++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันศุกร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2548

ของนอก : นมแก้วเดียว (Good story)

เมื่อเด็กชายที่เดินเร่ขายของตามบ้านเพื่อน หวังเก็บเงินไว้เป็นทุนรอน
สำหรับเล่าเรียนหนังสือ พบว่าตัวเองมี เงินเหลือติดตัวเพียง 10 เซนต์ เขา
ก็บังเกิดความหิวขึ้นมาตหงิดๆ จึงตัดสินใจที่จะบากหน้าเดินไปขอข้าวจาก
บ้านหลังถัดไป และแล้ว เขาก็รู้สึก ประหม่าเมื่อมีอันต้องเผชิญหน้ากับสาว
น้อยน่ารักที่ลุกขึ้นมาเปิดประตูบ้าน

เมื่อดูจากท่าทางอันหิวโซของเด็กชาย หญิงสาวจึงยื่นนมให้แก้ว
หนึ่ง เด็กน้อยค่อยๆ ดื่ม แล้วถามว่า "จะให้ผมจ่ายตังค์เท่าไรดีครับ" "ไม่หรอกจ๊ะ..
เธอไม่ต้องจ่ายอะไรฉันหรอก" สาวน้อยตอบ "คุณแม่สอนฉันเสมอว่าไม่ให้
รับเงินจากน้ำใจที่เราได้แสดงออกไปให้กับคนอื่น"
"ถ้าอย่างนั้น หนูก็ขอบคุณ
จากใจนะครับ" เขาตอบ เมื่อ พ่อหนูเฮาวาร์ด เคลลี่ เดินจากบ้านหลังนั้น
ไป เขามิเพียงแต่รู้สึกว่า ร่างกายมีกำลังวังชาขึ้น หากแต่ความเชื่อมั่นในพระ
เจ้าและในมนุษย์ก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย.
.. มิไยว่าก่อนหน้านั้นเขาจะรู้สึกหมด
ศรัทธาในทั้งสองสิ่งนี้ไปแล้วก็ตาม
กาลเวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่ปรากฏ หญิงสาวผู้นั้นได้ล้มป่วย ลง คุณ
หมอในโรงพยายาลท้องถิ่นหมดหนทางจะเยียวยา จึงส่งเธอไปยังเมือง
ใหญ่ที่มีคุณหมอเฉพาะทางเพื่อรักษาโรคที่ไม่ค่อยได้พบเจออย่างนี้ คุณหมอเฮา
วาร์ด เคลลี่ ถูกเรียกตัวมาเพื่อให้คำปรึกษาเคสนี้ เมื่อเขาได้ยินชื่อเมืองที่ผู้
ป่วยถูกส่งมา ถ้าคุณสังเกต จะเห็นว่ามีประกายตาแปลกๆ อยู่ในดวงตาคู่นั้น
ทันใดนั้น เขารีบลุกขึ้นและเดินตรงไปยังห้องพักของเธอ พลางสวมเสื้อกาวน์
ไปด้วย... เขาสามารถจดจำเธอได้ในทันที...
เมื่อกลับไปยังห้องทำงาน เขาก็พยายามหาหนทางที่ดีที่สุดเพื่อ รักษา
ชีวิตของเธอ นับจากวันนั้น คุณหมอก็เพียรดูแลเอาใจใส่ผู้ป่วย รายนี้เป็น
พิเศษ... หลังจากที่ยื้อยุดฉุดกระชากกับโรคร้ายอยู่พักใหญ่
ในที่สุดเขาก็ได้รับ ชัยชนะ
แล้วคุณหมอเคลลี่ก็ขอให้ฝ่ายการเงินของโรงพยาบาลส่งใบเรียกเก็บเงิน
ของผู้ป่วยรายนี้มาให้เขาพิจารณาอนุมัติ
เขาเขียนอะไรสองสามตัวลงบนขอบกระดาษใบนั้น แล้วฝากเจ้าหน้าที่
ส่งผ่านไปยังผู้ป่วย เมื่อใบเรียกเก็บเงินเดินทางมาถึง เธออดไม่ได้ที่จะรู้สึก
กลัว ด้วยมั่นใจว่า ตัวเลขคงสูงมากจนเธออาจต้องใช้เวลาที่เหลือในชีวิตนี้
ชดใช้ค่ารักษาพยาบาลในครานี้ ถึง ที่สุดแล้ว เธอก็เปิดออกดู...
พบอะไรบางอย่างที่ดึงความสนใจของเธอมาอยู่ตรงขอบๆ กระดาษแผ่นนั้น เธอ
อ่านได้ใจความว่า "จ่ายหมดแล้วด้วยนมหนึ่งแก้ว" พร้อมกับลงชื่อกำกับไว้
หญิงผู้นี้อดไม่ ได้ที่จะหลั่งน้ำตาด้วยความชื่นชมยินดี ขณะหัวใจอันเปี่ยมสุข
อธิษฐานว่า

"ขอบคุณพระเจ้าที่ได้แผ่ความเมตตาของพระองค์มายังหัวใจ และอุ้งมือ
ของผู้คนบนโลกนี้"

ผู้เขียน : นิรนาม
ผู้แปล : แบ่งปัน
โดยคุณ : นิรนาม -

บททดสอบระดับความเป็นเพื่อน

มี 2 คำถาม
1.. ทดสอบระดับความต้องการเพื่อน
2.. ทดสอบระดับการตอบแทนเพื่อน

•••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••
ทดสอบระดับความต้องการเพื่อน
1.. คุณชอบไปชมภาพยนต์คนเดียว?
ใช่ไปที่ข้อ 2
ไม่ใช่ไปที่ข้อ 6
2.. ชอบความครื้นเครงสนุกสนาน?
ใช่ไปที่ข้อ 7
ไม่ใช่ไปที่ข้อ 3
3.. ชอบเขียนจดหมายถึงเพื่อน?
ใช่ไปที่ข้อ 8
ไม่ใช่ไปที่ข้อ 4
4.. ชอบไปไหนมาไหนเพียงคนเดียว?
ใช่ไปที่ข้อ 5
ไม่ใช่ไปที่ข้อ 9
5.. ชอบทานข้าวคนเดียว?
ใช่ไปที่ข้อ 10
ไม่ใช่ไปที่ข้อ 9
6. เมื่อไปทานข้าวนอกบ้านต้องมีคนเป็นเพื่อน?
ใช่ไปที่ข้อ 11
ไม่ใช่ไปที่ข้อ 7
7.. ไม่มีเพื่อนที่รู้ใจ?
ใช่ไปที่ข้อ 12
ไม่ใช่ไปที่ข้อ 8
8.. เมื่ออารมณ์ไม่ดีมักจะไปหาเพื่อน?
ใช่ไปที่ข้อ 13
ไม่ใช่ไปที่ข้อ 9
9. ชอบพูดคุยเล่นทางโทรศัพท์?
ใช่ไปที่ข้อ 14
ไม่ใช่ไปที่ข้อ 10
10. ชอบเดินเล่นคลายกลุ้มคนเดียว?
ใช่ไปที่ข้อ 15
ไม่ใช่ไปที่ข้อ 14
11.. ชอบนั่งคิดคนเดียว?
ใช่ไปที่ข้อ 12
ไม่ใช่ไปที่ข้อ 16
12. ต้องการความรู้สึกปลอดภัยมาก?
ใช่ไปที่ข้อ 17
ไม่ใช่ไปที่ข้อ 13
13. มีของดี ๆ ต้องแบ่งกัน?
ใช่ไปที่ข้อ 18
ไม่ใช่ไปที่ข้อ 14
14.. หวังอยากให้ฝ่ายตรงข้ามสนใจคุณ?
ใช่ไปที่ข้อ 18
ไม่ใช่ไปที่ข้อ 19
15.. เบื่อหน่ายเพื่อนที่มารบกวนถึงบ้าน?
ใช่ไปที่ข้อ 20
ไม่ใช่ไปที่ข้อ 19
16.. เรื่องใหญ่หรือเรื่องเล็กต่างๆ ต้องหาเพื่อน?
ใช่ไปที่ข้อ A
ไม่ใช่ไปที่ข้อ 17
17.. คิดจะไปหาเพื่อนก็กลัวถูกปฎิเสธ?
ใช่ไปที่ข้อ B
ไม่ใช่ไปที่ข้อ 18
18.. ต้องพบหน้าเพื่อนทุกวัน?
ใช่ไปที่ข้อ B
ไม่ใช่ไปที่ข้อ C
19.. พยายามที่จะไม่ไปรบกวนผู้อื่น?
ใช่ไปที่ข้อ 20
ไม่ใช่ไปที่ข้อ 18
20. ไม่ยืมเงินผู้อื่นโดยเด็ดขาด?
ใช่ไปที่ข้อ D
ไม่ใช่ไปที่ข้อ A

•••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••
::::: A ::::: ประเภทพึ่งพาอาศัย :::::
คุณชอบไปไหนมาไหนกับเพื่อน
ไม่ว่าจะไปชมภาพยนต์หรือไปชอปปิ้ง
คุณต่างชอบให้มีใครอยู่เป็นเพื่อนคุณ โดยเฉพาะในขณะที่อารมณืคุณดี
หรือไม่ดี คุณยิ่งต้องการให้เพื่อน ๆ อยู่ข้างๆ
โดยปกติคุณจะเป็นคนที่ไม่ รู้สึกว่าต้องพึ่งพาอาศัยเพื่อน
เพียงแต่มีความรู้สึกว่า ตนเองเป็นคนโชคดี ที่มีเพื่อนดี ๆ
มากมายเช่นนี้ แต่ถ้าวันใดที่คุณทะเลาะกับเพื่อนหรือติดธุระ
ไปไหนกับเพื่อนไม่ได้คุณจะรู้สึกโดดเดี่ยว เงียบเหงาอย่างยิ่ง
ขณะนี้คุณจึง ยอมรับว่าคุณเป็นประเภทพึ่งพาอาศัยเพื่อน

::::: B ::::: ประเภทเปล่าเปลี่ยวใจ :::::
ความเปล่าเปลี่ยวใจ คือโรคจิตของคุณชนิดหนึ่ง
และคือโรคประจำตัวของคุณ ภายในใจของคุณ กลัวถูกเพื่อน ๆ
หรือหมู่คณะทอดทิ้ง ด้วยเหตุนี้ คุณจึงพยายาม รักษาสัมพันธ์ที่ดี
กับทุก ๆ คนไม่กล้าทำให้ผู้อื่น โกรธเคือง เพราะอะไรจึงเป็น เช่นนี้
อาจเป็นเพราะว่า คุณขาดความเชื่อมั่น ในตนเอง เพราะฉนั้นจึงต้องการ
ให้ผู้อื่นให้ความมั่นใจแก่คุณ ด้วยเหตุนี้ แม้ความเคลื่อนไหวบางอย่าง
ที่คุณไม่ ชื่นชอบ แต่คุณก็ต้อง จำใจเข้าร่วม มิเช่นนั้น
คุณก็จะเกิดความรู้สึก ไม่สบายใจ ทางด้านมนุษยสัมพันธ์ อาจกล่าวว่า
คุณไม่มีความรู้สึกปลอดภัย และเป็นคน ไม่มีบุคลิกภาพ

::::: C ::::: ประเภทระบายความในใจ :::::
ในชีวิตแห่งความเป็นจริงคุณมีอิสระมาก
แต่ว่าทางด้านจิตใจคุณยังต้องการ ความสนับสนุนจากเพื่อน
ปกติอยู่คนเดียว คุณจะไม่รู้สึกเหงา การเคลื่อนไหว ก็อิสระ
ไม่ได้พบหน้าเพื่อนที่ดี เดือนสองเดือน ก็ไม่รู้สึกเงียบเหงา
แต่พวกคุณ ยังคงรักใคร่ สนิทสนมกันเหมือนเดิม
บางครั้งมีธุระหรือไม่สบายใจ พวกคุณ ก็นัดพบปะพูดคุยกัน
ถ้าหากอยู่ห่างกัน ไม่สะดวกในการนัดพบ ก็ติดต่อกันทาง
โทรศัพท์หรือจดหมาย แม้ว่าจะไม่ได้พบหน้ากันแต่พลังจิต
ที่ได้รับอาจได้ มากกว่าพบหน้ากันทุกวัน คุณจึงไม่ต้อง
อยู่กับเพื่อนคุณทุกวัน รูปแบบของการ พบเพื่อนประเภทคุณคือ
ต่างคนต่างอยู่ แต่จิตใจทะลุถึงกัน คือคนประเภทระบาย ความในใจ

::::: D ::::: ประเภทอิสระเสรี :::::
คุณคือแบบอย่างของคนใจเพชร
คุณไม่ชอบให้ผู้อื่นติดสอยห้อยตาม คุณคือคนปิดตัวเอง คุณไม่เอ่ยปาก
ขอความช่วยเหลือ จากเพื่อนง่าย กล่าวทางด้านจิตใจของคุณ
คุณมักจะรู้สึก การเป็นหนี้บุญคุณ เป็นการ ที่เสียใจมาก
และเป็นการลดคุณค่า ของตัวเองให้ต่ำลง ผู้คนที่ไม่เข้าใจ คุณจะคิดว่า
คุณเป็นคนมีนิสัยสันโดษ และเอาแต่ใจตัวเอง แต่ผู้คนที่เข้า
ใกล้คุณมักจะชมเชย ความเด็ดเดี่ยวของคุณ นิสัยและชีวิตของคุณมี
เสน่ห์รัดตรึงใจมาก

•••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••
ทดสอบระดับการตอบแทนเพื่อน
1.. ให้เพื่อนยืมเงินโดยไม่มีเงื่อนไข?
ใช่ไปที่ข้อ 6
ไม่ใช่ไปที่ข้อ 2
2.. ไม่อยากเป็นหนี้บุญคุณเพื่อน?
ใช่ไปที่ข้อ 7
ไม่ใช่ไปที่ข้อ 3
3.. สนใจฐานะของเพื่อนมาก?
ใช่ไปที่ข้อ 8
ไม่ใช่ไปที่ข้อ 4
4.. ช่วยเหลือเพื่อนยามยาก?
ใช่ไปที่ข้อ 9
ไม่ใช่ไปที่ข้อ 5
5.. เอาตัวรอดก่อน?
ใช่ไปที่ข้อ 10
ไม่ใช่ไปที่ข้อ 9
6.. ไม่บีบบังคับเพื่อน?
ใช่ไปที่ข้อ 7
ไม่ใช่ไปที่ข้อ 11
7.. ไม่ช่วยเพื่อนเรื่อยเปื่อย?
ใช่ไปที่ข้อ 12
ไม่ใช่ไปที่ข้อ 8
8.. คิดตริตรองโดยละเอียดก่อนช่วยเหลือเพื่อน?
ใช่ไปที่ข้อ 13
ไม่ใช่ไปที่ข้อ 9
9.. ไม่สนใจเรื่องของพื่อน?
ใช่ไปที่ข้อ 14
ไม่ใช่ไปที่ข้อ 10
10.. พูดแต่คำว่าไม่มีเงิน?
ใช่ไปที่ข้อ 15
ไม่ใช่ไปที่ข้อ 14
11.. เจ็บแค้นแทนเพื่อน?
ใช่ไปที่ข้อ 16
ไม่ใช่ไปที่ข้อ 12
12.. บุญคุณต้องทดแทน?
ใช่ไปที่ข้อ 17
ไม่ใช่ไปที่ข้อ 13
13.. ให้ผู้อื่นยืมเงินต้องมีการเซ็นสัญญา?
ใช่ไปที่ข้อ 18
ไม่ใช่ไปที่ข้อ 14
14.. ไม่ว่าเรื่องอะไรต้องคิดถึงตนเองก่อน?
ใช่ไปที่ข้อ 19
ไม่ใช่ไปที่ข้อ 15
15.. หวังอยากให้เพื่อนช่วยโดยไม่มีเงื่อนไข?
ใช่ไปที่ข้อ 20
ไม่ใช่ไปที่ข้อ 19
16.. ยอมเสียสละเพื่อเพื่อน?
ใช่ไปที่ข้อ A
ไม่ใช่ไปที่ข้อ 17
17.. ช่วยเพื่อนด้วยความสมัครใจ?
ใช่ไปที่ข้อ B
ไม่ใช่ไปที่ข้อ 18
18.. การช่วยเหลือต้องมีผลตอบแทน?
ใช่ไปที่ข้อ C
ไม่ใช่ไปที่ข้อ 19
19.. ผิดใจกับเพื่อนเพราะเรื่องเงินๆ ทองๆ?
ใช่ไปที่ข้อ 20
ไม่ใช่ไปที่ข้อ A
20.. อาจทำลายคนเพราะเรื่องเงินทอง?
ใช่ไปที่ข้อ D
ไม่ใช่ไปที่ข้อ B

•••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••
::::: A ::::: ประเภทสละชีวิต :::::
คุณเป็นคนที่ เห็นเรื่องของเพื่อน เป็นเรื่องสำคัญ
แต่สำหรับเรื่องของตนเอง กลับเป็นเรื่องไม่สำคัญ คุณมีความรู้สึกว่า
ระหว่างเพื่อน ความซื่อสัตย์เป็น สิ่งสำคัญ ขอเพียงแต่มีความซื่อสัตย์
ก็จะมีเพื่อนรู้ใจ ด้วยเหตุนี้ คุณจะไม่ปฎิเสธ คำขอร้องจากเพื่อน
และเป็นคนไม่หวังสิ่งตอบแทน การตอบแทนของคุณ สูงมาก คุณอาจจะยืมเพื่อน
10 บาทแต่จะคืน 20 บาท เพื่อแสดงให้เห็น ความขอบใจของคุณ
เพื่อนเพียงแต่ช่วยเหลือคุณ เล็กๆ น้อยๆ คุณจะจดจำ และเฝ้ารอโอกาส
ที่จะตอบแทน และแม้เพื่อน มีความลำบาก คุณจะเข้าช่วยเหลือ
อย่างเต็มกำลัง

::::: B ::::: ประเภทตอบแทน :::::
คุณเป็นคนที่ มีความแค้นต้องแก้แค้น มีบุญคุณต้องทดแทน
โดยปรกติ หากคุณไม่มีบุญคุณ ความแค้น กับใคร คุณจะไม่เข้าไปยุ่งด้วย
หากเป็นผู้มีบุญคุณกับคุณ คุณจะช่วย คุณจะคิดตริตรองว่า จะช่วยอย่างไร
จึงจะเหมาะสม คุณจะไม่ตอบแทน อย่างสุดจิตสุดใจ คุณเป็นผู้แบ่งดำและขาว
อย่างชัดเจน แต่ก็เป็น การช่วยเหลืออย่างมีเงื่อนไข แม้ว่าผู้มีพระคุณ
เคยช่วยชีวิตคุณ แต่คุณก็จะไม่ เสียสละชีวิตช่วยเขา กล่าวโดยทั่วไป
ระดับการตอบแทนของคุณคือ ช่วยครั้งหนึ่ง ตอบแทนครั้งหนึ่ง
ไม่มีขาดมีเกิน

::::: C ::::: ประเภทตามสภาพความเป็นจริง :::::
สำหรับคุณแล้ว ความหมายของคำว่าเพื่อน ไม่ต่างจาก
การประกันภัย หรือออมทรัพย์ คุณคิดระหว่างเพื่อน
เงินทองต้องไหลไปไหลมา และต่างฝ่ายต่างก็ใช้ เป็นเครื่องมือ
ของกันและกัน ถ้าหากเพื่อนของคุณ ชื่อเสียงเสียหมด ไม่มีเงินทองเลย
หากช่วยเขา เงินทองต้องเสียเปล่าแน่ๆ แน่นอน คุณจะไม่ช่วยเหลือเขา
ไม่ว่าเขาจะมีบุญคุณกับคุณ คุณก็จะไม่คิดถึงมัน ตรงกันข้าม
ถ้าหากเพื่อนคนนั้น มีค่าตอบแทนสูง คุณก็จะช่วยเหลือเขา ด้วยความยินดี
คุณเป็นคนที่ เหมาะจะประกอบการค้า ปัญหาอยู่ที่ว่า
คุณถือมิตรภาพเป็นการค้า สักวัน คุณต้องกระทืบเท้า
ด้วยความเจ็บช้ำน้ำใจ

::::: D :::: ประเภทเห็นแก่ตัว :::::
ความคิดและการกระทำของคุณ มักทำให้ผู้อื่นโกรธแค้น
แน่นอน คุณย่อมมีคำพูดของคุณ เช่น ไม่ทำเพื่อตนเองแล้ว จะทำเพื่อใคร
ในสมอง คิดแต่ผลประโยชน์ของตนเอง คนทั้งโลกตายหมด
ไม่เป็นไรขอคุณมีชีวิตอยู่ ด้วยเหตุนี้ คุณมีแต่ขอความช่วยเหลือ
จากผู้อื่น แต่คุณไม่เคยช่วยเหลือใคร ระดับความตอบแทนเพื่อน
ของคุณคือศูนย์ บางครั้ง นอกจากจะไม่ช่วยเหลือใครแล้ว ยังดึงเขา
มารับเคราะห์แทนอีก

..friends..เพื่อนแท้ๆๆ...

เพื่อนทั่วไปไม่เคยเห็นคุณร้องไห้
เพื่อนแท้มีหัวไหล่ไว้คอยซับน้ำตาคุณ
เพื่อนทั่วไปจะไม่รู้ชื่อพ่อแม่ของคุณ
เพื่อนแท้จะมีเบอร์ของท่านไว้ในสมุดจดโทรศัพท์ของเขา

เพื่อนทั่วไปจะถือขวดไวน์ติดมือมางานปาร์ตี้ของคุณ
เพื่อนแท้จะมาแต่วันเพื่อช่วยเตรียมงาน

เพื่อนทั่วไปอยากคุยกับคุณถึงปัญหาของเขา
เพื่อนแท้อยากช่วยปัดเป่าปัญหาของคุณออกไป

เพื่อนทั่วไปจะพิศวงในเรื่องโรแมนติกเก่าๆ
เพื่อนแท้สามารถเอาเรื่องนี้มาอำคุณได้

เพื่อนทั่วไปเวลามาเยี่ยมคุณจะทำตัวเยี่ยงแขก
เพื่อนแท้จะตรงรี่ไปเปิดตู้เย็นและบริการตนเอง

เพื่อนทั่วไปคิดว่ามิตรภาพจบลงเมื่อเกิดการทะเลาะถกเถียง
เพื่อนแท้รู้ดีว่านั่นจะมิใช่มิตรภาพ จนกว่าคุณได้เคยวิวาทกัน

เพื่อนทั่วไปคาดหวังให้คุณอยู่เคียงข้างเขาเสมอ
เพื่อนแท้คาดหวังที่จะอยู่เคียงคุณตลอดไป

เพื่อนทั่วไปจะอ่านข้อความนี้แล้วโยนลงถังขยะ
เพื่อนแท้จะเฝ้าส่งต่อๆไป จนกว่าจะมั่นใจว่ามันได้ถึงมือผู้รับ

ส่งผ่านให้ใครก็ได้ที่คุณห่วงใย
หากคุณได้รับมันกลับมา นั่นหมายว่าคุณได้พบเพื่อนแท้แล้ว

สิ่งรอบข้างของชีวิต

วันหนึ่งสามีของคุณครูของผมมาพลันจากไปอย่างกระทันหันด้วย โรคหัวใจล้มเหลว ประมาณหนึ่งสัปดาห์หลังจากที่สามีเสียชีวิตคุณครูได้แบ่งปัน ประสบการณ์ให้พวกเราฟัง

บ่ายวันนั้นแสงแดดสาดเข้ามาในห้องเรียน ขณะที่ชั้นเรียนจวนเจียนจะ
เลิกเต็มทีเธอเลยถือโอกาสเก็บข้าวของวางไว้ตรงมุมหนึ่งของโต๊ะ นั่งลง แล้ว
พูดกับนักเรียนด้วยท่าทีอันอ่อนโยนว่า "ก่อนที่จะเลิกชั้นเรียนในวันนี้ ครูอยาก
จะแบ่งปันอะไรอย่าง หนึ่งกับพวกเธอ แม้ว่าสิ่งที่ครูบอกมันจะไม่เกี่ยวข้องกับ
บทเรียนเลยก็ตามที แต่ครูก็คิดว่ามันเป็นเรื่อง สำคัญมากเพราะทุกคนที่อยู่
บนโลกนี้ เกิดมาเพื่อที่จะเรียนรู้ เพื่อแบ่งปัน เพื่อรัก เพื่อชื่นชมและเพื่อรู้จัก
เสียสละ ไม่มีใครที่จะหยั่งรู้ว่าประสบ- การณ์อันวิเศษเหล่านี้จะมลายหายไป
เมื่อใดแน่ละมันอาจไปจากคุณได้ทุกขณะจิตบางทีนี่อาจจะเป็นวิถีทางของ
พระเจ้าที่จะบอกให้เราตระหนักถึงคุณค่าของเวลาทุกวี่วัน" ถึงตอนนี้ น้ำตา
ของคุณครูเริ่มเอ่อ แต่เธอยังคงกล่าวต่อไปว่า

"ฉะนั้น ครูอยากให้พวกเธอสัญญากับครูข้อหนึ่ง นับจากนี้ไป ระหว่าง
ทางที่เธอเดินทางมาโรงเรียนหรือกลับบ้าน ขอให้เธอสังเกตสิ่งที่รายล้อมตัว
เอง มันไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งที่เรามองเห็นได้ มันอาจจะเป็นเพียงกลิ่นสัมผัส
อย่างกลิ่นหอมของขนนปังอบที่โชยมาจากบ้านหลังหนึ่ง หรืออาจจะเป็นเสียง
สายลมเบาๆ ที่ทำให้ใบไม้ส่งเสียงกรอบแกรบ หรืออาจจะเป็นแสงแรกของ
ตะวันที่ทอแสงไปยังใบไม้แล้วใบไม้นั้นก็ค่อยๆ ร่วงลงสู่พื้นดิน ทั้งหมดนี้ คือ
สิ่งที่ครูอยากให้พวกเธอได้รู้จักมองและเฝ้าทะนุถนอมมัน แม้ว่ามันอาจจะฟัง
ดูซ้ำซากแต่สิ่งเหล่านี้เป็นเหตุผลของ การดำรงชีวิต เป็นสิ่งที่จะทำให้เรามี
ความสุข เป็นสิ่งที่เราได้มาเปล่าๆ แต่ บัดนี้ ถึงเวลาแล้วที่เราจะให้คุณค่ากับ
สิ่งเหล่านี้ เพราะไม่แน่ว่า มันอาจไป จากเราเมื่อใดก็ได้"
คุณครูกล่าวในที่สุด

วินาทีนั้นทั้งชั้นเรียนเงียบกริบ พวกเราต่างเก็บหนังสือและแยกย้าย กัน
ไปอย่างเงียบๆ บ่ายวันนั้น ฉันได้สังเกตสิ่งละอันพ้นละน้อยรายทาง ทั้งๆ ที่
ตลอดภาคเรียนนั้น ฉันแทบจะไม่เคยให้ความสำคัญกับมันมาก่อนเลย

