++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันศุกร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2552

จิตสำนึกเลวๆ กรณีพระวิหาร

โดย สุรวิชช์ วีรวรรณ 24 กันยายน 2552 21:13 น.
ผมมีเพื่อนสนิทคนหนึ่งเป็นชาวกัมพูชาเชื้อสายจีน
เป็นรูมเมตสมัยเรียนหนังสือที่กรุงปักกิ่ง ผมเรียกชื่อเล่นเขาว่า อาลิ้ม
ซึ่งเป็นชื่อที่มาจากแซ่ของเขา

อาลิ้มเคยบินมาหาผมที่เมืองไทย 2 ครั้ง
แต่ผมไม่เคยไปเยี่ยมอาลิ้มที่พนมเปญสักครั้งเดียว
ปัจจุบันอาลิ้มเป็นนักธุรกิจอยู่ในกรุงพนมเปญ ทำธุรกิจขายคอมพิวเตอร์
และโทรศัพท์มือถือ แต่งงานแล้วและมีลูกสาวน่ารักคนหนึ่ง

หนึ่งปีที่พักอาศัยอยู่ด้วยกัน ทำให้ผมเห็นว่า
อาลิ้มเป็นคนมีจิตใจดี และรักคนไทย
อาลิ้มเล่าว่าบิดาของเขามาเมืองไทยบ่อยจนพูดภาษาไทยได้เล็กน้อย

อาลิ้มในฐานะชาวกัมพูชาที่ผมรู้จักอาจไม่สามารถอธิบายแทนชาวกัมพูชา
ได้ทั้งหมด แต่มันทำให้เห็นว่า
แท้จริงแล้วเขากับเราไม่ได้มีเรื่องโกรธเคืองอะไรกัน แม้จะมีบาดแผลเล็กๆ
ในประวัติศาสตร์แต่นั่นเป็นเรื่องของอดีตที่ไม่หยิบยกมาให้หมางใจกัน

แต่ปัญหาที่เกิดขึ้น 2 -3 ปีมานี้คือ ปัญหาเรื่องที่ดิน 4.6
ตารางกิโลเมตรรอบประสาทพระวิหาร
ซึ่งกัมพูชาส่งคนและทหารของเขาเข้ามายึดครอง
และกำลังตัดถนนและสร้างถาวรวัตถุเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ในขณะที่ภาคประชาชนคือ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
ได้ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลออกมาทวงสิทธิ์ผืนดิน 4.6
ตารางกิโลเมตรดังกล่าว และขับไล่กัมพูชาออกไปจากแผ่นดินไทย
ตั้งแต่ยุครัฐบาลสมัคร สุนทรเวช แต่รัฐบาลยุคนั้นก็ยืนยันว่า
ไทยยังไม่เสียดินแดน และเมื่อพันธมิตรฯ เดินทางไปเพื่อพิสูจน์ความจริง
กลับมีการจัดตั้งชาวบ้านออกมาขัดขวาง

คุณอภิสิทธิ์
และพรรคประชาธิปัตย์ในตอนที่ยังเป็นพรรคฝ่ายค้านก็มีจุดยืนเช่นเดียวกับพันธมิตรฯ

ถ้าจำกันได้ตอนนั้น รัฐมนตรีพาณิชย์ของประเทศกัมพูชา
ออกมายอมรับเองว่า
ฝ่ายไทยเป็นฝ่ายที่พยายามโยงกรณีพื้นที่ทับซ้อนบริเวณเขาพระวิหารเข้ากับผล
ประโยชน์ทางทะเลในอ่าวไทยระหว่างการเจรจากับฝ่ายกัมพูชา

คำพูดของรัฐมนตรีพาณิชย์กัมพูชาในขณะนั้น
เขาหมายถึงยุคสมัยของรัฐบาลทักษิณ ซึ่งเป็นบทพิสูจน์ว่า
คำพูดของพันธมิตรฯ
บนเวทีในระหว่างการชุมนุมนั้นไม่ใช่เรื่องที่เลื่อนลอยหรือกล่าวหารัฐบาล
ทักษิณว่า มีความพยายามแลกเปลี่ยนพื้นที่รอบเขาพระวิหารกับผลประโยชน์ในทะเลโดยไม่มี
หลักฐาน

