++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอังคารที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ประเทศไทยจะเข้มแข็ง ถ้ากล้าบริหารจัดการสื่อให้เที่ยงตรง

โดย วิทยา วชิระอังกูร (คิดถึงเมืองไทย) 9 สิงหาคม 2552 14:10 น.

น่าจะสรุปได้ชัดแล้วว่า
ความพิกลพิการของการเมืองไทยที่ล้มลุกคลุกคลานมาตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการ
ปกครอง 2475 จนถึงปัจจุบัน คือ การขาดข้อมูลความรู้ของประชาชน
อันเกิดจากการละเลยไม่เอาใจใส่โดยไม่รู้หรือจงใจของฝ่ายผู้กุมอำนาจรัฐทุก
ยุคทุกสมัย

สื่อมวลชนที่เป็นกลไกสำคัญในการให้ข้อมูลข่าวสาร
ไม่ทำหน้าที่ให้ความรู้พื้นฐานแก่ประชาชน
โดยเฉพาะคนส่วนใหญ่ในชนบททุกภูมิภาค ที่ด้อยโอกาสด้านการศึกษา
ระบบโรงเรียนก็ล้มเหลวพิกลพิการอย่างยั่งยืน

การด้อยการศึกษาเป็นปัจจัยสำคัญของวงจรอุบาทว์ โง่-จน- เจ็บ
ของชาวชนบท ซึ่งเป็นปัญหาเรื้อรังมาชั่วนาตาปี
ฝ่ายการเมืองและฝ่ายราชการประจำไม่เคยแก้ไขปัญหาอย่างตรงจุด
มิหนำซ้ำปัญหาชนบทกลับกลายเป็นเหยื่ออันโอชะที่ทุกฝ่ายมะรุมมะตุ้มฉกฉวยแสวง
หาประโยชน์

อำนาจทางการเมือง ก็มุ่งหวังเพียงเอาชนะในการเลือกตั้ง
เห็นผู้มีสิทธิเป็นเพียงบันไดไต่เต้าไปสู่รัฐสภา ข้อมูลข่าวสารต่างๆ
จึงถูกบิดเบือนเพื่อประโยชน์ทางการเมือง
ทับถมซ้ำเติมความไม่รู้อย่างต่อเนื่องทุกยุคทุกสมัย
โดยให้เป็นที่เข้าใจว่า ประดาเจ้าของอำนาจอธิปไตย
มีหน้าที่เพียงการกาบัตรหย่อนลงในหีบเลือกตั้ง
หลังจากนั้นถือว่าเป็นการมอบสิทธิ์ให้ท่านผู้แทนไปใช้อำนาจตามอำเภอใจ
ดังประโยคฮิตติดปากที่ว่า "ผมมาจากประชาชน ประชาชนเลือกมา"

สื่อมวลชนทั้งของรัฐและเอกชนที่มีอยู่มากมาย
เต็มไปด้วยบุคลากรและเครื่องไม้เครื่องมือที่ทันสมัย
เทคโนโลยีก้าวไกลไม่แพ้นานาอารยประเทศ
ซึ่งควรจะเป็นช่องทางสำคัญในการให้ข้อมูลข่าวสารที่เที่ยงตรงเป็นจริง
ให้ความรู้พื้นฐานทางเศรษฐกิจ สังคม
และการเมืองอย่างแพร่หลายและมีประสิทธิภาพแก่ประชาชนทั้งประเทศ
โดยเฉพาะกลุ่มชนส่วนใหญ่ที่ด้อยโอกาสทางการศึกษา
แต่สื่อมวลชนก็ไม่เคยใส่ใจทำหน้าที่อย่างที่ควรจะเป็น

สื่อสารมวลชนไทยในปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นวิทยุ ทีวี
หรือสื่อสิ่งพิมพ์ทั้งหลายทั้งปวง
ล้วนแล้วแต่ถูกครอบงำโดยระบบและกลไกทางธุรกิจ
ซึ่งทำให้ไม่มีอิสรเสรีภาพในการทำหน้าที่สื่อมวลชนอย่างแท้จริง
มิหนำซ้ำกลับกลายเป็นสื่อมอมเมาทั้งการโฆษณาชวนเชื่อทางด้านธุรกิจ การค้า
และการบันเทิงเริงรมย์ประเภทเกมโชว์
ละครน้ำเน่าที่เอานิยายเรื่องเก่ามาสร้างใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
รายการทีวีทุกช่องแทบจะหาสื่อประเทืองปัญญาไม่ได้เลย
และไม่เคยใส่ใจที่จะทำหน้าที่ให้ข้อมูลข่าวสารและความรู้ที่ถูกต้อง
เที่ยงตรง แก่ประชาชน

