รัฐบาล หรือว่าที่จริง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี
(เพราะพรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ
ดูจะก้มหน้าก้มตาทำมาหากินกับโครงการขนาดเล็กขนาดกลางขนาดใหญ่อย่างสนุกสนาน
ในยามที่สถานการณ์ชุลมุนอย่างนี้ วิกฤตอย่างนี้ บางรายพอเห็นมีศพ มีคนตาย
สวนนโยบายนายกรัฐมนตรีไปเลยว่า ควรเจรจา ควรปรองดองกัน จะได้ไม่มีใครเจ็บ
จะได้ไม่มีใครตาย)
ท่าจะตัดสินใจได้อย่างแน่วแน่เด็ดขาดแล้วว่าจะจัดการอย่างไรกับการชุมนุมของ
นปก.ที่เริ่มมาตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคมจนกระทั่งถึงวันนี้
การตัดสินใจแน่วแน่เด็ดขาดของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็คือ
จะต้องยุติการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงให้ได้
โดยเริ่มจากการเสนอแนวทางปรองดองเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม
และเมื่อไม่ได้รับการตอบรับจาก นปก.เนื่องจากแกนนำมีหลายกลุ่มหลายคน
ทั้งยึดมั่นสันติ อหิงสา
และทั้งไม่สนใจรูปแบบวิธีการขอให้บรรลุชัยชนะก็พอ ทำให้นายอภิสิทธิ์
เวชชาชีวะ ต้องเลือกวิธีที่รุนแรงเด็ดขาดขึ้นเรื่อยๆ ด้วยมาตรการตัดน้ำ
ตัดไฟ กระชับวงล้อมผู้ชุมนุมให้แคบลงๆ เรื่อยๆ
ปฏิบัติการเริ่มขึ้นเมื่อค่ำวันที่ 13 พฤษภาคม
คล้อยหลังมาตรการของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่นาน พล.ต.ขัตติยะ
สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิแห่งกองทัพบกที่อยู่ระหว่างพักราชการมารับงาน
รปภ.ให้กับกลุ่มเสื้อแดง ซึ่งเคยประกาศกร้าวว่า เขาจะฟังคำสั่งจากทักษิณ
ชินวัตร คนเดียวเท่านั้น หลังมีข่าวว่าแกนนำ นปช.วีระ
มุกสิกพงศ์ยอมรับแผนปรองดองของนายอภิสิทธิ์
ก็ถูกสอยร่วงระหว่างที่กำลังให้สัมภาษณ์นักข่าวต่างประเทศถึงแนวทางการ
ต่อสู้ต่อไป
พล.ต.ขัตติยะ ถูกยิงเข้าที่ท้ายทอยอาการหนักเป็นตายเท่ากัน
ขณะนี้ยังไม่ทราบว่าเป็นฝีมือฝ่ายใด นักแม่นปืน มือปืนแดงเทียม
หรือมือปืนแดงแท้ยังเป็นปริศนาอยู่ แต่ที่แน่ๆ ก็คือ ทำให้แกนนำคนอื่นๆ
ต้องระมัดระวังตัวเป็นพิเศษ ไปไหนมาไหนต้องมีการ์ดคุ้มกัน 5-6
คนเป็นอย่างน้อย ยังนึกไม่ออกว่า
