++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอังคารที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2552

การบอกความจริงฯ เปลี่ยนทัศนะอย่างยิ่งใหญ่ แก้ไขเหตุวิกฤตชาติ

โดย ดร.ป. เพชรอริยะ 10 สิงหาคม 2552 14:41 น.
มีทางเดียวที่จะร่วมมือกันแก้เหตุวิกฤตชาติ ในสถานการณ์ปัจจุบัน คือ
การที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะต้องมีนโยบายเร่งด่วน
เป็นภารกิจที่สำคัญยิ่ง โดยยกเป็นวาระแห่งชาติที่สำคัญที่สุด
อย่างมีปัญญาที่สุด มีความกล้าหาญที่สุด
และมีความเป็นผู้นำสูงสุดยิ่งกว่านายกรัฐมนตรีท่านใดๆ ที่เคยมีมาในอดีต
โดยท่านนายกรัฐมนตรีปาฐกถา อธิบายให้กระจ่าง ให้เหล่าสมาชิกรัฐสภา แม่ทัพ
นายกอง หัวหน้าหน่วยงานราชการทุกฝ่าย ออกทีวีถ่ายทอดสด
ชี้แจงบอกความจริงกับปวงชนชาวไทย ซึ่งก็คือ
การบอกสภาพการณ์ที่เป็นจริงของชาติที่เป็นอยู่ ที่กำลังดำรงอยู่จริงๆ
ให้แก่ประชาชนทราบ เพื่อร่วมมือกันแก้ไข เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
ก้าวไปสู่ความถูกต้องของชาติโดยธรรม อย่างมั่นคงที่สุด
แนวทางที่ท่านนายกฯ จะนำไปอธิบายได้

สภาพการณ์ที่แท้จริงของการเมืองไทย โดยทั่วไป เรามีความเห็นผิด
คิดผิด ทำผิดพลาดมาตลอดยาวนานถึง 77 ปี ที่จะต้องแก้ไขทางปัญญา
ให้เกิดความเข้าใจถูกต้อง

1) ชี้ให้เห็นอย่างถูกต้องที่สุดว่ารัฐธรรมนูญ
ไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตย แท้จริงรัฐธรรมนูญ คือ
กฎหมายที่รักษาหรือสะท้อนความเป็นระบอบฯ หรือหลักการปกครองโดยธรรม
ในความเป็นจริง 77 ปี ไทยเราไม่เคยคิดสร้างระบอบ
หรือสถาปนาหลักการปกครองโดยธรรมเลยแม้แต่ครั้งเดียว
มีแต่ร่างสร้างรัฐธรรมนูญกันเพียงอย่างเดียว การเมืองไทยจึงยังไม่สมบูรณ์
สมดังอุปมาเหล่านี้ คือ ระบบสุริยะ มีแต่ดาวเคราะห์ ไม่มีดวงอาทิตย์,
เครื่องยนต์ที่ถอดกองอยู่อย่างระเกะระกะ, ว่าวขาด,
ชิงช้าสวรรค์ที่ไร้แกนกลาง, ดอกไม้ระเกะระกะ,
บุคคลไร้จุดมุ่งหมายดุจพายเรือในอ่างน้ำ, ห้องเรียนที่ไม่มีครู,
ประเทศที่ไม่มีประมุข, เซลล์ที่ไม่มีนิวเคลียส ฯลฯ สภาพการณ์ลักษณะนี้
ประเทศชาติจะมั่นคงอยู่ไม่ได้ มีแต่ทางไปสู่ความหายนะโดยทางเดียว

2) ชี้ให้เกิดปัญญาอย่างถูกต้องที่สุดว่า ระบบรัฐสภา
(Parliamentary System) ไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตย แท้จริงระบบรัฐสภา
เป็นเพียงรูปแบบการปกครอง (Form of Government)
และเป็นวิธีการปกครองชนิดหนึ่ง
ซึ่งต่างจากระบบประธานาธิบดีแบบประเทศอเมริกา
และระบบกึ่ง-ประธานาธิบดีแบบประเทศฝรั่งเศส