ผู้เขียน : นิรนาม
ผู้แปล : แบ่งปัน

ความรัก ในหลายมิติ

.เค้าว่าเรื่อง "ความรัก" ไม่มีคำว่าถูกและผิด
คุณไม่ผิดที่ไปรักเค้าคนนั้น
และเค้าเองก้อคงไม่ผิดที่ไม่ได้รักคุณ
ในทางตรงข้าม
คุณไม่ผิดที่ไม่ได้รักเค้าคนนั้น
และเค้าก้อไม่ผิดที่มารักคุณเช่นกัน

การห้ามใจไม่ให้รักนั้นยากนัก
แต่คงเทียบไม่ได้กับการห้ามใจให้ลืมรักเพราะย่อมยากกว่า
คุณอาจทำได้เมื่อมีใครอีกคนก้าวเข้ามาในชีวิตคุณ
แต่มันคงไม่ง่าย
ถ้าคุณต้องหักใจให้ลืมในขณะที่คุณอยู่คนเดียว
เค้าว่าการชนะใจตัวเองนั้นอาจดีและมีค่าที่สุด
แต่ในเรื่องความรัก
การชนะใจคนที่เรารักนั้นอาจย่อมมีค่ากว่า
แต่มันอาจมีค่ากว่านั้น
ถ้าคุณสามารถชนะใจตัวเองที่จะปฏิเสธกับความรักที่
ย้อนมาหาคุณ
และมันอาจมีค่าที่สุด
ถ้าคุณยอมที่จะ "แพ้"
ใจตัวเองเพื่อจะกลับไปหาความรักนั้น
.........ความรักเป็นเรื่องของคนสองคน
แต่อย่าลืมว่าบนโลกไม่ได้มีแค่เค้าทั้งคู่
อย่าโกรธเค้าที่ต้องปฏิเสธรักจากคุณ
ด้วยเหตุผลว่าเราเข้ากันไม่ได้
ด้วยเหุผลว่าสังคมเราต่างกัน
ด้วยเหตุผลว่าเค้ายังรักคุณอยู่
ด้วยเหตุผลว่าเค้ารักคนอื่นที่มีค่าพอกับคุณ
........วิทยาศาสตร์อาจต้องการเหตุผล
แต่เรื่องความรักย่อมไม่ต้องการเหตุผลใดใด
คนดีอาจรักกับคนเลว
จงอย่าโทษเค้าว่าเค้ารักคนผิด
จงอย่าโทษเค้าว่าเค้ารักคนที่ไม่เอาไหน
และจงอย่าโทษตัวเองว่าเรารักคนที่ไม่ดี
เพราะสิ่งที่คุณทำนั้นถูกต้องแล้ว
จงเชื่อในสายตาของตัวเอง
จงเชื่อประตูหัวใจอันมีค่าที่เลือกจะเปิดรับเค้าคนนั้น
.......แม้ใครจะพูดว่าคู่ของเราเป็นคนไม่ดี
แต่ในแง่ของความรัก
คุณทั้งสองเป็นคนดีของกันและกัน
อย่าโกรธเค้าที่บางครั้งเค้ายอมเป็นคนตาบอด
อย่าโกรธเค้าที่บางครั้งเค้ายอมเป็นคนหูหนวก
บางครั้งการไม่เห็นและไม่ได้ยิน
เพื่อรักษาและถนอมความรักเอาไว้
ก็อาจเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
...........นิยามความรักแต่ละคนย่อมต่างกัน
ไม่แปลกที่บางคู่อาจทะเลาะกันทั้งวัน
ไม่แปลกที่บางคู่อาจหวานให้แก่กันได้ทั้งวัน
และไม่แปลกที่บางคู่ต่างเฉยชาต่อกัน
และก้อคงไม่แปลกเลยที่บางคู่อาจต่างกันราวฟ้ากับดิน
เพราะบางครั้งความรักคือ การเติมเต็ม
บางครั้งความรักคือ
การให้อภัย
แต่บางครั้งความรักอาจคือ การเสียสละและการแบ่งปัน
บางคนความรักอาจเป็น การดูแลและปกป้อง
อย่าไปคิดว่าทำไมคู่เราถึงไม่เหมือนคู่ของใครเค้า
อย่าไปคิดว่าคู่เราแปลกหรือเปล่า
อย่าไปสนใจว่าเราควรเปลี่ยนแปลงอะไรมั๊ย
ถ้าจะเปลี่ยน
ขอให้เพื่อรักมิใช่เพื่อเลิกรัก
จงดูแลความรักของคุณ..ก่อนที่จะไม่มีให้ดูแล

รองเท้า...กับ...ความรัก

นิยามความรักของคุณคืออะไร
ส่วนของเรา...ความรัก ก็เหมือนกับ รองเท้า
รองเท้าแตะส่วนมากขายตามร้านทั่วไป

ดังนั้นเวลาเราไปเห็นก็ไม่เคยจะนึกสนใจ
มยให้ราคาถูกๆ
ก็ไม่เคยคิดจะซื้อ แต่พอจำเป็นเข้าจริงๆ
ก็ต้องไปซื้อมาแก้ขัดก่อนอยู่
&ีคนเสนอขาgt;ดี
รองเท้าบางคู่สบายใหม่ๆ อาจรู้สึกสบาย แต่ถ้าใส่นานๆ เข้า
อาจจะรู้สึกว่ารองเท้าคู่นี้ไม่เหมาะกับเรา
อยากจะถอดทิ้งเสียเหลือเกิน
รองเท้าบางคู่ลองใส่ที่ร้านแล้วรู้สึกแปลกๆ อาจมีบ้างที่คับไป
หรือ
หลวมไป
แต่ใครจะรู้ว่าบางทีพอใส่ไปซักพัก
หนังอาจจะขยายพอดีกับเท้าของเรา
จนรู้สึกว่าดีเหลือเกินที่ตอนนั้นตัดสินใจเลือกคู่นี้
รองเท้าบางคู่ ดูภายนอกอาจตลก
แต่รู้มั๊ยว่าบางทีเมื่อมันมาอยู่คู่กับเท้าของเรา
อาจจะทำให้ทั้งเท้าของเราและรองเท้าดูดีผิดหูผิดตาไป
ส่วนรองเท้าคู่ไหนที่เห็นคนอื่นใส่แล้วดูดี
ก็ไม่แน่เสมอไปว่ามาอยู่กับเราแล้วจะดีเหมือนอยู่กับคนอื่น
...
....เคยเจอมั๊ย...ใครที่มีรองเท้ามากมายเกินความจำเป็น
เขาเหล่านั้นก็คงจะไม่รู้ว่าคู่ไหนเป็นคู่โปรด
ตราบเมื่อเค้าได้เสียรองเท้าคู่นั้นไป
ซึ่งมันก็อาจจะสายไปเสียแล้วที่จะทวงคืน
....
แล้วรองเท้าตามโรงแรมล่ะ
รองเท้าสาธารณะเหล่านั้นที่ได้ผ่านเท้าของผู้คนมามากมาย
บางคู่อาจยัง
ใหม่
บางคู่อาจดูโทรม ส่วนบางคู่อาจจะนำพาโรคมาสู่ผู้ที่ใส่
แต่รองเท้าสาธารณะเหล่านี้ มีความเหมือนกันอยู่อย่างนึงคือ
ยากมากจนเรียกว่าแทบจะไม่มีเลย ที่จะมีคนมาขอซื้อเป็นเจ้าของ
นอกเสียจากซื้อไว้ดูเล่น ซึ่งก็จะไม่มีทางได้สัมผัสกับ
ความรัก
ระหว่างเจ้าของกับรองเท้า...เฮ้อ...น่าสงสาร....
...รองเท้าที่เหมาะกับเรา หาไม่ยาก และไม่ง่าย
แต่ถ้าเดินไปแล้วเจอคู่ที่ถูกใจ
อยากบอกว่า ให้รีบตัดสินใจซื้อ
ก่อนที่จะถูกคนอื่นมาชิงตัดหน้าไปก่อน

รองเท้าคู่นั้นอาจจะเป็นคู่เดียวในโลกที่เหมาะกับเรามากที่สุดก็ได้
ส่วนรองเท้าบางคู่ที่ไม่เหมาะกับเรา ใส่แล้วไม่รู้สึกสบาย
ขอแนะนำว่าอย่าพยายามใส่ต่อไปอีกเลย มีแต่จะทำให้เราทรมาน
เพราะในที่สุดเราก็ต้องโยนมันทิ้งไปอยู่ดี ..รองเท้าสมัยใหม่
ดูแล้ว
กิ๋บเก๋
แต่รองเท้าสมัยเก่าใส่แล้วก็ดูดีไปอีกแบบ
จะสมัยไหนก็ช่าง ขอให้ใส่แล้วสบายที่สุด
แล้วเมื่อเจอแล้วจงใส่มันอย่างถะนุถนอม
จะได้อยู่กับเราไปนานเท่านาน
แต่ที่แน่ๆ


คุณจะไม่มีวันได้รู้หรอกว่ารองเท้าคู่ไหนเหมาะกับคุณที่สุดจะเมื่อคุณได้
ลองใส
่เท่านั้น
...

..วันนี้คุณได้เจอรองเท้าที่คุณคิดว่าเหมาะกับคุณที่สุดหรือยัง....
พยายามเสาะหาต่อไปเถอะ


เราเชื่อว่าซักวันคุณจะได้เจอรองเท้าคู่ที่ดีที่สุดสำหรับคุณอย่างแน่
นอน...
...อย่าเลยนะ...อย่าพยายามเดินเท้าเปล่าเลย
เพราะบนถนนมีสิ่งที่เป็นอันตรายต่อเท้าของคุณมากมาย
หารองเท้าซักคู่มาใส่ป้องกันก่อนดีกว่า
แม้ว่าคู่นั้นอาจจะยังไม่ใช่คู่ที่ดีที่สุดสำหรับคุณก็ตาม....

ความสุขของ..การได้รัก....อย่างจริงใจ

ได้รับบทความหนึ่งจากเพื่อนที่ดีมากๆคนหนึ่ง
เค้าส่งมาให้อ่าน
อ่านแล้ว น้ำตาจะไหล เฮ้อ.........แปลกจริง เป็นบทความที่คงกินใจใครหลายคน
แต่ในขณะเดียวกันก็อาจ
ทำให้ความคิดบางสิ่งที่ดีๆ
ขึ้นมาในใจด้วยก็ได้

ใครบางคน บอกไว้ว่า ความรักเป็นสิ่งที่สวยงาม ไม่มีความเจ็บปวด ไม่มีน้ำตา
และไม่เคยทำร้ายใคร
แต่หากเมื่อไหร่ที่คุณรักใครแล้ว
คุณต้องร้องไห้
คุณเคยถามตัวคุณเองหรือไม่ว่า
" คุณรักเค้า จริงหรือเปล่า และรักอย่างไร "

คำตอบคือ คุณเท่านั้นที่รู้ แล้วล่ะ....

ความจริงก็คือ ในขณะที่เราคิดถึงคน ๆ
นึงตลอดเวลา
เค้าคนนั้นก็อาจคิดถึงคนอื่นอยู่ก็เป็นได้
และบางครั้ง ก็อาจมีคนที่คิดถึงเรา
โดยที่เราไม่สนใจเลยเช่นกัน
บางครั้ง การได้ฝันไปคนเดียว
มันก็ดีกว่าการได้รู้ความจริงที่ว่า
สิ่งที่เราคิดทั้งหมด
มันคือความฝันของเราเองเพียงคนเดียว
ฉะนั้น
ไม่แปลกที่คนส่วนใหญ่เลือกที่จะจ่อมจมกับความฝัน
มากกว่าการได้รับรู้ความจริง
การไม่ได้เป็นที่ 1 ในใจเค้า
ไม่ใช่เรื่องน่าเศร้า...
เราอาจเป็นที่ 2 ซึ่งมันก็ยังดีกว่าเป็นที่ 3
ที่ 4...
และหากเราเป็นที่ 10 ในใจเค้า...
ก็ขอให้คิดไว้ว่า
ดีกว่าเราไม่มีความสำคัญอะไรในใจเค้าเลย

มันอาจต้องมีน้ำตาบ้าง
ในการยอมรับความจริงที่ว่า เราไม่ใช่ที่ 1... แต่โปรดจำไว้เถอะว่า
หากหัวใจของคุณยังไม่ร้องไห้ออกมาดัง ๆ

พร้อมกับพูดกับตัวเองว่า...ชั้นเหนื่อยเหลือเกินแล้ว
โปรดห้ามใจเถอะ
ก่อนที่ชั้นจะอ่อนล้าไปกว่านี้...
ก็จงชอบต่อไปเถอะ
การรักใครซักคน ไม่ต้องการความพยายาม
"การตัดใจ"ต่างหาก
ที่ต้องใช้ความพยายามอย่างมากมาย
ลองชั่งน้ำหนักในใจเราดูสิว่า
ความสุขยามที่คุณได้สบตาเค้า
กับความทุกข์ยามที่คุณต้องคอยหลบตาเค้า
อันไหนมันหนักหนากว่ากัน

อย่าโทษตัวเอง ที่มาเจอเค้าสายเกินไป...
อย่าโทษเค้าที่ไม่มีใจให้...
อย่าโทษโชคชะตาที่ทำให้เราพบกัน
แต่ไม่ได้ทำให้เราใจตรงกัน

แต่จงยิ้มให้กับตัวเอง
ที่อย่างน้อย ถึงจะพบกับเค้าคนนั้นสายเกินไป
แต่ก็ยังได้พบ...

ยิ้มให้เค้า ที่ถึงจะไม่ได้ให้ใจเรามา
แต่ก็ยังได้รับหัวใจของเราไป...

ยิ้มให้กับโชคชะตา
ที่ถึงแม้จะไม่ได้ทำให้เรารักกัน
แต่ก็ยังทำให้เรา...ได้รู้จักกัน

คุณควรจะดีใจด้วยซ้ำที่ครั้งหนึ่ง

คุณได้เจอคนที่คุณอยากเก็บรอยยิ้มของเค้าไว้คนเดียว

คนที่คุณใส่ใจกว่าตัวคุณเอง...

คนที่ทำให้คุณหัวเราะ...และร้องไห้ได้มากมาย...

คนที่เพียงแค่ยิ้มของเค้า

ก็สามารถเปลี่ยนวันที่หมองหม่น...ให้กลายเป็นวันที่สดใส เท่านี้มันก็เพียงพอแล้ว ไม่ใช่หรือ?

แค่การได้เห็นคนที่เรารัก

ได้หัวเราะอยู่กับใครสักคนที่เค้ารักมากที่สุด

...นั่นแหละคือความสุขของการได้รัก...อย่างจริงใจ

จะรักกันอย่างไร ให้ชื่นใจไม่ชีช้ำ

อะไรต่อมิอะไรในโลกนี้ล้วนมีสองด้าน เช่น ถ้ามีดีก็ต้องมีร้าย

“ความรัก” ก็คล้ายกัน

มี ทั้งรักดีและรักเลว ส่วนท่านผู้ใดจะแจ็กพอต ได้เจอกับรักในรูปแบบไหน คงขึ้นอยู่กับ บุญทำกรรมแต่งมาแต่ชาติปางก่อน ถ้าคู่ใดแฮปปี้ เอนดิ้ง ก็ขอแสดงความยินดีปรีดาด้วย แต่หากคู่ไหนอยู่ด้วยกันแล้วทะเลาะเบาะแว้งเป็นประจำ ก็ควรหาทางแก้ไขและทำความเข้าใจ กันซะใหม่ได้แล้ว กะจิตกะใจมีความแน่วแน่ที่จะใช้ชีวิตไม่ราบรื่นตลอดชาติหรือไงนะ

ขอพูดถึง “รักที่ดี” (Good Love) ให้ ชื่นใจกันก่อนดีกว่า ว่าเป็นอย่างไร

จะทราบได้อย่างไรว่า รักที่ท่านมอบให้ หรือรับรักตอบนั้น มันดีก็ตรงที่...

00 ตลอดเวลาที่คุณตกอยู่ในห้วงแห่งรัก คุณเต็มไปด้วยความสุขสนุกสนาน ได้กระเซ้าเย้าแหย่กับหวานใจ และเขาสามารถรับมุขของคุณได้ด้วย

00 คุณมีความรู้สึกมั่นคงปลอดภัย ที่จะฝ่าภัยร้ายไปพร้อมๆ กับคนที่คุณรัก

00 คุณทั้งสองสามารถปรับตัวเข้าหากันได้เป็นอย่างดี

00 คนรักของคุณมักเลือกให้ความสำคัญกับคุณเป็นอันดับแรก ไม่ว่ากิจการงานอื่นจะ เร่งด่วนขนาดไหน เขาก็ยังเห็นคุณเป็นสุดยอดแห่งความสำคัญเสมอ

และสุดท้าย ความรักที่ดี คือการยึดมั่นในการมีกันและกันอย่างเหนียวแน่น ไม่ใช่ว่า เธอไปทาง ฉันไปอีกทาง แล้วอย่างนั้น จะเรียกว่ารักไหมล่ะท่าน

แล้ว ที่เขียนถึงความรักที่ดีก่อนก็ไม่ใช่อะไรหรอก แต่เพราะรู้ว่าเป็นสิ่งที่หาได้ยากในสังคมปัจจุบัน ซึ่งเต็มไปด้วยแสงสีและความเย้ายวน แถมอบายมุขก็เต็มไปหมด ดังนั้น โอกาสที่จะได้สัมผัสกับกู๊ด เลิฟ คงยากหน่อยนะจ๊ะ

ทีนี้หันมา สาธยายถึง “รักที่เลวหรือรักที่แย่” (Bad Love) กันบ้าง เพราะชีวิตจริงเต็มไปด้วยทั้งสุขและทุกข์นี่นา แล้วจะไม่ให้มีรักแบบเจ็บปวดได้อย่างไร

รักที่เลวร้าย มักทำให้ใครคนนั้น มีอาการดังต่อไปนี้

00 ชีวิตของคุณจะเต็มไปด้วยความกดดัน กระสับกระส่าย ทุกข์ระทม หรือไม่สบายใจ ทั้งเป็นแบบพักๆ แล้วหยุด หรือเป็นอย่างนี้อยู่ตลอดเวลามิได้ขาดก็ขึ้นกับว่า ใครจะซวยมาก ซวยน้อย หรือซวยซ้ำซวยซ้อน

00 เป็นคู่ที่มีปากมีเสียงกันบ่อยครั้ง ไม่ใช่แย่งกันชื่นชมซึ่งกันและกันหรอกนะ แต่ถล่มด้วยคำพูดเพื่อให้เกิดแผลใจต่างหากล่ะ

หนำ ซ้ำพอฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตัดสินใจทำอะไรลงไป อีกคนจะรับไม่ทัน แล้วก็ต้องหาทางไกล่เกลี่ย ทำความเข้าใจกันใหม่อยู่เรื่อย โดยคาดว่า การปรับความเข้าใจกันบ่อยจะยิ่งทำให้สัมพันธภาพแห่ง ความรักยืนยาวต่อไป แต่ทานโทษ มันไม่ยักเป็นไปตามคาดน่ะซี ขณะเดียวกันความขุ่นข้อง หมองใจจะเพิ่มปริมาณให้หัวใจระบมหนักขึ้นไปอีก

00 มีรักที่ตั้งอยู่บนความไม่เชื่อใจเป็นพื้นฐาน และความหลอกลวงเป็นเสาเข็ม แถมยังอ่อนแรงต่อการผูกสัมพันธ์

เมื่อพิจารณาโดยรวมแล้ว จึงทำให้รักที่เลวเป็นความรักที่ไม่มั่นคงนั่นเอง

หาก ใครประสบชะตากรรมกับรักอย่างหลัง ชีวิตคงชีช้ำกะหล่ำปลีอยู่เป็นนิจ จะมองหาความสุข จากรักเลวๆ คงยากนะน้องนะ แต่คุณผู้อ่านเชื่อไหมว่า บางคนแม้จะพบกับรักไม่ดีถึงปานนี้ แต่ก็ยังดึงดันที่จะรักกันอยู่นั่น จะเป็นเพราะกลัวว่าจะหาคนมารักไม่ได้แล้ว หรือกลัวที่จะต้องอยู่ลำพังโดดเดี่ยว เปล่าเปลี่ยวใจก็มิทราบ

รู้แต่ ว่า คนที่มีรักรันทดเหล่านี้มักจะหาข้อแก้ตัวมาหักล้าง เพื่อให้รักของตนดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ถ้าใครขืนสะเหร่อเตือนขึ้นมา ก็จะได้ฟังการแก้ต่างแบบข้างๆ คูๆ ว่า...

ก. ฉันชอบความท้าทาย เหตุนี้คนอื่นไม่ต้องมาเตือนให้เสียเวลาหรอก หรือไม่ก็

ข. ฉันว่ารักแบบสุกๆ ดิบๆ อย่างนี้แหละตื่นเต้นดี ถ้าชีวิตรักมีแต่ราบรื่นไปซะหมด ก็ไม่มันนะซี ขืนอ้างแบบนี้ก็เท่ากับแยกไม่ออกว่า ตกอยู่ในสภาพอมทุกข์กับเร้าใจประเดี๋ยวประด๋าวนั้นเป็นอย่างไร แบบนี้ก็ปล่อยให้ตกนรกต่อไปแล้วกัน

ค. โธ่ ฉันอุตส่าห์เสียเวลาไปตั้งนาน แล้วจะให้ฉันทิ้งสิ่งนี้ไปง่ายๆ หรือ? ที่จริงถ้าไม่อยากถอนสมอ จากรักชวนชอกช้ำ ก็ไม่มีใครว่าอะไร โถ เพิ่งรู้ว่าชอบความตึงเครียด แค่ต้องผจญกับวิกฤติเศรษฐกิจอย่างเดียว ยังเครียดไม่พอหรือไงจ๊ะ

ง. จอมแก้ตัวก็จะพูดทำนองว่า คนอื่นอาจเห็นเราสองคนไม่กินเส้นกันบ่อยๆ แต่พอเรา อยู่ด้วยกัน ตามลำพัง รู้ไหมว่า มันวิเศษแค่ไหน? ...ขืนถามสวนกลับแบบนี้ ใครจะไปรู้เรื่องส่วนตัว ของคนอื่นเล่า แต่เท่าที่เห็น เธอสองคนไม่ค่อยมีเวลาอยู่ด้วยกันตามลำพังเลยนี่ มีแต่หล่อนนั่นแหละอยากอยู่กับเขา ไม่เห็นเขาสนใจอยากหนุงหนิงด้วยสักหน่อย

แต่อย่างว่าล่ะนะ บางคนรักแล้วรักเลยจริงๆก็มี จะไปว่าเขาตาถั่วรักคนไม่เอาไหนได้ไงเนี่ย เพราะความไม่ได้เรื่องของคนนึง อาจเป็นที่ชื่นชอบของอีกคนก็ได้

ต่างคนก็ต่างใจ คบกันไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็รู้ว่าไปกันรอดหรือไม่

เดี๋ยวนี้รักไวไฟ เรื่องอะไรต้องรอพิสูจน์นาน.

การประดิษฐ์เครื่องมือกระตุ้น H-reflex และโปรแกรมแสดงสัญญาณ

A CONSTRUCTION OF H-REFLEX DETECTABLE INSTRUMENT AND THE RECORDED PROGRAM

จิรัตน์ ตังอาพรรณ
วศ.ม. (วิศวกรรมชีวการแพทย์)

วัตถุประสงค์
- เพื่อออกแบบและสร้างเครื่องมือทางการแพทย์ โดยรวมเครื่องมือการกระตุ้นไฟฟ้าและระบบการได้มาของข้อมูลเข้าด้วยกันในราคา ที่พอซื้อหาได้ ซึ่งจะเป็นเครื่องมือต้นแบบพื้นฐานหนึ่งสำหรับการพัฒนาเพิ่มขึ้นในการวิเครา ะห์รูปแบบต่างๆของ reflex และยังเป็นประโยชน์กับการวินิจฉัยและการทำนายเบื้องต้นสำหรับการทดสอบและศึก ษาความไวต่อการกระตุ้นของระบบกล้ามเนื้อและระบบประสาท และยังช่วยในการศึกษาการฟื้นตัวของผู้ป่วยด้วย

การประดิษฐ์เครื่องมื อสำหรับการกระตุ้น การจับสัญญาณ และการแสดงผลสัญญาณของ H-reflex ได้รับการเสนอในที่นี้ทั้งในทางทฤษฎีและปฏิบัติ สัญญาณ H-reflex เป็นผลตอบสนองทางไฟฟ้าหนึ่งของการส่งผ่านที่จุดประสานประสาททอดเดียวใน spinal cord สัญญาณนี้มีการประยุกต์ใช้ในการประเมินต่างๆ ในโรคทางระบบประสาท เช่น stroke, spinal injury หรือเงื่อนไขอื่นๆที่เกี่ยวข้อง เครื่องมือที่ประดิษบ์ขึ้นจะประกอบไปด้วยส่วนของการกระตุ้นและส่วนของระบบกา รได้มาของข้อมูล ทั้งสองส่วนนี้จะได้รับการออกแบบและสร้างเพื่อเป็นแนวทางที่ง่ายสำหรับการดึ งและวัดสัญญาณ H-reflex เครื่องกระตุ้นแบบปล่อยกระแสคงที่สำหรับโหลดที่มีอิมพิแดนซ์สูงด้วยการใช้ส่ วนประกอบที่ประหยัดและมีมาตรฐานทั่วไปที่ทนแรงดันได้สูงได้รับการประดิษฐ์ขึ ้นเพื่อปลุกสัญญาณ H-reflex ออกมา เครื่องกระตุ้นนี้จะปล่อยความเข้มของกระแสในช่วง 0 ถึง 20 มิลลิแอมแปร์ และช่วงให้กระแสในช่วง 0.1 ถึง 1.0 มิลลิวินาที ความถี่ที่ใช้ในการกระตุ้นจะอยู่ในช่วง 0.1 ถึง 1.0 เอิร์ตซ ทั้งนี้ช่วงที่ให้กระแสและความถี่จะถูกควบคุมผ่านทางซอฟแวร์ อุปกรณ์ต่างๆ จะถูกเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์สำหรับการประมวลผลทางดิจิตอล หลังจากนั้นโปรแกรมจะถูกใช้สำหรับการส่งคำสั่งที่เหมาะสมไปควบคุมการได้รับ การแสดง และการบันทึกข้อมูลสัญญาณ H-reflex




จากการประชุมวิชาการ เสนอผลงานวิจัยบัณฑิตศึกษา ครั้งที่ 1
เรื่อง บัณฑิตศึกษาเพื่อการพัฒนาประเทศไทย
30-31 มกราคม 2550 ณ อาคารบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา

ผมถูกขู่ทำร้าย

มอญฟรี ขึ้นไปบนโรงพัก ปรึกษากับสารวัตรสอบสวน

"ผมถูกขู่ทางโทรศัพท์ 2-3 ครั้งแล้ว ตามกฎหมายผมจะแจ้งความเอาผิดกัยคนที่ขู่ทำร้ายผมได้ไหมครับ สารวัตร"

"อ๋อ ได้สิ ว่าแต่คุณรู้ตัวคนที่ขู่ทำร้ายคุณหรือเปล่าล่ะ"

"รู้ซีครับ เขาเป็นผัวของผู้หญิงคนที่ผมไปติดพันอยู่นั่นละครับ


พฤศจิกายน พ.ศ. 2534

วันพุธที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2548

การออกกำลังกายแบบแอโรบิค (Aerobic Exercise)

ศาสตราจารย์ นายแพทย์ ดร.วิจิตร บุณยะโหตระ

คำว่า แอโรบิค หมายถึง "มีชีวิตอยู่ในอากาศ" หรือ "การใช้อ๊อกซิเจน"

การออกกำลังกายแบบแอโรบิคหมายถึง การเคลื่อนไหวที่ต้องการใช้อ๊อกซิเจนจำนวนมากโดยใช้เวลานาน เพื่อให้ร่างกายสามารถนำอ๊อกซิเจนไปใช้ประโยชน์อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

การออกกำลังกายที่ใช้เวลาจะทำให้ปอดสูดอ๊อกซิเจนเข้าไปจำนวนมาก อ๊อกซิเจนจะเข้าสู่กระแสโลหิตและถูกสูบฉีด (โดยหัวใจที่ทำงานเต็มที่) ไปเลี้ยงเซลล์ของอวัยวะต่างๆทั่วร่างกายอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เซลล์ทุกเซลล์ของร่างกายได้รับอาการเต็มที่และขับออกทางลมหายใจ เหงื่อ ปัสสาวะและอุจจาระ ภายหลังการออกกำลังกายแบบแอโรบิค เซลล์ทั่วร่างกายจึงสะอาดบริสุทธิ์และแข็งแรงเต็มที่

การออกกำลังกายแบบแอโรบิค ต้องการกาเคลื่อนไหวช้าๆ แต่ใช้เวลานาน เช่น ในการวิ่งต้องวิ่งช้าๆ สบายๆ แต่ต้องใช้ระยะทางครั้งละ 4-5 กม. และใช้เวลา 30-40 นาที เป็นต้น จึงทำให้ร่างกายอดทนและอึด

การออกกำลังกายแบบแอโรบิค เป็นกุญแจที่จะทำให้เกิดสมดุลระหว่างร่างกายและจิตใจ และยังก่อให้เกิดประโยชน์ดังต่อไปนี้

1. ท่านจะมีระดับพลังงานสูงเป็นระยะเวลานานในแต่ละวัน
2. ทำให้ระบบย่อยอาหารดีและท้องไม่ผูก
3. เป็นวิธีควบคุมน้ำหนักได้อย่างแท้จริงและถาวร
4. กระดูกแข็งแรงและสมบูรณ์แม้จะสูงอายุ
5. เพิ่มสมรรถภาพของสติปัญญาและสมรรถภาพของการทำงาน
6. นอนหลับได้ดีและมีคุณภาพ
7. เป็นวิธีควบคุมความเศร้าซึมและอารมณ์เปลี่ยนแปลงอื่นๆที่ได้ผลดี
8. ผ่อนคลายความเครียดโดยไม่ต้องอาศัยแอลกอฮอล์หรือยา
9. ป้องกันโรคหัวใจและโรคเสื่อมอื่นๆ
10. เป็นการออกกำลังกายที่ให้ผลดีสูงสุด โดยใช้เวลาน้อยที่สุด ( ประมาณ 1 ชม. 20 นาที ต่อสัปดาห์)

ร่างกายของคนเราถูกสร้างขึ้นมาเพื่องานหนัก ซึ่งต้องการการเคลื่อนไหวเกือบตลอดเวลา หากร่างกายนิ่งอยู่กับที่นานๆ ขาดการเคลื่อนไหวที่มากพอ ร่างกายก็จะเกิดเสื่อม เช่น จะมี อาการปวดหลัง กล้ามเนื้อหย่อนยาน มีไขมันจับพอกตามหลัง ต้นแขนต้นขา รวมทั้งสมองเสื่อม และจิตใจอ่อนแอหรือปรวนแปรได้ง่าย

Paul Dudley White ได้กล่าวว่า การออกกำลังกายแบบแอโรบิคเป็นวิธีที่จะทำให้คนเราสุขภาพดีขึ้นเมื่อเราอายุมากขึ้น

ขณะที่ออกกำลังกายแบบแอโรบิคขึ้น ร่างกายจะใช้อ๊อกซิเจนในปริมาณสูงมาก อวัยวะต่างๆของร่างกายจะทำงานเต็มที่ จึงทำให้เกิดผลดังต่อไปนี้

1. การเผาผลาญพลังงานในร่างกายสูงถึง 12-15 เท่า ของอัตราการเผาผลาญขณะพัก (BMR)

2. ปริมาตรทั้งหมดของเลือด (total blood volume) เพิ่มขึ้นจนมากพอที่จะนำอ๊อกซิเจนไปสู่เซลล์ทั่วร่างกาย

3. สมรรถภาพการทำงานของปอด (lung capacity) เพิ่มขึ้น

4. กล้ามเนื้อหัวใจจะแข็งแรงขึ้น เนื่องจากกล้ามเนื้อทำงานมากขึ้นและมีเลือดมาเลี้ยงมากขึ้นทำให้กล้ามเนื้อ หัวใจขยายโตขึ้นและแข็งแรง ปริมาตรของเลือดที่หัวใจบีบแต่ละครั้ง (stroke volume) จึงสูงขึ้น

5. ไขมันดีในเลือด (HDL High density lipoprotein) สูงขึ้นในขณะที่ไขมันเลว (LDL Low density lopiprotein) ลดลง จึงทำให้อัตราของไขมันดี (HDL ratio) สูงขึ้น เป็นการลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ และโรคเส้นเลือดแข็ง

ประโยชน์ที่ได้รับจากการออกกำลังกายแบบแอโรบิคต่อสุขภาพที่สมบูรณ์เต็มที่ มีอย่างน้อย 7 ประการ คือ

1. ทำให้กระดูกแข็งแรงขึ้น

ปกติเมื่อคนเราอายุเกิน 35 ปี กระดูกจะบางลง เนื่องจากแคลเซี่ยมเคลื่อนตัวออกจากกระดูกเข้าสู่กระแสโลหิต (Demineralization) ทำให้กระดูกมีลักษณะเหมือนกล้ามเนื้อซึ่งจะแข็งแรงขึ้น และหนาขึ้นเมื่อได้เคลื่อนไหวและออกกำลังกายเพียงพอ ยกตัวอย่างเช่น นักเทนนิส มีกระดูกแขนใหญ่และหนาขึ้นในแขนข้างที่เราใช้ตีเทนนิสเป็นประจำ นักวิ่งจะมีกระดูกขาแข็งแรงและใหญ่กว่า เมื่อเปรียบเทียบกับกระดูกแขน ดังนั้นการออกกำลังกายเป็นประจำทั้งแขนและขาจึงมีความจำเป็นในคนสูงอายุ โดยเฉพาะสตรีหลังวัยหมดประจำเดือน ซึ่งมักจะเกิดโรคกระดูกพรุน

2. ช่วยควบคุมไม่ให้เกิดความเครียดทั้งร่างกายและจิตใจ

3. ช่วยบำบัดอารมณ์ปรวนแปร

4. เพิ่มสติปัญญา (Intellectual capacity) และเพิ่มสมรรถภาพการทำงาน (Productivity)

ดร.เรย์ ดิลลิงเกอร์ จิตแพทย์ในรัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา ได้ศึกษาพบว่า การออกกำลังกายทำให้ความคิดริเริ่มดีขึ้น มีสมาธิดีขึ้น และปฏิกิริยาตอบโต้ทางสมอง (mental response time) เร็วขึ้น

5. ช่วยควบคุมน้ำหนัก

การออกกำลังกายร่วมกับการควบคุมอาหาร เป็นวิธีควบคุมน้ำหนักที่ได้ผลอย่างถาวรปลอดภัยและมีประสิทธิภาพที่สุด การควบคุมอาหารเพียงอย่างเดียว ไม่ได้ออกกำลังกายนอกจากจะไม่ได้ผลอย่างถาวรในระยะยาวแล้วจะทำให้ร่างกาย อ่อนแอ เกิดโรคแทรกซ้อนและอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพและชีวิตได้ การออกกำลังกายเพียงอย่างเดียวโดยขาดการควบคุมอาหารก็จะไม่ได้ผลดีเช่นเดียว กัน ยกตัวอย่างเช่น เราเดินนาน 20 นาที จะเผาผลาญพลังงานไปเพียง 70 แคลอรี่ หรือเราวิ่งระยะทาง 1ไมล์ (1.5 กม.) ในเวลา 6 นาที เราใช้พลังงานไปเพียง 150 แคลอรี่ ดังนั้น ถ้าเราจะลดน้ำหนัก 1 ปอนด์ ซึ่งต้องเท่ากับต้องใช้พลังงานไปให้ได้ 3500 แคลอรี่ คิดดูเถิดว่าเราต้องเดินและวิ่งมากมายสักเท่าใดถ้าไม่ควบคุมอาหารร่วมด้วย

ถ้าเราลดน้ำหนักให้ได้ 1 ปอนด์ในทุกๆ 2 สัปดาห์ โดยการออกกำลังกาย เราจะต้องใช้พลังงาน 200-250 แคลอรี่ต่อวัน โดยการออกกำลังกาย

- เดิน 4.5 ไมล์/ ชั่วโมง - พลังงานที่ใช้ 400 แคลอรี่/ชั่วโมง เวลาที่ใช้สำหรับพลังงาน 250 แคลอรี่ = 45 นาที
- เทนนิส - พลังงานที่ใช้ 425 แคลอรี่/ชั่วโมง เวลาที่ใช้สำหรับพลังงาน 250 แคลอรี่ = 35 นาที
- ว่ายน้ำ 45 หลา/ นาที - พลังงานที่ใช้ 530 แคลอรี่/ชั่วโมง เวลาที่ใช้สำหรับพลังงาน 250 แคลอรี่ = 30 นาที
- วิ่ง 5.5 ไมล์/ ชั่วโมง - พลังงานที่ใช้ 650 แคลอรี่/ชั่วโมง เวลาที่ใช้สำหรับพลังงาน 250 แคลอรี่ = 22 นาที
- จักรยาน 13 ไมล์/ ชั่วโมง - พลังงานที่ใช้ 850 แคลอรี่/ชั่วโมง เวลาที่ใช้สำหรับพลังงาน 250 แคลอรี่ = 18 นาที

6. ป้องกันโรคหัวใจ

6.1 เพิ่มระดับ HDL ลดโคเลสเตอรอล ลด LDL และ เพิ่ม HDL ratio
6.2 เพิ่ม vital capacity และเพิ่มประสิทธิภาพการหายใจของปอด (lung capacity) ซึ่งเป็นผลให้มีอายุยืนยาวขึ้น
6.3 ทำให้เลือดแข็งตัวช้าลง อัตราการเกิดเส้นเลือดหัวใจอุดตันน้อยลง
6.4 กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรงและหนาขึ้น (ขนาดของหัวใหญ่ขึ้นเล็กน้อย ทำให้หัวใจขับเลือดได้ปริมาตรมากขึ้นในแต่ละครั้ง (increased stroke volume) หัวใจจึงไม่ต้องทำงานหนักเหมือนแต่ก่อน

7. ป้องกันโรคมะเร็งและโรคเสื่อมอื่นๆ

ภูมิศาสตร์ในชนบท

จาก ภูมิศาสตร์ ชนบท
โดย สากล สถิตวิทยานันท์

คำนำ


ในชนบทที่ห่างไกล มีหลายสิ่งหลายอย่างที่น่าศึกษาและหาความรู้ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่สวยงามตาม ธรรมชาติ ท้องไร่ท้องนา ภารกิจประจำวันของชาวบ้านหรือวัฒนธรรมประเพณีที่สืบทอดกันมาแต่บรรพบุรุษ สิ่งต่างๆเหล่านี้บางอย่างแฝงไปด้วยความเร้นลับยากที่จะหาคำตอบ บางอย่างก็เต็มไปด้วยความสวยงามที่เกิดจากจินตนาการจากธรรมชาติ และบางอย่างเต็มไปด้วยความโหดร้ายทารุณจากธรรมชาติ ที่ไม่มีใครจะยับยั้งได้ ดังนั้น ชนบทจึงเปรียบเสมือนศูนย์กลางของเหตุการณ์ทั้งหลายๆอย่างอันพึงจะเกิดขึ้น ได้ในชีวิต เอกสารนี้นำเสนอเนื้อหาที่เกี่ยวกับชนบท เพื่อจะให้ผู้สนใจได้เข้าใจและรู้จักชนบทมากขึ้น

สภาพทั่วไปของชาวชนบท


ชาวชนบทโดยทั่วไปส่วนใหญ่อยู่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ เช่น ฟ้าฝน ความร้อนระอุ ความหนาวเย็น การงอกงามและเหี่ยวแห้งของพืช ชาวชนบทมีความยินดีกับความเจริญงอกงามของพืชในท้องไร่ท้องนา ชาวชนบทต้องการธรรมชาติที่เอื้ออำนวย ต้องการดิน น้ำที่อุดมสมบูรณ์ การชลประทาน การป้องกันศัตรูพืชและสัตว์ ตลอดจนราคาของผลผลิต

ทำไมต้องศึกษาภูมิศาสตร์ชนบท


เมื่อกล่าวถึงชนบท จะเห็นได้ว่านับตั้งแต่หลายร้อยปีมาแล้วจนถึงปัจจุบัน ประชาชนที่อาศัยอยู่ในแถบชนบทมีอาชีพอยู่ด้วยการเกษตร สัมผัสอยู่กับท้องไร่ท้องนา ประสบการณ์ต่อกิจกรรมด้านการเกษตรยังยึดมั่นอยู่กับแบบเดิม แต่ถ้าหากเข่าเหล่านั้นได้รับการศึกษา ได้รับการช่วยเหลืออบรมหรือคำแนะนำจากหน่วยงานในด้านการเกษตรแล้ว เขาก็จะนำประสบการณ์เข้ามาผสมผสานกับความรู้ใหม่ๆ ซึ่งจะทำให้ผลผลิตของเขาเพิ่มขึ้นอย่างไม่มีปัญหา โดยสภาพทางภูมิศาสตร์ต้องเอื้ออำนวยด้วย อย่างไรก็ตามความเจริญก้าวหน้าทางด้านเกษตรกรรมไม่ได้ขึ้นอยู่กับสภาพทาง ภูมิศาสตร์แต่เพียงอย่างเดียว ยังขึ้นอยู่กับลักษณะของคนด้วย เพราะถ้าเป็นคนขยันขันแข็ง อดทน เอาจริงเอาจังแล้วอยู่ในสภาพแวดล้อมอย่างไรก็อยู่ได้ ดังนั้นในการศึกษาภูมิศาสตร์ชนบทต้องมีการศึกษาด้วยเพื่อจะได้ทราบวิถีชีวิต (way of life) อันแท้จริงของชาวชนบท ตลอดจนได้ทราบถึงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติหรือมนุษย์กับมนุษย์ การเปลี่ยนแปลงในด้านต่างๆของชุมชนในชนบทและปัญหาต่างๆในชนบทตลอดจนแนวทาง แก้ไข

ข้อแตกต่างระหว่างชนบทกับเมือง


ก่อนที่จะเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างชนบทกับเมือง จำเป็นต้องทราบความหมายของทั้งสองคำนี้ก่อน

ชนบท (rural) หมายความว่าอย่างไร

คือบริเวณที่ประชากรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพที่เกี่ยวข้องกับการเกษตร (ทำไร่ ทำนา ประมง เลี้ยงสัตว์)

เชิดชาย เหล่าหล้า (2523) ได้ให้ความหมายไว้ว่า ได้แก่ที่ซึ่งประชาชนพลเมืองอาศัยอยู่นอกเมืองหลวงหรือเมื่องใหญ่ๆ เป็นชีวิตของชุมชนที่อยู่ตามสวน ตามป่า ตามไร่ และท้องนา

ราชบัณฑิตยสถาน (2523) ได้ให้ความหมายไว้ว่า เป็นชุมชนที่มีประชากรต่ำกว่า 2,500 คน และอาศัยอยู่นอกหน่วยการปกครองที่ไม่นับว่าเป็นเมืองหรือเป็นนคร

แสง สงวนเรือง (2522) ได้ให้ความหมายในลักษณะของอุตสาหกรรมในชนบทไว้ว่า หมายถึงอุตสาหกรรมที่อยู่นอกเขตนครหลวง (Greater Bangkok) ซึ่งรวมถึงกรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานีและสมุทรปราการ

เมือง (Urban) หมายความว่าอย่างไร

ราชบัณฑิตยสถาน (2523) ได้ให้ความหมายไว้ว่า เป็นชุมชนที่มีลักษณะเป็นหัวใจของชุมชนย่อยที่อยู่รอบๆ โดยมีสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับเศรษฐกิจ และสังคม ตลอดจนความสะดวกสบายอยู่ในรูปของเมือง

เชิดชาย เหล่าหล้า (2523) ได้สรูปว่า เป็นที่ทีมีพลเมืองหนาแน่น มีความเจริญ มีศูนย์กลางต่างๆ ฯลฯ

เมื่อพิจารณาถึงปัจจัยทางภูมิศาสตร์ การประกอบอาชีพ สังคมและสภาพแวดล้อมแล้ว ชนบทกับเมืองมีข้อแตกต่างกันดังนี้

1. สภาพแวดล้อม ในชนบทมีสภาพแวดล้อมที่เป็นธรรมชาติเป็นส่วนใหญ่ เช่น ทะเล ภูเขา แม่น้ำ ท้องไร่ ท้องนา ส่วนในเมืองนั้นสภาพแวดล้อมจะเต็มไปด้วยสิ่งก่อสร้าง ได้แก่ ตึก อาคาร หรือบางครั้งเรียกว่า ป่าคอนกรีต

2. การประกอบอาชีพ ชาวชนบทส่วนใหญ่จะประกอบอาชีพที่เกี่ยวกับการเกษตรและในแต่ละชุมชนมีประเภท ของการเกษตรคล้ายคลึงกัน นอกจากนี้ระบบการเกษตรส่วนใหญ่ยังเป็นแบบยังชีพ (subsistence) ถ้าเป็นการปลูกพืชก็ปลูกเพียงครั้งเดียว พืชชนิดเดียว ครอบครัวเดียวกันจะประกอบอาชีพอย่างเดียวกัน มีเวลาว่างจากการทำงานมาก รายได้ที่เป็นตัวเงินของชาวชนบทมีน้อยและไม่แน่นอน และรายจ่ายก็น้อยด้วย ส่วนประชากรที่อยู่ในเมืองประกอบอาชีพขั้น 2 และ 3 เช่น รับราชการ ธนาคาร พ่อค้า อุตสาหกรรม เป็นต้น รายได้จะเป็นตัวเงินและแน่นอน ในครอบครัวเดียวกันแต่ละคนอาจจะประกอบอาชีพแตกต่างกันและขวนขวายหารายได้มา จุนเจือครอบครัวตลอดเวลา

3. ความหนาแน่นของประชากร ในชนบทถึงแม้จะมีพลเมืองมากแต่พื้นที่ก็มีมาก ทำให้ความหนาแน่นของประชากรน้อยไปด้วย ถนนหนทางมีน้อยและไม่ค่อยสะดวก แต่ในเมืองมีความหนาแน่นของประชากรมากเนื่องจากเป็นศูนย์กลางต่างๆ และที่อยู่อาศัย ถนนหนทางคับคั่งไปด้วยรถยนต์และประชาชน

4. ด้านสังคม ในชนบทมีลักษณะของสังคมปิด (close society) คือรู้จักกันหมดทั้งหมู่บ้าน เรียกว่า หัวบ้านท้ายบ้าน ใครทำอะไรผิดแผกออกไปจะรู้และโจษขานกันทั้งหมู่บ้าน ลักษณะสังคมจะเป็นแบบเก่า มีกิจกรรมและพิธีกรรมพื้นบ้านเป็นอันมาก ยิ่งเป็นประเพณีแล้วจะรักษาและปฏิบัติกันมิได้ขาด ลักษณะเช่นนี้จึงทำให้ชาวชนบทรักถิ่นที่อยู่ ไม่ชอบการเดินทางหรือโยกย้ายบ่อยๆ และไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง สำหรับในเมืองเป็นลักษณะสังคมเปิด (open society) คือแต่ละคนไม่ค่อยสนใจกันมากนัก หรือต่างคนต่างอยู่ต่อสู้และแข่งขันกันตลอดเวลา ชอบมีการเปลี่ยนแปลงและรับสิ่งใหม่ๆอยู่เสมอ

5. ด้านการศึกษาและความเชื่อ ชาวชนบทส่วนมากได้รับการศึกษาต่ำ เพียงแต่จบการศึกษาภาคบังคับเท่านั้น จึงเป็นสังคมที่เชื่อมั่นและปลูกฝังในสิ่งเก่าๆ ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงง่ายๆ เชื่อในสิงที่ไม่มีเหตุผล ส่วนสังคมในเมืองนั้นประชาชนมีการศึกษาสูงกว่า การรับรู้ข่าวสารบ้านเมืองมีมากกว่าและเชื่อในสิ่งที่มีเหตุผล

Clout (1976) ได้เขียนข้อแตกต่างระหว่างชนบทกับเมืองนอกเหนือจากที่กล่าวมา ได้แก่ บ้านในชนบท จะสร้างด้วยวัสดุที่อยู่รอบๆชุมชน ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของชาวชนบทจะมีมากกว่าในเมือง เพราะลักษณะของภาษา ความเชื่อ ความคิดเห็น และพฤติกรรมซึ่งเป็นแบบเดียวกันจึงเป็นผลทำให้ชนบททีความเป็นอยู่อย่างสงบ ความแตกต่างทางฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมในเมืองมีมากกว่าในชนบท การที่เส้นทางคมนาคมติดต่อกับภายนอกไม่ค่อยสะดวกก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำ ให้ชาวชนบทได้พบปะและใกล้ชิดกัน

การตั้งถิ่นฐานบ้านเรือน (Settlements)


มนุษย์ในสมัยก่อน หรือในยุคหินไม่เคยตั้งบ้านเรือนเป็นหลักแหล่ง พวกมนุษย์หินจะอพยพไปเรื่อยๆ ตามการอพยพของสัตว์ซึ่งเป็นอาหาร เมื่อมนุษย์ล่าสัตว์ได้ก็จะรีบกินหมด เพราะสมัยนั้นยังไม่รู้จักการเก็บถนอมอาหาร เมื่ออาหารหมดหากล่าสัตว์ยังไม่ได้มนุษย์ก็จะอดและหิว

ชีวิตของมนุษย์หินไม่แตกต่างอะไรไปจากสัตว์ การมีชีวิตอยู่คือการเลี่ยงโชค และทุกคนก็มรโอกาสล่าและถูกล่าตลอดเวลา อาหารการกินก็แล้วแต่จะหาได้ เช่น พืช ผัก ผลไม้ รากไม้ สัตว์เล็กใหญ่ แม้กระทั่งแมลง เมื่อไม่สามารถหาสัตว์ใหญ่ได้ในยุคก่อนมีการเพาะปลูก

มนุษย์เริ่มรู้จักกันพืชและเมล็ดพืช เมื่อมนุษย์เริ่มรู้จักข้าวและหยุดการเร่ร่อนล่าสัตว์เพื่อปลูกข้าวในบาง เวลา และรู้จักการเก็บข้าวไว้เป็นอาหาร นอกจากนี้ก็เริ่มใช้หนังสัตว์นุ่งห่มเสื้อผ้า และหาสิ่วของมาสร้างที่อยู่อาศัย บางกลุ่มก็ใช้ใบไม้ หนังสัตว์ กิ่งไม้ หิน ดิน แล้วแต่สิ่งแวดล้อมหรือสิ่งที่หาได้จากธรรมชาติบริเวณนั้น อย่างไรก็ตามมนุษย์ก็ยังย้ายถิ่นที่อยู่อาศัยต่อไป เมื่อในแถบนั้นไม่มีสัตว์ซึ่งเป็นอาหารสำคัญ อาวุธคู่มือในการล่าสัตว์มีความสำคัญมากกว่าที่อยู่อาศัยในสมัยนั้น เมื่อย้ายถิ่นที่อยู่อาศัยไปถึงที่อุดมสมบูรณ์ มนุษย์ก็จะสร้างที่อยู่ชั่วคราวขึ้นมาอีก ในสมัยนั้นที่อยู่สร้างขึ้นเพื่ออาศัยนอนเท่านั้น เนื่องจากจะต้องมีการย้ายถิ่นเมื่อแถบนั้นอาหารหมด

มนุษย์บางกลุ่มชอบใช้ถ้ำเป็นที่อยู่อาศัยเพื่อหนีความหนาวเย็น โดยมากจะอยู่บริเวณปากถ้ำ เพราะต้องอาศัยแสงสว่างในเวลากลางวัน และรู้จักใช้ไฟในการดำรงชีวิต

การก่อกำเนิดของการตั้งถิ่นฐานบ้านเรือน


ความต้องการในการตั้งถิ่นฐานอยู่รวมกัน คือ อาหาร ความมั่นคงปลอดภัย และความเชื่อมั่นเหมือนกันในทางศาสนา ถิ่นฐานบ้านเรือนของแต่ละพวกแสดงถึงนิสัยใจคอ วัฒนธรรมและสังคมของคนกลุ่มนั้น อย่างเช่น ชุมชนอินเดียนแดงกระโจมทั้งหมดจะเรียงกันเป็นวงกลมรูปตัวซี (C) ถ้าหันปากกระโจมไปทางทิศตะวันออกแสดงว่าจะมีการโยกย้ายกระโจมของหัวหน้าจะ อยู่ด้านใดด้านหนึ่งของปากกระโจม ถ้าจะออกล่าสัตว์หรือออกรบ ด้านเปิดหรือปากกระโจมจะหันสู่ทิศตะวันตก ตามความเชื่อว่าการมุ่งหน้าสู่ทิศตะวันตกจะประชัยชนะ สำหรับชุมชนของเผ่าต่างๆในแอฟริกาจะสร้างกระท่อมรายล้อมบ้านของหัวหน้าเผ่า รอบนอกออกไปจะเป็นกระท่อมของชาวบ้านธรรมดาและวงนอกสุดเป็นคอกสัตว์ ซึ่งทำหน้าที่เหมือนเครื่องกีดขวางของหมู่บ้าน

เมื่อเวลาผ่านไปมนุษย์เริ่มรู้จักปรับตัวให้เข้ากับสภาวะแวดล้อมและรู้จัก เลือกที่ตั้งถิ่นฐานในบริเวณที่อุดมสมบูรณ์ รู้จักเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ อาคารบ้านเรือนสร้างอย่างมั่นคง และแข็งแรง เริ่มรู้จักรวมกันเป็นชุมชน

ชุมชนในยุคเริ่มแรก


บ้านเรือนของชุมชนในยุคเริ่มแรกมีสิ่งเหมือนกันหมด คือ แรงงานที่ใช้ในการก่อสร้าง ได้จากแรงงานคนและสัตว์ วัสดุหาได้จากสิ่งรอบตัว แปลนและโครงสร้าง วิวัฒนาการมาจากประสบการณ์นานนับชั่วอายุคน

ในยุคนั้นดินฟ้าอากาศมีอิทธิพลต่ออาคารบ้านเรือน คนและสัตว์เลี้ยงอาศัยปะปนกัน มนุษย์ยังเชื่อในผีสางนางไม้ ก่อนที่จะฆ่าสัตว์เพื่อเป็นอาหารหรือตัดต้นไม้ใหญ่เพื่อสร้างบ้านอยู่อาศัย คนจะต้องขออนุญาตต่อภูติผีวิญญาณก่อน

สถาปัตยกรรมของคนในสมัยนั้นหมายถึงที่ว่างที่ล้อมรอบด้วยต้นไม้และก้อนหิน กลุ่มอาคารจะจัดรวมกันตามสภาวะธรรมชาติแวดล้อม อาคารและชุมชนเกิดจากค่านิยมในชีวิต บ้านไม่เพียงแต่เป็นที่อยู่อาศัย หากแต่เป็นเครื่องบอกฐานะของเจ้าของในสังคมนั้น

ครอบครัวที่มีความสัมพันธ์กันจะปลูกบ้านอยู่ใกล้กัน แต่ละครอบครัวจะมีบ้านซึ่งประกอบด้วยกระท่อมห้องเดียว หรือหลายห้อง ปลูกอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ครอบครัวที่หัวหน้าบ้านมีภรรยาหลายคน ภรรยาแต่ละคนก็มีกระท่อมของตนรวมอยู่ในบริเวณเดียวกัน ภรรยาคนแรกจะเป็นผู้ควบคุมดูแลกิจกรรมทั้งหมดในบ้าน บางครอบคัรวไม่มีแต่เพียงพ่อแม่ลูกเท่านั้น หากแต่มีญาติพี่น้องอยู่รวมกันอีกด้วย ในบางสังคมผู้ชายสามารถมีภรรยาได้มากเกินกว่าหนึ่งคน การมีภรรยามากเป็นเครื่องแสดงถึงฐานะทางสังคมและความมั่งมี ดังนั้นจำนวนกระท่อมในครอบครัวที่เพิ่มมากขึ้นก็เป็นเครื่องแสดงถึงความเป็น อยู่ของผู้เป็นเจ้าของ

ชุมชนเริ่มเป็นเมือง


ชุมชนในชนบทจะกลายสภาพเป็นเมืองได้ต้องมีสิ่งที่อำนวยและส่งเสริมหลายอย่าง ด้วยกัน เช่น ชุมชนที่เริ่มเกาะกลุ่มกันริมทางหลวง โดยเริ่มต้นจากบ้านเพียงไม่กี่หลัง ต่อมาอาจจะเพิ่มร้านค้าเล็กๆ เมื่อมีคนอพยพเข้ามามากขึ้นร้านค้าที่มีอยู่ขายสินค้าเพิ่มได้หลายชนิด บ้านถูกเปลี่ยนเป็นร้านค้า อาคารใหม่ๆถูกสร้างขึ้นริมทางหลวง มีถนนสายรองขนานหรือตัดกับทางหลวง บริเวณดั้งเดิมริมทางหลวงกลายสภาพเป็นย่านใจกลางเมือง ทุ่งนาโดยรอบกลายเป็นที่ปลูกบ้าน ชาวบ้านไม่ปลูกผักสวนครัวกันเองอีกต่อไปเพราะมีตลาดเป็นศูนย์กลางจับจ่าย ซื้อหา หมู่บ้านกลายสภาพเป็นเมืองเล็กๆ คนจำนวนมากประกอบอาชีพค้าขายและชุมชนมีคนอาศัยอยู่หนาแน่นขึ้น อาชีพของคนในเมืองไม่ได้ขึ้นอยู่กับดินฟ้าอากาศ หรือโชคเหมือนการล่าสัตว์ ชาวเมืองร่วมกันตั้งกฏเกณฑ์ขึ้นมาเพื่อให้สังคมของตนอยู่เย็นเป็นสุข

เมื่อจำนวนประชากรในชุมชนมากขึ้น ขอบเขตของชุมชนขยายตัวออกไปอย่างกว้างขวาง ขนาดของเมืองก็ขยายตัวตามไปด้วย สภาพเศรษฐกิจบางอย่างภายในชุมชนเกิดขึ้นมาเพื่อสนองต่อมวลชน บางอย่างก็มีการเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสม เช่น มีโรงงานผลิตสินค้า มีการบริการหรือมีอาชีพขั้น 2 และ 3 มากขึ้น ถ้าชุมชนใดมีลักษณะดังที่กล่าวมา เราถือว่าชุมชนนั้นประสบผลสำเร็จ แต่ถ้าชุมชนใดมีผู้อพยพออกไปเรื่อยๆ ชุมชนนั้นก็จะร้างไปในที่สุด

รูปแบบการตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนในชนบท (Pattern of Settlements)


มนุษย์สร้างที่อยู่อาศัยรวมกันบนพื้นที่ที่มีสภาวะแวดล้อมแตกต่างกันแล้วแต่ ความพอใจของแต่ละชุมชน บางพวกชอบตั้งบ้านเรือนตามแนวถนน บางพวกชอบที่ลุ่ม บางพวกชอบที่เนิน ฯลฯ อย่างไรก็ตามทุกชุมชนก็มีเหตุผลในการเลือกสถานที่นั้นเป็นที่ตั้งถิ่นฐานของ ตน

การตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนของคนไทยในชนบท ถ้าพิจารณาในลักษณะทางกายภาพแล้ว สามารถแบ่งได้หลายรูปแบบ ได้แก่

1. รูปแบบเรียงยาว (Linear pattern)

ประชากรจะตั้งบ้านเรือนกระจายเรียงยาวไปตามริมคลอง ริมแม่น้ำ ฝั่งทะเล หรือตามแนวถนน โดยประชากรเหล่านั้นจะได้อาศัยแม่น้ำลำคลอง ถนน เป็นการสัญจรไปมา แล้วยังจะได้อาศัยลำน้ำในการอุปโภคบริโภคอีกด้วย หมู่บ้านรูปแบบนี้มีมากในภาคกลางของประเทศไทย เพราะมีเส้นทางสัญจรทางน้ำมากพอๆกับถนน การตั้งถิ่นฐานแบบนี้พิจารณาเป็นแบบย่อยได้อีก

1.1 รูปแบบเรียงยาวเดี่ยว ส่วนมากพบในหมู่บ้านที่ตั้งขึ้นใหม่ๆ บ้านแต่ละหลังยังกระจายกันอยู่ห่างๆ แต่ก็มีลักษณะเป็นแบบเรียงยาวไปตามเส้นทางแม่น้ำหรือถนนทั้งสองฟาก

1.2 รูปแบบเรียงซ้อน บ้านที่อยู่ทั้งสองฟากจะมีลักษณะแบบจับคู่เนื่องจากได้มีการขยายครอบครัว หรือมีการอพยพเข้ามาในชุมชน เป็นชุมชนที่ตั้งมาเป็นเวลานาน ข้อสังเกตผู้มีฐานะดีจะอยู่ริมน้ำ ถัดเข้าไปฐานะจะด้อยลง ในฤดูฝนบริเวณใต้ถุนบ้านน้ำจะท่วม การติดต่อจะเรือขนาดเล็กซึ่งมีประจำกันทุกครอบครัว ถ้าตัดถนนผ่านเข้าไปในหมู่บ้านนี้จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง เช่น เส้นทางขนส่ง รูปแบบของชุมชนและการเปลี่ยนแปลงรูปทรงของบ้าน

ชุมชนรูปแบบนี้ถ้าตั้งอยู่ทำเลดีๆ เช่น มีคลองมาบรรจบ บ้านเรือนก็จะตั้งหนาแน่นโดยเรียงซ้อนกันหลายชั้น และถ้ามีคลองมาบรรจบเป็นช่วงๆ ก็จะมีรูปร่างโป่งตรงคลองที่มาบรรจบ บางครั้งเรียกชุมชนที่โป่งเป็นช่วงๆนี้ว่า รูปแบบเรียงยาวฝักถั่ว

2. รูปแบบรวมกลุ่ม (Cluster pattern)

เป็นรูปแบบที่ปรากฏอยู่มากในชนบททุกภาคของประเทศไทย บ้านเรือนที่ตั้งอยู่ในบริเวณเช่นนี้มักจะตั้งอยู่ในบริเวณที่มีสภาพเด่นทาง ภูมิศาสตร์ เศรษฐกิจหรือวัฒนธรรม ไม่จำเป็นต้องอยู่ใกล้ทางน้ำหรือถนนเสมอไป ในชนบทไทยอาจพิจารณาแบ่งรูปแบบรวมกลุ่มได้ 2 แบบ

2.1 รูปแบบรวมกลุ่มอย่างสุ่ม บ้านแต่ละหลังก่อสร้างบนพื้นที่ไม่เป็นระเบียบ จะสร้างที่ใดก็ได้ แล้วแต่ความพอใจ ไม่มีแผนผังแน่นอน บางครั้งก็สร้างต่อๆกันออกไป เมือบุคคลในครอบครัวต้องแยกจากครอบครัวเดิม บริเวณบ้านต่อบ้านอาจมีรั้วต้นไม้แสดงเขตหรือไม่มีเลยก็ได้ ส่วนมากจะพบตามหมู่บ้านที่ตั้งมาเป็นเวลานาน

2.2 รูปแบบการรวมกลุ่มอย่างมีระเบียบ เป็นหมู่บ้านสมัยใหม่บ้านแต่ละหลังมีเส้นทางถนนตัดผ่าน มีความสะดวกในการติดต่อ เช่น นิคมสร้างตนเอง

รูปแบบโดดเดี่ยว (Isolate pattern)

เป็นการตั้งบ้านเรือนอยู่โดดเดี่ยว แต่ละบ้านอยู่ห่างกันพอประมาณ เห็นได้ชัดเจนบริเวณท้องทุ่งนาหรือป่า การติดต่อกับภายนอกมีน้อยแบ่งออกได้ 2 ลักษณะ

3.1 รูปแบบโดดเดี่ยวอย่างสุ่มหรือแบบบ้านกระจาย พบในบริเวณที่มีการบุกเบิกใหม่ๆ เช่น บริเวณที่มีการทำไร่เลื่อนลอย (Shifting cultivation) หมู่บ้านเชิงเขา กลุ่มนี้มีโอกาสที่จะเคลื่อนย้ายหรือปล่อยบ้านทิ้งได้ ถ้าการทำมาหากินไม่ประสบผลสำเร็จหรือดินและน้ำไม่อุดมสมบูรณ์

3.2 รูปแบบโดดเดี่ยวอยู่ในที่ทำกิน (Single farmstead) เป็นผู้ประกอบกิจการทางด้านเกษตรกรรมและมีบ้านอยู่ในที่นั้นด้วย บ้านเรือนแต่ละหลังตั้งอยู่ไม่ห่างไกลกันนัก ไม่รวมกันเป็นกลุ่มก้อน และมักตั้งอยู่บนที่ดอน ในชนบทไทยมีหมู่บ้านแบบนี้ทุกภาค ส่วนใหญ่จะเป็นการเกษตรแบบผสม คือมีทั้งปลูกพืชเลี้ยงสัตว์ในพื้นที่เดียวกัน แต่ขนาดของพื้นที่และเครื่องมือประกอบกิจการจะแตกต่างไปจากในต่างประเทศมาก

ปัจจัยและเหตุผลในการเลือกทำเลที่ตั้งถิ่นฐานบ้านเรือน


การตั้งชุมชนในชนบทถ้าได้มีการศึกษาอย่างละเอียดจะพบว่า ทุกแห่งมีประวัติความเป็นมาของตนเอง ประวัติความเป็นมานั้นจะมีปัจจัยและเหตุผลเป็นองค์ประกอบที่เหมาะสม ดังนี้

1. ปัจจัยทางภูมิศาสตร์ สภาพทางภูมิศาสตร์ที่มีความสำคัญต่อการเลือกเป็นที่ตั้งของชุมชน ได้แก่

1.1 แหล่งน้ำ เนื่องจากน้ำเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีพ ดั นั้นการเลือกที่ตั้งชุมชนมักมีแหล่งน้ำปเนองค์ประกอบเสมอ เช่น ริมแม่น้ำ หนองน้ำ เป็นต้น น้ำนอกจากจะใช้เพื่อการบริโภคและเพาะปลูกแล้ว ยังใช้เป็นเส้นทางคมนาคมด้วย จะเห็นได้จากหมู่บ้านในชนบทภาคกลางเรียงรายไปตามลำน้ำ และหันหน้าบ้านออกสู่ลำน้ำ ถ้าทางน้ำมีน้ำไหลสม่ำเสมอ ชุมชนโดยทั่วไปจะอยู่กันหนาแน่นและยาวนาน

1.2 ที่ดอน บริเวณซึ่งอาจมีน้ำท่วมอยู่เสมอ หรือน้ำท่วมในฤดูน้ำหลาก การตั้งบ้านเรือนจำเป็นต้องเลือกทำเลที่สูงเพื่อความปลอดภัย บ้านเรือนของชุมชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นจำนวนมากที่ตั้งบ้านเรือนบน ที่ดอน มักจะเรียกชื่อเป็น "โนน" "เนิน" "โคก" เช่น โนนสูง สูงเนิน โคกสะแทน โนนสมบูรณ์ โนนแพง ฯลฯ ถ้าเป็นชุมชนทางภาคใต้ จะเรียก "ควน" เช่น ควนกาหลง ควนเนียง ฯลฯ

1.3 ดินอุดมสมบูรณ์ ได้แก่ ดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำ ที่ราบระหว่างภูเขา บริเวณเชิงเขา ซึ่งมีดินตะกอน บริเวณเหล่านี้จะมีการตั้งถิ่นฐานอยู่หนาแน่น เพราะมีผลผลิตทางการเกษตรสูง

1.4 แหล่งแร่ บริเวณที่มีแร่หรือทรัพยากรธรณีจะมีประชากรไปตั้งบ้านเรือนอยู่หนาแน่น บางชุมชนจะขยายตัวอย่างรวดเร็ว การขยายตัวเช่นนี้บ้านเรื่อนจะไม่เป็นระเบียบ แต่ละคนตั้งบ้านเรือนตามความพอใจ เช่น ชุมชนที่เกิดจากการตื่นพลอยในระยะแรกๆ ของตำบลบ่อไร่ (ปัจจุบันเป็นอำเภอ) จ.ตราด

2. ปัจจัยทางเศรษฐกิจ เป็นองค์ประกอบที่สำคัญอย่างหนึ่งในการตั้งชุมชน และถ้าองค์ประกอบทางเศรษฐกิจอำนวยให้แล้วชุมชนนั้นอาจขยายตัวเป็นเมืองต่อไป ปัจจัยทางเศรษฐกิจแบ่งได้เป็น

2.1 บริเวณที่อยู่ใกล้แหล่งวัตถุดิบ การผลิตสินค้าหัตถกรรมส่วนใหญ่จะได้วัสดุจากธรรมชาติ เพื่อความสะดวกในการประกอบการจึงต้องตั้งบ้านเรือนอยู่ในบริเวณนั้น แม้แต่บ้านด่านเกวียน จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งมีชื่อเสียงในด้านเครื่องปั้นดินเผา ชุมชนก็เริ่มต้นจากที่บริเวณนั้นมีดินเหนียวเหมาะสำหรับปั้นถ้วยชาม หม้อ ตุ่มน้ำ ในปัจจุบันชุมชนนี้ได้ขยายตัวมากขึ้นและได้ดัดแปลงหรือปฏิรูปเครื่องปั้นดิน เผาใหม่ตามความต้องการของตลาด นอกจากนั้นชุมชนยังเกิดขึ้นในบริเวณที่พบแหล่งวัตถุดิบอื่นๆได้อีกเช่นกัน

2.2 บริเวณที่ตั้งโรงงานอุตสาหกรรม ในพื้นที่ชนบทที่ว่างเปล่าหลายแห่งเป็๋นที่ตั้งของโรงงานอุตสาหกรรมด้านการ เกษตร ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่รองรับแรงงานในชนบทได้เป็นอย่างมาก ผู้ใช้แรงงานส่วนใหญ่เป็นเกษตรกร เมื่อมาทำงานในโรงงานอุตสาหกรรม สภาพเศรษฐกิจได้เปลี่ยนไป คือมีรายได้เป็นตัวเงินทุกเดือน การจับจ่ายใช้สอยก็คล่องมือยิ่งขึ้น ร้านค้าประเภทต่างๆก็ค่อยๆเพิ่มมากขึ้น คนงานที่อาศัยอยู่ไกลๆก็อาจจะมาสร้างบ้านใหม่ใกล้บริเวณโรงงาน ชุมชนก็จะขยายตัวอย่างรวดเร็วในระยะเวลาอันสั้น ปัญหาที่พบในชุมชนในลักษณะนี้คือ ความไม่เป็นระเบียบของอาคารสถานที่ ความสะอาดของชุมชน

2.3 บริเวณเส้นทางคมนาคมตัดกัน อาจเป็นทางเกวียน ทางเท้า ทางเรือ ทางรถยนต์ ซึ่งเป็นทำเลที่มีการสัญจรผ่านไปมาอยู่เสมอ เหมาะที่จะตั้งบ้านเรือนร้านค้า เพราะสะดวกด้านการติดต่อและยังเป็นโอกาสให้สามารถแลกเปลี่ยนสินค้าได้ง่าย

2.4 บริเวณสุดทางคมนาคมสองแบบ เช่น พอสุดเส้นทางรถยนต์และเดินทางต่อไปด้วยทางเท้า ทางเรือ หรือทางเกวียน บริเวณเช่นนี้มีอิทธิพลต่อการตั้งชุมชนมากเช่นกัน เพราะจะเป็นแหล่งที่พัก ที่แลกเปลียนซื้อขายสินค้า

ในบางครั้งปัจจัยทางเศรษฐกิจและปัจจัยทางภูมิศาสตร์ก็มีส่วนช่วยในการเลือก ทำเลที่ตั้งบ้านเรือนเช่นกัน ดังจะเห็นจากรายงานของผู้เขียนเองซึ่งได้ศึกษาเกี่ยวกับการตั้งถิ่นฐานบ้าน เรือนของประชากรในแต่ละอาชีพในพื้นที่ของอ่างเก็บน้ำลำตะคอง จังหวัดนครราชสีมา ลักษณะรูปร่างของอ่างเก็บน้ำนี้คล้ายกับกะทะ มีน้ำขังอยู่ประมาณครึ่งหนึ่งของพื้นที่ ดังนั้นจึงมีพื้นที่ว่างเปล่าให้ชาวบ้านเข้าไปจับจองทำมาหากินโดยผิดกฏหมาย จากการศึกษาพบว่าอาชีพประมงจะตั้งบ้านเรือนกระจายอยู่ใกล้กับระดับน้ำใน อ่างฯ บ้านจะก่อสร้างไม่ถาวรสามารถเคลื่อนย้ายได้ในกรณีทีระดับน้ำในอ่างสูงขึ้น อย่างรวดเร็ว ถัดสูงขึ้นไปอีกระดับหนึ่งเป็นบ้างของผู้ประกอบอาชีพเลี้ยงเป็ดและปลูกผัก โดยที่ลุ่มน้ำขังจะใช้ในการเลี้ยงเป็ด พื้นที่ราบจะใช้ในการปลูกผักซึ่งเป็นแหล่งผลิตผักใหญ่แห่งหนึ่งที่ส่งไป จำหน่ายในกรุงเทพฯ บ้านส่วนใหญ่จะถาวรและแข็งแรงกว่าอาชีพประมงมาก และในระดับสูงขึ้นไปอีก จะเป็นที่อยู่อาศัยที่ทำกินของชาวไร่ ทุ่งหญ้าและเป็นคอกปศุสัตว์ เนื่องจากพืชไร่ไม่ต้องการน้ำบ่อยครั้งและเป็นปริมาณมากเหมือนพืชผัก จึงปลูกในระดับสูงได้ และกลุ่มนี้สภาพบ้านเรือนมั่นคงถาวรมาก

3. ปัจจัยทางวัฒนธรรม สถานที่เคารพบูชาทางศาสนาหรือที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ ที่ซึ่งเกี่ยวข้องกับระเบียบประเพณีต่างๆ เป็นต้น ปัจจัยทางด้านนี้ได้แก่

3.1 สถานที่เคารพบูชา เช่น สถูป เจดีย์ เทวสถาน ศาลเจ้าใกล้เคียงกับสถานที่เหล่านั้นมักมีชุมชนและหมู่บ้านตั้งอยู่ใกล้ๆ หมู่บ้านเหล่านี้จะเกี่ยวข้องกับสถานที่เคารพบูชาดังกล่าวไม่มากก็น้อย

3.2 สถานที่ทางประวัติศาสตร์บางแห่งจะมีชุมชนหมู่บ้านตั้งอยู่ใกล้ๆ บริเวณเช่นนี้อาจเป็นที่ตั้งหมู่บ้านมาช้านานหรือมิฉะนั้นเป็นทำเลที่เหมาะ สมเก่าแก่และมีการค้นพบกันขึ้นใหม่ สถานที่เช่นนี้จะพบมากตามบริเวณเมืองเก่าทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

3.3 ประเพณีนิยม คนบางกลุ่มบางพวกจะเลืกที่ตั้งถิ่นฐานตามความเชื่อที่เคยยึดถือกันมา เช่น บริเวณกอไม้ใหญ่ บริเวณซึ่งมีลักษณะทางธรรมชาติแปลกๆ เช่น มีก้อนหินโผล่ ลานหิน หน้าผา เป็นต้น

รูปแบบการตั้งถิ่นฐานใกล้ตัวเมือง


ในบริเวณรอบๆเมืองใหญ่จะมีการตั้งถิ่นฐานของประชาชนหลายลักษณะ ได้แก่

1. Aggromeration เป็นลักษณะของชุมชนตั้งรวมกลุ่มกันอยู่นอกเมือง ส่วนใหญ่จะอยู่ในบริเวณที่เป็นสวน กลุ่มนี้อาจจะเป็นชุมชนที่เกิดจากการอยู่รวมกันของชาวบ้านหรือเป็นกลุ่มที่ มีรายได้สูงและต้องการพื้นที่กว้างๆไว้ทำการเกษตรเล็กๆน้อยๆ เพือพักผ่อนหย่อนใจในวันหยุด ราคาของที่ดินในบริเวณนี้จะถูกกว่าบริเวณที่เป็นชานเมือง (suburban) ประชากรที่อยู่ในชุมชนถึงแม้จะอยู่ในที่ทำการเกษตรแต่อาชีพหลักเกี่ยวข้อง หรือทำในเมืองจึงถือว่าไม่ใช่ประชากรชนบท

2. Rural Urban Fringe เป็นชุมชนที่ขยายตัวไปตามเส้นทางคมนาคมที่สะดวกจากเมืองใหญ่ จะอยู่กันเป็นกลุ่มโดยชาวเมืองจะไปตั้งบ้านเรือนปะปนอยู่กับชาวชนบท ซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่อยู่เดิม สภาพบ้านเรือนของชาวเมืองที่ไปปลูกสร้างจะดีกว่าของชาวบ้านมาก และสภาพความเป็นอยู่ก็แตกต่างกันในหลายๆด้าน เช่น

2.1 การทำงาน ชาวเมืองจะถือเรื่องเวลาเป็นเรื่องใหญ่ มีการทำงานเป็นเวลา สถานที่ทำงานอยู่ในเมืองส่วนชาวบ้านจะเป็นไปในทางตรงกันข้าม

2.2 ประเพณี ชาวเมืองจะทำแบบในเมือง เพื่อนฝูง จะอยู่ที่ทำงานมากกว่าที่บ้าน

2.3 เศรษฐกิจ เมื่อคนในเมืองเข้ามาอยู่ราคาสินค้าในแถบนั้นจะเริ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะสินค้าที่ต้องใช้ร่วมกัน ทำให้ชาวบ้านเริ่มไม่พอใจ

ในระยะแรกนั้นทั้งสองพวกจะเป็นมิตรกัน พอนานเข้าต่างก็รู้สึกอึดอัด มีความรู้สึกขัดแย้งและเริ่มเป็นศัตรูกัน เมื่อชุมชนนี้มีประชากรมากขึ้น บ้านเรือนหนาแน่นมากขึ้น จะเกิดปัญหาด้านสาธารณูปโภค ได้แก่ การชำรุดของถนน การระบายน้ำ ปัญหาเหล่านี้ต่างคนต่างก็นิ่งดูดาย จนในที่สุดต้องมีผู้เสียสละขันอาสาเป็นผู้นำเข้าแก้ไข

ชาวบ้านบางส่วนที่ปรับตัวเข้ากับสภาพชุมชนแบบนี้ไม่ได้ก็จะถอยหรืออพยพออกไป ชาวบ้านที่ปรับตัวได้ก็จะอยู่ต่อไป เหตุที่ปรับตัวได้เพราะได้รับการศึกษาที่สูงขึ้น หรือมีการทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมที่กระจายออกไป ทำให้ตนเองสูงขึ้น รู้ระเบียบวิธีการแบบในเมืองมากขึ้น

3. Suburban (ชานเมือง) เป็นบริเวณหรือชุมชนที่อยู่โดยรอบเมืองซึ่งเป้นส่วนหนึ่งของเมืองที่ขยายตัว ออกไป ชานเมือง มี 2 ลักษณะ

3.1 Housing เป็นชุมชนที่คนส่วนใหญ่มีบ้านเป็นของตนเองและใช้บ้านเป็นเพียงที่หลับนอนและ พักผ่อนในวันหยุด สถานที่ทำงานอยู่ในเมือง ทำงานโดยไปเช้าเย็นกลับ (commuter) ร้านค้า สินค้าและบริการในชุมชนมีน้อย สถานที่พักผ่อน สถานที่ราชการ เช่น โรงภาพยนตร์ ร้านค้าในระดับใหญ่ ไปรษณีย์ภายในชุมชนมีน้อย ทั้งนี้เพราะว่าคนไม่นิยมใช้บริการ ส่วนใหญ่จะใช้บริการใกล้ที่ทำงานของตนหรือบริเวณที่เดินทางผ่าน อย่างไรก็ตามในชุมชนนี้จะมีร้านค้าเล็กๆ (ร้านชำ) ให้บริการสินค้าที่จำเป็นหรือใช้ในชีวิตประจำวันอยู่เป็นหย่อมๆ

3.2 Employing suburban เป็นชุมชนที่พึ่งตนเองได้ ในสิ่งที่จำเป็นเช่นมีสถานที่ทำงานของหน่วยราชการ สถานศึกษา โรงงานอุตสาหกรรม สถานที่พักผ่อนหย่อนใจ ร้านค้าในระดับใหญ่ ประชากรในชุมชนนี้จะเข้าไปในเมืองบางครั้งเพื่อซื้อสินค้าที่ต้องเปรียบ เทียบคุณภาพหรือสิ่งของอันดับสูง ความรู้สึกของผู้ที่อยู่ในชุมชนถือว่าตนเองอยู่ในเมืองใหญ่หรือเป็นส่วน หนึ่งของเมืองใหญ่