และเมื่อพ้นจากยุครัฐบาลนอมินีของทักษิณแล้ว
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็ยังไม่นิ่งนอนใจที่จะติดตามเรื่องนี้
เครือข่ายของคุณวีระ สมความคิดก็ไม่ได้นิ่งนอนใจในเรื่องนี้

แต่กลายเป็นว่ารัฐบาลประชาธิปัตย์ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และกษิต
ภิรมย์ กลับมีท่าทีและจุดยืนที่เปลี่ยนไป และมีท่าทีต่อพันธมิตรฯ
ในเรื่องนี้เช่นเดียวกับรัฐบาลพลังประชาชนที่ตัวเองเคยวิพากษ์วิจารณ์มาก่อน

กลายเป็นว่า พันธมิตรฯ
กลับถูกรัฐบาลประชาธิปัตย์ตอบโต้ยิ่งกว่ารัฐบาลนอมินีทักษิณ
และรัฐบาลอภิสิทธิ์และคุณกษิตก็ยังยืนยันว่า ไทยเรายังไม่ได้เสียดินแดน
4.6 ตารางกิโลเมตรให้กัมพูชา

แต่ตลกไหมครับ ตอนที่คุณกษิตพร้อมทีมงานเข้าไปดูพื้นที่ 4.6
ตารางกิโลเมตร กลับต้องขออนุญาตทหารกัมพูชาเข้าไป

การเดินทางไปเพื่อประกาศสัจวาจาว่า
ดินแดนดังกล่าวเป็นพื้นที่ของไทยไม่ใช่พื้นที่ของกัมพูชาของคุณวีระและเครือ
ข่ายมวลชนพันธมิตรฯ กลับต้องเผชิญกับกองกำลังที่จัดตั้งขึ้นมา
เพื่อให้เห็นว่า คนไทยยกกำลังตีกันเอง
โดยที่อำนาจรัฐให้ความร่วมมือและจัดตั้งกองกำลังเถื่อนดังกล่าวขึ้นมา

พวกเขาไม่คิดว่า
การจัดตั้งคนไทยไล่ตีกันเองนั้นจะทำให้ประเทศชาติเสียหายอย่างไร
เพียงเพื่อจะกล่าวหาว่า พันธมิตรฯ
เข้าไปก่อเหตุความรุนแรงไล่ทุบตีชาวบ้าน

แต่สังคมไทยไม่ได้กินแกลบ เขาตั้งคำถามง่ายๆ ว่า ถ้าพันธมิตรฯ
ซึ่งมีจุดประสงค์จะเดินทางไปเรียกร้องอธิปไตยของชาติไม่ถูกคนบางกลุ่มเกณฑ์
ชาวบ้านมาทำร้ายจะเกิดความรุนแรงได้อย่างไร แล้วด้วยสำนึกของความเป็นไทย
คนไทยด้วยกันควรจะสนับสนุนพันธมิตรฯ หรือยกพวกมาไล่ตีพันธมิตรฯ

ผมกล้าพูดอย่างนี้ เพราะว่า
กองกำลังเถื่อนดังกล่าวที่มีอาวุธปืนมีดไม้ หนังสติ๊ก
ระเบิดปิงปองครบมือจะไม่มีวันกล้ากระทำการดังกล่าวเลย
ถ้าไม่มีอำนาจรัฐหนุนหลัง และแสดงความป่าเถื่อนต่อหน้านายอำเภอ นายตำรวจ
นายทหารชั้นผู้ใหญ่ ผู้ว่าราชการจังหวัด และสื่อมวลชนจากส่วนกลางจำนวนมาก

นอกจากปรากฏหลักฐานด้วยภาพแล้ว สื่อมวลชนในพื้นที่ก็รู้ว่า
กองกำลังเถื่อนนั้นมาจากไหน แต่ปัญหาก็คือว่า
มีสื่อส่วนหนึ่งที่พยายามบิดเบือนให้เห็นว่า ถ้าพันธมิตรฯ
ไม่เดินทางไปก็ไม่เกิดความรุนแรงขึ้นที่นั่น

ผู้รายงานข่าวหญิงคนหนึ่งของช่อง 11ได้รายงานจากพื้นที่ว่า
พันธมิตรฯ พยายามบุกเข้าไปทำร้ายชาวบ้านในวัด ส่วนฝ่ายชาวบ้านขว้างปา
"ขวดน้ำ" เข้าใส่ ทั้งๆ ที่ภาพข่าวมันขัดแย้งกับที่ตัวเองกำลังรายงาน