3) ชี้ให้เกิดปัญญาอย่างถูกต้องที่สุดว่า
พระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐ ไม่ใช่ประมุขของระบอบฯ ดังเช่น
นักการเมืองพูดกันบ่อยเหลือเกินว่า "การปกครองระบอบประชาธิปไตย
อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข" ซึ่งเป็นการ บัญญัติและพูดผิด
อย่างร้ายแรงทั้งทางรัฐศาสตร์ และทางอักษรศาสตร์
และเป็นการยกพระมหากษัตริย์ ให้เป็นประมุขระบอบการเมืองมิจฉาทิฐิ
เป็นการลดทอน บ่อนทำลาย สถาบันพระมหากษัตริย์ โดยรู้ตัว
หรือไม่รู้ตัวก็ตาม เป็นการลิดรอนพระบรมเดชานุภาพให้ต่ำลง
แท้จริงพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขแห่งรัฐ หรือแห่งราชอาณาจักรไทย
โปรดเข้าใจให้ถูกต้องด้วยครับ

4) ชี้ให้เกิดปัญญาอย่างถูกต้องที่สุดว่า
การเลือกตั้งไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตย
ทุกประเทศในโลกส่วนใหญ่มีการเลือกตั้ง
แต่ไม่ได้หมายถึงว่าเป็นระบอบประชาธิปไตยเสมอไป
แท้จริงการเลือกตั้งเป็นเพียงวิธีการขึ้นสู่อำนาจทางการเมืองอย่างปกติทั่วไป
จึงไม่ใช่ระบอบฯ ตัวระบอบฯ จริงๆ ก็คือหลักการปกครองโดยธรรม นั่นเอง

เราจะต้องยอมรับความจริงถึงความไม่สมบูรณ์ของการเมืองไทย นับแต่
24 มิถุนายน 2475 เป็นต้นมา เมื่อวิเคราะห์ด้วยปัญญาอย่างรอบด้านแล้ว
ระบอบการเมืองไทยเรายังไม่ได้เป็นระบอบประชาธิปไตย
เพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหาร่วมกันของพี่น้องปวงชนไทยทั้งประเทศโดยยังมีจุดอ่อน
และขาดเนื้อหาสาระ แก่นแท้ที่สำคัญยิ่ง ดังนี้

1. สัมพันธภาพระหว่างหลักการปกครอง (Principle of Government)
กับวิธีการปกครอง (Methods of Government)
หรือระหว่างหลักการปกครองอันเป็นหัวใจ แก่นแท้ของการปกครอง
หรือที่โดยเรียกทั่วไปว่าระบอบ (Regime) กับรัฐธรรมนูญ

การเมืองการปกครองไทยที่เป็นมาในอดีต เรามีรัฐธรรมนูญ 18 ฉบับ
แต่เราไม่เคยมีหลักการปกครองโดยธรรม หรือแสดงให้เห็นถึงแก่นแท้ของระบอบฯ
ว่าคืออะไรแม้แต่ครั้งเดียว

ด้วยเหตุดังกล่าวจึงก่อให้วิกฤตทางการเมืองไทยมาตลอดระยะเวลามายาว
นานถึง 77 ปี เกิดขึ้นกับทุกรัฐบาล และมีเหตุการณ์ร้ายแรงที่สำคัญ เช่น
รัฐประหาร 14 ครั้ง, รัฐธรรมนูญ 18 ฉบับ, การจลาจลทางการเมือง 14 ตุลาคม
2516 - 6 ตุลาคม 2519, 19-20 พฤษภาทมิฬ 2535, โจรแบ่งแยกดินดิน 3
จังหวัดภาคใต้, ปัญหาคอร์รัปชัน, ปัญหาเสียดินแดนให้เขมร,
ปัญหาแบ่งแยกดินแดน 3 จังหวัดภาคใต้, ปัญหาผู้มีอิทธิพลเถื่อน
ปัญหายาบ้าทั่วทั้งประเทศ ฯลฯ