4. Rural-Urban Continuum (ความติดต่อสืบเนื่องกันของลักษณาการชนบท- เมือง ) ชุมชนนี้ไม่จำเป็นต้องอยู่ใกล้ตัวเมือง

เป็นกระบวนการที่ปรากฏขึ้นตามลักษณาการชนบท- เมือง เหลื่อมล้ำติดต่อสืบเนื่องในชุมชนหนึ่ง ไม่แยกเป็นชนบทหรือเมืองโดยเด็ดขาด กิจกรรมต่างๆที่กระทำในชุมชนจะกระทำร่วมกันระหว่างความเป็นเมืองและชนบท เกณฑ์ในการพิจารณาว่าชุมชนใดจะอยู่ในลักษณะนี้พิจารณาได้จาก

4.1 จำนวนประชากร มีจำนวนประชากรมาก ซึ่งอาจเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็ว โดยการอพยพเข้ามาเพราะบริเวณนั้นมีสิ่งดึงดูดใจ ทำให้ท้องถิ่นนั้นแออัดมากขึ้น นอกจากนี้ยังพิจารณาจากความหนาแน่นของประชากรต่อพื้นที่สูงมาก มีอัตราการเกิดสูง มีการใช้แรงงานสตรีเพิ่มมากขึ้น

4.2 ด้านสังคม วัฒนธรรม และเศรษฐกิจ ประชากรในชุมชนยังยึดมั่นในขนบธรรมเนียมประเพณีแบบดั้งเดิม ทั้งๆที่มิได้ประกอบอาชีพเหมือนเดิม พฤติกรรมบางอย่างคล้ายแบบเมืองเนื่องจากการแพร่กระจายสิ่งใหม่ๆเข้ามา เช่นใช้เครื่องผ่อนแรง มีเครื่องอำนวยความสะดวกและบันเทิงกันโดยทั่วไป และมีปัญหาสังคมคล้ายคลึงกับเมืองด้วย เช่น ปัญหาอาชญากรรม โรคระบาด ฯลฯ

ลักษณะบ้านและวัสดุก่อสร้าง


ลักษณะบ้านเรือนในชนบทของไทยเราจะปลูกเป็นหลังโดดๆ มีใต้ถุนสูง ซึ่งเป็นลักษณะเดียวกับลักษะบ้านของประเทศใกล้เคียง สาเหตุที่ใต้ถุนสูงอาจเป็นเพราะประเพณี รับลมระบายและถ่ายเทความร้อนได้สะดวก ป้องกันสัตว์ร้าย เป็นพื้นที่ที่น้ำท่วม เป็นคอกสัตว์เลี้ยง เป็นที่พักผ่อนตอนกลางวัน ที่เก็บพันธุ์พืช เครื่องมือการเกษตรหรือเป็นที่ประกอบอาชีพรองของครอบครัว

วัสดุที่ใช้ในการก่อสร้าง


ส่วนใหญ่เป็นวัสดุที่หาได้ในชนบท เช่น ต้นไม้ ใบไม้ ดิน หิน ฯลฯ อย่างไรก็ตามในปัจจุบันวัสดุบางอย่างมีปริมาณลดลงเนื่องจากการนำไปใช้ของชาว ชนบทหรือเพื่อการค้า ดังนั้นส่วนประกอบของตัวบ้านบางอย่างต้องซื้อที่ผลิตจากโรงงาน

หลังคา

ในชนบททั่วๆไปบ้านที่มุงด้วยหญ้าคาหรือจากยังมีให้เห็นในชุมชนที่ห่างไกลจาก ความเจริญ หรือชุมชนที่ประชากรส่วนใหญ่ยังยากจน ชาวบ้านคนใดที่พอจะมีจะกินบ้างจะเปลี่ยนมาใช้สังกะสีหรือกระเบื้องแทน เพราะไม่ต้องไปกังวลหลังคาจะรั่วหรือเปลี่ยนหลังคาบ่อยครั้ง ถ้าเปรียบเทียบหลังคาที่มุงด้วยหญ้าคากับสังกะสีแล้ว ความเย็นภายในตัวบ้านจะต่างกัน ชุมชนใกล้ทะเลนิยมมุงหลังคาด้วยหญ้าคาและกระเบื้องมากกว่าสังกะสี เพราะวัสดุทั้งสองชนิดนั้นไม่ผุกร่อนและเป็นสนิมเมื่อถูกกับไอทะเล

รูปทรงหลังคาบ้านในเขตร้อนชื้นรวมทั้งในประเทศไทยจะมีความลาดชันค่อนข้างมาก ลักษณะเช่นนี้จะมีผลดี 2 ประการ กล่าวคือ ประการแรก แสงอาทิตย์ทำมุมเฉียงกับหลังคาทำให้หลังคามีพื้นที่รับแสงอาทิตย์น้อยลง ความร้อนที่เกิดขึ้นภายในบ้านก็จะลดลงด้วย ประกอบกับในเขตร้อนชื้นดวงอาทิตย์ตอนเที่ยงวันจะอยู่ในแนวตรงกับศรีษะเกือบ ตลอดปี ซึ่งจะเป็นผลกระทบอย่างมากต่อความร้อนที่ได้รับในเขตนี้ และประการที่สองในเขตนี้อีกเช่นกันมีช่วงของฤดูฝนที่ตกหนักเนื่องจากมรสุม หรืออิทธิพลของพายุหมุน ความลาดชันของหลังคาจะทำให้การระบายน้ำเป็นไปอย่างรวดเร็ว ทำให้โครงสร้างส่วนอื่นๆที่รองรับหลังคารับน้ำหนักจากน้ำฝนที่ไหลบนหลังคา น้อยลง

ฝา
จะเป็นวัสดุชนิดใดนั้นขึ้นอยู่กับฐานะของแต่ละครอบครัว วัสดุที่ใช้มีตั้งแต่ทำด้วยใบไม้โดยนำมาวางซ้อนๆกันแล้วใช้ไม้ประกบแล้วมัด ด้วยตอกไม้ไผ่ หรืออาจจะเป็นไม้ไผ่ทั้งลำตีแผ่ให้แบน ต้นไม้ที่ตัดจากป่าแล้วมาแปรรูปเอง ไม้ที่แปรรูปากโรงงานหรืออาจจะใช้ดินก็ได้

พื้นบ้าน

บ้านที่มีฐานะไม่ค่อยดีนักจะปูด้วยไม้ที่แปรรูปเอง ซึ่งได้จากการตัดต้นไม้ในท้องไร่ท้องนาของตนเองแปรรูปที่นั่นโดยใช้เลื่อย มือขนาดใหญ่แล้วจึงขนมาก่อสร้าง ถ้าเป็นครอบครัวที่มีฐานะยากจนจะปูด้วยไม้ไผ่ที่ตีแผ่ให้แบนซึ่งพบมากในบ้าน ของชาวเขาทางภาคเหนือ

ส่วนประกอบอื่นๆของตัวบ้านจะใช้วัสดุอะไรนั้นก็ขึ้นอยู่กับฐานะความเป็นอยู่ของครอบครัวนั้นๆเช่นกัน

การเปลี่ยนแปลงในชนบท


การคมนาคมที่สะดวกและรวดเร็ว ประกอบกับการศึกษาและสื่อสารมวลชน โดยเฉพาะวิทยุและโทรทัศน์เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้โฉนหน้าของชนบทเปลี่ยนไป อย่างรวดเร็ว การเปลี่ยนแปลงนี้มีทั้งในทางบวกและทางลบ

การเปลี่ยนแปลงในทางบวก คือ การที่ชนบทได้เจริญก้าวหน้าโดยเฉพาะทางวัตถุ เช่น มีถนนหนทาง มีไฟฟ้าใช้ ความบันเทิงก็มีโอกาสเข้ามาถึงบ้าน เช่น โทรทัศน์และวิทยุ ความเงียบเหงาในชนบทได้เริ่มเปลี่ยนไป การเปลียนแปลงเช่นนี้ทำให้สภาพในชนบทเป็นสภาพทีน่าอยู่ยิ่งขึ้น โรคภัยไข้เจ็บซึ่งเคยเบียดเบียนคนในชนบทมามากในสมัยก่อนก็บรรเทาเบาบางลงโดย ยาแผนใหม่ซึ่งถูกนำเข้าสู่ชนบท วิธีการเกษตรกรรมแผนใหม่ตลอดจนเครื่องมือและเครื่องจักรทำให้การทำงานในชนบท ซึ่งเคยใช้แรงงานและความยากลำบากกลายเป็นสะดวกสบายและงานเสร็จสิ้นลงด้วย เวลาอันรวดเร็ว

ส่วนการเปลี่ยนแปลงในทางลบนั้นก็มีมาก สิ่งใหม่ๆทำให้ความต้องการของคนในชนบทเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันก็มีผลต่อสภาพเศรษฐกิจ การใช้จ่ายในชนบทสูงขึ้นแต่ผลผลิตในหลายกรณีไม่ได้เพิ่มขึ้นไปด้วย ความบันเทิงซึ่งเข้าไปถึงบ้านทำให้การทำงานเริ่มน้อยลง ขณะเดียวกันเครื่องทุ่นแรงทำให้เวลาว่างเพิ่มากขึ้น โรคภัยไข้เจ็บลดน้อยลงทำให้ประชากรในชนบทเพิ่มขึ้นโดยรวดเร็วและยังผลกระทบ กระเทือนต่อพื้นที่ซึ่งใช้ทำการเพาะปลูกซึ่งมีอยู่จำกัด ความกดดันทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสังคมในชนบทเริ่มมีมากขึ้น

สิ่งเปลี่ยนแปลงที่สำคัญมีดังนี้

1. การคมนาคม

1.1 ถนน ถนนเป็นเส้นทางคมนาคมขนส่งที่ให้บริการที่สะดวกรวดเร็วมาก โครงข่ายของถนนทำให้การเดินทางติดต่อถึงกันและกันง่ายขึ้น การคมนาคมที่ขยายตัวจะส่งผลให้กิจการต่างๆในชุมชนซับซ้อนยิ่งขึ้น พร้อมกันนั้นชุมชนก็ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ชุมชนใดที่ปล่อยให้ความเจริญทางเทคโนโลยีการขนส่งเป็นตัวกำหนดการขยายตัว อย่างเดียวโดยไม่ได้คำนึงถึงความต้องการของบุคคลในชุมชนโดยส่วนรวม ชุมชนนั้นจะขาดระเบียบและอาจจะกลายเป็นชุมชนแออัดไป

1.2 เครื่องยนต์ ยานพาหนะที่ใช้เครื่องยนต์ขนาดเล็กช่วยให้การติดต่อในชนบทเป็นไปอย่างรวด เร็ว เริ่มแต่เครื่องเรือหางยาวมาช่วยให้การติดต่อทางน้ำ ซึ่งต้องใช้เวลานานโดยเรือพายเรือแจว มาใช้เวลาสั้นเข้า น้ำหนักบรรทุกมากขึ้น เครื่องยนต์นี้จะมีทั่วไปทุกลำน้ำ เส้นทางบกก็มีรถจักรยานยนต์ รถโดยสารขนาดเล็กในปัจจุบันรถโดยสารขนาดเล็กแพร่เข้าไปทั่วถึงเกือบทุกตำบล ถ้ามีเส้นทางพอที่จะไปได้ รถขนาดเล็กนี้นอกจากนำเอาตัวบุคคลไปยังที่ต่างๆแล้ว ยังนำผลผลิตต่างๆในชนบทออกสู่ท้องตลาดได้สะดวกและรวดเร็วขึ้น ในขณะนี้การสร้างทางในชนบทได้ทำกันมากยิ่งขึ้น แต่อย่างไรก็๋ตามจำนวนที่สร้างก็ยังไม่เพียงพอเพราะตำบลต่างๆทั้งประเทศมี อยู่ถึง 5000 ตำบล และเป็นจำนวนหมู่บ้านอีกไม่น้อยกว่า 30,000 หมู่บ้าน คงต้องใช้เวลาอีกนานซึงสามารถทำเส้นทางในชนบทให้สามรถเชื่อมทุกหมู่บ้านได้ กับทางสายหลัก นอกจากนั้นยังต้องเร่งติดตามปรับปรุงเส้นทางที่ใช้มากๆ ให้เป็นถนนชั้นดีใช้ได้ตลอดทุกฤดูกาล การสร้างทางในชนบทส่วนมากเป็นหน้าที่ของหน่วยเร่งรัดพัฒนาชนบท

2. ไฟฟ้า บริเวณชนบทส่วนใหญ่ยังไม่มีไฟฟ้าใช้ แต่การดำเนินงานของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคได้พยายามนำไฟฟ้าเข้าไปสู่ตำบลต่างๆ ในชนบท ไฟฟ้าเป็นสาธารณูปโภคทีสำคัญในด้านให้แสงสว่างและพลังงาน แต่ที่น่าเสียดายคือ การนำไฟฟ้าไปสู่ชนบทเป็นการนำการบริโภคไปให้แก่ชาวชนบทเพิ่มมากขึ้น ทางที่ถูกน่าจะได้มีการวางแผนให้ชาวชนบทที่ได้รับไฟฟ้าไปใช้ด้านการผลิต เพราะไฟฟ้ายังเป็นพลังงานที่ราคาถูก เช่น การนำไปสูบน้ำเพื่อใช้ในการเพาะปลูก การนำไฟฟ้าไปช่วยเพิ่มผลผลิตด้านหัตถกรรมในท้องถิ่น เช่น การกลึงไม้ ไสไม้ การทอผ้าและกิจกรรมการเกษตรต่างๆ แต่เท่าที่ผ่านมาชาวบ้านชนบทต้อนรับไฟฟ้าโดยซื้อของเพื่อการบริโภค เช่น โทรทัศน์ พัดลม และอุปกรณ์ไฟฟ้าอื่นๆ ซึ่งเป็นของฟุ่มเฟือยโดยที่รายได้ของชาวชนบทไม่ได้เพิ่มขึ้น แต่การใช้จ่ายมีมากขึ้น อย่างไรก็ตามไฟฟ้าเข้าไปถึงชนบทเพียงส่วนน้อย การที่จะเพิ่มไฟฟ้าให้มีเพียงพอทุกแห่งในชนบทยังต้องใช้เวลาอีกนานและยัง เกี่ยวข้องกับกำลังผลิตไฟฟ้าและสายส่งไฟฟ้าซึ่งต้องใช้เงินอีกเป็นจำนวนมาก ในชนบทที่ไฟฟ้าได้เข้าถึงแล้วได้มีการเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าไปเป็นอันมาก และเป็นข้อยืนยันได้อย่างดีว่าไฟฟ้าเป็นสิ่งจำเป็นต่อชนบท

3. เกษตรกรรม ในขณะที่มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านการคมนาคม ไฟฟ้า การประกอบอาชีพทางด้านเกษตรกรรมก็มีการเปลียนแปลงเช่นกัน ได้แก่

3.1 ด้านแรงงาน พืชพันธุ์ใหม่ เครืองทุ่นแรง ในชนบทของเราแรงงานที่ใช้ในกาารเกษตรยังเป็นแรงงานคนและแรงงานสัตว์อยู่มาก การใช้แรงานคนมักนิยมใช้วิธีลงแขกเพื่อความรวดเร็วและทันฤดูกาล ประเพณีลงแขกมี 2 วิธี

แขกขอแรง คนอื่นสมัครใจมาช่วยตามขอร้อง เมื่อช่วยเสร็จแล้วก็แล้วกันไป ไม่ต้องมีอะไรตอบแทนกัน เป็นแต่เพียงเจ้าของงานมีหน้าที่ต้องเลี้ยงดูแขกในด้านอาหารเท่านั้น

แขกลงแรง เมื่อถึงคราวงานของคนที่มาช่วย ตนก็ต้องไปช่วยเขาบ้างเป็นการตอบแทนไปในตัว

สำหรับประเพณีนี้ได้เปลี่ยนแปลงไปในปัจจุบัน เป็นการว่าจ้างเป็นรายวันหรือเหมาทั้งหมด

ในด้านแรงงานสัตว์ที่ใช้ในการเกษตร จะเป็นวัว ควาย แล้วแต่สภาพท้องถิ่นนิยม เครืองไม้เครื่องมือในการประกอบการเป็นแบบง่ายๆ ซึ่งทำกันเองในหมู่บ้าน ปัจจุบันได้นำเอาเครื่องจักรขนาดเล็กมาเป็นเครื่องทุ่นแรงในการทำนา เช่น ควายเหล็ก เครื่องสูบน้ำ เครื่องนวดข้าว และเครื่องยนต์ ซึ่งใช้ประโยชน์อเนกประสงค์มาใช้ การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ ทำให้เกษตรกรรมเบาแรงขึ้น และแรงงานเสร็จสิ้นไปอย่างรวดเร็ว นอกจากนั้นเทคนิคใหม่ๆ ยังช่วยให้ได้ผลผลิตเพิ่มขึ้น ลักษณะเช่นนี้ทำให้ความจำเป็นในด้านการใช้แรงงานเพื่อการเกษตรลดลง ความจำเป็นที่จะต้องมีลูกหลานเพื่อช่วยเหลือในด้านการเกษตรจึงลดน้อยลงด้วย

ส่วนพืชพันธุ์ใหม่ๆนั้นก็ได้มีส่วนราชการที่เกี่ยวข้องได้ทดลองค้นคว้าวิจัย เป็นจำนวนมาก เพื่อจะเพิ่มผลผลิตต่อไร่ให้สูงขึ้น ให้พืชทนทานต่อโรค ทนต่อสภาพภูมิอากาศของแต่ละภาค ซึ่งชาวไร่ชาวนาในชนบทก็เริ่มสนใจที่จะนำวิทยาการสมัยใหม่เหล่านี้ไปใช้หรือ ไปทดลองเพื่อทดแทนพันธุ์พืชเก่าที่ใช้เพาะปลูกกันมานาน แต่การเปลี่ยนแปลงนี้ (การยอมรับ) จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับตัวเกษตรกรเอง และสภาพแวดล้อม

3.2 รูปแบบการเพาะปลูก เกษตรกรเคยปลูกพืชปีละครั้ง โดยอาศัยธรรมชาติ เมื่อมีระบบชลประทานผ่านเข้ามาในพื้นที่ทำกินของตน เกษตรกรจะหันมาปลูกพืชมากกว่าหนึ่งครั้ง ทำให้ผลผลิตทางการเกษตรเพิ่มขึ้น ซึ่งเราเรียกว่าหารปฏิวัติเขียว นับว่าเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจของเกษตรกรและประเทศพัฒนาโดยทั่วไป อย่างไรก็ตามการปฏิวัติเขียวก็มีผลทางด้านลบต่อเกษตรกร เช่น

แมลงรบกวนในการปลูกพืชครั้งที่สอง ตามปกติแมลงมีในเฉพาะฤดูกาลเพาะปลูกถึงแม้แมลงจะมากแต่ก็กระจายออกไปทุกๆ แห่ง พอปลูกฤดูที่ 2 ซึ่งปลูกได้ในบางแห่งบางพื้นที่จึงเป็นจุดสนใจของแมลง ทำให้ดูเหมือนว่ามีแมลงมากกว่าปกติ ซึ่งจะทำความเสียหายให้กับพืชมาก

การบุกรุกป่าเพื่อเพิ่มผลผลิตและขยายพื้นที่ ทำให้สิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไปแมลงที่อยู่ในป่าจะปรับตัวเองได้ และถือว่าเกษตรกรเอาอาหารมาส่งให้ถึงที่

จำนวนยาที่ใช้ปราบศัตรูพืชและปริมาณปุ๋ย ทั้งสองอย่างนี้ใช้กันมาก เนื่องจากมีแมลงมาก และปุ๋ยในดินก็หมดไปกับปุ๋ยรุ่นแรก ลักษณะเช่นนี้ปุ๋ยและยาฆ่าแมลงอาจมีผลตกค้างในผลผลิต ตกค้างในดิน ซึ่งจะทำลายสัตว์อื่นหรือเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติของดินไปจากเดิม

นอกจากนี้รูปแบบการเพาะปลูกยังได้มีการเปลี่ยนแปลงจากการปลูกพืชเพื่อการยัง ชีพมาเป็นการปลูกพืชเพื่อการค้ามากขึ้น เช่น การปลูกพืชไร่ มีข้าวโพด ปอ มันสำปะหลัง สัปปะรด อ้อย พืชเหล่านี้ล้วนให้ผลประโยชน์ต่อไร่สูง แต่เกษตรกรในชนบทยังขาดความมั่นในใจเรื่องราคาของผลผลิตเหล่านี้ ในบางท้องที่ซึ่งมีโรงงานที่รับซื้อผลผลิตค่อนข้างแน่นอน การขยายตัวในการผลิตมีมากขึ้น ซึ่งยังผลให้เกิดปัญหาด้านบุกรุกป่าสงวน และที่สาธารณะซึ่งจำเป็นต้องมีการแก้ไขอย่างรีบเร่ง การที่ชนบทรับเอาพืชการค้าไปเพาะปลูกจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในชนบท ดังนี้

1. มีศูนย์บริการด้านการค้าขึ้น ศูนย์เหล่านี้มีความสำคัญต่อชนบทมาก เพราะเป็๋นที่รวบรวมหรือแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร และให้บริการด้านซ่อมแซมเครื่องมือทางการเกษตร นอกจากนั้นยังเป็นศูนย์ที่ใช้แลกเปลี่ยนความรู้ทางวิชาการด้วย เช่น เรืองการใช้ปุ๋ยหรือเทคนิคใหม่ ๆ เป็นต้น

2. รูปแบบของที่เพาะปลูกจะเปลี่ยนไป ที่เพาะปลูกจะเป็นแหล่งใหญ่และเกษตรกรมักจะอาศัยอยู่ในที่ซึ่งเพาะปลูกสะดวก ในการดูแลและบำรุงรักษา ถึงแม้ว่าเดิมจะมีบ้านอยู่แล้ว แต่อาจต้องมีที่อาศัยใหม่เพื่อดูแลผลผลิตที่ทำไว้ การใช้เครื่องทุ่นแรงและการใช้ปุ๋ยในกรณีนี้จะมีมากขึ้น

3. ชนบทจะเริ่มเจริญและขยายตัวไปอย่างรวดเร็ว ปรากฏการณ์เช่นนี้น่าสนใจและควรได้รับการส่งเสริมเป็นอย่างยิ่ง

การท่องเที่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในชนบท


นักท่องเที่ยวก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั่วไปในชนบท Saville (1966) ได้สรุปงานวิจัยไว้ว่า "ยากที่จะกล่าวถึงผลของการท่องเที่ยวที่จะมีอีก 100 ปีข้างหน้าต่อสังคมชนบทของประเทศในยุโรป แต่ผลกระทบนี้มีอิทธิพลต่อสังคมชนบทมาก เมื่อนักท่องเที่ยวได้หลั่งไหลเข้าสู่เขตชนบทจะทำให้ชาวชนบทคิดว่าตัวเองได้ เปลี่ยนเป็นชาวเมืองมากขึ้น และความคิดนี้จะเป็นพลังในการเปลี่ยนแปลงรูปแบบและโครงสร้างทางสังคมของชาว ชนบท นอกจากนี้ยังเป็นการฉีดความคิดชาวเมืองเข้าไว้ในชาวชนบทอีกด้วย"

ในระยะเริ่มแรกประชาชนในชนบทไม่ต้อนรับนักท่องเที่ยวจากข้างนอกที่แตกต่างไป จากสมาชิกของชุมชนท้องถิ่น ซึ่งจะได้รับการต้อนรับเหมือนแกะที่หลงทาง ความไม่เป็นมิตรต่อนักท่องเที่ยวจะลดน้อยลง เมื่อสมาชิกในชุมชนท้องถิ่นรู้ว่าการให้ความสะดวกแก่พวกเขาอย่างน้อยก็ได้ ประโยชน์ 4 ประการ ดังนี้

ประการแรก มีงานเพิ่มแก่ผู้หญิงและเด็ก ๆที่ไม่ได้ทำงานฟาร์ม Rambaud (1969) ได้รายงานไว้ว่า ชาวชนบทถือว่าการทำงานที่เพิ่มขึ้นนี้มีความสำคัญมากที่สุดที่ได้รับจากพวก นักท่องเที่ยว เช่น งานโรงแรมและบ้านพัก หรือในการขายของที่ระลึก เช่น เครื่องปั้นภาชนะดินเผา ผ้าที่ทอด้วยมือ ฯลฯ

ประการที่สอง งานเหล่านี้เพิ่มรายได้ให้แก่ครอวครัว เช่น พื้นที่ฟาร์มก็ทำเป็นบ้านให้นักท่องเที่ยวเช่า หรือถ้ามีบ้านหลายหลังก็จะแบ่งให้เช่า Morgan-Jone (1972) กล่าวไว้ว่า "อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวตามฟาร์มได้เปลี่ยนทัศนคติเกี่ยวกับการใช้เวลา ที่ดิน และบ้านต่อภรรยา และบุตรของชาวนาเป็นอย่างมาก" Dower (1972) ได้ชี้ว่า รายจ่ายของนักท่องเที่ยวนั้นส่วนใหญ่ตกไปอยู่กับแรงงาน ผลผลิตและการบริการในท้องถิ่นมากกว่ารายจ่ายอื่นๆ จากการประมาณการรายจ่ายของนักท่องเที่ยวในวันหยุด พบว่า 50-60% ใช้ไปกับที่พักและอาหาร 15% หมดไปกับการเดินทาง ที่เหลือเป็นค่าพักผ่อนหย่อนใจ ซื้อของและความบันเทิง

ประการที่สาม เกษตรกรมีโอกาสได้ขายผลผลิตของตน (นม ผัก ผลไม้) ให้กับนักท่องเที่ยวที่มาพักอาศัยในท้องถิ่นนั้นๆรวมทั้งนักท่องเที่ยวที่ เดินทางผ่าน

ประการสุดท้าย การติดต่อระหว่างนักท่องเที่ยวและชาวชนบทเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และ ความเข้าใจในชีวิตการงานของโลกภายนอก

ความคิดของชาวชนบทเกี่ยวกับ "งาน" ได้เปลี่ยนไปหลังจากติดต่อกับชาวเมือง แต่เดิมการดำเนินชีวิตทางการเกษตรกรรมไม่ได้ถือเป็นธุรกิจ การทำงานในท้องนาจะทำกันตั้งแต่เช้าเรื่อยไปตลอดวันและตลอดปี "งาน" และ "การพักผ่อนหย่อนใจ" ไม่ได้แยกจากกัน พอนักท่องเที่ยวเข้ามาพวกเขาได้จัดกิจกรรมที่มีรายได้และมีการแยกกันระหว่าง "งาน" และ "การพักผ่อนหย่อนใจ"

การทำฟาร์มจึงอยู่ในสภาพที่ถูกทอดทิ้งเมื่อการอำนวยความสะดวกแก่นักท่อง เที่ยวได้ผลดีและก่อประโยชน์ใหญ่ๆ 4 ประการ ประการแรก ได้เงินมากกว่าการทำฟาร์ม ประการที่สอง ได้ฝึกอาชีพมากกว่าการทำฟาร์ม เช่น เป็นผู้สอนการเล่นกีฬาหรือบ๋อยในฤดูที่มีนักท่องเที่ยว ประการที่สาม นักท่องเที่ยวให้เกียรติและมีโอกาสในสังคมชั้นสูง ในขณะที่ยังทำงานนั้นเกี่ยวกับการท่องเที่ยว ประการสุดท้าย ได้ผลกำไรดีกว่าและการเสี่ยงอยู่กับความไม่แน่นอนของการทำฟาร์ม

