++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ประกายเมตตาแห่งราชาไทย

ประกายเมตตาแห่งราชาไทย

โดย ดังตฤณ


ผมเคยอยากเป็นคนถือธงประจำกองร้อยลูกเสือ

ของโรงเรียนในงานสวนสนามใหญ่

เหตุผลเพราะเป็นคนเดียวในกองร้อยที่แยกออกมา

และมีสิทธิ์ให้องค์กษัตริย์ท่านทอดพระเนตรจากที่ประทับเบื้องสูง

เห็นเราเป็นเป้าเด่นกว่าคนอื่นๆ

นั่นคงเป็นความรู้สึกเยี่ยงคนเดินดินปรารถนาให้ดวงตาสวรรค์แลมา

และรับรู้ว่ามีตัวเราอยู่ในโลกนี้อีกคนหนึ่ง


ประสบการณ์วัยเด็กครั้งนั้น

ถือเป็นโอกาสเข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวใกล้ชิดที่สุดในชีวิต

ท่ามกลางเสียงกลองจังหวะมาร์ชที่บันดาลพลังระดมพล

จำได้สนิทว่าทุกคนมีศูนย์รวมความรู้สึกตรงกัน คือ

องค์ประมุขผู้ปรากฏประดุจสิ่งมหัศจรรย์แห่งวันงาน


ในความรับรู้วัยเด็ก ผมทราบจากคนอื่นว่า

ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ท่านเป็นเบื้องบนผู้ควรแก่การเคารพ

ขณะเดียวกันก็ทราบจากความรู้สึกของตนเอง

ว่าท่านมีรัศมีพิเศษที่ทรงอิทธิพลกระทบความรู้สึกคนเห็น

คนอื่นอาจไม่สงสัย แต่ผมสงสัย

ว่าเหตุใดวันธรรมดาของพระเจ้าอยู่หัว

จึงเป็นประสบการณ์ที่ยิ่งใหญ่สำหรับคนไทยทั้งแผ่นดิน

เหตุใดคนไทยยังเทิดสถาบันกษัตริย์ไว้ในที่สูงเหนือการแตะต้อง

และเหตุใดความรู้สึกของมหาชน

จึงรวมศูนย์ไปอยู่ที่บุคคลเพียงคนเดียว

ได้อย่างพร้อมเพรียงไม่แตกแถว


ผมอยากทำความเข้าใจ

ว่าทำไมแค่เห็นก็นึกอยากเสียสละทุกสิ่งเพื่อพระองค์ท่าน

และที่สำคัญ เพราะอะไรราชวงศ์ในโลกยังมีอยู่หลายประเทศ

แต่ความภูมิใจของพสกนิกร

ที่มีต่อองค์พระประมุขของตนจึงไม่เท่าเทียมกัน


ถึงวันนี้คิดว่ามีคำตอบให้ตัวเอง

รัศมีแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช

ที่ฉายออกมาให้สัมผัสด้วยใจนั้น

คือหลักฐานแห่งการุณยภาพอันยิ่งใหญ่เหนือมนุษย์

ไม่จำเป็นต้องเห็นว่าพระองค์ท่าน

เคยบำเพ็ญพระราชกรณียกิจไว้แค่ไหน ณ แห่งหนตำบลใดบ้าง

ใครๆก็ต้องเชื่อว่าพระองค์ท่าน

มีพระชนม์ชีพเพื่อคนอื่นมานานแสนนาน

กระแสดึงดูดให้รู้สึกรัก รู้สึกศรัทธาท่วมท้น

มิได้หลั่งมาจากฟากสวรรค์

มิใช่ลอยมาจากการที่มนุษย์อุปโลกน์มนุษย์ด้วยกัน

ให้เป็นองค์สมมติเทพ

ทว่าเป็นผลธรรมดามาจากปัจจุบันกรรม

อันสมควรแก่การเป็นกษัตริย์อย่างแท้จริงของพระองค์ท่านเอง


ถ้าใครศึกษาพระไตรปิฎกแล้วสงสัยว่า

การบำเพ็ญบารมีแห่งมหาโพธิสัตว์

ผู้ควรแก่การบรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ

ในอนาคตกาลเป็นอย่างไร

ให้มาดูมหาทานแห่งองค์รัชกาลที่ ๙ นี้ แล้วจะเข้าใจ

และจะเชื่อว่าพระโพธิสัตว์มิใช่เป็นเพียงตำนานเล่าขาน

แต่มีจริง และพวกเราก็เกิดทันยุคของพระองค์ท่าน!


รากอันเป็นที่สุดของกษัตริย์คือ

เมตตาการุณยจิตอันปราศจากประมาณ

พูดให้ง่ายคือชอบช่วยคนไม่เลือกหน้า

โลกจึงมีตำแหน่งกษัตริย์เป็นฐานหนุนให้ได้ทำตามปรารถนา

และปัจจุบันระบอบการปกครองของไทย

ก็เอื้ออำนวยให้กษัตริย์ออกโปรดราษฎรได้เต็มที่

เนื่องจากมีรัฐบาลและข้าราชการดูแลบริหารบ้านเมือง

ตัดสินคดีความต่างๆให้ โดยพระองค์ไม่ต้องลำบากพระวรกาย

ไม่ต้องลำบากพระทัยเหมือนกษัตริย์ยุคโบราณ

จึงกล่าวได้ว่าประเทศเราในกาลนี้เปิดโอกาสให้ผู้มีบุญญาธิการสูงสุด

ได้แสดงกำลังพระทัยว่ายิ่งใหญ่สมพระเกียรติยศเพียงใด

กำลังพระทัยของในหลวง ร.๙ ยิ่งใหญ่เพียงไหน?

ตลอดพระชนม์ชีพ

ไม่มีใครขอให้พระองค์ท่านบุกน้ำลุยดิน แต่ท่านก็บุก


ตลอดพระชนม์ชีพ

ไม่มีใครขอให้พระองค์ท่าน

สละทรัพย์ส่วนพระองค์ให้พสกนิกร แต่ท่านก็สละ


ตลอดพระชนม์ชีพ

ไม่มีใครขอให้พระองค์ท่านอุทิศเวลาและกำลังพระปัญญา

สร้างสรรค์นวัตกรรมแก้ทุกข์ชิ้นใหม่ๆ แต่ท่านก็อุทิศ


บุกมาแค่ไหน สละมาแค่ไหน อุทิศมาแค่ไหน มีใครรู้จริงๆบ้าง?

