++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอังคารที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2553

A blind boy เด็กตาบอด

A blind boy sat on the steps of a building with a hat by his feet.

He held up a sign which said: "I am blind, please help." There were
only a few coins in the hat.

เด็กตาบอดคนหนึ่งนั่งที่ขั้นบันไดของตึกโดยมีหมวกวางหงายไว้ข้างๆ

มีป้ายเขียนไว่ข้างตัวว่า "ผมตาบอด กรุณาช่วยด้วย" มีเหรียญเพียงสองสามอันในหมวก

A man was walking by. He took a few coins from his pocket and dropped
them into the hat. He then took the sign, turned it around, and wrote
some words. He put the sign back so that everyone who walked by would
see the new words.

Soon the hat began to fill up. A lot more people were giving money to
the blind boy. That afternoon the man who had changed the sign came to
see how things were. The boy recognized his footsteps and asked, "Were
you the one who changed my sign this morning? What did you write?"

ชายคนหนึ่งเดินผ่านมา
เขาหยิบเงินสองสามเหรียญจากกระเป๋าแล้วหย่อนลงในหมวก
เขาหยิบป้ายข้างเด็กตาบอดมาเขียนที่ด้านหลัง แล้ววางลงที่เดิม
เพื่อให้คนเดินผ่านได้เห็นข้อความใหม่บนป้าย

ในไม่ช้า...หมวกก็เต็ม ผู้คนมากมายให้เงินแก่เด็กตาบอด
บ่ายวันนั้นชายที่เขียนป้ายให้ใหม่กลับมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น
เด็กชายจำเสียงฝีเท้าเขาได้ก็ถามขึ้นว่า
"คุณใช่คนที่เขียนป้ายให้ผมใหม่เมื่อเช้าใช่ไหมครับ"
"คุณเขียนว่าอะไรครับ"


The man said, "I only wrote the truth. I said what you said, but in a
different way."
I wrote: "Today is a beautiful day, but I cannot see it."

Both signs told people that the boy was blind. But the first sign
simply said the boy was blind. The second sign told people that they
were so lucky that they were not blind. Should we be surprised that
the second sign was more effective?

ชายคนนั้นพูดว่า "ฉันแค่เขียนความจริง
ฉันเขียนสิ่งที่เธอพูดแต่เขียนด้วยคำพูดที่แตกต่าง"

ฉันเขียนว่า "วันนี้ช่างเป็นวันที่สวยงาม แต่ผมไม่สามารถชื่นชมมันได้"

ทั้งสองข้อความบอกกล่าวผู้คนว่าเด็กชายนั้นตาบอด
ทว่าข้อความแรกเพียงบอกธรรมดาว่าเด็กชายตาบอด
ในขณะที่ข้อความหลังบอกผู้คนว่าพวกเขาช่างโชคดีเหลือเกินที่ตาไม่บอด
แปลกใจไหมที่ข้อความหลังให้ผลดีกว่า

Moral of the Story: Be thankful for what you have. Be creative. Be
innovative. Think differently and positively.

When life gives you a 100 reasons to cry, show life that you have
1000 reasons to smile. Face your past without regret. Handle your
present with confidence. Prepare for the future without fear. Keep the
faith and drop the fear.

The most beautiful thing is to see a person smiling.
And even more beautiful is knowing that you are the reason behind it!!!

If you like, share.

ข้อสอนใจจากเรื่องนี้ จงขอบคุณในสิ่งที่คุณมี ขอให้มีความคิดสร้างสรรค์
ปฏิรูปจิตใจของคุณ และคิดแตกต่างในแง่บวก

ยามเมื่อชีวิตมีเหตุผลเป็นร้อยให้คุณอยากร้องไห้
จงทำให้ชีวิตดูว่ามีเหตุผลเป็นพันให้คุณยิ้มได้
เผชิญหน้ากับอดีตโดยไม่สลดใจ จัดการกับปัจจุบันอย่างมั่นใจ
เตรียมการเพื่ออนาคตโดยไม่หวาดกลัว มีศรัทธาและโยนความหวาดหวั่นทิ้งไป

สิ่งที่งดงามที่สุดคือการได้เห็นคนยิ้มแย้ม
และยิ่งงดงามกว่านั้นที่ได้รู้ว่าเราเป็นผู้อยู่เบื้องหลังรอยยิ้มนั้น

ถ้าคุณชอบ ก็ขอให้แบ่งปันเรื่องนี้

1 ความคิดเห็น: