อาการที่มาพร้อมกับหวัดอีกอย่างหนึ่ง ก็ืคือ คัดจมูก หายใจไม่คล่อง การสูดไออุ่นจากน้ำชาเข้าไป จะช่วยให้โล่งจมูก และหายใจได้คล่องขึ้น
จาก SMS FarmerInfo - DTAC - 26 ก.ค.2554 - 22.46 น.
Theขี้ฝุ่นริมทาง
วันอาทิตย์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
ว่านสาวหลง มีคุณทางเมตตามหานิยม
ว่านสาวหลง มีคุณทางเมตตามหานิยม ตามความเชื่อของไทย ในไหลมีน้ำมันหอมระเหย กลิ่มหอม ช่วยผ่อนคลาย นิยมใช้ในสปา และยังใช้ขับลมในลำไส้ได้ด้วย
จาก SMS FarmerInfo - DTAC - 29 ก.ค.2554 - 11.35 น.
จาก SMS FarmerInfo - DTAC - 29 ก.ค.2554 - 11.35 น.
กรมปศุสัตว์เตือนเกษตรกรให้ระวังสัตว์ป่วยในฤดูฝน
กรมปศุสัตว์เตือนเกษตรกรให้ระวังสัตว์ป่วยในฤดูฝน ด้วยการเอาใจใส่หมั่นตรวจสุขภาพสัตว์เลี้ยง เตรียมเสบียงพืชอาหารสัตว์ พร้อมใช้ยามฉุกเฉิน
จาก SMS FarmerInfo - DTAC - 27 ก.ค.2554 - 10.23น.
จาก SMS FarmerInfo - DTAC - 27 ก.ค.2554 - 10.23น.
หวัด เป็นกันได้ตลอดชีวิต แต่ถ้าไม่อยากเป็นหวัด
หวัด เป็นกันได้ตลอดชีวิต แต่ถ้าไม่อยากเป็นหวัด ก็ทานพริกหวานแดงเป็นประำจำ เพราะมีวิตามินซีมากกว่าผักถึง 2 เท่า จึงต้านทานโรคได้ดี
จาก SMS FarmerInfo - DTAC - 23 ก.ค.2554- 11.12 น.
จาก SMS FarmerInfo - DTAC - 23 ก.ค.2554- 11.12 น.
บีโอไอ:บีโอไอเยี่ยมชมต้นแบบโรงไฟฟ้าใต้ดินแห่งแรกของไทย โดย สุนันทา อักขระกิจ
เป็นที่ทราบกันดีว่า การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย หรือ กฟผ. เป็นผู้ผลิต จัดให้ได้มา จัดส่งหรือจำหน่ายพลังงานไฟฟ้าให้แก่การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ผู้ใช้พลังงานไฟฟ้าตามที่กำหนด รวมทั้งดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับพลังงานไฟฟ้า ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาความต้องการใช้พลังงานไฟฟ้ามีจำนวนเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือนั้น ประชาชนมีความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น และสูงเกินกำลังการผลิตในภูมิภาคอย่างมาก กฟผ. จึงพิจารณานำเทคโนโลยีที่ทันสมัยคือ การก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังน้ำลำตะคองแบบสูบกลับ ดำเนินการก่อสร้างเมื่อปี 2537 แล้วเสร็จในปี 2547
ต่อมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานชื่อโรงไฟฟ้าพลังน้ำลำตะคองแบบสูบกลับ ว่า “โรงไฟฟ้าลำตะคองชลภาวัฒนา” ซึ่งมีความหมายว่า โรงไฟฟ้าลำตะคองเป็นที่พัฒนาแสงไฟด้วยน้ำ ตั้งแต่วันที่ 17 กรกฎาคม 2552 เป็นต้นไป
โรงไฟฟ้าฯ แห่งนี้ เป็นโรงไฟฟ้าที่นำพลังงานไฟฟ้าส่วนที่เกินจากการผลิตของโรงไฟฟ้าพลังความร้อนในช่วงเวลาที่มีการใช้ไฟฟ้าน้อย คือ ช่วงหลังเที่ยงคืนจนถึงเช้า มาสูบน้ำจากอ่างเก็บน้ำ
ลำตะคองที่มีอยู่เดิม แล้วไปพักไว้ที่อ่างพักน้ำตอนบนที่สร้างขึ้นใหม่บนเขา จากนั้นปล่อยลงมาผ่านเครื่องกำเนิดไฟฟ้า เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าในช่วงที่ความต้องการใช้ไฟฟ้าสูง เป็นการช่วยเสริมระบบไฟฟ้าให้เพียงพอและมั่นคงยิ่งขึ้น
สำหรับความต้องการใช้ไฟฟ้าของไทย ตลอดทั้งวันจะไม่คงที่ ช่วงความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดจะอยู่ที่เวลา 18.00 - 21.00 น. และช่วงความต้องการใช้ไฟฟ้าต่ำสุดจะอยู่ที่เวลา 24.00 - 06.00 น.
