++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันเสาร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2552

สารพันความเชื่อขณะตั้งครรภ์

คอลัมน์สายตรงสุขภาพกับศิริราช ใน นสพ.ASTVผู้จัดการรายวัน
ฉบับวันพฤหัสบดีที่ 13 ส.ค.2552

รศ.พญ.สายฝน ชวาลไพบูลย์
สูตินรีแพทย์

วันนี้เราจะมาคุยกันต่อในเรื่องสารพันความเชื่อของคุณแม่ตั้งครรภ์
หลายคนอาจมีความเชื่อในใจ แต่จะถูกหรือไม่ ต้องคุณเป็นคนตัดสินค่ะ
ลองอ่านดู

* ระยะคลอด

สำหรับในช่วงที่คลอดลูก ก็ยังมีความเชื่อหลายอย่างแตกต่างกันไป
ความเชื่อส่วนใหญ่ก็เพื่อช่วยทำให้เกิดขวัญและกำลังใจในระหว่างการคลอด
เช่น

- การดื่มน้ำมนต์จะช่วยทำให้ไม่เจ็บครรภ์และคลอดง่าย
ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องที่ดี
เพียงแต่น้ำมนต์ควรทำมาจากน้ำที่สะอาดจะได้ไม่มีอาการท้องเสียภายหลัง

- ความเชื่อบางอย่างที่ไม่ค่อยได้พบเห็นหรือเลิกปฏิบัติไปแล้ว
เช่น เวลาคลอด ที่บ้านต้องเปิดประตูหน้าต่าง ไขตู้ลิ้นชักเปิดให้หมด
ห้ามนั่งคาประตูหรือขวางบันได เพื่อเป็นการถือเคล็ดให้คลอดง่าย เป็นต้น
สมัยนี้ขืนเปิดบ้านไว้โล่งอย่างนี้
ขโมยคงเข้ามากวาดทรัพย์สินเกลี้ยงบ้านแน่

- การคลอดโดยการผ่าตัดคลอดดีกว่าการคลอดเองทางช่องคลอด
อาจเป็นเพราะคุณแม่กังวลเรื่องช่องคลอดที่อาจมีความหย่อนยานจากการคลอด
ซึ่งเป็นปัญหาที่ไม่สำคัญ
เพราะแพทย์สามารถผ่าตัดแก้ไขดึงกล้ามเนื้อบริเวณช่องคลอดได้ในช่วงหลังคลอด
ส่วนใหญ่การคลอดโดยการผ่าตัดจะทำเมื่อมีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์เท่านั้น
เช่น ทารกอยู่ในท่าที่ผิดปกติ ทารกตัวใหญ่ รกเกาะต่ำ
หรือทารกมีการเต้นของหัวใจทารกผิดปกติ เป็นต้น ใน
ความเป็นจริงการคลอดโดยการผ่าตัดมีอันตรายมากกว่าการคลอดเอง
คุณแม่จะเสี่ยงต่อการดมยาสลบ เสียเลือดมากกว่า อาจเกิดพังผืดในช่องท้อง
เสียค่าใช้จ่ายมากขึ้น ส่วนการคลอดเองคุณแม่จะฟื้นตัวได้เร็ว
เสียเลือดน้อยกว่าและมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่า
อย่างไรก็ตามคุณแม่ไม่ควรกังวลมากเกินไปเมื่อมีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ต่อการ
ผ่าตัดคลอดทางหน้าท้องเพราะปัจจุบันมีความปลอดภัยสูงมาก

- ความเชื่ออีกอย่างที่คู่มากับการผ่าตัดทำคลอดก็คือ
ความเชื่อที่ว่าลูกจะแข็งแรง เป็นคนเก่งคนดี
ถ้าได้คลอดตามฤกษ์ที่กำหนดเอาไว้
เดี๋ยวนี้ก็เลยมีการผ่าตัดทำคลอดตามฤกษ์ระบาดเพิ่มขึ้นมาอีก แล้วส่วนใหญ่
"ฤกษ์ดี" ที่บรรดาโหราจารย์ทั้งหลายดูมาให้ก็มักจะเป็นเวลาที่ผิดธรรมชาติทั้งสิ้น
ยิ่งเป็นเวลาพิสดารเท่าไรก็ยิ่งถือว่าโก้หรูเท่านั้น เช่น
เวลาเช้ามืดที่คนทั่วไปยังไม่ตื่นนอน
หรือเวลาดึกสงัดที่คนปกติควรจะนอนหลับพักผ่อนกันไปหมดแล้ว
ยิ่งถ้าได้วันหยุด หรือวันสำคัญก็ยิ่งขลังใหญ่
คุณแม่เหล่านี้ไม่มีวันรู้หรอกว่าเบื้องหลังฤกษ์เหล่านี้
มีคนบ่นให้มากน้อยแค่ไหน


