ได้ยินบ่อยมากทั้งจากผู้บัญชาการทหารบกและอีกหลายท่านว่า
ปัญหาและเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ในบ้านเมืองเรานั้นเป็น
เหตุการณ์ที่เกิดจากความขัดแย้งของสองฝ่ายคือ "เสื้อเหลือง" และ
"เสื้อแดง" พูดคล้ายประหนึ่งว่า
คนที่พูดนั้นเป็นคนกลางไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับความขัดแย้ง
คำพูดเหล่านี้ก็ผูกโยงกับคำถามที่เพื่อนฝูงของผมบางคนก็ถามแบบกระเซ้าเหย้า
แหย่ว่า ผมเป็น "คนเสื้อเหลือง" หรือไม่ ?
"กลุ่มคนเสื้อแดง"
นั้นชัดเจนว่าคือกลุ่มผู้ที่เรียกร้องเพื่อช่วยเหลือทักษิณ
เพื่อให้ทักษิณกลับมามีอำนาจ และไม่ต้องรับโทษที่ตนกระทำ
แล้ว "คนเสื้อเหลือง" ล่ะคือใคร ?
ผมถามตนเองด้วยคำถามนี้หลายครั้ง รวมทั้งคำถามที่สำคัญอาทิ ทำไม
"คนเสื้อเหลือง" จึงต่อต้าน "กลุ่มคนเสื้อแดง" ? ทำไม "คนเสื้อเหลือง"
จึงต่อต้านทักษิณ ? ทำไม "คนเสื้อเหลือง" จึงสนับสนุนคุณสนธิ ? ทำไม
"คนเสื้อเหลือง" จึงปกป้องสถาบันอย่างเด็ดเดี่ยว ? และ ทำไมอีกมากมาย
ในระยะแรกที่ผมถามตนเองด้วยคำถามดังกล่าว
ผมเพียงแต่ตอบตนเองได้ว่า ผมไม่ได้เป็นศิษย์หรือสาวกของคุณสนธิ
หรือแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
เพียงแต่ที่ผ่านมาคนเหล่านี้รวมทั้ง "น้องโบว์" "พันเอกร่มเกล้า ธุรธรรม"
"พลทหารณรงค์ฤทธิ์ สาระ"
และบุคคลที่ไม่ได้เอ่ยนามอีกมากมายนั้นได้ปฏิบัติเหน้าที่ หรือ
ได้กระทำสิ่งต่างๆ จนถึงการพลีชีวิตเพียงเพื่อประโยชน์ส่วนรวม
เพื่อประโยชน์ร่วมของคนในสังคม
สักวันหนึ่งถ้าคุณสนธิรวมทั้งเหล่าแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
ไม่ว่าจะเป็นท่านจำลอง ศรีเมือง คุณสมศักดิ์ โกศัยสุข อาจารย์สมเกียรติ
พงษ์ไพบูลย์ ครูพิภพ ธงไชย รวมทั้งคุณสุริยะใส กตะศิลา
หรืออีกหลายท่านที่ผมไม่ได้เอ่ยนาม หากบุคคลเหล่านี้กระทำการใด ๆ
ที่ทำให้สังคมเสียหายไม่ว่าจะในรูปแบบใด ผมก็จะต่อต้านบุคคลท่านนั้น
และผมก็เชื่อว่าเหล่า "คนเสื้อเหลือง" ท่านอื่นไม่ว่าจะยากดีมีจน
ไม่ว่าจะเป็นไพร่หรือไม่ไพร่
ก็มีแก่นแกนแห่งความคิดในเรื่องนี้เช่นเดียวกัน
ก็แล้วกับประเด็นทักษิณล่ะ ?
ทักษิณเองก็ทำประโยชน์ให้กับนักธุรกิจ ข้าราชการ ทำไม "คนเสื้อเหลือง"
จึงต่อต้านทักษิณ ?