ทำให้ในช่วงเวลานี้มีพลังงานไฟฟ้าเหลือจากการผลิตของโรงไฟฟ้าพลังความร้อนทุกๆ แห่ง จึงสามารถนำพลังงานไฟฟ้านั้นมาใช้ในการสูบน้ำกลับไปพักไว้ในอ่างเก็บน้ำบนเขา รอเวลาปล่อยเพื่อการผลิตไฟฟ้าในช่วงที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูง
อย่างไรก็ตาม เพื่อให้เห็นศักยภาพของการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าฯ ดังกล่าวได้อย่างชัดเจนขึ้น นายโชคดี แก้วแสง รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน จึงนำคณะเจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอเข้าเยี่ยมชมกิจการโรงไฟฟ้าฯ ที่เปิดดำเนินการมาแล้วกว่า 7 ปี ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าใต้ดินแห่งแรก และแห่งเดียวของประเทศไทย ที่ใช้อ่างเก็บน้ำขนาดเล็กที่สุด ตั้งอยู่บนยอดเขา โดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยในการก่อสร้าง
โรงไฟฟ้าฯ นี้ ใช้งบประมาณในการก่อสร้างจำนวน 21,800 ล้านบาท ประกอบด้วย โรงไฟฟ้าใต้ดินลึกกว่า 350 เมตร ความกว้าง 23 เมตร ยาว 175 เมตร สูง 47 เมตร ติดตั้งเครื่องกำเนิดไฟฟ้าขนาด 250 เมกะวัตต์ จำนวน 2 เครื่อง กังหันน้ำ/สูบกลับแบบ Vertical Shaft Francis Type Reversible Pump - Turbine มีกำลังการผลิตรวม 500 เมกะวัตต์ ส่วนอ่างเก็บน้ำบนเขายายเที่ยงเป็นแบบหินถม ลาดด้วยยางมะตอยเพื่อป้องกันน้ำซึม เก็บกักน้ำได้ 10.30 ล้านลูกบาศก์เมตร พื้นที่ผิวน้ำ 0.34 ตารางกิโลเมตร สูง 50 เมตร ยาว 2,170 เมตร ปริมาตรที่ใช้งานได้ 9.9 ล้านลูกบาศก์เมตร
โรงไฟฟ้าฯ แห่งนี้ตั้งอยู่บริเวณเส้นแบ่งเขตระหว่างอำเภอปากช่อง และอำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา ห่างจากตัวเมืองประมาณ 70 กิโลเมตร ลักษณะสำคัญประกอบด้วย โรงไฟฟ้าใต้ดิน อ่างพักน้ำบนเขา อ่างเก็บน้ำตอนล่าง (อ่างเก็บน้ำลำตะคองเดิม) อุโมงค์ส่งน้ำจากอ่างพักน้ำเข้าโรงไฟฟ้า อุโมงค์ท้ายน้ำจากโรงไฟฟ้าสู่อ่างเก็บน้ำตอนล่าง และสายส่งไฟฟ้าแรงสูง
นอกจากนี้ ยังเป็นโครงการที่อำนวยประโยชน์ให้แก่จังหวัดนครราชสีมา และจังหวัดอื่นๆ ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพราะนอกจากเป็นการเพิ่มความมั่นคงในระบบการผลิตและจ่ายพลังงานไฟฟ้าแล้ว ยังเป็นการพัฒนาแหล่งน้ำที่มีอยู่ในท้องถิ่นให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะส่งผลให้การพัฒนาเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้ เจริญเติบโตและมีความมั่นคงสูงยิ่งขึ้นในอนาคต
