++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอังคารที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2552

บทความสอนใจรู้ไว้ใช่ว่า "ชู้" ทำไมภรรยาถึงต้องนอกใจสามี?

เรื่องของผู้หญิงที่ "นอกใจ" สามีคงมีมานานแต่โบราณเหมือนกัน
ดังที่เราได้ยินได้ฟังจากเรื่องราวในประวัติศาสตร์ของชาติต่างๆ บ้าง
ตามนิยายพื้นบ้านบ้าง แม้บางครั้งจะไม่ใช่การนอกใจสามีโดยตรง
แต่ก็เกี่ยวกับผู้หญิงที่มีความสัมพันธ์ทางเพศกับชายอื่นที่ไม่ใช่สามี
เช่น เรื่องกากี จันทโครพ ขุนช้างขุนแผน เป็นต้น อย่างไรก็ตาม
เรื่องเหล่านี้มีน้อยกว่ามากเมื่อเทียบกับเรื่องของฝ่ายสามีที่มีผู้หญิงอื่นหลายๆ
คนในคราวเดียวกัน
ซ้ำยังถือเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ในสมัยโบราณอีกด้วยที่ผู้ชายจะมีภรรยาหลายๆ
คน ถ้าเป็นสมัยนี้ในสังคมสมัยใหม่ผู้ชายเหล่านี้คงต้องโดนข้อหา
กดขี่ทางเพศอย่างแน่นอน ศ.พ.ญ.นงพงา ลิ้มสุวรรณ
จิตแพทย์จากโรงพยาบาลรามาธิบดี ให้ภาพถึงความเป็นจริงข้อนี้ว่า
สังคมปัจจุบัน ผู้หญิงที่มีความสัมพันธ์นอกสมรสนั้นมีปรากฏไว้ให้ได้เห็นให้ได้ยินอยู่บ้าง
แม้จะเป็นเรื่องที่ปิดบังกันแน่นเหนียวยิ่งกว่าการที่ผู้ชายไปมีเมียน้อยหรือมีเมียเก็บ
หรือมีอีหนูซ่อนไว้ตามที่ต่างๆ
เพราะถึงอย่างไรสังคมยังประณามผู้หญิงมากกว่าชายอยู่นั่นเอง กล่าวคือ
คนมักประณามผู้หญิงว่า "มีชู้"
และมักไม่ใช้คำนี้กับฝ่ายชายยกเว้นว่าผู้ชายไปมีความสัมพันธ์
ทางเพศกับภรรยาคนอื่น ผู้ชายคนนี้จึงจะถูกเรียกว่า "ชายชู้"
หรือไปเป็นชู้กับเมียคนอื่น จากประสบการณ์ทางคลินิกของ พ.ญ.นงพงา พบว่า
สาเหตุที่ภรรยานอกใจสามีมีเหตุผลส่วนใหญ่มาจากไม่มีความสุขกับสามี
ด้วยสาเหตุหลัก ๆ คือ ...

1.สามีไม่สนใจจิตใจของภรรยาว่าเป็นอย่างไร ไม่สนใจว่าภรรยามีความสุขหรือไม่

2.สามีชอบพูดตำหนิติเตียน บ่นว่า อบรมสั่งสอนภรรยาเหมือนลูกคนหนึ่ง

3.สามีไม่สามารถเป็นที่ปรึกษาได้เวลาภรรยามีปัญหา สามีไม่รับฟังแต่ชอบตัดสิน

4.สามีไม่ให้เกียรติหรือยกย่องภรรยา

5.สามีหึงหวงมากจนน่าเบื่อหน่ายและขาดอิสรภาพ ภรรยารู้สึกเหมือนเป็นนักโทษ
6.สามีตระหนี่ถี่เหนียวจนภรรยารู้สึกแร้นแค้นอึดอัด