หากว่าไม่ได้รับการแก้ไขอย่างรีบด่วนไปในทางที่ถูกต้องแล้วจะก่อให้
เกิดปัญหาที่ซ้ำซ้อน และรุนแรงยิ่งขึ้นกว่าเดิม โดยมีเหตุผลโดยธรรม
รองรับหลักการและวิธีการดังกล่าวโดยย่อ คือ

พระอาทิตย์ ย่อมเป็นเหตุของดาวเคราะห์ หรือ ดวงอาทิตย์มาก่อนดาวเคราะห์

จุดมุ่งหมาย ย่อมเป็นเหตุของวิธีการไปสู่จุดมุ่งหมาย
หรือจุดมุ่งหมายต้องมาก่อนเสมอไป

ยุทธศาสตร์ ย่อมเป็นเหตุของยุทธวิธี
หรือยุทธศาสตร์ต้องมาก่อนยุทธวิธีเสมอไป ธรรม
ย่อมเป็นเหตุของการเมืองที่แท้จริง หรือมาก่อนการเมืองเสมอไป

การเมือง ย่อมเป็นเหตุของวิชารัฐศาสตร์ หรือการเมืองต้องมาก่อนรัฐศาสตร์

รัฐศาสตร์ ย่อมเป็นเหตุของนิติศาสตร์ (กฎหมาย)
หรือรัฐศาสตร์ต้องมากก่อนกฎหมาย

หลักการปกครองโดยธรรม ย่อมเป็นเหตุของวิธีการปกครอง
หรือหลักการปกครองฯ ต้องมาก่อนวิธีการปกครองเสมอไป ฯลฯ

ดังนี้ หลักการปกครองฯ ย่อมเป็นเหตุของรัฐธรรมนูญ หรือ
หลักการปกครองโดยธรรมต้องมาก่อนรัฐธรรมนูญ นั่นเอง
เราผิดพลาดมาแล้วยาวนานถึง 77 ปี หากไม่เปลี่ยนทัศนะ
ประเทศชาติต้องหายนะต่อไป หากเราเป็นผู้มีปัญญาย่อมเปลี่ยนทัศนะ
ไปสู่ความถูกต้องยิ่งใหญ่ของปวงชนในชาติ

2. จุดมุ่งหมายของชาติ หรือศูนย์กลางของชาติทางการเมือง
และด้านอื่นๆ โดยปกติมนุษย์เราจะต้องมี คือ

(1) จุดมุ่งหมายปัจเจกบุคคล (Individual Aim) อันเป็นโดยธรรมชาติ
ย่อมมีความแตกต่างหลากหลาย ชอบต่างกัน คิดต่างกัน ทำหน้าที่ต่างกัน
วัยต่างกัน จุดมุ่งหมายและวิธีการจึงต่างกัน

(2) จุดมุ่งหมายร่วม (National Aim) อันเป็นจุดมุ่งหมายของชาติ
มนุษย์เป็นสัตว์สังคม ที่จะต้องอยู่ร่วมกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
และจะต้องเป็นไปโดยธรรม โดยมีหลักการโดยธรรมเป็นจุดมุ่งหมาย
หากไม่มีประเทศชาตินั้นๆ และสังคมนั้นๆ จะต้องพบกับความหายนะโดยทางเดียว

ในอดีตโดยขนบธรรมเนียมประเพณีชาวไทย
จะมีจุดมุ่งหมายส่วนตนและส่วนรวม อยู่สามลักษณะ คือ ทางด้านอาชีพการงาน,
พระมหากษัตริย์หรือชาติ และศาสนา สูงสุดคือ พระนิพพาน