ตัวอย่างคนไข้ที่ดูฤกษ์ มาผ่าคลอดตอนตี 3 ปรากฏว่า
ตั้งแต่คนงานถูพื้น พยาบาล หมอดมยา หมอเด็ก แม้แต่หมอสูติบ่นกันทุกคน
แล้วจะเป็นฤกษ์ดีได้ยังไง ขนาดยังไม่ทันคลอดก็มีแต่คนบ่นทั้งนั้น
ปรากฏว่าพอผ่าเอาเด็กออกเรียบร้อย มดลูกเกิดไม่ยอมหดรัดตัวตามปกติ
ตกเลือด ช็อกเกือบตาย เพราะในเวลาผิด

ธรรมชาติแบบนั้นจะไประดมคนมาช่วยก็ไม่มีสักคน
มีก็แต่หมอที่ผ่าตัดนั่นแหละที่ยืนหน้าซีดผ่าตัดห้ามเลือดอยู่คนเดียว
เลือดก็มาช้าเพราะเจ้าหน้าที่มีน้อย ผลสุดท้ายก็ต้องตัดมดลูกทิ้งไป
ต้องนอนห้องไอซียูอีกหลายวัน ให้เลือดไปอีกหลายสิบขวด
หมดค่ารักษาไปอีกนับแสนบาท
ไม่รู้ว่าพอหายแล้วจะกลับไปต่อว่าคนที่ให้ฤกษ์มารึเปล่า

* ระยะหลังคลอด

- หลังจากคลอดแล้ว
ก็จะมีข้อปฏิบัติตามความเชื่อแตกต่างกันไปของคนไทยเรา ก็จะมีการอยู่ไฟ
อบสมุนไพร ซึ่งไม่มีความจำเป็นสำหรับการคลอดแผนปัจจุบันในโรงพยาบาลหรือศูนย์อนามัย
สมัยก่อนคนไข้ต้องทนทรมานจากความร้อนของกองไฟ
หรือเตาถ่านที่เอามาไว้ข้างๆที่นอน
รวมทั้งกลิ่นของสมุนไพรทั้งหลายที่อาจรบกวนคนรอบข้างได้
แต่ปัจจุบันการอยู่ไฟมีการพัฒนาขึ้นมาก ทำในรูปแบบที่ง่ายขึ้น ไม่ยุ่งยาก
เมื่อคุณแม่แผลแห้ง สบายตัวดีแล้ว
และมีความต้องการอยู่ไฟก็สามารถทำได้ตามศูนย์บริการต่างๆ
เพราะอาจจะทำให้สดชื่นและสบายตัวขึ้นได้
อีกทั้งยังช่วยสนับสนุนผลิตภัณฑ์สมุนไพรโอทอปตามแหล่งผลิตด้วย

- สำหรับคนไทยเชื้อสายจีนก็จะมีการอยู่เดือน คือ
ให้อยู่แต่ชั้นบนของบ้าน ไม่ให้ไปไหน ห้ามอาบน้ำสระผมเป็นเวลา 1 เดือน
ซึ่งถ้าเป็นช่วงที่มีอากาศร้อน ก็คงรู้สึกไม่สบายตัวพอสมควร
หลังคลอดแล้วคุณแม่ควรที่จะได้ดูแลตัวเอง ให้มีความสบายสดชื่น
ได้รับอาหารที่มีประโยชน์ครบ 5 หมู่
คุณแม่หลังคลอดสามารถกินอาหารได้ทุกอย่าง ไม่มีของแสลง
ถ้าจะมีของแสลงก็คงเป็นพวกเครื่องดื่มที่ผสมแอลกอฮอล์
รวมทั้งอาหารหมักดองที่ไม่มีคุณค่าทางโภชนาการทั้งหลายเท่านั้น
รวมทั้งพักผ่อนอย่างพอเพียง
จะได้มีกำลังไว้เลี้ยงดูลูกและมีน้ำนมให้ลูกอย่างพอเพียง