7.สามีพูดจาดูถูกภรรยาต่างๆ ทำให้บาดเจ็บทางจิตใจ

8.สามีพูดทำนองขับไล่ภรรยา โดยเฉพาะภรรยาที่ต้องพึ่งพาสามีทางด้านการเงิน
ซึ่งไปไหนไม่รอดอยู่แล้ว

9.สามีทำตัวเป็นภาระอย่างมาก ทำให้ภรรยารู้สึกเหมือนทาส

10.สามีใช้ชีวิตนอกบ้านมากโดยไม่สนใจครอบครัว

11.สามีเจ้าชู้มีผู้หญิงอื่นตลอดเวลา ภรรยาต้องการแก้แค้น

12.สามีคอยขัดใจภรรยา ไม่ยอมตามใจแม้เรื่องเล็กๆ น้อยๆ

13.สามี "บ้างาน" ทำแต่งานจนไม่มีเวลาให้ครอบครัว

14.สามีทำร้ายทุบตีภรรยาและลูก

15.สามีไม่รับผิดชอบเลี้ยงดูครอบครัว ภรรยาต้องเป็นผู้หาเลี้ยง

16.ภรรยาจะรู้สึกสามีเป็นคนเห็นแก่ตัว และเอาเปรียบมาก

17.สามีติดนักร้อง ติดหมอนวด ติดการพนัน ติดเหล้า ติดยา ฯลฯ
ภรรยาส่วนใหญ่แม้เจอปัญหาเหล่านี้จากสามี
ก็ยังมักไม่เลือกทางออกโดยการไปมีความสัมพันธ์กับชายอื่น
เพราะส่วนใหญ่จะรู้สึกเบื่อหน่ายผู้ชาย
รู้สึกเข็ดผู้ชายและที่จริงไม่อยากมีสามีมากกว่า
ถ้าสามารถยืนบนขาของตัวเองได้ ภรรยากลุ่มนี้มักจะพูดว่า "มีลูกกวนตัว
มีผัวกวนใจ" อยู่คนเดียวดีกว่า

แต่ก็ยังมีภรรยาอีกกลุ่มหนึ่งที่รู้สึกเหงา เศร้า
ว้าเหว่ในจิตใจ ขาดที่พึ่งทางใจ จึงแสวงหาคนทดแทนเพราะอยากได้รับความรัก
ความสนใจ อยากมีคนรักและเข้าใจ เป็นที่พักพิงทางจิตใจ
ต้องการรู้สึกอบอุ่นใจที่มีคนให้ปรึกษาหารือปัญหาต่างๆ
ภรรยากลุ่มนี้เวลานอกใจสามีจะเกิดขึ้นกับผู้ชายที่มีโอกาสใกล้ชิด เช่น
ลูกน้องผู้ชาย เพื่อนร่วมงานชาย เพื่อชายที่พบในงานสังคม
หรือภรรยาบางคนอาจออกเที่ยวกลางคืนจนพบผู้ชายอื่นที่สามารถตอบสนองด้านจิตใจ
ที่สำคัญคือ เรื่องเพศยังไม่ใช่สิ่งที่ภรรยาเหล่านี้สนใจหรือแสวงหาเลย
เพราะภรรยากลุ่มนี้ออกจะเบื่อหน่ายเรื่องเพศด้วยซ้ำไป
แต่ต้องเอาเรื่องเพศเข้าแลกเพื่อให้ได้สิ่งที่จิตใจต้องการ โหยหาอยู่
คือความรัก ความเข้าใจต่างๆ
แต่จะมีผู้หญิงหรือภรรยาอีกประเภทหนึ่งที่ออกไปทาง "เจ้าชู้"
คล้ายผู้ชายที่เจ้าชู้คือต้องการแสวงหาความตื่นเต้นทางเพศเหมือนกัน
ผู้หญิงกลุ่มนี้จะไปแสวงหาตามสถานที่อีกแบบหนึ่ง เช่น คลับ บาร์
สถานเริงรมย์อื่นๆ หรือใช้บริการโสเภณีชาย หรือเลี้ยงเด็กหนุ่มๆ
ที่ฐานะด้อยกว่าไว้เป็นสามีลับหรือสามีน้อย อย่างไรก็ตาม
เนื่องจากในสังคมไทยเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ปิดบังอย่างสูงสุดสำหรับผู้หญิง
ตัว พ.ญ.นงพงาจึงไม่สามารถหาตัวอย่างมาศึกษาได้โดยตรงเหมือนเรื่องผู้หญิงที่เป็นภรรยาน้อยและสามีที่มีภรรยาน้อยซึ่งก็ยากเต็มทีอยู่แล้ว
จึงได้ตัวอย่างมาศึกษาเพียงอย่างละ 20 คน
ก็ยังต้องเก็บตัวอย่างกันตั้งหลายปี ดังนั้น
เรื่องนี้จึงเป็นเพียงประสบการณ์จากการทำงานของ พ.ญ.นงพงา เอง
และจากข้อมูลทางสังคมอื่นๆ เท่านั้น