เสร็จสิ้นการชุมนุมที่แยกราชประสงค์แล้วพวกเขาจะมีชีวิตปกติสุขได้อย่างไร
จากปฏิบัติการของทหารที่กระชับวงล้อมของผู้ชุมนุมที่กำเนิดมาตั้งแต่
ค่ำวันที่ 13 พฤษภาคมมาถึงตอนนี้ ส่วนนหนึ่งของกรุงเทพฯ
ได้กลายเป็นสมรภูมิย่อยๆ ระหว่างทหารกับกองกำลังที่รัฐบาลมักจะบอกว่า
ไม่ทราบฝ่ายบ้าง เป็นผู้ก่อการร้ายที่แฝงตัวอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุมบ้าง
ทั้งวันทั้งคืน และวงล้อมที่รัฐบาลบอกว่าจะกระชับเข้ากลับแผ่กว้างออกไปเรื่อยๆ
จากราชประสงค์มีทางเข้าไปสู่เวทีชุมนุมที่แยกประตูน้ำขยายไปทางเหนือถึงสาม
เหลี่ยมดินแดงลามไปถึงอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิโน่น
ทางใต้ที่เคยอยู่แค่สวนลุมพินี ศาลาแดงขยายไปถึงสาทร ชุมชนบ่อนไก่
แถมมีเวทีย่อยๆ ที่คลองเตยเกิดขึ้นอีก
กระชับวงล้อมยังไงกัน จะจลาจลกันทั่วทั้งกรุงเทพฯ ไหมนี่
คณะกรรมาธิการต่างประเทศของสภาจะฟ้องสหประชาชาติ แกนนำ
นปก.บอกว่าทหารฆ่าประชาชน
จำเป็นอย่างยิ่งต้องเรียกร้องให้สหประชาชาติส่งกองกำลังเข้ามาระงับเหตุ
รัฐมนตรีที่ร่วมรัฐบาลบางคนให้สัมภาษณ์นักข่าวแสดงความคิดเห็นว่าต้องเจรจา
ต้องหาทางปรองดองอย่างที่บอกไว้แต่ต้น เรื่องมันจะจบอย่างไร?
แน่นอนว่า ปฏิบัติการของทหารครั้งนี้ต่างไปจากเหตุการณ์วันที่ 10
เมษายน ที่ทหารแอ่นอกให้กองกำลังไม่ทราบฝ่าย
หรือผู้ก่อการร้ายที่แฝงตัวอยู่ในที่ชุมนุมยิงเอาๆ ด้วยระเบิดเอ็ม 79
และอาวุธสงครามอื่นๆ หากแต่ครั้งนี้ทหารมีอาวุธประจำกาย
มีความระมัดระวังตัวเป็นพิเศษ เอ็ม 79 ลงเป็นร้อยลูก
พวกเขาก็อยู่ในบังเกอร์ ท่าทางจะล่อให้ฝ่ายที่ใช้ระเบิดเอ็ม 79
ใช้จนหมดไปเอง
นับตั้งแต่การชุมนุมเมื่อวันที่ 12 มีนาคม
ที่มากันเป็นขบวนใหญ่ด้วยขบวนรถกระบะบ้าง รถยนต์ส่วนตัวบ้าง
มาทางน้ำทางเรือบ้างไม่ต่างกับสงคราม 9
ทัพในอดีตเป็นที่เอิกเกริกเกรียงไกร จนพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ
อดเอ่ยปากชมไม่ได้ว่า "วีระ นายแน่มาก" (วันนี้หายไปแล้วทั้งวีระ
ทั้งชวลิต) เหลือไว้แต่ชาวบ้านตาดำๆ ที่มุ่งมั่นแข็งขันจะมาโค่นอำมาตย์
จะมาเรียกร้องหาประชาธิปไตยให้ได้ ที่สำคัญจะมาไล่ "นายกฯ อภิสิทธิ์...."