ตลอดระยะเวลา 7 ปีที่ผ่านมาโรงไฟฟ้าฯ แห่งนี้ สามารถยืนหยัดเคียงคู่กับประชาชนรอบๆ โรงไฟฟ้าฯ มาอย่างต่อเนื่อง ด้วยการดำเนินโครงการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน เพื่อค้นหาอาชีพที่เหมาะสมของชุมชน รวมถึงการส่งเสริมอาชีพให้ราษฎรในชุมชนบ้านเขายายเที่ยงเหนือและใต้ สืบเนื่องจากการที่สามารถบริหารจัดการภารกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ได้รับรางวัลดีเด่นหลายรางวัล เช่น รางวัลสถานประกอบการดีเด่นระดับประเทศ ด้านความปลอดภัยอาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน เป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน (ปี 2547 – 2552) จากกระทรวงแรงงาน รางวัลสถานที่ทำงานน่าอยู่ น่าทำงาน มาตรฐานระดับทอง เป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน (ปี 2549 – 2552) จากกระทรวงสาธารณสุข
จะเห็นได้ว่าโรงไฟฟ้าฯ แห่งนี้ สามารถผลิตไฟฟ้าเพื่อเสริมให้ระบบไฟฟ้าในภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้ทันทีด้วยความรวดเร็ว มีความมั่นคงอย่างยั่งยืน นับเป็นการผลิตไฟฟ้าจากการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างคุ้มค่า และสามารถเพิ่มประสิทธิภาพให้กับโรงไฟฟ้าพลังความร้อนได้อีกทางหนึ่ง รวมทั้งยังชดเชยการสั่งซื้อน้ำมันจากต่างประเทศได้อีกด้วย
ติดต่อขอข้อมูล ติชม และเสนอแนะความคิดเห็นได้ที่ศูนย์บริการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน 0-2553-8111 หรือที่ head@boi.go.th
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือนั้น ประชาชนมีความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น และสูงเกินกำลังการผลิตในภูมิภาคอย่างมาก กฟผ. จึงพิจารณานำเทคโนโลยีที่ทันสมัยคือ การก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังน้ำลำตะคองแบบสูบกลับ ดำเนินการก่อสร้างเมื่อปี 2537 แล้วเสร็จในปี 2547
ต่อมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานชื่อโรงไฟฟ้าพลังน้ำลำตะคองแบบสูบกลับ ว่า “โรงไฟฟ้าลำตะคองชลภาวัฒนา” ซึ่งมีความหมายว่า โรงไฟฟ้าลำตะคองเป็นที่พัฒนาแสงไฟด้วยน้ำ ตั้งแต่วันที่ 17 กรกฎาคม 2552 เป็นต้นไป
โรงไฟฟ้าฯ แห่งนี้ เป็นโรงไฟฟ้าที่นำพลังงานไฟฟ้าส่วนที่เกินจากการผลิตของโรงไฟฟ้าพลังความร้อนในช่วงเวลาที่มีการใช้ไฟฟ้าน้อย คือ ช่วงหลังเที่ยงคืนจนถึงเช้า มาสูบน้ำจากอ่างเก็บน้ำ
ลำตะคองที่มีอยู่เดิม แล้วไปพักไว้ที่อ่างพักน้ำตอนบนที่สร้างขึ้นใหม่บนเขา จากนั้นปล่อยลงมาผ่านเครื่องกำเนิดไฟฟ้า เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าในช่วงที่ความต้องการใช้ไฟฟ้าสูง เป็นการช่วยเสริมระบบไฟฟ้าให้เพียงพอและมั่นคงยิ่งขึ้น
สำหรับความต้องการใช้ไฟฟ้าของไทย ตลอดทั้งวันจะไม่คงที่ ช่วงความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดจะอยู่ที่เวลา 18.00 - 21.00 น. และช่วงความต้องการใช้ไฟฟ้าต่ำสุดจะอยู่ที่เวลา 24.00 - 06.00 น.