การปฏิวัติ 19 กันยายน2549 ทำให้ดร.ธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์
มาเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ กำกับดูแลสื่อสารมวลชน
ผู้คนไม่น้อยแอบตั้งความหวังว่า
คงเป็นโอกาสดีของประเทศไทยที่มีรัฐมนตรีมีความรู้ ความสามารถ เข้าใจปัญหา
และมีอำนาจเบ็ดเสร็จล้นฟ้าล้นแผ่นดินของ คมช.หนุนหลัง
คงจะได้มาปฏิรูปปรับเปลี่ยนระบบและกระบวนการสื่อให้เข้ารูปเข้ารอย
เป็นสื่อมวลชนที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพ
ร่วมสร้างสรรค์สังคมที่มีข่าวสารข้อมูลและความรู้ที่ถูกต้องแพร่กระจายสู่
ทุกภาคส่วนของสังคมอย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกันเป็นการก่อร่างสร้างฐานแห่ง
การปกครองระบอบประชาธิปไตยให้เติบโตเจริญมั่นคงสืบไป

แต่ความหวังในการปฏิรูปสื่อก็มลายหายไป
พร้อมกับความล้มเหลวด้านอื่นๆของรัฐบาล คมช.
ที่กลายเป็นจำเลยของสังคมในฐานะคณะปฏิวัติหน่อมแน้ม
รัฐบาลรักษาการโลเลที่ทำให้ประเทศชาติสูญเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์
เพราะได้อำนาจรัฐมาแล้วใช้ไม่เป็น มีแต่ความกล้าๆ กลัวๆ เก้ๆ กังๆ
จนหมดเวลา โดยมุ่งแต่การเร่งรัดจัดการเลือกตั้งอย่างไม่ใส่ใจที่จะสะสางปัญหาต่างๆ
ที่เป็นมูลเหตุของการปฏิวัติรัฐประหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
การไม่คำนึงถึงการให้ข้อมูลความรู้แก่ประชาชน ทั้งๆ
ที่สามารถจะใช้อำนาจทั้งของรัฐบาล และอำนาจล้นฟ้าล้นแผ่นดินของ คมช.
ในการบริหารจัดการสื่อสารมวลชนให้ทำหน้าที่นี้ได้

สื่อมวลชนไทย ทั้งภาครัฐ และภาคเอกชนส่วนใหญ่เกือบ 90
เปอร์เซ็นต์ ในปัจจุบัน จึงยังคงเป็นสื่อรับใช้ทางธุรกิจ
และมอมเมาสังคมมากกว่าที่จะทำหน้าที่
แพร่กระจายข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องเป็นจริง
และให้ความรู้แก่ประชาชนเพื่อสร้างพื้นฐานทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม
และพื้นฐานการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
วิธีการเช่นนี้เท่านั้นจึงจะทำให้ประเทศและสังคมไทยเข้มแข็งเหมือนดังที่
รัฐบาลนี้พยายามป่าวประกาศกรอกหูประชาชนอยู่ตลอดเวลาว่า
โครงการเงินกู้หลายแสนล้าน
มีเป้าหมายจะสร้างให้ประเทศไทยเข้มแข็งอย่างแน่นอน

ผู้เขียนยังมองไม่เห็นทางว่าประเทศชาติจะเข้มแข็งได้อย่างไร
เมื่อสื่อสารมวลชน ที่เป็นช่องทางและเครื่องมือสำคัญที่สุด
ที่จะสร้างสังคมเข้มแข็งด้วยข้อมูลข่าวสารและความรู้ที่เท่าเทียมกันของผู้
คนในสังคมทุกภาคส่วน
ยังคงเป็นสื่อสารมวลชนที่ด้อยคุณภาพและมอมเมาสังคมอยู่เยี่ยงทุกวันนี้

ปรากฏการณ์ที่น่าประหลาดใจก็คือ สื่อที่พยายามทำหน้าที่สื่อ
เพื่อให้ข้อมูลข่าวสาร และความรู้แก่ประชาชนกลับมีเฉพาะสื่อเล็กๆ
ของเอกชน ไม่ว่าจะเป็น ASTV., Nation Channel. หรือวิทยุชุมชนบางคลื่น
หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นบางฉบับซึ่งเป็นสื่อที่ดู ฟัง อ่าน
จำกัดเฉพาะกลุ่มคนบางส่วน
ไม่มีศักยภาพพอที่จะแพร่ขยายกระจายครอบคลุมทุกพื้นที่เหมือนสื่อวิทยุ
ทีวี ของรัฐ และเอกชนรายใหญ่ที่เป็นเจ้าของสัมปทานจากรัฐ

ทุกยุคทุกสมัย ทุกรัฐบาล
เมื่อเข้ามาก็มุ่งแต่จะแก้ไขปัญหาชาติด้วยการทำโครงการเมกะโปรเจกต์ก่อสร้าง
โครงการพื้นฐานต่างๆ สร้างถนน แหล่งน้ำ สร้างอาคารสำนักงาน
และสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ที่แข่งขันความใหญ่โตโอฬารกันอยู่ในขณะนี้ ก็คือ
สำนักงาน อบต. และเทศบาลตำบลต่างๆ
รวมทั้งตึกอาคารเรียนของบรรดาโรงเรียนในชนบทที่แข่งความสูง ความใหญ่โต
แทนที่จะคิดแข่งขันกันด้านคุณภาพการเรียนการสอน
ไม่เว้นแม้แต่รัฐบาลที่มีนายกรัฐมนตรีคนหนุ่มไฟแรงเช่นปัจจุบันนี้
ซึ่งก็ยังคงเดินหน้าแก้ปัญหาชาติในแบบเดิมๆ ไม่เปลี่ยนแปลง