- ใน บ้านเรายังมีความเชื่อผิดๆ อีกอย่าง ก็คือ
การให้ดื่มยาดองหรือยาขับน้ำคาวปลาหลังคลอด
เพราะมีความเชื่อว่าน้ำคาวปลาคือของเสียที่ต้องขับออกมาให้มากๆ
ทำให้มีสตรีหลังคลอดเป็นจำนวนมาก
ต้องถูกหามส่งโรงพยาบาลเพราะตกเลือดจากการกินยาขับน้ำคาวปลานี่แหละ
บางรายถึงกับช็อกหมดสติ ต้องให้เลือดช่วยชีวิตกันแทบไม่ทัน
ความจริงน้ำคาวปลา ก็คือ เลือดดีๆ
ที่ไหลซึมจากแผลในโพรงมดลูกตรงตำแหน่งที่รกลอกตัวออกไป
ซึ่งร่างกายต้องพยายามทำให้หยุดโดยเร็วก่อนที่เลือดจะหมดตัวซะก่อน
โดยการให้มดลูกหดรัดตัวบีบเส้นเลือดในมดลูกให้เลือดไหลน้อยลงจนหยุดไปเอง
เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปพยายามขับน้ำคาวปลาให้ออกมาเยอะๆ
เพราะนอกจากจะเสียเลือดเพิ่มโดยไม่จำเป็นแล้ว บรรดายาขับน้ำคาวปลา
หรือยาดองทั้งหลายมักมีแอลกอฮอล์ผสม ซึ่งจะผ่านออกมาในน้ำนมได้
ทำให้ลูกดูดนมที่มีแอลกอฮอล์ปนออกมาด้วย ก็เลยเมาหลับปุ๋ยตั้งแต่แรกเกิด
บางคนอาจจะชอบเพราะเลี้ยงง่ายดีไม่งอแง
แต่สมองที่หลับไหลไม่ได้รับการกระตุ้นพัฒนาการตั้งแต่แรกเกิด
จะทำให้ลูกลดความเฉลียวฉลาดลงไปเยอะทีเดียว
และแอลกอฮอล์อาจทำให้ตับของลูกทำงานผิดปกติ
สร้างสารแข็งตัวของเลือดได้น้อยลง จนอาจมีเลือดออกตามส่วนต่างๆ
ของลูกจนทำให้เสียชีวิตได้

- เป็นเรื่องแปลกอีกอย่างที่พอเห็นหน้าลูกที่คลอดออกมาใหม่ๆ แล้ว
เวลาจะชมว่าลูกน่ารัก ก็ต้องบอกว่าหน้าตาน่าเกลียดน่าชัง
ห้ามบอกว่าลูกน่ารัก สวยงามหรือหล่อเด็ดขาด
เพราะคนโบราณกลัวว่าผีจะมาได้ยิน
และรู้ว่าบ้านนี้มีเด็กน่ารักมาเกิดจะมาเอาตัวไป คนสมัยก่อนถือมาก
ไปเยี่ยมบ้านไหนก็ต้องบอกว่าลูกน่าเกลียดน่าชังกันทั้งนั้น
จนเดี๋ยวนี้ก็ยังมีคนเชื่อเรื่องนี้อยู่อีกมากพอสมควร ดังนั้น
ถ้าจะไปเยี่ยมใครก็ต้องสืบถาม

ดูให้ดีว่ายังเชื่อถือหรือเชื่อเรื่องนี้หรือเปล่า
เพราะถ้าเกิดเจ้าของบ้านเลิกเชื่อแล้ว แต่เราไปบอกว่าลูกเค้าน่าเกลียด
อาจจะถูกต่อว่าหรือไม่พอใจเอาได้

การที่เราจะเชื่อสิ่งใดก็ควรที่จะพิจารณาให้รอบคอบเสียก่อน
ซึ่งความเชื่อบางอย่างอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อตัวเราและลูก
เมื่อเราได้รู้ถึงผลเสียแล้วก็น่าที่จะช่วยกันลบล้างความเชื่อเหล่านี้ทิ้ง
ให้หมด เพื่อประโยชน์ทั้งตัวคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์

http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9520000091702

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น