ทำให้ในช่วงเวลานี้มีพลังงานไฟฟ้าเหลือจากการผลิตของโรงไฟฟ้าพลังความร้อนทุกๆ แห่ง จึงสามารถนำพลังงานไฟฟ้านั้นมาใช้ในการสูบน้ำกลับไปพักไว้ในอ่างเก็บน้ำบนเขา รอเวลาปล่อยเพื่อการผลิตไฟฟ้าในช่วงที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูง
อย่างไรก็ตาม เพื่อให้เห็นศักยภาพของการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าฯ ดังกล่าวได้อย่างชัดเจนขึ้น นายโชคดี แก้วแสง รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน จึงนำคณะเจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอเข้าเยี่ยมชมกิจการโรงไฟฟ้าฯ ที่เปิดดำเนินการมาแล้วกว่า 7 ปี ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าใต้ดินแห่งแรก และแห่งเดียวของประเทศไทย ที่ใช้อ่างเก็บน้ำขนาดเล็กที่สุด ตั้งอยู่บนยอดเขา โดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยในการก่อสร้าง
โรงไฟฟ้าฯ นี้ ใช้งบประมาณในการก่อสร้างจำนวน 21,800 ล้านบาท ประกอบด้วย โรงไฟฟ้าใต้ดินลึกกว่า 350 เมตร ความกว้าง 23 เมตร ยาว 175 เมตร สูง 47 เมตร ติดตั้งเครื่องกำเนิดไฟฟ้าขนาด 250 เมกะวัตต์ จำนวน 2 เครื่อง กังหันน้ำ/สูบกลับแบบ Vertical Shaft Francis Type Reversible Pump - Turbine มีกำลังการผลิตรวม 500 เมกะวัตต์ ส่วนอ่างเก็บน้ำบนเขายายเที่ยงเป็นแบบหินถม ลาดด้วยยางมะตอยเพื่อป้องกันน้ำซึม เก็บกักน้ำได้ 10.30 ล้านลูกบาศก์เมตร พื้นที่ผิวน้ำ 0.34 ตารางกิโลเมตร สูง 50 เมตร ยาว 2,170 เมตร ปริมาตรที่ใช้งานได้ 9.9 ล้านลูกบาศก์เมตร
โรงไฟฟ้าฯ แห่งนี้ตั้งอยู่บริเวณเส้นแบ่งเขตระหว่างอำเภอปากช่อง และอำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา ห่างจากตัวเมืองประมาณ 70 กิโลเมตร ลักษณะสำคัญประกอบด้วย โรงไฟฟ้าใต้ดิน อ่างพักน้ำบนเขา อ่างเก็บน้ำตอนล่าง (อ่างเก็บน้ำลำตะคองเดิม) อุโมงค์ส่งน้ำจากอ่างพักน้ำเข้าโรงไฟฟ้า อุโมงค์ท้ายน้ำจากโรงไฟฟ้าสู่อ่างเก็บน้ำตอนล่าง และสายส่งไฟฟ้าแรงสูง
นอกจากนี้ ยังเป็นโครงการที่อำนวยประโยชน์ให้แก่จังหวัดนครราชสีมา และจังหวัดอื่นๆ ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพราะนอกจากเป็นการเพิ่มความมั่นคงในระบบการผลิตและจ่ายพลังงานไฟฟ้าแล้ว ยังเป็นการพัฒนาแหล่งน้ำที่มีอยู่ในท้องถิ่นให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะส่งผลให้การพัฒนาเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้ เจริญเติบโตและมีความมั่นคงสูงยิ่งขึ้นในอนาคต