ดังนั้น การท่องเที่ยวก็เช่นเดียวกับรูปแบบที่มีอิทธิพลอื่นๆของชาวเมืองหลวงที่มี ต่อชนบท ทำให้เกิดการแตกกลุ่มของสังคมในชนบท เกิดการแข่งขันและการเป็นตัวใครตัวมัน ในอดีตเขาเคยทำงานร่วมกันในท้องทุ่ง ก็จะกลายมาเป็นคู่แข่งซึ่งต่างพยายามทำให้นักท่องเที่ยวพอใจในกิจการของตน

นอกจากนี้การขัดแย้งย่อมเกิดขึ้นในหมู่พวกที่ไม่ต้องการขายบริการหรือ ทรัพยสินของตนต่อนักท่องเที่ยว พวกนี้คิดว่าการทำให้ฟาร์มของตนกว้างขึ้น และมั่นคงขึ้นนั้นถูกขัดขวางโดยมีพวกนักท่องเที่ยวเข้ามาพักกระจัดกระจาย รอบๆหมู่บ้าน และไม่สามารถทำที่ที่ทำการเกษตรได้ ราคาของที่ดินเพิ่มมากขึ้น เมื่อพวกนักท่องเที่ยวได้พากันเข้ามา

ได้มีการโต้เถียงถึงผลที่ได้จากการเปลี่ยนแปลงของสังคมเมื่อนักท่องเที่ยว ได้เข้ามา เราอาจจะกล่าวได้ว่าการจัดเป็นที่ท่องเที่ยวทำให้มีงานและมีรายได้เพิ่มขึ้น ทำให้สภาพการดำรงชีวิตดีขึ้น และยังมีผลอย่างยิ่งต่อสตรีที่ทำงานตามชนบททำไม่ได้ และมีแนวโน้มที่จะอพยพไปสู่เมืองหลวงมากกว่าชายหนุ่ม ในทางตรงข้ามอาจกล่าวได้ว่า การกระจายข่าวเกี่ยวกับการดำรงชีวิตของชาวเมืองทำให้ชาวชนบทไม่พอใจกับสภาพ ของตนเองและผลักดันให้พวกเขาเข้าเมือง ซึ่งเขาจะได้รับทักษะใหม่ๆและเป็นประโยชน์ยิ่งขึ้น ซึ่งจะเกิดขึ้นจริงกับคนหนุ่มที่ไม่ค่อยได้ผูกพันกับบ้านมากกว่าพ่อแม่ปู่ ย่าตายายของพวกเขาต่างคนต่างก็มีสิ่งสนับสนุนคำพูดของตน

ที่แน่ๆคือ "ชีวิตของชาวชนบทและจิตวิทยาในสังคมจะถูกทำให้เปลี่ยนไปมากหรือน้อยก็โดย อิทธิพลจากโลกภายนอก และการปรับตัวตามสภาพเศรษฐกิจในชุมชนของชาวบนบท การก่อรูปใหม่ของชีวิตชนบทอาจจะเป็นแค่เพียงบางส่วน หรืออาจจะทั้งหมดเลยก็เป็นได้ ขึ้นอยู่กับระดับวิถีชีวิตของชาวชนบทที่ดำเนินต่อไปหรือความต้องการติดต่อ กับนักท่องเที่ยว"

ปัญหาในชนบทและแนวทางแก้ไข


ปัญหาในชนบทโดยทั่วไปคือ ความยากจน ความยากจนคือสภาพที่ทำมาหาได้แล้วไม่พอกินหรือรายได้ไม่พอกับรายจ่าย

ปัญหายากจนในชนบทเป็นปัญหาโครงสร้างที่สำคัญประการหนึ่ง ซึ่งมาตรการและโครงการต่างๆทั้งฝ่ายรัฐบาลและเอกชนยังไม่สามารถคลี่คลาย ปัญหาลงได้เท่าที่ควร นอกจากนั้นเมื่อพิจารณาถึงสภาพการณ์ในการพัฒนาประเทศในอนาคต มีปัจจัยหลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อจำกัดในด้านทัพยากรที่ดิน ตลอดจนปัจจัยทางด้านการเมืองและสังคม อาจจะมีผลทำให้ปัญหาความยากจนยากต่อการแก้ไขยิ่งขึ้น อันจะเป็นอันตรายต่อการพัฒนาประเทศเป็นอย่างยิ่ง

ผู้ที่ยากจนในชนบทส่วนใหญ่เป็นผู้ที่อยู่ในสภาพ 3 ประการ

1. มีความขาดแคลน (shortage) ขาดแคลนทั้งความคิดและวัตถุปัจจัยที่จำเป็นสำหรับความอยู่ได้และความอยู่ดี

2. ถูกเอารัดเอาเปรียบ (exploited) ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ โดยคนที่รวยมากกว่า ฉลาดกว่าและเห็นแก่ตัว

3. ขาดเสรีภาพในการต่อรอง (deprived) ในการประกอบอาชีพ

สาเหตุของความยากจน

1. เศรษฐกิจ การขาดแคลนปัจจับพื้นฐานในการผลิต คือ น้ำ ที่ดิน ทุนทรัพย์และความไม่สะดวกในเรื่องตลาด

2. สังคมและการบริการ ขาดโอกาสที่จะได้รับความรู้ความเข้าใจชีวิตและโลกความคิด การจูงใจ ความใฝ่ฝันและความกระตือรือร้น ความสามารถและทักษะในการประกอบอาชีพตลอดจนการสาธารณสุขและโภชนาการ

3. การปกครอง การเมืองและระบบราชการไม่เอื้ออำนวยต่อการมีเสถียรภาพและความเท่าเทียมกับ ผู้อื่นในการดำเนินชีวิตอย่างแท้จริง

ปัญหาในชนบทเป็นลักษณะของความเกี่ยวพันหรือเป็นลูกโซ่สัมพันธ์ซึ่งกันและกันในขบวนการปัญหาทั้งหมด

ปัญหาด้านสังคมและการบริการ


ในการพัฒนาเกษตรกรรมหรือชนบทนั้นมุ่งเปลี่ยนแปลงความรู้สึกนึกคิดของเกษตรกร หรือชาวชนบทโดยการให้ความรู้เพื่อเป็นทางนำไปสู่การปฏิบัติให้ได้ผลดี มีการปลูกฝังความเชื่อให้เกิดการเปลียนแปลงพฤติกรรม เกิดปัญหา ในบางกรณีรัฐบาลยังได้ให้ความสนับสนุนในด้านวัตถุ เพื่อเป็นเชื้อพอที่จะริเริ่มในการที่จะช่วยตนเองในโอกาสต่อไป

การพัฒนาดังกล่าวไมได้ขึ้นอยูกับขีดความสามารถของเกษตรกรแต่เพียงอย่างเดียว ยังขึ้นอยู่กับอิทธิพลของสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

ขนบธรรมเนียมประเพณีและความเชื่อ

หมายถึงแบบความเชื่อ ความคิด การกระทำ ค่านิยม ทัศนคติ ศีลธรรม จารีต ระเบียบแบบแผนและวิธีกระทำสิ่งต่างๆตลอดจนถึงการประกอบพิธีกรรมในโอกาสต่างๆ ที่กระทำกันในในอดีต ลักษณะสำคัญของขนบธรรมเนียมประเพณีคือ เป็นสิ่งที่ปฏิบัติเชื่อถือกันมานานจนกลายเป็นแบบอย่างความคิดหรือการกระทำ ที่ได้สืบต่อกันมาและยังมีอิทธิพลอยู่ในปัจจุบัน

ขนบธรรมเนียมและความเชื่อเป็นองค์กรทางสังคม (Social organization) ที่สำคัญในสังคมชนบท เป็นสิ่งก่อให้เกิดความสัมพันธ์ในการอยู่ร่วมกันของชาวชนบท สังคมไทยในเขตชนบทประชาชนยังตกอยู่ในห้วงของความเชื่อที่งมงายที่กระทำสืบ ต่อกันมาแต่บรรพบุรุษ ขาดความเข้าใจและไม่มีเหตุผล รู้แต่เพียงว่าจะต้องปฏิบัติตามและดำรงรักษาสืบไป ขนบธรรมเนียมประเพณีและความเชื่อหลายประการที่มีผลต่อประชากรโดยตรง เช่น ความเชื่อในการรักษษพยาบาลด้วยไสยศาสตร์ ความเชื่อในเรื่องการรับประทานอาหาร ความเชื่อในเรื่องภูติผีปีศาจ ฯลฯ

ดังนั้น ชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยในชนบทจึงเกี่ยวข้องกับขนบธรรมเนียมประเพณีที่ผูก พันกับอาชีพ ศาสนา ความเชื่อในสิ่งเหนือธรรมชาติ ค่านิยมในด้านรักสนุกและนิยมพิธีการอยู่มาก บางครั้งชาวชนบทจึงใช้จ่ายเงินรายได้เพื่อสิ่งเหล่านี้มากกว่าเพื่อสิ่งจำ เป็นของชีวิตในด้านอื่น

ในบางครั้งขนบธรรมเนียมประเพณีและความเชื่อไปสนับสนุนและขัดแย้งกับหลักการ พัฒนาชนบทอย่างมาก อันได้แก่ การยอมรับสิ่งใหม่ๆของชาวชนท

ความหมายของการยอมรับสิ่งใหม่

การยอมรับ (Adoption) หมายถึง กระบวนการทางจิตที่บุคคลผ่านจากการได้ยินเกี่ยวกับการเปลียนแปลงในครั้งแรก ไปสู่การยอมรับในขั้นสุดท้าย (ณรงค์ ศรีสวัสดิ์ 2512)

สิ่งใหม่หรือนวัตกรรม (Innovations) หมายถึง แนวคิด ความรู้ วิธีการ อุปกรณ์ และการปฏิบัติต่างๆที่ถือว่าแปลกใหม่ และเป็นผลดีหรือเมื่อนำมาใช้แล้วจะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตได้ ซึ่งมีความหมายใกล้เคียงกับเทคโนโลยี

การยอมรับความรู้ใหม่ ๆ เป็นกรรมวิธีที่ซับซ้อนซึ่งได้รวมถึงการจัดลำดับความคิดและการกระทำ โดยปกติแล้วการตัดสินใจยอมรับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้กระทำภายหลังจากที่ได้ติด ต่อหรือทำความเข้าใจจากสื่อมวลชนหลายกระแสหลายทาง ซึ่งต้องใช้ระยเวลานานพอสมควร (ยุกติ สาริกะภูติ 2511)

ดังนั้น การยอมรับสิ่งใหม่ จึงหมายถึง ขบวนการทางจิตของบุคคลที่ผ่านจากการรู้หรือการรับทราบสนใจไปจนถึงการยอมรับ เอาแนวคิด ความรู้ วิธีการ หรืออุปกรณ์ต่างๆ ที่เป็นของใหม่มายึดถือและถือปฏิบัติ

ขนบธรรมเนียมประเพณีที่เป็นปัจจัยสนับสนุนการยอมรับสิ่งใหม่ของชาวชนบท ได้แก่
  1. กล้าเสี่ยงกล้าได้กล้าเสีย
  2. การนิยมการได้รับยกย่องในสังคม
  3. นิยมและเห็นคุณค่าของการศึกษา (บุญธรรม คำพอ, 2520)
  4. การให้ความไว้วางใจและนับถือผู้นำผู้มีความรู้ (ไพฑูรย์ เครือแก้ว 2508)
  5. การร่วมมือกันและการยอมรับอิทธิพลจากกลุ่ม
  6. ความขยันหมั่นเพียรวิริยะอุตสาหะ
  7. การพึ่งตนเองช่วยตนเอง (พัทยา สายหู 2521)
  8. การทำงานอย่างมีเหตุผลและหลักวิชา (อมร รักษาสัตย์ , 2524)
ขนบธรรมเนียมประเพณีที่ขัดแย้งกับการยอมรับสิ่งใหม่ของชาวชนบท ได้แก่
  1. การขาดความรู้สึกช่วยตนเองคิดหวังพึ่งรัฐบาล
  2. ความรักสนุกและขาดความขยันขันแข็งเนื่องจากยังเห็นว่ายังอยู่สบายได้ (ดิเรก ฤกษ์หร่าย 2523)
  3. ความรักสันโดษ มีความทะเยอทะยานในระดับต่ำ
  4. การยึดถือระบบครอบครัวมาก (อัจฉรี พรพินิจสุวรรณ, 2523)
  5. การเล็งผลปฏิบัติ (pragmatism) จะเชื่อมต่อเมื่อการสาธิตนั้น สัมฤทธิ์ผล
  6. การถืออำนาจบังคับและค่านิยมแบบเจ้าขุนมูลนาย (อดุลย์ วิเชียรเจริญ, 2514)
  7. ความเชื่อถือในโชคเคราะห์ ภูติผี และอิทธิปาฏิหาริย์เกี่ยวกับเรืองในพุทธศาสนา (อมรรัตน์ ฤทธิ์เรือง 2514)
ดังนั้น การนำวิทยาการใหม่ๆเข้าไปเผยแพร่ในสังคมใด อาจจะไม่ตัดสินใจยอมรับ ต่อต้าน จนกว่าจะได้ปรึกษาหารือกันภายในสังคมนั้นก่อน

สังคมที่อพยพจากถิ่นอื่นจะยอมรับและต่อต้านวิทยาการใหม่ๆ ได้เร็วกว่าเพราะมีประสบการณ์ที่ได้มาจากถิ่นเดิมและสภาพแวดล้อมของถิ่นต่าง กัน ทำให้เกิดการเปรียบเทียบข้อดีข้อเสีย

สำหรับกลุ่มผู้มีฐานะการครองชีพดี มีระดับการศึกษาสูง มีเหตุผล มีความคิดริเริ่มกระตือรือร้น มีทุน พอที่จะปฏิบัติตามได้ถ้าอยู่ในวิสัยจะปฏิบัติได้

สำหรับกลุ่มแบบเชื่อผู้นำ (นายทุน นักเลง) ผู้นำกลัวจัเสียหน้าเพราะมีความเชื่อตนเอง เคยพิสูจน์ความสามารถให้สมาชิกเห็นฝีมือ จึงมักยอมรับวิทยาการสมัยใหม่ แต่บางครั้งก็สงวนท่าทีและพยายามหยั่งเสียงของสมาชิก ข้อเสียอยู่ที่ผู้ปฏิบัติตามผู้นำอย่างไม่ลืมหูลืมตาโดยขาดความเข้าใจ ถ้าเปลี่ยนแปลงผู้นำก็จะเลิกปฏิบัติ (ทำนอง สังคาลวนิช)

การที่จะพัฒนาชนบทอย่างได้ผล จำเป็นจะต้องให้การศึกษาแก่ชาวชนบท เพราะการศึกษาจะทำให้เข้าใจปัญหา เป็นบุคคลที่มีเหตุผล การจะพัฒนาจะต้องมีผู้นำการเปลี่ยนแปลง (Change agent) ที่สร้างความเชื่อมั่นจากประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วมสังเกตการณ์และดำเนินชีวิต อย่างเดียวกับชาวชนบท พยายามทำความเข้าใจในวิธีทางการดำเนินชีวิตของชาวชนบท ทัศนะที่มีต่อโลกภายนอก ปัญหาและความต้องการการเปลี่ยนแปลง หลังจากนั้นจะเป็นการง่ายต่อการชักชวน สาธิตและแนะนำความคิดใหม่ แบบแผนของพฤติกรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีสมัยใหม่ๆ

การเปลี่ยนแปลงใดๆก็ตามเพื่อสิ่งที่ดีกว่า ไม่ควรต่อต้านขัดขวางขนบประเพณีดั้งเดิมชองชาวชนบท ควรจะค่อยๆถ่ายทอดขนบธรรมเนียมประเพณีใหม่ๆเข้าไปในรูปแบบของขนบธรรมเนียม ประเพณีดั้งเดิมของชุมชนชนบท โดยวิธีการจัดกันให้สอดคล้องเป็นหมวดหมู่ให้ค่อยๆดูดซึมเข้าไป ไม่จำเป็นจะต้องทิ้งของเก่าเพื่อความทันสมัย ถ้าสามารถผสมผสานกลมกลืนค่านิยมในขนบธรรมเนียมประเพณีและปทัสถานของสังคมชน บทยากจนด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ และทำให้ผสมกลมกลืนกันอย่างได้ผล ชนบทคงจะพัฒนาไปได้รวดเร็วขึ้น

กรณีขนบธรรมเนียมประเพณีและความเชื่อในการรักษาพยาบาล

การรักษาพยาบาลของแต่ละสังคมแปรเปลี่ยนไปตามระดับชั้นของวิวัฒนาการของสังคมนั้นๆ คือ

- สังคมดั้งเดิมหรือสังคมที่มีความเจริญทางเทคโนโลยีต่ำ ทฤษฎีทางการแพทย์ การรักษาพยาบาล วิธีการรักษามีผลต่อการควบคุมโรคน้อยกว่าขนบธรรมเนียมประเพณี มีข้อปฏิบัติอื่นๆที่นอกเหนือจากระบบการแพทย์และการรักษาพยาบาลอย่างมากมาย ส่วนใหญ่รักษาแบบ "ไทยๆ" ได้แก่ ใช้ตัวยาจากธรรมชาติที่สามารถหาในท้องถิ่น ใช้น้ำมนต์นิมนต์พระมาปัดเป่ารังควาญ ผูกได้สายสิญจน์ ใช้คาถาการวินิจฉัยโรคด้วยตนเอง (Self diagnosis) เป็นการตัดสินใจด้วยตนเองว่าจะกระทำประการใดจึงจะทำให้อาการต่างๆที่เกิด ขึ้นหายไป ทั้งนี้อาจทราบจากประสบการณ์ที่ตนเองเคยเป็นมาก่อน หรือเคยฟังคำบอกเล่าของ ผู้อื่นหรือจากการเห็นผู้อื่นรักษา

นอกจากนี้การเจ็บป่วยของผู้ใดผู้หนึ่งไม่ใช่เรื่องเฉพาะตัวผู้นั้น หากแต่เป็นเรื่องของครอบครัวและญาติพี่น้องและสังคมในที่สุด (ซึ่งเป็นสังคมที่มีลักษณะความสัมพันธ์เครือญาติสูง) ก่อนจะไปรักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลเพื่อนบ้านหรือญาติพี่น้องจะเข้ามามีบทบาท ช่วยเหลือมากที่สุด ทุกคนพยายามจะให้ใช้วิธีการรักษาหลายๆประเภทที่มีอยู่ตามหมู่บ้านข้างเคียง เมื่อได้ใช้วิธีการเหล่านี้หมดแล้ว ญาติพี่น้องจึงจะยินยอมเห็นด้วยในการไปรักษาที่โรงพยาบาล

หลังจากที่เข้าไปโรงพยาบาลไม่นานบางคนหนีออกมาทั้งๆที่ยังไม่ถึงกำหนดที่หมอ ให้ออก ทั้งนี้เนื่องจากหมอไม่ฉีดยาให้ เวลามีอาการไข้ไม่มาตรวจ แต่เวลาไม่มีไข้มาตรวจ เวลากินอาหารไม่ตรงกับเวลาหิว ฯลฯ เมื่อกลับมาถึงบ้านก็เล่าให้ญาติพี่น้องฟังถึงความรู้สึกและความไม่พอใจใน ระบบการปฏิบัติงานของโรงพยาบาล บุคคลเหล่านี้ได้รับรู้เรื่องราวต่างๆของโรงพยาบาลพร้อมเก็บข้อมูลสำหรับใช้ พิจารณาสนับสนุนหรือคัดค้านการส่งผู้ป่วยไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลในคราว ต่อไป

ชาวบ้านที่ไปรักษาในโรงพยาบาลไม่ได้ละทิ้งความเชื่อดั้งเดิมเสียทีเดียว โดยจะนำเอาอาหารคาวหวานๆปเซ่นไหว้วิญญาณของปู่ ย่า ตา ยาย หรือบรรพบุรุษซึ่งบางครั้งเป็นต้นเหตุของการเจ็บป่วยจึงต้องขอขมาลาโทษ แต่บางครั้งก็เป็นการไหว้เพื่อบนบานศาลกล่าวให้ช่วยทำให้หายป่วยโดยเร็ว นอกจากนี้อาจจะใช้คนทรงเพิ่อสอบถามว่าไปถูกผีที่ไหนทำ และผีต้องการกินอะไร เมื่อรู้แจ้งแล้วก็จะจัดพิธีบวงสรวงวิญญาณ

- สังคมที่เจริญทางด้านวัตถุหรือระดับเทคโนโลยีก้าวหน้า ระบบการแพทย์และการรักษาพยาบาลมักมีบทบาทสูงทั้งในการรักษาและการป้องกัน มีความเชื่อมั่นในการรักษาสูง

ปัญหาด้านโภชนาการ

ปัญหาโภชนาการยังมีอยู่หนาแน่นในชนบท ปัญหาที่เกิดขึ้นสืบเนื่องมาจากภาวะความเป็นอยู่ของคนที่มีความสัมพันธ์กับ สิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวกับการกินการอยู่ ตลอดจนความเชื่อต่างๆในการบริโภค ปัญหาโภชนาการในเขตชนบทแบ่งกล่าวได้ 4 ประการ
  1. ปัญหาการขาดสารอาหาร เป็นปัญหาที่จะต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วนเพราะเป็นปัญหาพื้นฐานเกี่ยวกับคุณภาพ และประสิทธิภาพของประชากร การขาดสารอาหารที่สำคัญของชาวชนบทได้แก่ การขาดโปรตีน การขาดเหล็ก การขาดไอโอดีน ฯลฯ
  2. ปัญหาเกี่ยวกับพิษและสารพิษในอาหาร เป็นเรื่องเกี่ยวกับความปลอดภัยของผู้บริโภค สารพิษในอาหารนั้นอาจจะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เช่น อาหารมีเชื้อราและเชื้อจุลินทรีย์เกิดขึ้น และอีกประการหนึ่งอาจจะเกิดจากการกระทำของมนุษย์ โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือเกิดจากการหวังผลประโยชน์ทางการค้า
  3. ปัญหาไม่มีอาหารรับประทาน เป็นปัญหาที่พบในเขตชนบท บางครอบครัวมีอาหารรับประทานไม่ครบมื้อ และอาหารในแต่ละมื้อยังมีปริมาณไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย ทำให้สุขภาพร่างกายไม่แข็งแรงเป็นอุปสรรคต่อการประกอบอาชีพ
    ปัญหาโภชนาการในชนบทที่เกิดขึ้นจะส่งผลกระทบต่อกลุ่มบุคคลเหล่านี้มาก คือหญิงมีครรภ์และบุตร ซึ่งจะมีผลต่อทารกที่อยู่ในครรภ์ พบว่าทารกที่อยู่ในเขตชนบทที่คลอดออกมาจะมีน้ำหนักเฉลี่ยประมาณ 2,776 - 2,820 กรัม ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ต่ำ ทารกแรกเกิดอายุถึง 2 ปี ระยะนี้เป็นวัยเจริญเติบโตของร่างกายและสมองอย่างรวดเร็ว ถ้าเด็กไม่ได้รับอาหารอย่างถูกต้องและเพียงพอจะทำให้อัตราการเจริญเติบโตของ ร่างกายและสมองเป็นไปในอัตราช้า เด็กวัยก่อนเข้าเรียนอายุ 2-5 ปี ระยะนี้ร่างกายจะมีความต้องการสารอาหารมาก ปัญหาที่เกิดขึ้นทั่วๆไปในชนบทคือ ได้อาหารที่มีไขมันต่ำ ทำให้พลังงานที่ได้ไม่พอกับร่างกาย (ชนบทไทย, 2523)
  4. ความไม่รู้และเข้าใจผิด คนในชนบทขาดความรู้ในเรื่องโภชนาการที่มองเห็นได้ชัด คือ
    1. ไม่รู้ถึงความสัมพันธ์และความสำคัญของอาหารที่มีต่อสุขภาพของคน อาหารที่บริโภคจึงขอให้อิ่มท้อง
    2. ไม่รู้จักประกอบอาหารที่ถูกวิธี เพื่อสงวนคุณค่า และปลอดภัยจากเชื้อโรค เช่น การหุงข้าวแบบเทน้ำทิ้ง การแช่ข้าวเหนียวนานๆแล้วทิ้งน้ำไป การบริโภคอาหารดิบ
    3. ไม่รู้จักกรรมวิธีถนอมอาหารที่เหลือไว้บริโภคในยามขาดแคลนอาหารบางชนิดผลิตได้เกินความต้องการของท้องถิ่น
    4. สิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรม สาเหตุของการไม่รู้ ประกอบกับการขาดการติดต่อกับสังคมภายนอก ไม่ได้รับวิทยาการใหม่ๆ ความเชื่อเดิมที่ถ่ายทอดกันมาในเรื่องการบริโภคอาหารจึงยังตกค้างอยู่มาก และยังปฏิบัติกันอยู่ ทวีรัสม์ ธนาคม (2523) ได้ประมวลความเชื่อที่ผิดในเรื่องอาหารไว้มาก เช่น
      1. เลือดดิบ เนื้อดิบ กินแล้วบำรุงกำลัง
      2. เด็กกินเนื้อปลามาก เนื้อสัตว์มาก ทำให้เป็นตานขโมย
      3. เด็ก 1-2 ขวบ ห้ามกินไข่ เนื้อสัตว์ จะเป็นพยาธิและฟันฝุ
      4. เครื่องในไก่กินแล้วทำให้สมองทึบ
      5. ไข่ดิบมีประโยชน์มากกว่าไข่สุก ไข่ดิบกินแล้วบำรุงกำลัง
      6. หญิงเพิ่งคลอดใหม่ๆ ห้ามกินเนื้อสัตว์และไข่ ต้องกินข้าวกับเกลือและปลาแห้งเท่านั้น

ความเชื่อที่ผิดนี้ กระจายทั่วไปทุกภาคของประเทศไทย มีทั้งผิดและถูก แพทย์หญิงสาคร ธนมิตต์และคณะ (1978) พบว่า การบริโภคอาหารของหญิงมีครรภ์ในจังหวัดอุบลราชธานี มีการบริโภคอาหารเหมือนคนปกติ ไม่มีการจัดอาหารเสริมเป็นพิเศษ นอกจากนี้ยังมีความเชื่อที่ว่าห้ามรับประทานเนื้อวัว และไข่เพราะจะทำให้เด็กหัวโต คลอดยาก สำหรับการคลอดในระยะแรกมารดาส่วนใหญ่ยังคงเชื่อว่าห้ามกินเนื้อวัว ไข่ ปลาและผักบางชนิด เช่น ผักชี ชะอม เพราะจะทำให้การหมุนเวียนโลหิตผิดปกติ อาจทำให้เจ็บป่วยและตายได้ หรือการบริโภคของเหล่านั้นจะทำให้ท้องร่วง นอกจากนี้ในระหว่าง 2 สัปดาห์แรกหลังการคลอดมารดาบางคนยังบริโภคเฉพาะข้าวกับเกลือหรือปลาเค็มเท่า นั้น