ผมเชื่อว่า ความรู้สึกร่วมของ "คนเสื้อเหลือง"
ที่ต่อต้านทักษิณนั้นเพราะ
ตระหนักว่าสิ่งที่ทักษิณกระทำนั้นเป็นการกระทำที่ประโยชน์นั้นตกกับพวกของตน
ไม่ได้เกิดกับคนหมู่มาก ไม่เกิดอย่างยุติธรรม
เป็นการดำเนินการแบบสองมาตรฐาน (คำที่เสื้อแดงชอบใช้มาอ้าง
ทั้งที่นายของตนเองเป็นเจ้าตำรับอย่างโจ่งครึ่ม) ใครไม่ใช่ "พวก"
ก็ไม่ได้รับผลประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นพวกพ้องที่ทำธุรกิจผลิตชิ้นส่วนรถยนต์
ธุรกิจเครื่องดื่มกาแฟ ธุรกิจโรงพยาบาล และอื่น ๆ อีกมากมาย
สุดท้ายแล้วก็เพื่อให้กลุ่มบุคคลเหล่านี้ยังคงสนับสนุนตนไม่ว่าจะในด้านเงิน
การเมือง ฯลฯ
แล้วชาวไร่ชาวนาล่ะ ?
ทักษิณทำประโยชน์ให้เกิดขึ้นกับคนเหล่านี้อย่างรวดเร็วและไม่คิดถึง
ผลกระทบทางด้านลบ ทำไปเพียงเพื่อส่งสัญญาณให้ชาวไร่ ชาวนา
และประชาชนทั่วไปมาสวามิภักดิ์
และเพื่อเป็นฐานคะแนนเสียงในการเลือกตั้งครั้งต่อไปเพื่อประโยชน์ของตน
ไม่ว่าจะเรื่องโครงการกองทุนหมู่บ้าน โครงการ ๓๐ บาทรักษาทุกโรค
(ทั้งที่ในอดีตก็มีระบบรองรับการเจ็บป่วยของคนไทยทั้งประเทศอยู่แล้ว)
นั่นก็เพราะว่าหัวใจของประชาธิปไตยแบบไทย ๆ ก็คือการเลือกตั้งนั่นเอง
โดยสรุปที่ "คนเสื้อเหลือง"
ต่อต้านทักษิณก็เพราะไม่เห็นด้วยกับการกระทำใด ๆ
ที่เกิดประโยชน์เฉพาะกลุ่มเฉพาะตน
แล้วสถาบันล่ะ?
นักการเมืองและผู้ใหญ่ในแวดวงการเมืองหลายท่านที่สนับสนุน
"คนเสื้อเหลือง" รวมทั้ง "คนเสื้อเหลือง"
เองอีกหลายท่านก็เคยมีแนวคิดต่อต้านสถาบันมาก่อนไม่ว่าจะในรูปของความคิดใน
สมองของตน หรือ การพูดคุยถกกับเพื่อนฝูงที่ใกล้ชิด
บางรายอาจเลยเถิดไปสู่การแสดงออกจนเลยเถิดไไปสู่การถืออาวุธต่อต้านรัฐ
หรือสนับสนุนบุคคลที่ต่อต้านรัฐ ทั้งนี้ล้วนเป็นความคิด คำพูด
การกระทำในวัยเยาว์ วัยที่ยังมองไม่กว้าง มองแต่ด้านลบหรือตามคำร่ำลือ
วัยที่ยังรุ่มร้อนในเชิงทฤษฎี
มองทุกอย่างจากทฤษฎีที่ตนได้รับถ่ายทอดมาหรือที่ตนคิดขึ้นเอง
และเชื่ออย่างสุดใจว่าทฤษฎีนี้ถูกต้อง
พร้อมทั้งสร้างแนวทางแก้ไขปัญหาสังคมหรือประเทศชาติด้วยใจบริสุทธิ์เปี่ยมไป
ด้วยความหวังดีต่อสังคมไทย เพียงแต่ "หลง" กับทฤษฎีของตน
แต่เมื่อเวลาผ่านไป เมื่อบุคคลเหล่านี้ได้มีวุฒิภาวะมากขึ้น
ได้รับข้อมูลข่าวสารมากขึ้น
ได้เห็นตัวอย่างของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในต่างประเทศทั่วโลกและความ
เปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเหล่านี้ล้วนชี้ให้เห็นว่า "ทฤษฎี"
ที่ตนเชื่อนั้นอาจไม่ถูกต้อง ไม่จีรัง
เมื่อบุคคลเหล่านี้ได้คิดอย่างมีสติและกว้างขึ้นทั้งด้านบวกและด้านลบ
ได้เห็นพระจริยวัตรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์ตลอด
