++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอังคารที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2553

บาปกับเคราะห์

โดย ท.เลียงพิบูลย์
จากหนังสือกฎแห่งกรรม
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เล่ม ๒


บาปกับเคราะห์ วันหนึ่งเราได้สนทนาระหว่างเพื่อนๆ ในเวลาอาหารกลางวัน
เพื่อนที่เป็นหมอความคนหนึ่งเอ่ยขึ้นว่า "ผม
รับว่าคดีแพ่งฝ่ายจำเลยเรื่องหนึ่ง แต่ไม่ทันไปถึงศาล เพียงผมชี้ให้เห็น
"หลักธรรม" ทั้งสองฝ่ายก็ได้ประนีประนอมกันเรียบร้อย
แต่กว่าจะตกลงกันได้ผมก็ต้องชักแม่น้ำทั้ง ๕ ของศีลธรรมมาเทศนากันแทบแย่
แต่ผมก็ดีใจที่ได้ช่วยเพื่อนมนุษย์ให้มองเห็นธรรม"

พวกเราเกิดสนใจถึงสาเหตุที่เกิดคดีขึ้น
จึงขอให้เพื่อนผู้เป็นหมอความช่วยเล่าเรื่องให้ฟัง
ท่านทนายผู้ใจดีถือหลักธรรมประกอบคดี ได้กรุณาเล่าให้ฟังว่า

"คดีเรื่องนี้ผมไม่ได้แก้คดีอาญาให้จำเลยมาแต่แรก
ผมรับว่าคดีแพ่งเรื่องนี้ตอนปลาย
ส่วนเรื่องคดีอาญาได้ผ่านศาลและจำเลยได้แพ้คดีมาแล้ว
คราวนี้ฝ่ายโจทก์ได้ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายเป็นจำนวนหลายแสน
เมื่อผมรู้ความจริงแล้วผมก็เศร้าใจเพราะจำเลยไม่มีความผิดตามข้อหา
แต่ฝ่ายโจทก์มีพยานหลักฐานทางคดีอาญาแน่นหนา ถ้าจะพูดถึงทางกฎหมายแล้ว
หลักฐานได้ผูกมัดจำเลยยากที่จะหลุดได้
เรื่องเท่าที่ผมรู้เหตุที่เกิดขึ้นหนีไม่พ้น "บาปกับเคราะห์"
อาจจะเกิดขึ้นกับผู้บริสุทธิ์ได้ทุกเมื่อ
เพราะคนเราต่างก็มีกรรมเป็นมรดกติดตาม
ไม่รู้ว่าเราเคยมีกรรมอะไรมาแต่อดีต
ฉะนั้นเรื่องบาปเคราะห์จะเกิดขึ้นกับผู้ที่มีกรรมเก่าได้เสมอทุกเวลา"

เรื่องมีว่า ผู้ตกเป็นจำเลยคดีอาญาถูกข้อหาว่า
ขับรถชนคนตายด้วยความประมาท ยังเป็นนักศึกษาเป็นน้องชาย
ส่วนพี่ชายเจ้าของรถเป็นผู้มีฐานะดี
มีการค้าและโรงงานก็ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีแพ่ง
เหตุเกิดขึ้นเพราะน้องชายขับรถไปเที่ยว
แต่บังเอิญเย็นนั้นน้องชายได้ขับรถกลับมาคนเดียว เมื่อกำลังขับมาตามถนน
ก็มีรถขับมาอย่างรีบด่วนแซงตัดขึ้นหน้าทางซ้ายด้วยความเร็วอย่าง เร่งร้อน
เฉียดรถชายหนุ่มเกือบจะชน

ความเลือดร้อนของเด็กวัยหนุ่มไม่ยอมให้ใครมาอวดดี
จึงขาดสติขาดความไตร่ตรอง มีแต่ความโกรธและความประมาท
ทำให้ชายหนุ่มเร่งความเร็วจะรีบติดตามผ่านไปตัดหน้าเพื่อแก้ลำ
แต่บังเอิญมีรถบรรทุกคันใหญ่วิ่งกันทางอยู่ข้างหน้า
ชายหนุ่มจะเร่งขึ้นหน้าก็ไม่ได้ ทำให้เพิ่มความโกรธความเจ็บใจมากขึ้น
เมื่อไม่สามารถที่จะติดตามไปทัน ชายหนุ่มก็ต้องเพลาความเร็วลง
ได้แต่บ่นด่าไปตามเรื่อง แต่แล้วเหตุการณ์ที่ไม่เคยนึกไม่เคยฝันก็เกิด
ขึ้น เพราะมีรถยนต์คันหนึ่งวิ่งไล่หลังมาทันก็ปาดหน้ารถชายหนุ่มบังคับ
ให้หยุดจอด ข้างถนน แล้วรถคันนั้นก็จอดขนาบข้าง
มีสิบตำรวจรีบเปิดประตูข้างคนขับอ อกมา และประตูหลังก็มีชายเปิดออกมา ๒
คน ชายผู้หนึ่งออกมาชี้หน้าชายหนุ่มยันกับตำรวจพลางพูดว่า