ดูเหมือนว่าการลุกขึ้นสู้ครั้งนี้จะมองเห็นชัยชนะรำไรอยู่เบื้องหน้า
ทุนรอนมีพร้อมไม่มีอั้น ไม่มีหมด เพราะคนที่ลงทุนต้องการ 4.6
พันล้านที่ถูกศาลพิพากษาให้ตกเป็นของรัฐเชื่อว่าชนะแล้วจะมีทางได้คืน
กำลังสนับสนุนมีพรรคการเมือง มีรองประธานสภา มีอดีตนายกฯ มาขึ้นเวที มี
ส.ส.สนับสนุนเป็นสิบเป็นร้อย
มีกองกำลังสนับสนุนยิงธนาคาร ระเบิดเสาไฟฟ้า ยิงคลังน้ำมัน
แกนนำคนเสื้อแดงจะรู้จักไม่รู้จักไม่รู้ละ
แต่ปฏิบัติการเหล่านี้ล้วนต้องการทำให้เห็นว่า รัฐบาลบริหารไม่ได้
บังคับบัญชาไม่ได้ อ่อนแอ พิกลพิการแล้ว
ยิ่งเมื่อรัฐบาลปฏิบัติการขอพื้นที่คืนที่ราชดำเนินเมื่อวันที่ 10
เมษายน จนกระทั่งนายทหารชั้นผู้ใหญ่เสียชีวิต
ทหารบาดเจ็บเป็นร้อยต้องถอยร่นไม่เป็นขบวน ยิ่งทำให้ฮึกห้าวเหิมหาญ
ยิ่งมีข่าวว่า ตำรวจ ทหารวางเฉย นปช.ก็ยิ่งมองเห็นชัยชนะว่า กำลังจะมาถึง
และแม้เมื่อนายอภิสิทธิ์
เวชชาชีวะตัดสินใจเด็ดขาดที่จะยุติการชุมนุม
และทหารลงมือปฏิบัติการกระชับวงล้อม แต่กลายเป็นขยายวงกว้าง
สงครามในเมืองกำลังจะเกิดขึ้น บ้านเมืองกำลังจะเกิดจลาจล
ดูจะเป็นที่สมหวังของพวกเขา
หลังจากที่ผิดหวังมาแล้วเมื่อเดือนเมษายนปีก่อน
"นายอภิสิทธิ์ต้องยุบสภาทันที ทหารต้องหยุดยิงทันที"
เสียงบนเวทีเสื้อแดงยังกึกก้องประหนึ่งว่าพวกเขาถือไพ่เหนือกว่า
มีกำลังมากกว่าหลายขุม
พวกเขายังเชื่อว่าประชาชนทั้งหลายจะเห็นอกเห็นใจการลุกขึ้นสู้ของ
สงคราม ไพร่ โค่นอำมาตย์ เห็นว่า
ยุบสภาแล้วเลือกตั้งใหม่บ้านเมืองจะเป็นประชาธิปไตยขึ้นมาทันทีทันใด
เลือกตั้งแล้ว 2 มาตรฐานที่มีอยู่ในสังคมไทยเป็นร้อยๆ
ปีมาแล้วจะหมดไปทันที
แล้วจะร่วมต่อสู้กับพวกเขาเมื่อบ้านเมืองเกิดจลาจลขึ้น
แล้วรัฐบาลก็จะอยู่ไม่ได้
พวกเขาไม่สรุปบทเรียนนับตั้งแต่วันที่เขาเริ่มชุมนุมว่า
คนทั้งบ้านทั้งเมืองเขาอ่านออกว่า
เป็นการลุกขึ้นสู้เพื่อทักษิณซึ่งเป็นยิ่งกว่าพ่อบังเกิดเกล้าของพวกเขา
แห่ศพรอบเมืองเมื่อวันที่ 11 เมษายนก็แล้ว ปลุกไม่ขึ้น
บอกว่าอภิสิทธิ์ฆ่าประชาชน ทหารฆ่าประชาชน ก็แล้ว ปลุกไม่ขึ้น
เพราะเขารู้ว่า เอ็ม 79 มาจากไหน กองกำลังที่ว่ากันว่า
ไม่ทราบฝ่ายนั้นมาจากไหน
สงบ สันติ อหิงสา
ที่พวกเขาประกาศออกมาเมื่อเริ่มการชุมนุมเป็นเพียงคำพูดพร่อยๆ
เหมือนอย่างผู้เป็นยิ่งกว่าบิดาบังเกิดเกล้าของพวกเขาพร่ำพูดอยู่เสมอเรื่อง
ถูกรังแก เรื่องไม่ได้รับความเป็นธรรม เรื่องเป็นคนซื่อสัตย์สุจริต
เรื่องเห็นแก่ชาติบ้านเมือง ฯลฯ แต่ไม่มีใครเชื่อนั่นเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น