แต่ผมคิดว่า
รัฐบาลประชาธิปัตย์และคุณอภิสิทธิ์คงจะหาคำตอบได้ไม่ยากว่า
ความรุนแรงที่เกิดขึ้นมาจากไหนและใครเป็นฝ่ายเริ่ม
นอกจากแกล้งลิ่วตาให้กับอันธพาลการเมืองที่มีบุญคุณเหนือรัฐบาล
หรือปล่อยให้คนอย่างนายสุเทพเข้ามาจัดการ

สรกล อดุลยานนท์ เจ้าของนามปากกา "หนุ่มเมืองจันท์"
ผู้เขียนหนังสือเรื่อง ทักษิณ ชินวัตร อัศวินคลื่นลูกที่สาม
ใช้อีกนามปากกา "วิหคเหินฟ้า" สำรอกว่า "ชาวบ้านภูมิซรอล
ก็เหมือนกับชาวบ้าน "ชุมชนนางเลิ้ง" ที่ออกมาปกป้องตัวเองจาก
"ม็อบเสื้อแดง" เมื่อเหตุการณ์ "สงกรานต์เลือด" อย่าลืมว่า
"ม็อบเสื้อเหลือง" ไปแล้วก็กลับ แต่คนที่อยู่กับ "ปัญหา" ทุกวัน
คือชาวบ้านที่ภูมิซรอล"

ผมว่า ชาวบ้านนางเลิ้งที่ถูกคนเสื้อแดงฆ่าไป 2 ศพ คงจะงงๆ
กับสรกลซึ่งเป็นกองเชียร์คนเสื้อแดง
เพราะพวกเขาออกมาต่อต้านขัดขวางคนเสื้อแดงที่พยายามจุดไฟเผารถเมล์พื้นที่
ของเขา เพราะเกรงว่า ไฟจะลามเข้าไปติดในชุมชน
แต่ถูกคนเสื้อแดงใช้อาวุธไล่ยิงจนมีผู้เสียชีวิตดังกล่าว
พวกเขาเป็นมวลชนที่ลุกขึ้นมาด้วยจิตสำนึกไม่ใช่การจัดตั้งของอำนาจรัฐที่ไหน

จะไปเปรียบเทียบได้อย่างไรกับมวลชนจัดตั้งที่ซุ่มโจมตีมวลชน
พันธมิตรฯ ที่เดินทางไปยังปราสาทพระวิหาร เพื่อประกาศว่า
ผืนดินที่กัมพูชาเข้ามายึดครอง 4.6 ตารางกิโลเมตรนั้นเป็นของไทย

แล้วน่าแปลกไหมครับ เพราะเท่ากับสรกลพยายามบิดเบือนว่า
มวลชนพันธมิตรฯ ที่ไปที่เขาพระวิหารก็ไม่ต่างกับเสื้อแดงที่ไปไล่ยิงชาวนางเลิ้ง
แต่สรกลไม่เคยประณามเสื้อแดงมาก่อนเลย และถ้าเป็นเช่นนั้น ผมไม่ทราบว่า
ทำไมสรกลจึงไม่ชื่นชมเนวินที่จัดคนสีน้ำเงินมาปะทะกับเสื้อแดงที่พัทยา

ผมคิดว่า สรกลคงไม่โง่ นักข่าวของมติชนที่อยู่ในพื้นที่ก็คงรู้ว่า
กลุ่มคนเหล่านั้นมาจากไหนและใครเป็นฝ่ายก่อให้เกิดภาพความรุนแรงขึ้น
นอกเสียจากต้องการบิดเบือนข้อเท็จจริง

เพราะ เด็กอนุบาลก็คงแยกแยะได้ว่า
ระหว่างอำนาจรัฐจัดตั้งกองกำลังเถื่อนขึ้นมาเพื่อซุ่มทำร้ายกับคนที่เดินทาง
ไปด้วยจิตสำนึกที่รักชาติและป้องกันตัวเองจากการถูกกระทำฝ่ายเดียว
ใครเป็นฝ่ายถูกฝ่ายผิด

(surawhisky@hotmail.com)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น