"รถคันนี้แหละครับขับรถชนน้องชายผมแล้วขับหนี ผมจำได้แน่ไม่ผิดตัว
ไม่เชื่อหมู่ถามคุณคนนี้ดูซิครับ บ้านแกอยู่แถวนั้นผมไม่เคยรู้จักมา ก่อน
เวลารถคันนี้ชนน้องชายผม คุณคนนี้แกยืนอยู่ข้างถนนเห็นเหตุการณ์หมด
แกก็ยินดีเป็นพยานให้"

ชายหนุ่มตกใจ งงเรื่องเหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
นึกรู้ว่าตัวกำลังจะเข้าตาจน
นึกถึงรถคันที่วิ่งแซงขึ้นอย่างไม่คิดชีวิตคันนั้น
ก็นึกและจำได้ว่าเป็นรถชนิดเดียวกันและสีเดียวกับรถคันที่ชาย หนุ่มขับ
เพียงแต่ไม่เคยเห็นคนขับว่าจะเหมือนหรือคล้ายกับตัวหรือไม่เท่า นั้น
เหตุการณ์มันสมเหตุสมผล แล้วจะมีใครเล่าจะเป็นพยาน
เพื่อหักล้างหลักฐานของผู้เป็นโจทก์กล่าวหา เพราะตนขับรถมาคนเดียว
รู้ตัวว่าเข้าชะตาร้ายที่สุด

ฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจก็คุมตัวชายหนุ่มพร้อมทั้งรถ
ตกเป็นผู้ต้องหาฐานขับรถชนคนตายด้วยความประมาท
เรื่องนี้ได้แพ้ในศาลคดีอาญาแล้ว เพราะจำนนต่อหลักฐานที่โจทก์อ้างขึ้น
ฝ่ายพ่อของผู้ตายจึงได้ฟ้องคดีแพ่งเรียกค่าเสียหายและค่าเลี้ยงดู
ตัวพ่อและลูกของผู้ตายซึ่งยังเยาว์วัยจากเจ้าของรถผู้เป็นพี่ชาย ของคนขับ
ฝ่ายจำเลยได้มาหาผมเพื่อให้ช่วยว่าคดีนี้

เมื่อผมให้ฝ่ายจำเลยเล่าความจริงให้ฟังแล้วได้พิจารณาก็เศร้าใจ
เพราะบางครั้งเหตุผลและสิ่งแวดล้อมมีหลักฐานพอที่จะมัดจำเลยต้อง
ชดใช้หนี้ กรรมที่ตนไม่ได้ก่อขึ้น
นี่ก็เห็นจะเข้าไปในเรื่องเคราะห์หามยามร้าย
กฎหมายก็ต้องเป็นกฎหมายตุลาการท่านก็ต้องตัดสินไปตามตัวบท
เมื่อแวดล้อมไปด้วยหลักฐาน ผมเห็นรูปคดีแล้วก็รู้สึกว่าอาการหนักมาก
ถ้าเป็นโรคก็ชนิดหมอไม่รับ

ผมจึงให้ความเห็นกับจำเลยว่า
ควรจะไปหาฝ่ายโจทก์และพามาพบปะเพื่อจะประนีประนอมกันเสีย
อย่าให้ถึงโรงถึงศาลเลย และเราต้องเสียเงินบ้างเพียงให้หนักเป็นเบา
ฝ่ายจำเลยก็ยินดี ขอเพียงแต่อย่าให้เสียมากเป็นจำนวนแสน
และขอให้น้องชายซึ่งกำลังศึกษาเล่าเรียนอย่าต้องติดคุกให้เสีย อนาคต