ตัวอย่างที่รัฐบาลนี้ควรจะต้องให้ข้อมูลความรู้แก่ประชาชนที่เป็นเรื่องจำ
เป็นเร่งด่วนก็เช่น
การล่าลายมือชื่อประชาชนเพื่อยื่นถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษให้แก่นักโทษ
ชาย ทักษิณ ชินวัตร ผู้เขียนเชื่อว่า
ประชาชนจำนวนไม่น้อยที่ยังขาดข้อมูลความรู้ซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะ
ต้องใช้สื่อทุกช่องทางในการให้ข้อมูลความรู้แก่ประชาชน ว่ากฎเกณฑ์
หลักเกณฑ์ ระเบียบการ วิธีการ
รวมทั้งขั้นตอนที่ถูกต้องในการขอพระราชทานอภัยโทษที่ถูกต้องเป็นเช่นใด
และรวมทั้งการถวายฎีกาที่ถูกต้องเหมาะสมด้วย

นี่เป็นเพียงตัวอย่างเดียวที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดในขณะนี้
ความจริงยังมีอีกร้อยแปดพันเรื่องที่รัฐบาลควรจะต้องใช้สื่อสารมวลชนเพื่อ
ให้ข้อมูลความรู้ที่ถูกต้องแก่ประชาชน ซึ่งผู้เขียนเชื่อว่า
มีแต่ข้อมูลความรู้ที่ถูกต้องเป็นจริงเท่านั้น
ที่จะแก้ไขปัญหาทุกอย่างได้อย่างตรงจุดตรงประเด็น

ในทางตรงกันข้าม
ปัญหาบ้านปัญหาเมืองที่ลุกลามใหญ่โตจนเกิดการแตกแยก
แบ่งแยกผู้คนในสังคมออกเป็นฝักเป็นฝ่ายจนบานปลายเกิดการใช้ความรุนแรง
ใช่หรือไม่ว่า เกิดจากการรับข้อมูลความรู้คนละด้าน
และส่วนหนึ่งเป็นข้อมูลความรู้ที่ไม่ถูกต้องเป็นจริง
หรือถูกบิดเบือนดัดแปลง หลายครั้งผู้เขียนจึงเชื่อว่า
ไม่ใช่ความผิดของประชาชนทุกฝ่ายที่จะมีความคิดเห็นไม่ตรงกัน ขัดแย้งกัน
เพราะเหตุจากการรับรู้ข้อมูลความรู้ที่ไม่เท่าเทียมกันเป็นหน้าที่ของรัฐบาล
ใช่หรือไม่ว่า ที่จะต้องให้ข้อมูลความรู้ที่ถูกต้องเป็นจริงแก่ประชาชนให้ทั่วถึงและเท่า
เทียมกัน

ความจริงโครงการเงินกู้แปดแสนล้านของรัฐบาลนายกฯ อภิสิทธิ์
ถ้ามีความคิดความจริงใจที่จะบริหารจัดการสื่อให้เป็นสื่อสารมวลชนอย่างแท้
จริงก็น่าจะเป็นโอกาสที่ดี ซึ่งคงใช้งบประมาณไม่มากมายนัก
เมื่อเทียบกับการลงทุนในด้านอื่นๆ ไม่ใช่การใช้เวลากว่าครึ่งปี
โดยทำได้เพียงการเปลี่ยนโลโก NBT เป็นโลโกหอยสังข์สีม่วงเชยๆ
เพื่อใช้เป็นที่ประกาศเชื่อมั่นประเทศไทยของนายกฯ อภิสิทธิ์ เพียงคนเดียว
ซึ่งเป็นผลงานยอดเยี่ยมของรัฐมนตรีสาทิตย์ วงศ์หนองเตย
ที่ทำเอาผู้รู้ด้านสื่อสารมวลชนและผู้รักความเป็นธรรมทุกคน
หัวร่อมิได้ร่ำไห้ไม่ออกจริงๆ ครับ

ก่อน จบบทความนี้ ผู้เขียนขอตะโกนดังๆ ไปถึงท่านนายกฯ อภิสิทธิ์
ว่า ประเทศไทยไม่มีทางเข้มแข็งได้ดอกครับตราบใดที่รัฐบาลของท่าน
ยังไม่มีความกล้าหาญพอที่จะบริหารจัดการสื่อสารมวลชน
ให้เป็นสื่อที่เข้มแข็ง
เพื่อให้ข้อมูลข่าวสารและความรู้แก่ประชาชนทั้งประเทศอย่างเที่ยงตรง
ทั่วถึง และเท่าเทียมกัน


http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000090299

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น