ส่วนมารดาในกรุงเทพฯ บางคนมีความเชื่อว่าภายหลังการคลอดในระยะแรกควรบริโภคแกงเลียงเพื่อช่วย กระตุ้นน้ำนม เพราะแกงเลียงประกอบด้วยปลาหรือกุ้งกับผักทำให้มีคุณค่าทางอาหารสูง

อย่างไรก็ตาม การห้ามในสิ่งที่ผิด แม้ว่าจะมีประวัติความเป็นมาหรือมีเหตุผลแอบแฝงอยู่ในทางหลักโภชนาการถือว่า เป็นความเชื่อที่ผิดและก่อให้เกิดผลร้ายต่อผู้ปฏิบัติ

ลักษณะทางวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีที่มีต่อบริโภคนิสัย (food habits) หลายประการได้แก่

- ผลในด้านส่งเสริมสุขภาพ (Beneficial customs) ทำให้ผู้ปฏิบัติได้รับผลดีทางด้านภาวะโภชนาการและสุขภาพอนามัย เช่น นิยมการให้ลูกกินนมแม่นานถึงปีครึ่งหรือสองปี การปฏิบัติอย่างนี้มีผลดีอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่อยู่ในโซนร้อนและชุมชนที่ขาด โปรตีน หรือในกรณีที่ห้ามหญิงหลังคลอดดื่มน้ำดิบ (น้ำที่ไม่ได้ต้ม) จะทำให้น้ำนมไม่สุกลูกจะท้องเสีย

- ผลในด้านให้โทษ (Harmful customs) ในสังคมทุกสังคมย่อมีขนบธรรมเนียมประเพณีบางอย่างที่เป็นอันตรายต่อภาวะสุข ภาพและโภชนาการของผู้ประพฤติ ดังนั้นการให้โภชนาการศึกษาและการเปลี่ยนแปลงแบบแผนการรับประทานอาหารในชุม ชนใดๆ จำเป็นต้องคำนึงถึงขนบธรรมเนียมประเพณีประเภทนี้มากที่สุด เพราะเป็นสิ่งที่ต้องการความเปลี่ยนแปลง

ลักษณะความเชื่อหรือขนบธรรมเนียมประเพณีที่เข้าไปมีบทบาทอยู่ในบริโภคนิสัย ของประชาชนในท้องถิ่นภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งมีผลในด้านให้โทษ โดยแบ่งตามกลุ่มได้ดังนี้

1. หญิงมีครรภ์ อาหารที่งดหรือข้อห้าม ขะลำ (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) ในช่วงนี้ได้แก่ กล้วยและของหวานทุกชนิด เพราะกล้วยเด็กในท้องจะอ้วน คลอดยาก งดบริโภคของมันเนื่องจากไขมันจะทำให้คลอดลำบาก งดอาหารรสจัดกลัวเด็กในท้องจะแสบไหม้หรือเด็กจะไม่เป็นตัว

นอกจากในด้านอาหารแล้ว ต้องระวังในด้านความประพฤติด้วย คือ หญิงมีครภ์
  1. ห้ามนั่งคาบันไดเพราะจะทำให้คลอดบุตรยาก (บุตรจะคาอยู่ที่ช่องคลอด) หรือเกรงว่าจะพลาดตกลงมาทำให้แท้งได้
  2. ห้ามไปดูคนใกล้ตายหรือไปงานศพ โดยเกรงว่าวิญญาณของผู้ตายอาจทำร้ายเด็กในท้องหรือมีลูกแฝด
  3. ห้ามกินข้าวอิ่มทีหลัง (ไม่ให้กินข้าวนาน)
  4. ห้ามไปดูคนปวดท้องจะคลอดลูก เพราะเด็กในท้องของตนจะไปห้ามเด็กอีกท้องหนึ่งไม่ให้เกิด
  5. ห้ามพูดจาทักเด็กวาไม่ดีอย่างนั้นไม่ดีอย่างนี้ เพราะอาจทำให้ลูกของตัวเองไม่ดีอย่างที่ไปว่าลูกคนอื่นด้วย
  6. ห้ามดูการฆ่าสัตว์ หรือห้ามตัวเองฆ่าสัตว์ เพราะจะทำให้จิตใจเศร้าหมอง

อาหารสำหรับการบำรุงครรภ์เป็นพิเศษได้แก่ ผักปลัง เพื่อให้คลอดง่าย น้ำมะพร้าวทำให้เด็กในท้องผิวสวย การทานน้ำมะพร้าวจะช่วยชะไขมันของเด็ก ทำให้คลอดง่าย

2. หญิงหลังคลอด นับว่าเป้นกลุ่มที่มีข้อห้าม (ขะลำ) เกี่ยวกับเรื่องการบริโภคและการปฏิบัติตนต่างๆมากที่สุด ทั้งนี้เพราะจะบำรุงร่างกายที่บอบช้ำจากการคลอดบุตรให้กลับแข็งแรงเป็นปกติ โดยเร็ว

อาหารที่งดของหญิงกลุ่มนี้
  1. ผักกาด แตง เพราะจะทำให้เลือดลมอ่อนจะเป็นภัยต่อสุขภาพ
  2. ปลาดุก เนื้อวัว เนื้อควาย กลัวมดลูกเข้าอู่ยาก
  3. น้ำดิบ ถ้าดื่มน้ำดิบจะทำให้น้ำนมไม่สุก แม่และลูกจะท้องเสีย
  4. อาหารประเภทรสจัด หรือผักตำลึง ยอดฟักทอง จะทำให้ธาตุทั้งสี่ในร่างกายไม่สม่ำเสมอหรือทำให้เลือดลมอ่อนยิ่งขึ้น ซึ่งอาจทำให้เป็นบ้าหรือตายได้

อาหารที่กินได้คือข้าวเหนียวปิ้งกับเกลือ หัวปลีซึ่งจะทำให้น้ำนมมาก

3. ทารก อาหารของทารกคือ นมแม่ เด็กเกิดใหม่ 2-3 วันแรกยังไม่ให้ดูดนมแม่ แม่จะบีบเอาน้ำเหลืองออกคิดว่าเป็นน้ำเหลืองหรือน้ำเสียจะทำให้เด็กท้องเสีย ได้ เด็กในช่วงนี้จะให้กินน้ำผึ้งผสมน้ำหยดปากแทน จะทำให้เด็กพูดจาอ่อนหวาน และช่วยล้างขี้เทาในท้องเด็กออกมาให้หมดด้วย ในระยะที่เด็กกินนมแม่จะให้เด้กกินอาหารเสริม คือ ข้าว (บด ตำหรือเคี้ยว) กับกล้วย อาหารประเภทไข่จะเริ่มให้เมื่อหย่านมแล้ว ถ้าให้ก่อนหน้านี้เด็กจะเป็นซางตานขโมย

4. ผู้ป่วย ไม่ว่าจะเป็นโรคอะไรหรือแสดงอาการออกมามากน้อยแค่ไหนก็ตามต้องงดอาหารที่กิน ปกติทุกชนิด เนื่องจากอาหารที่รับประทานจะไปล้าง (แก้ ถอน) พิษยา

อาหารที่งด
  1. อาหารประเภทเนื้อ ผักบุ้ง ถั่วฝักยาว อาหารพวกนี้จะเข้าไปแก้พิษยา
  2. กล้วย จะเข้าไปเลี้ยงเชื้อ (มะเร็ง) ทำให้หายช้า ถ้าเกิดท้องร่วงถึงจะให้กินกล้วยดิบเผา ต้ม
  3. ไข่ จะเป็นอาหารที่ทำให้อุณหภูมิในร่างกายเพิ่มขึ้น
อาหารที่กินได้คือ ข้าวต้มกับเกลือหรือปลาแห้ง
ปัญหาด้านสาธารณสุข

ประชากรในชนบทมีจำนวนประมาณร้อยละ 80 ของประชากรทั้งหมด ประชากรส่วนนี้เป็นกำลังสำคัญในการที่จะเอื้ออำนวยต่อการพัฒนาประเทศ แต่ประชากรจำนวนมากเหล่านี้อยู่ในสภาพยากจนมีสุขภาพอนามัยไม่ดี ขาดความรู้ความเข้าใจในด้านสุขวิทยา ขาดความสนใจในเรื่องการรักษาความสะอาด และสุขาภิบาล

ประชากรในชนบทยังไม่รู้จักหาน้ำสะอาดดื่ม ทิ้งขยะลงในแม่น้ำ ลำคลอง ไม่เห็นความสำคัญของการใช้ส้วม ในด้านอนามัยแม่และเด็ก ยังไม่รู้จักการฝากครรภ์ ทำให้มีการตกเลือดก่อนคลอดและหลังคลอด เป็นบาดทะยัก ปัญหาในเรื่องการเลี้ยงดูเด็กยังขาดความรู้ในการเลี้ยงดู ไม่มีความรู้ในเรื่องอาหาร ไม่ทราบว่าอาหารใดมีประโยชน์ และไม่รู้จักวิธีป้องกันโรค (ปรีชา วิชิตพันธ์, 2520) โรคภัยไข้เจ็บที่เกิดขึ้นกับชาวชนบทส่วนใหญ่เป็นโรคที่ป้องกันได้ แต่ประชาชนไม่มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องการป้องกันโรค ยังคงมีความเคยชินกับการรับประทานอาหารดิบๆ ชอบถ่ายอุจจาระลงบนพื้นดินทำให้เป็นแหล่งเพาะเชื้อโรค

บริการที่รัฐให้ด้านการรักษาพยาบาลระหว่างชนบทกับเมืองแตกต่างกันมาก จะเห็นได้จากจำนวนอัตราส่วนระหว่างเตียง / ประชากรในเมืองเป็น 1 : 150 ในชนบทเป็น 1 : 900 อัตราส่วนของแพทย์ต่อจำนวนประชากรในเมืองเป็น 1 : 1621 คน ในชนบทเป็น 1: 30863 คน (อดุลย์ ตันประยูร, 2523) จากการขาดแคลนในด้านบริการการรักษาพยาบาล ทำให้ชาวชนบทประสบปัญหาการเจ็บไข่ได้ป่วย การรักษาเป็นไปตามยถากรรม เช่น หมอแผนโบราณและหมอไสยศาสตร์ เป็นต้น นอกจากนั้นบริการด้านการรักษาพยาบาลที่รัฐให้แก่ประชาชนในชนบทยังมีคุณภาพ ต่ำอีก

ความไม่รู้เป็นปัญหาสำคัญของการสาธารณสุขในชนบทมาก ไม่ใช่เป็นปัญหาโดยตรง แต่ก็เป็นผลทำให้การสาธารณสุขเป็นไปได้ไม่ดี ประชาชนไม่มีความรู้เกี่ยวกับด้านสุขภาพอนามัย การป้องกันและการส่งเสริมจึงเป็นไปด้วยความยากลำบาก

แม้แต่ทุกวันนี้การวิวัฒนาการทางด้านการแพทย์ การอนามัย จะได้เจริญยิ่งขึ้น ทั้งทางวิชาการเกี่ยวกับการพาสาเหตุของโรค การใช้ยา เครื่องมือ อุปกรณ์และขาดเทคนิคใหม่ๆในการรักษาโรคต่างๆ ก็ตาม แต่ดูเหมือนปัญหาอนามัยของประชาชนก็ยังไม่ค่อยจะเปลี่ยนแปลง หรือลดน้อยลงไปดังที่ต้องการ ทั้งนี้เพราะว่ามีปัญหาอนามัยอีกมากมายหลายชนิดที่มีสาเหตุจากพฤติกรรมของคน และนับว่าพฤติกรรมของคนก็จะยิ่งมีมากขึ้น ดังนั้นความเข้าใจเรื่องพฤติกรรมจะช่วยให้แก้ไขปัญหาอนามัยของประชาชนให้ บรรลุผลสำเร็จไปได้ด้วยดี

พฤติกรรมของคนที่มีผลต่อการเกิดโรค ได้แก่ อุปนิสัยของคน ขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรม ประเพณีและวัฒนธรรม กลุ่มชนชั้นนั้นมีอิทธิพลต่อการที่จะรับสิ่งที่ทำให้เกิดโรคและการแพร่ กระจายของโรคได้ ขณะเดียวกันประเพณีวัฒนธรรมก็อาจจะช่วยแต่ละบุคคล หรือกลุ่มชนให้มีทัศนคติที่ดีต่อการป้องกันรักษาโรคด้วย พฤติกรรมของคนที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมและมีผลต่อการเกิดโรค ได้แก่

- การใช้น้ำ น้ำเป็นพาหะในการนำเชื้อโรค โดยเฉพาะโรคของระบบทางเดินอาหาร บางคนชอบดื่มน้ำฝน บางคนชอบดื่มน้ำต้ม บางคนชอบดื่มน้ำบ่อ คนไทยในชนบทท้องที่ชอบดื่มน้ำบ่อตื้น เพราะชอบรสชาติว่าอร่อยดี ไม่ชอบดื่มน้ำต้มหรือน้ำประปาใส่คลอรีน ดังนั้นจึงมักเป็นโรคทางเดินอาหารกันเสมอ

- การถ่ายเทและการกำจัดอุจจาระ ในท้องที่ชนบทคนนิยมไปถ่ายนอกบ้านตามชายป่าหรือตามท้องทุ่งที่เรียกว่า "ไปทุ่ง" บางบ้านแม้จะสร้างส้วมไว้แล้วก็ตามแต่ก็ไม่ใช้ถ่าย กลับเอาไว้เก็บของ เด็กเล็กๆหรือผู้ใหญ่ที่ขาดการศึกษามักถ่ายนอกส้วมอันเป็นเหตุให้แมลงวันมา ตอม แล้วเป็นพาหะนำเชื้อโรคที่มีในอุจจาระไปติดต่อผู้อื่นได้ เช่น โรคบิด หรือถ้าหากประชาชนไม่นิยมใส่รองเท้า อาจทำให้เป็นโรคพยาธิปากขอกันมาก บางท้องที่นำเอาอุจจาระมาทำเป็นปุ๋ยลดน้ำต้นไม้ เช่น ผักต่างๆ หากรับประทานผักดิบที่ติดเชื้อโรคแล้วล้างไม่สะอาดอาจเป็นโรคไทฟอยด์ บิด ตับอักเสบได้

การใช้ส้วมแบบนั่งยองๆ ก็มีส่วนทำให้คนเป็นโรคริดสีดวงทวารได้ เพราะความดันในช่องท้องเพิ่มสูงเวลาเบ่งและเริ่มสูงมากในรายท้องผูก ซึ่งดันให้เส้นโลหิตบริเวณทวารหนักโป่งพองออก ส่วนแบบส้วมชนิดนั่งมีแป้นรองรับก้นนั้นบางคนไม่ชอบนั่งเพราะรังเกียจเกรง ว่าแป้นนั่งอาจสกปรก มีเชื้อโรคอื่น หรือโรคผิวหนังเปรอะเปื้อนอยู่

- การรับประทานอาหารและการปรุงอาหารเป็นได้ทั้งพาหะนำโรคและก่อให้เกิดโรคได้ ด้วยตัวเอง อุปนิสัยการรับประทานอาหารของแต่ละบุคคลย่อมแตกต่างกันไป บ้างชอบรับประทานอาหารรสจัด เช่น เผ็ดจัด เป็นการระคายเคืองต่อระบบทางเดินอาหาร บางคนชอบรับประทานอาหารดิบ เช่น ปลาดิบ ก้อย ส้มฟัก ปลาร้า ปลาเจ่า ฯลฯ ทำให้เป็นตัวจี๊ด พยาธิใบไม้ในตับได้ ถ้าเป็นเนื้อสุกร เนื้อโค เนื้อกระบือดิบๆ เช่น ลาบ แหนมสด ก็อาจจะเป็นพยาธิตัวตืด หรือโรคอื่นๆได้

การปรุงอาหารถ้าใช้ภาชนะที่สะอาดอาจจะทำให้เชื้อโรคเปรอะเปื้อนภาชนะปนไปกับ อาหาร แม้แต่การรับประทานอาหารด้วยมือจะทำให้เกิดโรคติดเชื้อของทางเดินอาหารได้

- สุขวิทยาของบ้านเรือน การจัดบ้านเรือนควรให้เป็นระเบียบเรียบร้อย สวยงามและสะอาด อย่าให้สกปรกรกรุงรังเป็นที่อยู่อาศัยของแมลง หนูหรือสัตว์อื่นๆที่นำโรค ควรให้มีประตู หน้าต่าง ช่องลมให้เพียงพอเพื่อให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก สัตว์เลี้ยง เช่น โค กระบือ และสุกร ควรจัดเลี้ยงแยกออกไปจากครัวเรือน การกำจัดขยะ น้ำโสโครกหรือสิ่งปฏิกูลอื่น ควรจัดให้ถูกต้องตามหลักการสุขาภิบาล ครัวกับห้องส้วมควรแยกห่างจากกันให้เหมาะสม

- การวางแผนแก้ปัญหาด้านสาธารณสุขแบ่งออกได้เป็น 2 ระยะ คือ ระยะสั้นและระยะยาว

ระยะสั้น
  1. การให้สุขศึกษาแก่ประชาชนในชนบท โดยจัดเจ้าหน้าที่ที่มีความรู้เกี่ยวกับทางด้านสุขศึกษาออกสู่ชนบท โดยการชี้แจงแนะนำแก่ประชาชนให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับทางด้านสุข นิสัยอันถูกต้อง ให้รู้จักป้องกันตนเอง ครอบครัว และทำอย่างไรจึงจะปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ การให้สุขศึกษาแก่ประชาชนนั้นเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นมาก เพราะจะทำให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจในสิ่งที่ยังไม่รู้ ให้มีความรู้ความเข้าใจมากยิ่งขึ้นเพื่อจะได้นำไปใช้นำไปปฏิบัติได้อย่างถูก ต้อง อย่างมีความสุขแก่ตนเองและครอบครัวตลอดไป วิธีการ ได้แก่
    1. การจัดนิทรรศการ ควรจะมีการจัดนิทรรศการให้ประชาชนตามสถานที่ต่างๆ เช่นโรงเรียน วัดหรือที่ชุมชนที่มารวมกันมากๆ เช่น บริเวณที่มีตลาดนัดในชนบท โดยการจัดหาอุปกรณ์ที่สวยงามในด้านสีสันเพื่อจะช่วยดึงดูดความสนใจขอ

การจำลองแบบปัญหา

ความนำ


การจำลองแบบปัญหา (Simulation) เป็นวิธีการหนึ่งซึ่งใช้ในกระบวนการแก้ปัญหาในด้านต่างๆมาแต่โบราณกาลแล้ว แต่ที่ได้รับความสนใจและตื่นตัวในการนำมาใช้แก้ปัญหาในสาขาอาชีพต่างๆอย่าง แพร่หลายในปัจจุบันนั้น เป็นผลเนื่องมาจากความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ ในระยะแรกๆมีผู้ที่ให้คำจำกัดความของการจำลองแบบปัญหาตามความเห็นและวิธีการ นำไปใช้ประโยชน์ แต่คำจำกัดความที่เป็นที่ยอมรับว่าสามารถครอบคลุมความหมายของการจำลองแบบ ปัญหาได้เหมาะสมที่สุด ก็คือ คำจำกัดความที่ให้โดย Shannon (1) ซึ่งให้คำจำกัดความว่า "การจำลองปัญหา คือกระบวนการออกแบบแบบจำลอง (Model) ของระบบงานจริง (Real System) แล้วดำเนินการทดลองใช้แบบจำลองนั้นเพื่อการเรียนรู้ พฤติกรรมของระบบงานหรือเพื่อประเมินผลการใช้กโลบาย (Strategies) ต่างๆในการดำเนินงานของระบบภายใต้ข้อกำหนดที่วางไว้"

จากคำจำกัดความดังกล่าวจะเห็นได้ว่า กระบวนการของการจำลองแบบปัญหานั้นแบ่งเป็นสองส่วน คือ การสร้างแบบจำลองส่วนหนึ่งและการนำเอาแบบจำลองนั้นไปใช้งานเชิงวิเคราะห์อีก ส่วนหนึ่ง ดังนั้น จะเห็นได้ว่า กลไกของวิธีการของแบบจำลองแบบปัญหานั้นขึ้นอยู่กับแบบจำลองและการใช้แบบ จำลอง แบบจำลองที่ใช้ในการจำลองแบบปัญหานี้อาจเป็นหุ่น เป็นระบบ หรือเป็นแนวความคิดลักษณะหนึ่งลักษณะใด โดยไม่จำเป็นต้องเหมือน (Identical) กับระบบงานจริง แต่ต้องสามารถช่วยให้เข้าใจในระบบงานจริง เพื่อประโยชน์ในการอธิบายพฤติกรรมและเพื่อการ ปรับปรุงการดำเนินงานของระบบงานจริง

ระบบงาน


โดยที่กลไกสำคัญอันหนึ่งในการจำลองแบบปัญหาอยู่ที่แบบจำลอง การที่จะสามารถสร้างแบบจำลองที่นำไปใช้ในการจำลองแบบปัญหาได้ ผู้สร้างต้องมีความเข้าใจในระบบงานจริงเป็นอย่างดี ความรู้ความเข้าใจในระบบงานจริงเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างและใช้งานแบบจำลอง ผู้ที่ไม่มีความเข้าใจในระบบงานจริงจะไม่สามารถสร้างแบบจำลองซึ่งใช้แทนระบบ งานนั้นๆได้

ระบบงาน หมายถึง กลุ่มขององค์ประกอบ (Elements) ที่มีความสัมพันธ์กัน โดยที่ความหมายของระบบงานบอกเฉพาะลักษณะว่า ระบบงานมีลักษณะอย่างไร โดยไม่ได้บอกรูปร่างหน้าตาที่แน่ชัด ดังนั้นเมื่อเวลาที่จะทำการศึกษาระบบงานใดระบบงานหนึ่ง จึงจำเป็นที่จะต้องบอกรูปร่างหน้าตาที่ชัดเจนของระบบงานที่กำลังศึกษา การบอกรูปร่างหน้าตาที่ชัดแจ้งของระบบงานมักจะบอกโดยการกำหนดขอบเขตของระบบ งาน (System Boundaries) ซึ่งก็คือ การกำหนดองค์ประกอบของระบบ การแสดงความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบ และการกำหนดองค์ประกอบอื่นๆที่อยู่นอกระบบแต่มีผลต่อการทำงานของระบบ องค์ประกอบอื่นๆที่อยู่นอกระบบนี้ เรียกโดยรวมว่า สิ่งแวดล้อมของระบบงาน (System Environment) องค์ประกอบต่างๆทั้งภายในและภายนอกระบบงานจะมีลักษณะเฉพาะตัว (Attributes) ที่ทำให้เกิดกิจกรรม (Activities) และกิจกรรมเหล่านั้นภายใต้เงื่อนไขบางประการจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง สถานะภาพของระบบงาน (System Status) ดังนั้น นอกจากการกำหนดขอบเขตของระบบงานแล้ว ยังต้องกำหนดลักษณะเฉพาะตัวขององค์ประกอบ กิจกรรมที่จะเกิดขึ้นจากองค์ประกอบเหล่านั้น และการเปลียนแปลงสถานะภาพของระบบงานอันเนื่องมาจากกิจกรรมขององค์ประกอบ

ตัวอย่างที่ 1 ในตารางข้างล่างแสดงองค์ประกอบ ลักษณะเฉพาะตัว และกิจกรรมของระบบการกำหนดงานผลิต (Production Scheduling System)

องค์ประกอบ
ลักษณะเฉพาะตัว
กิจกรรม
คนงาน ความชำนาญ เงินเดือน ความสามารถในการผลิต ชื่อหรือหมายเลข ฯลฯ ทำงาน หยุดงาน
วัตถุดิบ ชนิด คุณภาพ ราคา จำนวนที่มีอยู่ ฯลฯ การถูกเปลี่ยนรูป
เครื่องจักร ประเภท ขีดความสามารถในการผลิต หมายเลข สภาพเครื่อง ฯลฯ ทำงาน หยุดงาน
ใบสั่งผลิต ปริมาณที่ต้องผลิต ความสำคัญก่อนหลัง กำหนดส่งงาน สถานะภาพ ฯลฯ อยู่ระหว่างการผลิต


ประเภทของระบบงาน
การจำแนกประเภทของระบบงานอาจจำแนกได้หลายแบบแล้วแต่การนำไปใช้งาน ในการจำลองแบบปัญหา การจำแนกระบบงานเพื่อความสะดวกในการใช้งานนั้นมักจะจำแนกโดยอาศัยลักษณะการ เปลี่ยนสถานะภาพของระบบ เป็น 4 ประเภท ดังนี้

ระบบต่อเนื่องหรือระบบเป็นช่วง (Continuous versus Discrete Systems)
โดยพิจารณาจากพฤติกรรมในการเปลี่ยนสถานะภาพของระบบเป็นการเปลี่ยนไปตามเวลา อย่างต่อเนื่อง ระบบงานนั้นก็จะเป็นระบบงานต่อเนื่อง แต่ถ้าการเปลี่ยนสถานะภาพของระบบเกิดขึ้นที่ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งไม่ต่อ เนื่อง ระบบงานนั้นก็จะเป็นระบบเป็นช่วง

ระบบตายตัวหรือระบบไม่แน่นอน (Deterministic versus Stochastic Systems)
ระบบตายตัว หมายถึง ระบบซึ่งการเปลี่ยนแปลงสถานะภาพที่ระดับใหม่สามารถบอกได้จากสถานะภาพและ กิจกรรมของระบบที่ระดับก่อน ส่วนระบบไม่แน่นอน หมายถึง ระบบซึ่งการเปลี่ยนสถานะภาพเป็นแบบสุ่ม และในบางกรณีก็สามรถหาค่าความน่าจะเป็น (Probability) ของการเปลี่ยนสถานะภาพ