ตกลงเราก็นัดฝ่ายโจทก์
ซึ่งมีบิดาของผู้ตายและพี่ชายและทนายได้พบกันที่สำนักงานผม
เมื่อผมได้ทักทายปราศรัยสนทนากันแล้วก็เล่าความจริงให้ฟัง
เพื่อให้เห็นความบริสุทธิ์ของฝ่ายจำเลยไม่ผิดขอความเห็นใจ
ก็รู้สึกว่าทนายโจทก์เฉพาะคดีนี้เป็นคนดี
เห็นใจปล่อยให้เราได้สนทนากันตามลำพัง ส่วนพ่อผู้ตายนั้นมีอายุมากแล้ว
เมื่อพิจารณาดูเข้าใจว่าคงจะไม่รู้เรื่องการฟ้องร้องครั้งนี้มาก นัก
แรงดันครั้งนี้อยู่ที่พี่ชายของคนตายท่าทางเป็นนักเลงเก่า
ซึ่งเสียงแข็งยืนกระต่ายขาเดียว ไม่ยอมใดๆ ทั้งสิ้น

ผมรู้สึกว่าขืนพูดกับพี่ชายคงไม่เกิดผลขึ้น
จึงได้พยายามเจาะจงพูดกับพ่อของผู้ตาย รู้สึกว่ามีหวังมากกว่า
แม้ว่าเราจะพูดกันกับพ่อของผู้ตายฐานโจทก์
พี่ชายของผู้ตายก็อดที่จะคอยสอดแทรก ร้องเตือนพ่อไม่ให้ตกลงใดๆ
เมื่อไม่ได้ครบตามจำนวนที่เรียกร้องตามฟ้อง
ตอนหนึ่งพ่อของผู้ตายพูดออกมาว่า

"เรื่องนี้ผมเองก็ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรมากนัก หากเป็นที่ลูกชายคนโตของผม
กับทางตำรวจเขาจะเอาเรื่อง ส่วนผมก็ขอเพียงได้เงินบ้าง
เพื่อเอาไปเลี้ยงหลานอีกสองคนที่เป็นกำพร้า เมื่อพ่อมันตายก็ลำบาก"


(มีต่อ 1)


ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
new
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 23 พ.ค. 2004
ตอบ: 533


ตอบตอบ เมื่อ: 06 ส.ค. 2004, 9:14 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน
ผมเห็นได้จังหวะก็เลย พูดขึ้นว่า "เรื่องนี้พ่อลุงก็รู้แล้วว่า
คนที่ถูกกล่าวหานั้นเป็นคนบริสุทธิ์จริงๆ ไม่มีความผิด
แต่เป็นคนเคราะห์ร้ายต้องจนต่อเหตุผลหลักฐาน
ต้องรับบาปที่ตัวเองไม่ได้ก่อขึ้นใช่ไหม ? ผมก็สงสารพ่อลุงเหมือนกัน
ลูกชายตายทั้งคน และยังทิ้งหลานไว้ให้ดูอีก ๒ คน แม่ก็ไม่รู้ว่าหนีไปไหน
ผมอยากจะให้ฝ่ายจำเลยเขายอมรับบาป
จ่ายเงินให้พ่อลุงสักสองหมื่นยกเลิกคดีเสีย คิดว่าพ่อลุงคงจะเห็นใจ
คนที่ไม่มีความผิดเลยแต่ต้องจ่ายเงินตั้งสองหมื่น
เมื่อนึกถึงอกเขามาเป็นอกเราบ้างจะมีความรู้สึกอย่างไร
พ่อลุงก็คงมีศีลมีธรรมอายุป่านนี้ลองคิดดูซิครับ
ไม่ควรจะให้เรื่องยืดยาวออกไปไม่รู้จักจบสิ้น"

เสียงลูกชายคนโตร้องบอกพ่อเปรยๆ ออกมาอย่างไม่พอใจว่า "พ่อกลับเถิด
ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว เสียเวลาเปล่า ตกลงอะไรกันไม่ได้ กลับเถิดพ่อ
เอาไว้เป็นหน้าที่ของศาลชี้ขาดดีกว่า"