นอกจากชมพระบารมีด้วยตาเปล่า

แล้วขนลุกซ่านด้วยความยำเกรง

คงไม่มีใครทราบเท่าองค์ท่านเองว่าทรง 'ให้' มาประมาณใดแน่

หากคุณเคยเห็นคนอนาถาวัยเด็กวัยชรา

เรือนร้อย เรือนพัน หรือเรือนหมื่นกับตา

คุณรู้ คุณเข้าใจ คุณเวทนา คุณปรารถนาจะช่วยเหลือพวกเขา

และคุณลงมือช่วยเหลือพวกเขาได้ระดับหนึ่ง

ความสุขความอบอุ่นจะเอ่อล้นอก

ตามระดับกำลังใจขนาดนั้นๆของคุณ


แต่ยากนักที่คุณจะเห็น เข้าใจ

และประมาณถูก ว่าคนเรือนล้านมีขนาดไหน

กับทั้งยากกว่านั้น ที่จะมีกำลังใจใหญ่หลวงขนาดคิดอุทิศทั้งชีวิต

เพื่อช่วยคนเรือนล้านทั้งหมดนั้น ให้ได้อยู่ดีกินดี มีความเห็นชอบ

มีกรรมขาวเป็นที่พึ่งแก่ตนอย่างถาวร


พระจิตแห่งในหลวงรัชกาลที่ ๙ ท่านรู้เห็น

ว่าประมาณคนเรือนล้านคืออะไร แค่ไหน

และพระจิตแห่งองค์ท่านก็ใหญ่พอ

ที่จะทรงปรารถนาช่วยคนลำบากยากจนหลายสิบล้าน

ในพระราชอาณาจักรของท่านให้หมด

โดยปราศจากเงื่อนไขแลกเปลี่ยนหรือปรารถนาสิ่งตอบแทนอื่นใด

นั่นมิใช่สิ่งที่คนธรรมดา หรือแม้ราชามหากษัตริย์ทั่วไปจะเข้าใจได้


คนดีๆตามท้องถนนธรรมดา อาจให้อภัยใครต่อใครไม่เลือกหน้า

น้ำใจเช่นนั้น คือเมตตาระดับที่ทำให้คนสัมผัสแล้วพลอยสงบตาม

สะกดความคิดร้ายจองเวรของศัตรูได้


คนแสนดีตามสถานสงเคราะห์

อาจค้อมหลังก้มหน้าช่วยเหลือผู้ตกยากมากมาย

น้ำใจเช่นนั้นคือเมตตาระดับที่เหนี่ยวนำคนใกล้ชิดให้เลื่อมใสศรัทธา

และอาจเปลี่ยนศัตรูมาเป็นมิตรได้


ประมุขหรือผู้ปกครองบ้านเมือง อาจมีใจผูกพันกับการคิด

แต่จะช่วยคนทั้งประเทศให้กินดีมีสุขและรอดพ้นจากหายนภัย

น้ำใจเช่นนั้นคือเมตตาระดับที่ก่อให้เกิดแรงปีติมากพอจะยอมตายแทน

และอาจเป็นแม้ที่รักของศัตรูได้


เมตตาที่ก่อผลกระทบกับผู้พบเจอได้นั้น

ต้องเป็นเมตตาที่ออกมาจากใจจริง

คือคิดดีกับคนอื่นจริง คิดให้คนอื่นจริง

ตลอดจนพูดและทำเพื่อคนอื่นจริง

หาไม่แล้ว แม้สร้างฉากพ่อพระแม่พระให้แนบเนียนอย่างไร

รัศมีเมตตาก็ไม่บริสุทธิ์

ไร้อิทธิพลพอจะจูงให้ใจผู้อื่นพลอยสงบตาม

อย่าว่าแต่จะให้เลื่อมใสศิโรราบหรือยอมตายแทน


นอกจากพระอรหันต์ผู้สงเคราะห์สัตว์โลกด้วยน้ำจิตบริสุทธิ์หมดจด

ก็เหลือแต่พระมหาโพธิสัตว์เจ้า

ที่ทรงมีน้ำพระทัยครุวนาดั่งมหาสมุทรใหญ่เท่านั้นที่ปานกัน

เมื่อทรงยอมอุทิศชีวิตให้ปวงชน

ประกายเมตตาก็ย่อมเหนี่ยวนำใครต่อใคร

ให้พร้อมพลีชีพเพื่อพระองค์ท่านเช่นกัน


การที่พระราชาไทยองค์ปัจจุบันทรงเป็นกษัตริย์โดยปัจจุบันกรรม

มิใช่เพียงกษัตริย์เพราะอดีตกรรมส่งมากำเนิด

เช่นนี้เท่ากับพระองค์ท่านทรงช่วยให้เราตอบลูกหลานได้ง่ายขึ้น

ว่าทำไมไทยเราจึงยังควรเทิดทูนระบบกษัตริย์

แตกต่างจากราชวงศ์อื่นในบางประเทศ

ที่อาจถูกล้อเลียนหรือกล่าวพาดพิงถึงอย่างไม่ต้องเกรงใจ

หาใครลุกฮือขึ้นประท้วงเอาเรื่องไม่ได้

นั่นก็เพราะคนยุคนี้

ดื้อเกินกว่าจะเทิดทูนบุคคลที่ปราศจากคุณงามความดี

คนยุคนี้ไม่แยแสยศถาบรรดาศักดิ์เพียงเพราะเกิดในวังอีกต่อไป

ใครจะอยู่ในหัวใจคนยุคนี้ได้

ก็ต้องดูแบบอย่างจากกษัตริย์ไทยพระองค์นี้แหละ


ภาพเดียวแทนพันคำ

ในหลวงรัชกาลที่ ๙

ท่านเป็นกษัตริย์ให้ดู ว่ากษัตริย์เขาเป็นกันอย่างนี้

แค่ให้เด็กๆของเราเห็นจากโทรทัศน์

ว่าพระองค์ทรงทำอะไรให้อะไรกับพสกนิกรบ้าง

เด็กๆก็จะเงียบเสียงแห่งความสงสัย

และหันหน้าไปบอกต่อกันรุ่นต่อรุ่นว่า

พระมหากษัตริย์คือใครในแผ่นดิน

และเหตุใดจึงไม่น่าแปลกใจ

หากทั้งโลกจะไม่ลืมพระองค์ไปจนสิ้นกาลนาน

เป็นหนึ่งในโลกไม่ใช่เพราะชนะสิบทิศ


ด้วยแสนยานุภาพเกรียงไกร


แต่ด้วยหนึ่งใจและสองมือ


ของผู้สมควรเป็นกษัตริย์โดยธรรม

. . . .

ดังตฤณ

จากหนังสือ คิดจากความว่าง เล่ม ๒

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น