แบบฝึกหัดเรียกจิตสำนึก ก่อนคิดนอกใจ (ว.วชิรเมธี)

ผู้ที่อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ต่อการหมิ่นเหม่ละเมิดจริยธรรมทางเพศ
เพราะว่าเด็กมันยั่ว หรือว่าใจตรงกัน หรือว่าสภาพแวดล้อมเอื้ออำนวยก็ตาม
ถ้าคุณกำลังยืนอยู่ในหัวเลี้ยวหัวต่อ เท้าของคุณข้างหนึ่งเหยียบอยู่ในนรก
ข้างหนึ่งเหยียบอยู่บนสวรรค์ ขอให้ถามตัวเองดังต่อไปนี้

1. เราพร้อมที่จะยอมรับผลที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นไหม

2. ถามตัวเองว่ามั่นใจไหมว่า สิ่งที่เราจะกระทำนั้นเป็นสิ่งที่ควบคุมได้ทุกขั้นตอน

3. ถามตัวเองว่าคุณพร้อมไหมที่จะรับผลกรรมซึ่งจะตามมาหลังจากนั้น
ไม่ว่าจะเป็นปัจจุบัน อนาคตหรือแม้กระทั่งในภพหน้า

4. คุณมั่นใจแล้วหรือว่าคุณสามารถกุมความลับเอาไว้ได้อย่างมิดชิด

5. คุณพร้อมหรือไม่ ถ้าหากลูกเมีย เกิดรู้ขึ้นมาว่าคุณคบคิดทรยศต่อเขา

6. คุณพร้อมที่จะเสื่อมเสียชื่อเสียงและเกียรติคุณที่สั่งสมมาตลอดชีวิตหรือไม่

ถ้าถามตัวเองด้วยประการดังกล่าวแล้ว
คุณคิดว่าบริหารเหตุปัจจัยที่จะเกิดได้ทั้งหมด ก็เชิญก้าวล้ำต่อไป
แต่ถ้าถามตัวเองว่าแล้วรู้สึกว่าผลที่จะเกิดขึ้นมาแล้วหนักหนาสาหัส
ก็รีบถอดถอนตัวเองออกมา แต่คนโดยมากจะถามตัวเองไปได้แค่ 3 ข้อ
ก็รีบวางมือ เพราะเขาจะเกิดการไตร่ตรองมองตนอย่างลึกซึ้ง
แต่ถ้าถามตัวเองไปจนถึง 6 ข้อแล้วยังลงมือทำอยู่
แสดงว่าคุณได้สูญเสียสามัญสำนึกไปแล้ว

มนุษย์เรานั้นสูญเสียอะไรก็ไม่ร้ายแรงเท่ากับการสูญเสียสามัญสำนึก
คุณสูญเสียเงิน คุณหาใหม่ได้ คุณสูญเสียภรรยา คุณก็หาใหม่ได้
คุณสูญเสียงาน คุณก็สมัครงานใหม่ได้ แต่ถ้าคุณสูญเสียสามัญสำนึก
ก็เท่ากับว่าคุณได้สูญเสียความชอบธรรมที่จะเป็นมนุษย์ที่ดีกับเขาไปแล้ว