ผมทำใจเย็นพยายามอธิบายพูดกับผู้เป็นพ่อให้เข้าใจเห็นผิดเห็นถูก
ไม่ฟังเสียงและไม่สนใจว่า ลูกชายของแกจะพูดอะไร ที่ไม่ถูกหูถูกใจ
แสดงกิริยาแข็งกระด้างไม่เป็นมิตรตลอดเวลา
ตั้งแต่ย่างเข้ามาในสำนักงานของเราด้วยหน้าตาถมึงทึง ไม่สุภาพ
พูดจาไม่มีหางเสียง ผิดกับผู้พ่อซึ่งมีอายุยังค่อยฟังเหตุฟังผลอยู่ บ้าง

ที่สุดผมเห็นว่าไม่มีทางที่จะตกลงกันได้
เพราะฝ่ายโจทก์เขาอาศัยคำพิพากษาคดีอาญามาฟ้องจึงได้เปรียบ
ยังเหลือทางเดียวเป็นทางสุดท้าย พยายามให้แกรู้ซึ้งถึง "กฎแห่งกรรม"
ชี้แจงถึงบุญบาป คำนึงถึงศีลธรรม ให้ละความโลภ ให้ก่อสร้างความดีเป็นกุศล
ผมต้องเอาธรรมเข้าช่วยให้เกิดความรู้สึก
จะได้ผลหรือไม่ก็เพียงความหวังเป็นผลสุดท้าย และต่อเติมว่า

"ผมและพ่อลุงเราต่างก็อยู่ในพระพุทธศาสนา
เทิดทูนพระมหากษัตริย์ชาติไทยองค์เดียวกัน
ถ้าเราก่อกรรมอันใดเราย่อมหนีกรรมนั้นไม่พ้น
ใครจะทำอะไรจะดีหรือชั่วย่อมเป็นกรรมติดตามไปสนอง
ทั้งในชาตินี้และชาติหน้า
เรื่องนี้พ่อลุงก็รู้อย่างดีแก่ใจแล้วว่าฝ่ายจำเลยเป็นผู้บริสุทธิ์
ไม่ได้ทำผิดดังข้อกล่าวหาของโจทก์ แล้วพ่อลุงจะใจร้ายใจดำสร้างเวร
สร้างกรรม ตั้งใจให้คนบริสุทธิ์รับโทษเช่นนี้
ไม่เป็นการก่อเวรก่อกรรมขึ้น เพื่อเห็นแก่ตัวหรือ
พ่อลุงอายุก็มากแล้วจะสร้างเวรสร้างกรรมไปถึงไหน สร้างทำไมอีก
ถ้าเรียกร้องเอามากๆ แทบหมดตัว เขาไม่มีจะให้ต้องกู้หนี้ยืมสินมาให้
พ่อลุงจะต้องมีบาปกรรมไปถึงไหน

สร้างทำไมอีก ที่ทำให้คนบริสุทธิ์ไม่มีความผิด
ต้องได้รับความทุกข์ยากลำบากทรมานจิตใจ การที่เขาสละให้สองหมื่นนี้
เขาก็ต้องเสียสละเลือดเนื้อ
และเวลาที่เขาอุตส่าห์ตั้งหน้าหามาด้วยความยากลำบากด้วยน้ำพักน้ำ แรง
ต้องรับเคราะห์เสียให้ทั้งที่ไม่ใช่ความผิดของเขา
ส่วนคนผิดนั้นแม้จะลอยนวลหนีมือกฎหมายไปได้ แต่ก็หนีกรรมตามสนองไม่พ้น
ใครทำผิดก่อเวรก่อกรรมไว้แล้ว
กรรมนั้นจะตามสนองวันหนึ่งข้างหน้าไม่ช้าก็เร็วฉะนั้น
พ่อลุงยังจะสร้างกรรม ทั้งๆ ที่รู้ว่าจะให้คนบริสุทธิ์รับโทษ
แล้วแถมจะเรียกร้องเงินเขาเป็นแสนๆ เช่นนี้
พ่อลุงไม่กลัวกรรมจะตามสนองหรือ ?"