ในยุคสมัยใหม่ มีการปกครองแบบสมัยใหม่ จะต้อง มีหลักการโดยธรรม
อันเป็นรากฐาน รากแก้ว แก่นแท้ของชาติอันเป็นลักษณะพิเศษประจำชาติไทยเรา
เพราะไทยเราไม่เคยสถาปนาหลักการปกครองโดยธรรม
ไทยเราจึงไม่มีจุดมุ่งหมายร่วมแห่งชาติ เรามีเพียงขนบธรรมเนียมประเพณี
ซึ่งไม่เพียงพอแล้วในยุคปัจจุบัน เพราะเราไม่มีจุดมุ่งหมายของชาตินี่เอง
ปัญหาที่เกิดขึ้นในอดีตคือการขัดแย้งทางการเมืองของคนในชาติ
บ่อนทำลายกันเอง ล้าหลัง พัฒนาสู่ความก้าวหน้าไม่ได้
ประชาชนไม่มีความรู้ทางการเมือง จึงก่อให้เกิดรัฐธรรมนูญมากที่สุดในโลก
และรัฐธรรมนูญกลายเป็นศูนย์กลางของความขัดแย้ง
นับแต่ฉบับแรกจนถึงปัจจุบันนี้

ด้วยปัญหาอันใหญ่ยิ่งของชาติ ดังกล่าวแล้ว
จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด ที่จะต้องมีหลักการปกครองโดยธรรม
อันเป็นจุดมุ่งหมายร่วม เป็นจุดมุ่งหมายทั่วไปของปวงชนในชาติ
ด้วยการศึกษา เข้าใจ ผลักดัน เรียกร้อง สู่การสถาปนา
หลักการปกครองโดยธรรม หรือระบอบการปกครองโดยธรรม ถือธรรมเป็นใหญ่เป็น
ธรรมาธิปไตย อันเป็นจุดมุ่งหมายร่วมของปวงชนในชาติ
อันเป็นพระราชกรณียกิจอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าแผ่นดิน
ที่จะทรงสถาปนาและพระราชทานให้กับปวงชนชาวไทย
เพื่อก่อให้เกิดความสามัคคีธรรมของปวงชนในชาติ และความก้าวหน้า
ความมั่นคงในทุกด้านอย่างยิ่งใหญ่ กล่าวโดยย่อ ได้แก่

(1) หลักธรรมาธิปไตย คือความบริสุทธิ์ ความถูกต้องโดยธรรม
อันเป็นแก่นแท้ที่มีอยู่ในใจของมนุษยชาติทุกคน (2) หลักพระมหากษัตริย์
เป็นประมุขแห่งรัฐ (3) หลักอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน (4)
หลักเสรีภาพบริบูรณ์ (5) หลักความเสมอภาคทางโอกาส (6) หลักภราดรภาพ (7)
หลักดุลยภาพ (8) หลักเอกภาพ (9) หลักนิติธรรม หลักทั้ง 9 นี้
ต่างเป็นเหตุ เป็นผลซึ่งกันและกัน (จะอธิบายในคราวหน้า)
นี่คือแนวทางการบอกความจริงต่อประชาชนในชาติ ในขั้นตอนที่หนึ่งโดยย่อ

ในขั้นตอนที่ 2 คือ บอกภารกิจ ที่จะต้องทำร่วมกันของปวงชนในชาติ
โดยขอความร่วมมือกับประชาชนทุกหมู่เหล่า ทุกพรรคการเมือง
ข้าราชการทุกหมู่เหล่า
รวมทั้งกองทัพจะเป็นกำลังหลักในการสนับสนุนแนวการเมืองโดยธรรม
ผู้มีธรรมย่อมเห็นด้วย และเข้าใจอย่างง่ายมากๆ

ในขั้นตอนที่ 3 คือ รัฐบาลเสนอ สนับสนุน ส่งเสริม
อธิบายหลักการปกครองโดยธรรม และในขั้นตอนที่ 4, 5, 6,
จะนำเสนอในคราวต่อไป เป็นลำดับไป

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000090682

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น