หลักธรรมสร้างครอบครัวให้อบอุ่นและเป็นสุข

สาเหตุที่สถาบันครอบครัวมีปัญหาแตกแยกหย่าร้างสูง
เนื่องมาจากขาดคุณสมบัติหลักๆ 4 ข้อด้วยกัน

1. ขาดความซื่อสัตย์ จริงใจต่อกัน ในช่วงแรกรักต่างก็รักและภักดีต่อกัน
พอมาเป็นสถาบันครอบครัว ความรักนั้นจืดจางลงไปตามวันเวลา
ต่างฝ่ายต่างมีเรื่องซ่อนเร้นระหว่างกัน แทนที่จะรักเดียวใจเดียว
ก็เป็นรักคนเดียว แต่ว่ามีคนอื่นสำรองเอาไว้
มนุษย์เรานั้นทันทีที่ไม่ซื่อสัตย์ต่อกันเค้าลางแห่งความหายนะมันก็เริ่มต้น
แล้ว

2. ขาดความอดทนที่จะร่วมสุขร่วมทุกข์ด้วยกัน พอแต่งงานอยู่กินด้วยกัน
แล้วมีปัญหาชีวิตคู่ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาที่เกิดจากสาเหตุใดก็ตาม
อยู่ร่วมกันแล้วมีแต่ความทุกข์ มีแต่ปัญหา มีแต่ความยุ่งเหยิงวุ่นวายใจ
ซึ่งในขณะที่ใช้ชีวิตโสดไม่เป็นอ ย่างนั้นก็เริ่มรับไม่ได้ พอรับไม่ได้
แล้วสั่งสมหมักหมมมากเข้า ก็เกินขีดอดทน สุดท้ายก็เลิกร้างห่างเหินกันไป
ต่างคนต่างไปทางใครทางมัน

3. ขาดการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน
เมื่ออยู่ด้วยกันแล้วพอมีปัญหาแทนที่จะยืดหยุ่น แทนที่จะมีการปรับตัว
แทนที่จะมีการให้โอกาส
ต่างฝ่ายต่างก็ถือเอาอัตตาหรือตัวตนของตัวเองเป็นใหญ่
ไม่ยอมเรียนรู้ไม่ยอมฟังกัน เมื่อไม่ยอมยืดหยุ่น ต่างคนก็ต้องต่างไป
ทางใครทางมันเช่นเดียวกัน

4. ขาดการเข้าใจในการสื่อสารระหว่างกันและกัน เมื่อปัญหา
ไม่ยอมเจรจาสันติภาพ ใช้วิธีนิ่ง ใช้วิธีนินทา
ใช้วิธีสร้างโลกของตัวเองซ้อนขึ้นมาในโลกของครอบครัว เมื่อไม่สื่อสารกัน
ปัญหาก็ยังคงเป็นปัญหา สุดท้ายเมื่อเหตุการณ์รุนแรงถึงที่สุด
ก็ต้องเลิกรากันไป หลายคนที่เลิกร้างกันไป ไม่ใช่หมายความว่าไม่รักกัน
แต่ขาดการเจรจาหรือขาดการสื่อสารที่ดีระหว่างกัน

ฉะนั้นใครก็ตามอยู่กันเป็นครอบครัว
ควรจะนำหลักธรรมดังกล่าวไปลองประยุกต์ใช้ในชีวิตให้มากที่สุด
หลักธรรมนี้เปรียบเสมือนน้ำ
น้ำนั้นทำทุกอย่างเชื่อมหลอมรวมทุกสิ่งทุกอย่างเข้าด้วยกัน ฉันใด
หลักธรรมมะก็เชื่อมคนในครอบครัวให้อยู่ด้วยกันอย่างสนิมสนมกลมเกลียวด้วยกัน
ฉันนั้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น