เมื่อพูดเช่นนี้ทำให้พ่อลุงหยุดคิดจิตใจอ่อนลง
รู้สึกตัวเห็นจริงเห็นจังในเรื่องกรรม แต่รู้สึกว่าไม่มีอำนาจในคดีนี้
เพียงแต่เป็นหุ่นให้ลูกชายคนโตเชิดเท่านั้น ทำให้ผมเห็นใจเมื่อแกพูดว่า

"ผมเองเมื่อคุณพูดถึงเรื่องกรรมนั้นผมก็เห็นจริง
ผมเชื่อในเรื่องกรรมมีจริง เพราะเคยเห็นตัวอย่างเกิดขึ้นมาแล้ว
พูดถึงใจของผมอายุมีมากแล้ว ไม่อยากก่อกรรมก่อเวรเป็นบาปติดตัวไป
ผมเห็นด้วยกับคุณ ผมอยากจะตกลงกับคุณและพอใจที่คุณเสนอ
พอได้เงินเลี้ยงหลานๆ กำพร้า ๒ คนก็พอใจแล้ว
เมื่อลูกชายผมยังไม่ตายมันก็มีอาชีพขับรถรายได้ก็ไม่มาก นัก
มันก็คอยจุนเจือผมและลูกของมัน

เมื่อคุณพูดถึง "กรรมตามสนอง" ผมก็คิดได้ไม่อยากก่อเวรต่อไป
แต่จนใจเรื่องลูกชายคนโตเป็นเจ้ากี้เจ้าการ ถ้าเขาเห็นด้วยกับผม
เรื่องนี้ก็ยุติลง ผมไม่ต้องการเวรกรรมที่จะติดตัวไป
ที่คุณบอกว่าฝ่ายจำเลยเป็นผู้บริสุทธิ์ไม่มีความผิด ผมก็เชื่อตามคุณ
แต่เหตุผลหลักฐานชั้นต้นมันแวดล้อมเพราะเป็นบาปกับเคราะห์
คนเราย่อมมีเคราะห์ดีเคราะห์ร้ายเป็นธรรมดา ผมก็เห็นจริงอย่างที่คุณว่า"

เสียงพ่อลุงแกพูดอ่อนลงอย่างเห็นถูกเห็นผิดแจ้งชัดแล้ว
ส่วนลูกชายคนโตที่คอยก่อกวนขัดขวางไม่ให้เราเจรจากันได้สะดวกนั้น
บัดนี้นิ่งเงียบไม่ใช้เสียงก่อกวนอะไร แม้ว่าชายผู้พ่อจะพูดจาเห็นด้วย
ลูกชายก็ไม่แสดงขัดขวางเหมือนเมื่อเจรจากันตอนต้นๆ
ซึ่งเคยนึกว่าเรื่องนี้คงไม่หวังจะตกลงกันได้
เพราะเสียงที่แข็งกล้าของลูกชายคนโตของพ่อลุงเป็นต้นเหตุ

แต่ผมก็พยายามให้ถึงที่สุด เมื่อพ่อลุงเห็นจริงจัง จิตใจอ่อนลง
และเจ้าลูกชายก็เงียบสงบลง ผมก็รู้สึกโชคเข้าข้างผมบ้าง
เพราะอาศัยธรรมนำทาง ความหวังก็ค่อยๆ เห็นแสงเพราะศีลธรรมได้เข้าไปถึงจิต
ใจ ที่สุดเจ้าลุกชายก็เข้าไปกระซิบที่หูพ่อ และพยักหน้ากับทนายความของแก
พ่อลุงก็หันมาพูดกับผมว่า

"ผมขอเวลาปรึกษากันหน่อยว่าควรจะทำอย่างไรดี
ขอเวลาหารือกันครู่หนึ่งก่อนจะตอบคำเสนอ"
ผมรู้สึกว่าบรรยากาศได้แจ่มใสขึ้นบ้างแล้ว แต่หวังผลอะไรแน่นอนยังไม่ได้
คิดว่าอย่างน้อยก็คงจะมีการต่อรองลดลงบ้าง
ฝ่ายเราเพิ่มบ้างคงจะตกลงในทำนองนี้ แล้วผมก็ให้ห้องเขาใช้กันโดย ลำพัง
ผมคอยอยู่ภายนอกกับจำเลยสักครู่ใหญ่
แล้วฝ่ายโจทก์ทั้งสามก็เดินยิ้มอย่างสบายใจออกมาบอกกับผมว่า

"เราได้ตกลงกันแล้ว ยอมรับเงินสองหมื่นที่คุณและฝ่ายจำเลยเสนอแล้วครับ
แล้วขอให้ฝ่ายคุณอโหสิกรรมให้พวกผมด้วย
เงินที่จ่ายให้นี้ขอให้นึกว่าบริจาคทำบุญเลี้ยงลูกกำพร้านัยน์ตา
ดำเถิดครับ"

ผมกับฝ่ายจำเลยต่างก็มีความตื่นเต้นตื้นตันใจ น้ำตาแทบจะไหลออกมา
นี่เป็นอานุภาพของธรรมจูงใจเข้าถึงศีลธรรม
เพราะไม่นึกว่าเหตุการณ์จะลงเอยอย่างเรียบร้อยง่ายดายเช่นนี้
ทั้งมองดูเจ้าลูกชายคนโตของโจทก์
ก็เปลี่ยนแปลงจากความมึนตึงมายิ้มแย้มเป็นกันเองมากขึ้น หมดความสนใจกัน
ที่สุดเราก็สนทนาเข้ากันได้ เมื่อตกลงสัญญาเรียบร้อยแล้ว
จึงทำให้ผมอยากรู้ว่าฝ่ายโจทก์คิดอย่างไร
จึงเป็นเหตุเปลี่ยนแปลงจากการที่มองไม่เห็นว่าจะตกลงกันได้โดย เรียบร้อย
ที่สุดก็ทราบได้จากปากคำของลูกชายคนโตของโจทก์
ซึ่งเป็นพี่ชายของคนตายนั้นได้บอกว่า

"เมื่อก่อนผมก็ตั้งใจว่าจะไม่ยอมตกลงใดๆ ทั้งสิ้น
นอกจากเท่าที่ได้เสนอไว้แล้วเท่านั้น และตั้งใจไว้อย่างเข้มแข็งเด็ดขาด
แต่เมื่อผมได้ยินคำพูดของคุณ ได้ฟังเรื่องกรรมแล้ว
ทำให้เกิดความหวั่นไหวหวาดกลัวเรื่องกรรมขึ้นมาทันที
เพราะเท่าที่คุณพูดว่า "กรรมผู้ใดทำขึ้น
ต่อไปกรรมนั้นจะต้องตามสนองเช่นเดียวกัน"
ทำให้แทงใจดำผมเมื่อนึกถึงน้องชายของคนที่ถูกรถชนตาย
ก็เคยขับรถชนคนตายมาแล้ว
เวลานั้นผมก็นั่งรถไปด้วยเห็นเหตุการณ์ที่ชนได้อย่างชัดเจนติดหู ติดตา
ถึงรูปร่างท่าทางของชายเคราะห์ร้ายผู้นั้นกระเด็นห่างจากถนนไปล้ม ลง
เราหยุดรถดูเพียงระยะสั้นๆ
เห็นกิริยาท่าทางดิ้นรนทุกข์ทรมานของคนกำลังชักดิ้นชักงอไปมา


(มีต่อ 2)


ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
new
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 23 พ.ค. 2004
ตอบ: 533


ตอบตอบ เมื่อ: 06 ส.ค. 2004, 9:23 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน
บังเอิญเวลานั้นบน ท้องถนนไม่มีคนเป็นเวลากลางคืนและทางเปลี่ยว
ผมจึงตกใจเร่งให้น้องชายดับไฟหน้ารถ แล้วรีบขับรถหนีไปเร็วก่อนตำ
รวจจะมาถึง น้องชายผมได้สติหายตกใจจึงเร่งความเร็วขับรถหนี
และที่สุดก็รอดตัวตลอดมา เพราะไม่มีใครรู้ใครสงสัยว่ารถเราได้ชนคนตาย
แม้แต่พ่อผมก็ไม่รู้เรื่อง เหตุการณ์ได้เกิดเกือบสองปีแล้ว
เมื่อพูดถึงเรื่อง "กรรมตามสนอง"
ทำให้ผมนึกถึงน้องชายของผมซึ่งกำลังจะข้ามถนนพร้อมกับผม"
เรายังล้อกันเล่นว่า

"เฮ้ย เอ็งข้ามถนนระวังตัวดีๆ นะ รถจะชน"

ผมพูดอย่างไม่ทันคิด
เพราะเราอยู่กันสองคนกำลังจะข้ามถนนมิได้มีความหมายอะไรนัก
เป็นแต่เพียงคะนองปากล้อเล่นเท่านั้น แต่น้องชายผมมันตกใจสะดุ้งตื่นเต้น
พูดว่า