มากกว่าครึ่งศตวรรษที่ผ่านมานับตั้งแต่ทรงครองราชย์ คนเหล่านี้ก็ได้มีสติ
ได้ฉุกคิดถึงคุณานุปการที่พระองค์ท่านทรงมีต่อประเทศไทยและปวงชนชาวไทย
และได้ข้อสรุปว่า "สถาบัน" เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับสังคมไทย
เพราะเป็นสถาบันที่ทรง "รัก" และ "ปฏิบัติ" คนไทยทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน
เป็นสถาบันที่ยึดเหนี่ยวให้คนไทยยอมอภัยให้กันในสถานการณ์ต่างๆ
เป็นสถาบันที่หล่อหลอมคนไทยด้วยการทุ่มเทพระวรกายในการทรงงาน
และทำให้คนไทยได้รู้จัก "การทำความดีโดยไม่หวังผลตอบแทน"
เป็นสถาบันที่สอนให้เราคนไทยเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในการฝ่าฟันกับ
ทุกภิกขภัยต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองเรา
สิ่งเหล่านี้แหละที่ทำให้คนเหล่านี้ได้คิดว่า "ต้องปกป้องสถาบัน"
"คนเสื้อเหลือง" ก็ตระหนักในประเด็นดังกล่าวที่ว่า "สถาบัน"
ดำรงตนเป็นธรรมกับพสกนิกรทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน และ ที่ผ่านมา "สถาบัน"
ได้ก่อให้เกิดประโยชน์มากมายแก่พสกนิกรชาวไทย
มากมายเกินกว่าที่เราจะมาเนรคุณ "สถาบัน" และ "พระองค์ท่าน"
แม้เพียงด้วยความคิด
ผมจึงอยากจะสรุปว่า "คนเสื้อเหลือง" ก็คือ
สามัญชนคนธรรมดาที่ชื่นชมบุคคลใดก็ตามที่กระทำหรือทรงคุณประโยชน์ให้เกิดแก่สาธารณะ
และ "คนเสื้อเหลือง" คือ
คนที่ต้องการปกป้องคนดีให้ยังคงอยู่ในสังคมไทยตราบนานเท่านาน
แม้ว่าการปกป้องนั้นจะต้องปกป้องด้วยชีวิต
ที่ผ่านมานั้นปรากฏการณ์ "คนเสื้อเหลือง"
จะไม่ปรากฏให้สังคมต้องรู้จัก ถ้าเพียงแต่นักการเมืองในรัฐสภา
คณะรัฐมนตรีชุดต่างๆ เจ้าหน้าที่ และ ข้าราชการทั้งปวง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าราชการฝ่ายความมั่นคงจะปฏิบัติ "หน้าที่ "
ของตนอย่างเข้มแข็งและจริงจังโดยอยู่บนพื้นฐานของความต้องการที่จะให้ประเทศ
อยู่รอดและเจริญก้าวหน้าต่อไป
แต่เพราะคนเหล่านี้ไม่ปฏิบัติและละเว้นการปฏิบัติ "หน้าที่ "
ของตนอย่างเข้มแข็งและจริงจัง จึงทำให้ "คนเสื้อเหลือง"
ต้องเกิดขึ้นมาสังคมไทย
แล้วคุณคิดว่า ปัญหาในสังคมที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ เป็นปัญหาระหว่าง
"คนเสื้อแดง " กับ "คนเสื้อเหลือง"
หรือ ปัญหาระหว่าง "คนเสื้อแดง" กับ ความมั่นคงของประะเทศ
ประชาชนไทยที่รักความเป็นธรรม ย่อมไม่พอใจอันธพาล
ตอบลบในยุคสมัยของพระพุทธเรวัตตะพุทธเจ้ามีอันธพาลเป็นอันมาก
แล้วพระองค์ท่านจัดการปัญหาอย่างไร? อยากทราบแวะที่ ...
http://www.ainews1.com/modules.php?name=Web_Board&file=view&No=239