แบบจำลอง


แบบจำลอง หมายถึง ตัวแทนของวัตถุ ระบบ หรือแนวคิดลักษณะใดลักษณะหนึ่ง แบบจำลองอาจนำไปใช้งานในหลายลักษณะดังนี้
  1. เป็นเครื่องมือช่วยคิด (An aid to thought) เช่น แบบจำลองโครงข่าย (Network Model) ช่วยทำให้ผู้สร้างแบบจำลองได้มองเห็นว่าจะมีกิจกรรมที่ต้องทำอะไรบ้างและทำ อะไรก่อนอะไรหลัง
  2. เป็นเครื่องสื่อความหมาย (An aid to communication) แบบจำลองจะช่วยให้เข้าใจพฤติกรรมของระบบงานและช่วยให้สามารถอธิบายพฤติกรรม ปัญหา และการแก้ปัญหาของระบบงาน
  3. เป็นเครื่องช่วยสอนและฝึกอบรม (Purposes of training and instruction) เช่น แบบจำลองเครืองควบคุมการบิน จะช่วยให้นักบินทำความเข้าใจและความคุ้นเคยกับระบบการควบคุมเครื่องบินจริง ก่อนขึ้นฝึกบินจริง
  4. เป็นเครืองมือสำหรับการทำนาย (A tool of prediction) จากการที่แบบจำลองจะช่วยให้เข้าใจพฤติกรรมของระบบงาน ก็จะช่วยให้ผู้สร้างแบบจำลองสามารถคาดคะเนหรือทำนายได้ว่า เมื่อมีเหตุการณ์ที่มีผลกระทบต่อองค์ประกอบของระบบเกิดขึ้น จะมีผลอะไรเกิดขึ้นกับระบบ
  5. เป็นเครื่องมือสำหรับการทดลอง (An aid to experimentation) โดยที่แบบจำลองเป็นสิ่งซึ่งสร้างขึ้นแทนระบบงานจริง ในกรณีที่ต้องการทดลองเงื่อนไขต่างๆกับระบบงานจริงแต่ทำไม่ได้ ก็จะนำเอาเงื่อนไขนั้นๆมาทดลองกับแบบจำลองเพื่อดูว่าจะให้ผลอย่างไร เพื่อประโยชน์ในการตัดสินใจว่าควรจะนำเงื่อนไขนั้นๆไปใช้กับระบบงานจริงหรือ ไม่


ประเภทของแบบจำลองในการจำลองแบบปัญหา (Classification of Simulation Models)
ประเภทของแบบจำลองในการจำลองแบบปัญหา นอกจากจะสามารถจำแนกได้ตามประเภทของระบบงานงานที่มันเป็นตัวแทนอยู่แล้ว ยังมีลักษณะพิเศษเฉพาะตัวของแบบจำลองซึ่งทำให้มันสามารถจำแนกประเภทออกไปตาม คุณลักษณะพิเศษดังนี้
  1. แบบจำลองทางกายภาพ (Physical or Iconic Models) เป็นแบบจำลองที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนระบบงานจริง อาจมีขนาดเท่ากับของจริงหรือมีขนาดที่เล็กกว่าหรือใหญ่กว่า (Scaled Models) อาจเป็นแบบจำลองของระบบงานจริงในมิติใดมิติหนึ่ง (Dimension) หรือทั้งสามมิติ ตัวอย่างของแบบจำลองประเภทนี้ ได้แก่ เครื่องยนต์ต้นแบบ (Prototype) ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อทดสอบสมรรถนะก่อนการผลิตจริง แบบจำลองของส่วนควบคุมการบินของเครื่องบิน เครื่องบินขนาดจำลองที่ใช้ทดสอบในอุโมงค์ลม แบบจำลองผังโรงงาน รูปแสดงการเกาะเกี่ยวของอะตอม ฯลฯ
  2. แบบจำลองอะนาลอก (Analog Models) เป็นแบบจำลองที่มีพฤติกรรมเหมือนระบบงานจริง ตัวอย่างของแบบจำลองประเภทนี้ได้แก่ อะนาลอกคอมพิวเตอร์ที่ใช้ควบคุมการผลิตในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ และอุตสาหกรรมเคมี ซึ่งใช้การเคลื่อนที่ของกระแสไฟฟ้าซึ่งแสดงบนแผงควบคุมบอกให้รู้ถึงการ เคลื่อนที่ของวัตถุในระบบงานจริง การใช้กราฟแสดงความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆที่วัดค่าได้ เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างค่าใช้จ่ายในการผลิตกับจำนวนสินค้าที่ผลิต ซึ่งเป็นแบบจำลองที่ใช้ขนาดความยาวของเส้นกราฟแสดงค่าของเงินหรือจำนวน สินค้า การใช้แผนภูมิการจัดองค์กร (Organization Charts) เป็นแบบจำลองที่ใช้สี่เหลี่ยมรูปกล่องและเส้นแสดงความสัมพันธ์และหน้าที่รับ ผิดชอบของบุคลากรในระดับต่างๆ การใช้แผนภูมิการไหลของวัตถุดิบผ่านขบวนการผลิต ฯลฯ
  3. เกมการบริหาร (Management games) เป็นแบบจำลองการตัดสินใจ (Decision Models) ในกิจการต่างๆ เช่น ธุรกิจ สงคราม การลงทุน ฯลฯ เป็นแบบจำลองที่ใช้แสดงผลถ้ามีการตัดสินใจแบบต่างๆ เพื่อใช้เป็นข้อมูลสำหรับการตัดสินใจ
  4. แบบจำลองทางคอมพิวเตอร์ (Computer Simulation Models) เป็นแบบจำลองที่อยู่ในรูปของคอมพิวเตอร์โปรแกรม ซึ่งก่อนที่จะมาเป็นคอมพิวเตอร์โปรแกรม แบบจำลองอาจอยู่ในรูปของแบบจำลองประเภทหนึ่งประเภทใดที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด
  5. แบบจำลองทางคณิตศาสตร์ (Mathematical Models) เป็นแบบจำลองที่ใช้สัญลักษณ์และฟังก์ชั่นทางคณิตศาสตร์แทนองค์ประกอบในระบบ งานจริง เช่น ใช้ X แทนค่าใช้จ่ายในการผลิต Y แทนจำนวนสินค้าที่ผลิต


ในระบบงานจริงที่มีความยุ่งยากซับซ้อน แบบจำลองของระบบงานอาจใช้แบบจำลองหลายประเภทร่วมกัน

โครงสร้างของแบบจำลอง (Structure of Simulation Model)
โครงสร้างของแบบจำลอง อาจเขียนเป็นรูปแบบแสดงความสัมพันธ์ทางคณิตศาสตร์ได้เป็น

E = f(xi,yi)

โดยที่
E คือ ผลของการปฏิบัติการของระบบ
xi คือ ตัวแปรและพารามิเตอร์ที่เราสามารถควบคุมได้
yi คือ ตัวแปรและพารามิเตอร์ที่เราไม่สามารถควบคุมได้
f คือ ความสัมพันธ์ระหว่าง xi และ yi ที่ทำให้เกิด E

รูปแบบของความสัมพันธ์ดังกล่าวแสดงให้เราเห็นว่า สมรรถนะของระบบนั้น เป็นผลกระทบเนื่องมาจากตัวแปรต่างๆทั้งที่อยู่และไม่อยู่ในความควบคุมของเรา และโดยที่ระบบทุกระบบที่ทำการศึกษาจะต้องมีขอบเขตจำกัดอีกทั้งต้องมีวัตถุ ประสงค์การศึกษา เมื่อรวมเข้ากับรูปแบบของความสัมพันธ์ข้างต้น จะเห็นได้ว่า โครงสร้างของแบบจำลองนั้นควรประกอบไปด้วย
  1. องค์ประกอบ (Components) ในทุกระบบงานจะประกอบไปด้วยองค์ประกอบต่างๆในแบบจำลองที่ใช้แทนระบบงาน ก็จะต้องประกอบไปด้วยองค์ประกอบที่จำเป็นสำหรับการทำงานของระบบงาน
  2. ตัวแปรและพารามิเตอร์ (Variables and Parameters) พารามิเตอร์ คือ ค่าคงที่ซึ่งผู้ใช้แบบจำลองเป็นผู้กำหนดให้ อาจเป็นค่าที่กำหนดขึ้นเองเพื่อศึกษาผลที่เกิดขึ้นจากค่าของพารามิเตอร์นั้น หรือ เป็นค่าที่วัดหรือประเมินได้จากข้อมูล ส่วนตัวแปรนั้นเป็นค่าที่ผันแปร มีค่าได้หลายค่าตามสภาวะจริงของการใช้งาน จำแนกได้เป็นสองประเภทคึอ ตัวแปรจากภายนอก (Exogeneous Variables) หรือตัวแปรนำเข้า (Input Variables) หมายถึงตัวแปรจากภายนอกระบบซึ่งเข้ามามีผลกระทบต่อสมรรถนะของระบบ หรือเป็นตัวแปรที่เป็นผลเนื่องมาจากปัจจัยภายนอกระบบ และตัวแปรภายใน (Endogeneous Variables) หมายถึง ตัวแปรที่เกิดขึ้นภายในระบบ ตัวแปรภายในอาจอยู่ในลักษณะตัวแปรสถานะภาพ (Status Variables ) ซึ่งเป็นตัวแปรที่ใช้บอกสภาพหรือเงื่อนไขของระบบ หรืออยู่ในลักษณะของตัวแปรนำออก (Output Variables) ซึ่งก็คือ ผลที่ได้จากการใช้งานระบบ ในทางสถิติ ตัวแปรจากภายนอกคือ ตัวแปรอิสระ (Independent Variables) และตัวแปรภายใน คือ ตัวแปรตาม (Dependent Variables)
  3. ฟังก์ชั่นความสัมพันธ์ (Functional Relationships) คือฟังก์ชั่นที่อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรกับพารามิเตอร์ ฟังก์ชั่นความสัมพันธ์นี้อาจจะอยู่ในลักษณะแน่นอนตายตัว (Deterministic) ซึ่งเป็นลักษณะที่เมื่อใส่ข้อมูลนำเข้าจะสามารถหาได้ว่าผลลัพธ์จะเป็นเท่า ไหร่แน่นอน และอาจอยู่ในลักษณะไม่แน่นอน (Stochastis) ซึ่งเมื่อใส่ข้อมูลนำเข้าให้กับฟังก์ชั่นไม่แน่ว่า จะได้ผลลัพธ์ออกมาเท่าไหร่ ลักษณะของฟังก์ชั่นความสัมพันธ์มักจะอยู่ในรูปของสมการทางคณิตศาสตร์ เช่น Y = 4 + 0.7X ซึ่งฟังก์ชั่นความสัมพันธ์เหล่านี้อาจหามาได้จากสมมติฐานหรือประเมินจาก ข้อมูลร่วมกับวิธีทางสถิติหรือทางคณิตศาสตร์
  4. ขอบข่ายจำกัด (Constraints) คือ ข้อจำกัดของค่าของตัวแปรต่างๆ ซึ่งอาจเป็นข้อจำกัดที่ผู้ใช้แบบจำลองเป็นผู้กำหนด เช่น ข้อจำกัดของทรัพยากรต่างๆที่มีอยู่ของระบบ ข้อจำกัดของปริมาณที่ผลิตได้ หรือ เป็นข้อจำกัดของระบบงานจริงโดยธรรมชาติ เช่น เราไม่อาจจำหน่ายสินค้าได้มากกว่าปริมาณที่ผลิตได้ ของไหลไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ
  5. ฟังก์ชั่นเป้าหมาย (Criterion Function) หมายถึง ข้อความ (Statement) ที่บอกเป้าหมาย (Goals) หรือวัตถุประสงค์ (Objectives) ของระบบงาน และวิธีประเมินผลตามเป้าหมาย วัตถุประสงค์ของระบบงานอาจแบ่งได้เป็นสองประเภท คือ การคงสภาพของระบบงาน (Retentive) ซึ่งเป็นวัตถุประสงค์ที่จะทำให้ระบบสามารถคงสภาพการใช้ทรัพยากร เช่น เวลา พลังงาน ความชำนาญ ฯลฯ หรือคงสถานะภาพของระบบ เช่น ความสะดวกสบาย ความปลอดภัย ฯลฯ และวัตถุประสงค์ของการแสวงหา (Acquisitive) ซึ่งเป็นวัตถุประสงค์ที่จะทำให้ระบบสามารถเพิ่มทรัพยากรต่างๆ เช่น กำไร ลูกค้า ฯลฯ หรือเปลี่ยนสถานะภาพของระบบ เช่น ได้ส่วนแบ่งของตลาดเพิ่มขึ้น


กระบวนการแบบจำลองปัญหา


แม้ว่า การจำลองแบบปัญหาไม่จำเป็นต้องอาศัยคอมพิวเตอร์ในการแก้ปัญหาเสมอไป แต่การใช้แบบจำลองปัญหาในปัจจุบันมักใช้กับปัญหาที่มีความยุ่งยากซับซ้อนจึง ต้องอาศัยคอมพิวเตอร์สำหรับช่วยคำนวณหาข้อมูลต่างๆที่ต้องการสำหรับการ วิเคราะห์หาวิธีการแก้ปัญหา ขั้นตอนต่างๆต่อไปนี้เป็นข้อเสนอแนะสำหรับการดำเนินการจำลองแบบปัญหาที่ใช้ คอมพิวเตอร์ช่วยในการคำนวณ


  1. การตั้งปัญหาและการให้คำจำกัดความของระบบงาน(Problem Formulation and System Definition) ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการจำลองแบบปัญหา ขั้นตอนนี้เป็นการกำหนดวัตถุประสงค์ของการศึกษาระบบ การกำหนดขอบเขต ข้อจำกัดต่างๆและวิธีการวัดผลของระบบงาน
  2. การสร้างแบบจำลอง (Model Formulation) จากลักษณะของระบบงานที่จะต้องทำการศึกษา เขียนแบบจำลองที่สามารถอธิบายพฤติกรรมของระบบงานตามวัตถุประสงค์ของการศึกษา
  3. การจัดเตรียมข้อมูล (Data Preparation) วิเคราะห์หาข้อมูลต่างๆที่จำเป็นสำหรับแบบจำลองและจัดเตรียมข้อมูลให้อยู่ใน รูปแบบที่จะนำไปใช้งานกับแบบจำลองได้
  4. การแปรรูปแบบจำลอง (Model Translation) แปลงแบบจำลองไปอยู่ในรูปของโปรแกรมคอมพิวเตอร์
  5. การทดสอบความถูกต้อง (Validation) เป็นการวิเคราะห์เพื่อช่วยให้ผู้เขียนและผู้ใช้แบบจำลองมั่นใจว่าแบบจำลอง ที่ได้นั้น สามารถใช้แทนระบบงานจริงตามวัตถุประสงค์ของการศึกษาได้
  6. การออกแบบการทดลอง (Strategic Planning) เป็นการออกแบบการทดลองที่ทำให้แบบจำลองสามารถให้ข้อมูลที่ใช้ในการวิเคราะห์ หาผลลัพธ์ตามที่ต้องการ
  7. การวางแผนการใช้งานแบบจำลอง (Tactical Planning) เป็นการวางแผนว่าจะใช้งานแบบจำลองในการทดลองอย่างไร จึงจะได้ข้อมูลสำหรับวิเคราะห์ผลเพียงพอ (ด้วยระดับความเชื่อมั่นในผลการวิเคราะห์ที่เหมาะสม) ความแตกต่างระหว่างขั้นตอนนี้กับขั้นตอนการออกแบบการทดลองมีอยู่ว่า ในการออกแบบการทดลองเป็นแต่เพียงการบอกเงื่อนไขของการทดลอง ส่วนขั้นตอนนี้เป็นการบอกว่าจะต้องดำเนินการทดลองตามเงื่อนไขดังกล่าวกี่ ครั้งจึงจะได้จำนวนข้อมูลที่เหมาะสม กล่าวคือ ได้ความมีนัยสำคัญทางสถิติที่ยอมรับได้ในราคาที่เหมาะสม
  8. การดำเนินการทดลอง (Experimentation) เป็นการคำนวณหาข้อมูลต่างๆที่ต้องการและความไวของการเปลี่ยนแปลงข้อมูลจากแบบจำลอง
  9. การตีความผลการทดลอง (Interpretation) จากผลการทดลอง ตีความว่าระบบงานจริงมีปัญหาอย่างไร และการแก้ปัญหาจะได้ผลอย่างไร
  10. การนำไปใช้งาน (Implementation) จากผลการทดลอง เลือกวิธีการทีจะแก้ปัญหาได้ดีที่สุดไปใช้กับระบบงานจริง
  11. การจัดทำเป็นเอกสารการใช้งาน (Documentation) เป็นการบันทึกกิจกรรมในการจัดทำแบบจำลอง โครงสร้างของแบบจำลอง วิธีการใช้งานและผลที่ได้จากการใช้งาน เพื่อประโยชน์สำหรับผู้ที่จะนำแบบจำลองไปใช้งาน และเพื่อประโยชน์ในการปรับปรุงดัดแปลงแบบจำลองเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงระบบ ฯลฯ


ข้อดีและข้อเสียของการใช้การจำลองแบบปัญหา


การจำลองแบบปัญหานั้นปเนเครื่องมือซึ่งใช้บอกผลต่างๆอันจะเกิดจากระบบงานภาย ใต้เงื่อนไขต่างๆ ผลที่จะได้จากการจำลองแบบปัญหานั้นอาจนำไปใช้งานได้โดยตรงหรืออาจจะต้องนำไป วิเคราะห์ต่อ การจำลองแบบปัญหานั้นเป็นวิธีการหนึ่งในหลายๆวิธีที่อาจใช้ช่วยแก้ปัญหาใน การดำเนินงานของระบบงานได้ ดังนั้น เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นจึงต้องวิเคราะห์ปัญหานั้นๆเสียก่อนว่าควรจะใช้เครื่อง มือใดเข้าไปช่วยแก้ปัญหา เมื่อเป็นดังนี้จึงมีความจำเป็นที่จะต้องทราบถึงข้อดีและข้อเสียของเครื่อง มือเพื่อช่วยในการตัดสินใจว่า เครื่องมือนั้นๆเหมาะสมเพียงใดในการนำไปใช้แก้ปัญหา

โดยที่แบบจำลองนั้น เป็นตัวแทนของระบบงานจริง ในเมื่อมีระบบงานจริงอยู่แล้ว ทำไมจึงต้องสร้างแบบจำลองขึ้นใช้ทดลองแทน ทำไมจึงไม่ทดลองกับระบบงานจริง คำตอบอาจสรุปได้ดังนี้

  1. เพราะว่าการทดลองกับระบบงานจริงอาจก่อให้เกิดความขัดข้องในการดำเนินงานตามปกติ
  2. เพราะว่าในการทดลองกับระบบงานจริงในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการวัดผลของสมรรถนะ ของคน อาจได้ข้อมูลที่คลาดเคลื่อน อันเนื่องมาจากความสามารถในการปรับสมรรถนะของตนเอง จึงทำให้ได้ข้อมูลที่สูงกว่าหรือต่ำกว่าความเป็นจริง
  3. เพราะว่าการทดลองกับระบบงานจริงนั้นเป็นการยากที่จะควบคุมเงื่อนไขต่างๆของ การทดลองให้คงที่ ทำให้ผลการทดลองที่ได้แต่ละครั้งของการทดลองอาจไม่ใช่ผลที่เกิดขึ้นภายใต้ เงื่อนไขกลุ่มเดียวกัน
  4. เพราะว่าการทดลองกับระบบงานจริงอาจต้องใช้เวลาและค่าใช้จ่ายจำนวนมาก จึงจะได้ข้อมูลเพียงพอสำหรับการวิเคราะห์
  5. เพราะว่าการทดลองกับระบบงานจริง อาจจะเป็นไปไม่ได้ที่จะทดลองกับเงื่อนไขทุกรูปแบบที่ต้องการ


จากอุปสรรคที่เกิดขึ้น ทำให้ไม่สามารถทำการทดลองกับระบบงานจริงได้ จึงคิดที่จะใช้การจำลองแบบปัญหาในการช่วยแก้ไขปัญหา โดยสรุปเราควรจะพิจารณาใช้การจำลองแบบปัญหาเมื่อเงื่อนไขข้อหนึ่งข้อใดต่อไป นี้เกิดขึ้น

  1. กรณีที่ไม่มีวิธีการแก้ปัญหาโดยวิธีทางคณิตศาสตร์
  2. กรณีที่มีวิธีการแก้ปัญหาโดยวิธีทางคณิตศาสตร์ แต่การคำนวณและขั้นตอนในการวิเคราะห์ยุ่งยาก ทำให้เสียเวลาและแรงงานมาก และการจำลองแบบปัญหาเป็นวิธีแก้ปัญหาที่ง่ายกว่า
  3. กรณีที่มีวิธีการแก้ปัญหาโดยวิธีทางคณิตศาสตร์ไม่ยุ่งยากมากนัก แต่เกินขีดความสามารถของบุคลากรที่มีอยู่ และค่าใช้จ่ายในการใช้การจำลองแบบปัญหาถูกกว่าการจ้างผู้เชี่ยวชาญในวิธีการ ทางคณิตศาสตร์นั้นมาแก้ปัญหา
  4. กรณีที่มีความจำเป็นในการสร้างสถานะการณ์ในอดีตขึ้นเพื่อศึกษาหรือประเมินค่าพารามิเตอร์
  5. กรณีที่การจำลองแบบปัญหาเป็นวิธีเดียวที่จะสามารถนำไปใช้ได้เนื่องจากไม่อาจทำการทดลองและวัดผลในสภาพจริง
  6. กรณีที่ต้องการศึกษาเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของระบบงานในช่วงระยะเวลาการใช้ งานระบบนานๆ เช่น การศึกษาปัญหาเกี่ยวกับสภาวะแวดล้อมเป็นพิษ


ประโยชน์ที่สำคัญประการหนึ่งของการจำลองแบบปัญหา ก็คือ เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสูงสำหรับการศึกษาและฝึกอบรมเกี่ยวกับระบบ งาน เพราะผู้ทำการทดลองจะสามารถทราบความเป็นไปและการเปลี่ยนแปลงต่างๆภายในระบบ งาน เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงสภาวะแวดล้อมและองค์ประกอบต่างๆของระบบงาน ซึ่งจะช่วยให้เข้าใจถึงปัญหาต่างๆที่อาจจะเกิดขึนกับระบบงาน รวมทั้งผลที่จะเกิดขึ้นเมื่อมีการนำเอาวิธีการใหม่ๆเข้าไปใช้ในการดำเนินงาน ของระบบงาน ทำให้การวางแผนการดำเนินงานมีประสิทธิภาพดีขึ้น

ดังได้กล่าวมาแล้วว่า การจะนำเอาเครืองมือใดไปใช้ควรต้องทราบถึงข้อดีและข้อเสียของเครื่องมือ นั้นๆ ดังนั้นจึงควรที่จะทราบว่า เพราะเหตุใดจึงไม่ควรใช้แบบจำลองปัญหา สรุปโดยสังเขปได้ดังนี้

  1. การที่จะได้มาซึ่งแบบจำลองที่ดีนั้น ต้องใช้เวลาและค่าใช้จ่ายจำนวนมาก รวมทั้งต้องอาศัยความสามารถอย่างสูงของผู้ออกแบบจำลอง
  2. แบบจำลองที่ได้ในบางครั้งดูเหมือนว่าสามารถใช้เป็นตัวแทนของระบบงานจริงได้ แต่ในความเป็นจริงแบบจำลองนั้นอาจไม่ใช่ตัวแทนของระบบงานนั้นๆ และการที่จะบอกได้ว่าแบบจำลองนั้นใช้ได้หรือไม่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
  3. ข้อมูลที่ได้จากการใช้แบบจำลองไม่มีความแม่นยำ และไม่สามารถวัดขนาดของความไม่แม่นยำได้ แม้จะทำการวัดความไวของข้อมูลเหล่านั้น ก็ไม่สามารถทำให้ข้อเสียหายข้อนี้หายไปได้
  4. เนื่องจากข้อมูลที่ได้จากการจำลองแบบปัญหานั้นโดยปกติจะเป็นตัวเลข ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาว่า ผู้สร้างแบบจำลองอาจให้ความสำคัญกับตัวเลขเหล่านั้นมากเกินไปและพยายามที่จะ ทดสอบความถูกต้องของตัวเลขแทนที่จะทดสอบความถูกต้องของแบบจำลอง ทำให้แบบจำลองที่ได้อาจไม่มีความเหมาะสมที่จะนำไปใช้งาน


การจำลองแบบปัญหาด้วยคอมพิวเตอร์


การจำลองแบบปัญหาด้วยคอมพิวเตอร์ เป็นการศึกษาปัญหาของระบบงานด้วยแบบจำลองซึ่งอยู่ในรูปของโปรแกรม คอมพิวเตอร์ แบบจำลองก่อนที่จะมาอยู่ในรูปของโปรแกรมคอมพิวเตอร์นี้อาจอยู่ในรูปของแบบ จำลองประเภทหนึ่งประเภทใดดังได้กล่าวมาแล้ว โดยที่การจำลองแบบปัญหาด้วยคอมพิวเตอร์นั้นเป็นที่นิยมใช้ที่สุดของการใช้ แบบจำลองแบบปัญหา เพราะสามารถใช้ได้กับปัญหาของระบบงานได้มากมายหลายประเภท ปัจจุบันเป็นเทคนิคที่ได้รับการนำเอาไปใช้อย่างกว้างขวาง ในสหรัฐอเมริกาจัดการจำลองแบบปัญหา เป็นวิธีการทางคณิตศาสตร์ที่ได้รับการนำไปใช้มากที่สุดและได้นำไปใช้ในงาน ต่างๆมากกว่า 70 สาขาอาชีพ และเมือมีผู้กล่าวถึงการจำลองแบบปัญหาทุกคนก็มักจะนึกถึง เข้าใจว่าเป็นการจำลองแบบปัญหาด้วยคอมพิวเตอร์เสมอ ดังนั้น หลักการที่ใช้กับการจำลองแบบปัญหาทางคอมพิวเตอร์จะเป็นหลักการแบบเดียวกับ ที่ใช้กับการจำลองแบบปัญหาอื่นๆ ความจำเป็นที่จะสร้างเป็นแบบจำลองทางคอมพิวเตอร์หรือไม่ ขึ้นอยู่กับความยุ่งยากในการคำนวณของปัญหานั้นๆ

โดยที่การจำลองแบบปัญหาทางคอมพิวเตอร์จะต้องมีการคำนวณ มีข้อมูลทั้งที่เป็นข้อมูลนำเข้าและผลลัพธ์จากแบบจำลอง และโดยปกติข้อมูลต่างๆในระบบงานจะเป็นข้อมูลที่มีความผันแปรไม่แน่นอน และมีการแปรเปลี่ยนตามเวลา ดังนั้นการจัดเตรียมและการวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆรวมทั้งขั้นตอนต่างๆที่ใช้ กับการจำลองแบบปัญหานี้จึงต้องอาศัยวิธีการต่างๆทางสถิติเข้าช่วย โดยที่จะไม่กล่าวถึงทฤษฎีพื้นฐานทางสถิติที่เกี่ยวข้อง เพราะผู้อ่านควรจะมีพื้นฐานความรู้อยู่แล้วหรือหาอ่านได้จากหนังสือสถิติ ทั่วไป

ในวิธีการทางสถิติต่างๆที่ใช้แบบจำลองปัญหานั้นมีวิธีการหนึ่งซึ่งเป็นที่ นิยมใช้มากและเกือบจะมีความจำเป็นในทุกๆการจำลองแบบปัญหาก็คือ การสุ่มตัวอย่างด้วยเทคนิคมอนติคาร์โล (Monte Carlo Sampling Technique) และเพื่อที่จะเน้นถึงความจำเป็นในการใช้เทคนิคดังกล่าว การจำลองแบบปัญหาจึงถูกเรียกว่า การจำลองแบบปัญหาด้วยเทคนิคมอนติคาร์โล (Monte Carlo Simulation)

จาก "การจำลองแบบปัญหา SIMULATION"
โดย ศิริจันทร์ ทองประเสริฐ, Ph.D.