"พี่เอาอะไรมาพูดก็ไม่รู้ ผมนึกถึงเรื่องนี้ทีไร อดที่จะหวาดกลัวไม่ได้
ตลอดเวลาผมไม่มีความสบายใจเลย
นึกถึงแต่คนที่ผมชนนั้นทำให้ผมเห็นภาพมันทรมานใจผมมากเหมือนนรกใน ใจ
ทีหน้าทีหลังพี่อย่าเอาเรื่องนี้มาพูดเล่นเป็นอันขาด ผมขอเสียที
ผมกลัวจริงๆ"

เรากำลังมัวแต่พูดกันเพลิน
ทันใดนั้นรถวิ่งชนเอาน้องผมกระเด็นออกไปฟุบอยู่กลางถนน
ผมตกใจตกตะลึงใจหายหมด เพราะไม่เคยนึกฝันและกำลังพูดกันไม่ทันขาดคำ
น้องผมเดินไม่ห่างจากผมมากนัก

สิ่งที่ผมจำได้ติดหูติดตาก็เพราะน้องชายของผม
เมื่อเวลาถูกรถชนนั้นท่าทางปากคอบิดเบี้ยวเพราะเจ็บปวด
แอ่นตัวชักตาตั้งดิ้นรน
มีท่าทางไม่ผิดกับชายผู้ที่ถูกน้องชายผมขับรถชนตายเลย
เมื่อผมได้สติหายตกตะลึง เสียงประชาชนโจษกันเซ็งแซ่ว่ารถชนคนตาย
ผมนึกโกรธอ้ายคนขับรถชนฆ่าน้องชายผม
ผมจัดแจงเรียกหาตำรวจขอร้องให้คนไปตามตำรวจ แต่แล้วไม่ช้าตำรวจก็มาถึง ๒
นาย มาตรวจดูคนเจ็บว่าจะรีบนำไปส่งโรงพยาบาลด่วน

เมื่อตำรวจตรวจดูได้ก็บอกว่าตายเสียแล้ว ผมเสียใจมาก
บอกว่าต้องรีบติดตามไปด่วนผมจำสีรถได้ พอดีมีรถเก๋งใหญ่ผ่านมา
เราขอความช่วยเหลือขับรถติดตามรถที่ชนคน คิดว่ายังไปได้ไม่ไกลนัก
รถคันนั้นคนขับก็เป็นคนดีช่วยเหลือด้วยความเต็มใจ
รีบเปิดประตูให้ตำรวจนั่งข้างหน้าให้ผมเข้าไปนั่งข้างหลัง

และบังเอิญมีชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์อยู่แถวนั้นขอติดตามไปเป็นพ ยานด้วย
เพื่อจะได้ช่วยกันชี้รถคันรีบหนีได้ถูกต้อง
คนขับใจดีจึงรีบขับออกติดตามโดยเร็วที่สุดก็ไปทันรถจำเลย
เพราะเป็นสีเดียวกันกำลังวิ่งเร็ว แต่ถูกรถบรรทุกกันทางไว้ขึ้นหน้าไม่
ได้ รถเราจึงไปทัน ส่วนเบอร์รถนั้นผมจำไม่ได้ แต่จำสีรถได้คิดว่าคงไม่ผิด
เพราะความโกรธเห็นน้องชายตาย ผมจึงขอให้คนไปด้วย
เป็นพยานรู้เห็นยืนยันว่าเป็นรถคันเดียวกันกับรถที่ชนน้องชาย
ทั้งที่ผมเองก็ไม่แน่ใจ

และเมื่อทราบจากคุณว่าไม่ใช่จำเลยที่ขับรถชนน้องชายผมตาย
แต่เมื่อผมเสียเงินค่าทำศพ ค่าวิ่งเต้นฟ้องร้องและค่าทนายไปมาก
ผมจึงจำเป็นให้พ่อฟ้องคดีแพ่งที่ทนายแนะนำ
แต่ความจริงผมก็สงสัยอยู่ในใจว่าฟ้องผิดตัว แต่ก็ไม่ได้แจ้งให้ใครทราบ
นี่แหละครับ แรกผมก็จะไม่ยอมอ่อนข้อให้ เพราะความเรื่องนี้ฝ่ายผมต้องชนะ
แน่

