รู้นะว่ารักและเป็นห่วง พ่อที่ไม่แสดงออก เหมือนไม่ใส่ใจ ไม่ได้แปลว่าเขาไม่รักเรา ขอให้ดูที่แววตาของพ่อ เพราะแววตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ

http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9530000172014

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น