แต่เมื่อได้ยินว่า "กรรมตามสนอง" ผมก็นึกได้ก็กลัวกรรม
เพราะเคยพบมาแล้วจึงได้บอกให้พ่อผมตกลง
เพราะผมก็เชื่อว่ากรรมจะตามสนองในวันหนึ่งข้างหน้า
เพราะผมเองก็เห็นภาพน้องกำลังสิ้นใจกับตาว่าเป็นกรรมตามสนองแน่ไม่ ผิด
นี่แหละครับเป็นต้นเหตุที่ผมสำนึกผิดขึ้นมาได้
ตกลงกับพ่อยอมรับข้อเสนอของคุณ ไม่อยากให้กรรมติดตามผมหรือคุณพ่อไป ด้วย
และยินดีจะไปแถลงความจริงในศาลอุทธรณ์เกี่ยวกับคดีอาญาให้ด้วย

เมื่อผมได้ยินพี่ชายของผู้ตายได้เปิดอกพูดเช่นนั้น
ผมกล่าวขอบคุณที่แกเป็นคนกล้ารับกับความจริง
คิดว่าหากทุกคนกลัวบาปกลัวเวรกลัวกรรมแล้ว
เหตุการณ์ร้ายที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ก็คงจะลดน้อยลง
โรงศาลก็คงไม่มีคดีแน่นเหลือมือ ความแต่ละเรื่องก็คงจะไม่ใช้เวลาแรม ปีๆ
นี่แหละครับเรื่องนี้ ก็ได้อาศัยธรรมชำระจิตใจ
จึงเกิดผลประโยชน์ทั้งทางธรรมและทางโลก เมื่อเรื่องตกลงสิ้นสุดลง
เราทุกคนก็หันหน้าเข้าหากัน ต่างเห็นอกเห็นใจแทนที่จะเป็นไม้เบื่อไม้ เมา
คอยคิดพยาบาทอาฆาตกันทำลายล้างกันต่อไปไม่มีวันสิ้นสุด

เมื่อรู้ซึ้งทางธรรมแล้ว
ก็รู้สึกตัวมองเห็นทุกข์ของตนและผู้อื่นว่าชีวิตนี้เป็นทุกข์
สมตามพระพุทธองค์ทรงสอนไว้ จะทำให้เกิดมีศีลมีธรรมไม่คิดเบียดเบียนกัน
โลกก็จะอยู่กันด้วยความปกติสุข การแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น
มีความอิจฉาริษยาก็คงจะหมดไปในที่สุด ศีล ๕ ก็เข้ามาในจิตใจของมนุษย์
เมื่อนั้นโลกก็จะเป็นแดนแห่งความสงบ ท่านผู้เป็นทนายใจดีกล่าวตอนท้ายว่า

"ธรรมเข้าถึงที่ไหน ที่นั่นก็จะมีแต่ความร่มเย็นเป็นสุขในความสงบทั่ว ไป
ความเห็นแก่ตัว ความโลภก็จะหมดไป
โลกจะเกิดสันติก็อาศัยประชาชนชาวโลกเข้าถึงธรรม กรณีใดเกิดพิพาทกันขึ้น
อาศัยธรรมเป็นสื่อตกลงปรองดองกันได้ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายแพ้หรือชนะก็ดี
จะไม่มีการโกรธแค้นก่อเวรพยาบาทกันต่อไป เพราะต่างก็มีความปิติยินดี
ด้วยกันทั้งสองฝ่าย
ต่างก็เห็นอกเห็นใจเพราะเหตุธาตุแท้มนุษย์ที่เกิดมาก็ต้องรับทุกข์
ด้วยกัน ตามธรรมชาติอยู่แล้ว ไม่มีใครหนีพ้นไปได้
นอกจากปฏิบัติตามหลักธรรมคำสอน ก็จะหลุดจากทุกข์ได้
แม้เรื่องนี้จะผ่านไปแล้วพ่อลุงและลูกชายก็เลื่อมใสเคารพนับถือผม ตลอดมา
นี่ก็เป็นเพราะอำนาจของธรรมและศีลธรรมชักจูงจิตใจคนที่มืดมัวด้วย
กิเลสหลง ผิด ให้เกิดแสงสว่างของธรรมจูงจิตใจในทางที่ถูก
ถ้าใครใช้สติปัญญาแล้วจึงจะเห็น"

ข้าพเจ้าผู้เขียนก็เห็นจริง และขอขอบคุณเพื่อนผู้เป็นทนาย
ที่กรุณาเล่าเรื่องนี้ให้ฟังจะได้แผ่เป็นกุศลต่อๆ กันไป
ซ้ำยังมีใจคอกว้างขวางเลี้ยงอาหารพวกเราทุกคนในวันนี้ด้วย

.................... จบ ....................

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น