ตลอดระยะเวลา 7 ปีที่ผ่านมาโรงไฟฟ้าฯ แห่งนี้ สามารถยืนหยัดเคียงคู่กับประชาชนรอบๆ โรงไฟฟ้าฯ มาอย่างต่อเนื่อง ด้วยการดำเนินโครงการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน เพื่อค้นหาอาชีพที่เหมาะสมของชุมชน รวมถึงการส่งเสริมอาชีพให้ราษฎรในชุมชนบ้านเขายายเที่ยงเหนือและใต้ สืบเนื่องจากการที่สามารถบริหารจัดการภารกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ได้รับรางวัลดีเด่นหลายรางวัล เช่น รางวัลสถานประกอบการดีเด่นระดับประเทศ ด้านความปลอดภัยอาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน เป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน (ปี 2547 – 2552) จากกระทรวงแรงงาน รางวัลสถานที่ทำงานน่าอยู่ น่าทำงาน มาตรฐานระดับทอง เป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน (ปี 2549 – 2552) จากกระทรวงสาธารณสุข
จะเห็นได้ว่าโรงไฟฟ้าฯ แห่งนี้ สามารถผลิตไฟฟ้าเพื่อเสริมให้ระบบไฟฟ้าในภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้ทันทีด้วยความรวดเร็ว มีความมั่นคงอย่างยั่งยืน นับเป็นการผลิตไฟฟ้าจากการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างคุ้มค่า และสามารถเพิ่มประสิทธิภาพให้กับโรงไฟฟ้าพลังความร้อนได้อีกทางหนึ่ง รวมทั้งยังชดเชยการสั่งซื้อน้ำมันจากต่างประเทศได้อีกด้วย
ติดต่อขอข้อมูล ติชม และเสนอแนะความคิดเห็นได้ที่ศูนย์บริการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน 0-2553-8111 หรือที่ head@boi.go.th
เผยเคล็ด(ไม่) ลับนศ.แม่โจ้คว้าเหรียญเรียนดี พิชิตเกรด 4.00
“ตั้งใจ แบ่งเวลา นั่งหน้า ไม่ขาดเรียน หมั่นทบทวน” คือ เคล็ดลับเรียนดี พิชิตเกรดเฉลี่ย 4.00 ของ 2 สาวรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ จนได้รับเหรียญรางวัลเรียนดี ประจำปีการศึกษา 2553 และเข้ารับมอบเหรียญรางวัลเรียนดีกับอธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่โจ้อย่างเป็นทางการ สร้างความภาคภูมิใจให้แก่ 2 สาวและครอบครัว
ผศ.ดร.จำเนียร ยศราช อธิการบดีม.แม่โจ้ เปิดเผยว่า มหาวิทยาลัยแม่โจ้ได้มีการพิจารณามอบเหรียญรางวัลเรียนดีเป็นประจำทุกปี โดยมอบหมายให้สำนักบริหารและพัฒนาวิชาการเป็นผู้ดำเนินการพิจารณานักศึกษาตามหลักเกณฑ์ คือ นักศึกษาต้องลงทะเบียนเรียนทั้งสองภาคการศึกษาปกติไม่น้อยกว่า 35 หน่วยกิต แล้วได้ระดับคะแนนเฉลี่ยสะสมทั้งหมดทุกภาคการศึกษาที่ผ่านมาไม่น้อยกว่า 3.50 โดยต้องไม่ได้รับอักษร F หรือ U ในรายวิชาใด และเป็นผู้ที่มีความประพฤติเรียบร้อย และไม่เคยถูกลงโทษทางวินัยนักศึกษา
โดยในปีการศึกษา 2553 มีนักศึกษาที่ผ่านการพิจารณา ทั้งสิ้น จำนวน 353 คน แบ่งเป็น คณะผลิตกรรมการเกษตร 28 คน, คณะวิศวกรรมและอุตสาหกรรมเกษตร 38 คน, คณะวิทยาศาสตร์ 24 คน, วิทยาลัยบริหารศาสตร์ 27 คน, คณะบริหารธุรกิจ 53 คน, คณะพัฒนาการท่องเที่ยว 21 คน, คณะเศรษฐศาสตร์ 32 คน, คณะศิลปะศาสตร์ 24 คน, คณะสารสนเทศและการสื่อสาร 8 คน, คณะสถาปัตยกรรมและการออกแบบสิ่งแวดล้อม 3 คน, คณะสัตวศาสตร์และเทคโนโลยี 5 คน, มหาวิทยาลัยแม่โจ้ - แพร่ เฉลิมพระเกียรติ 43 คน และมหาวิทยาลัยแม่โจ้ - ชุมพร 47 คน
“ตำลึง” หรือนางสาววรางคณา พยอมยงค์
สาวเรียนเก่ง อย่าง “ตำลึง” หรือนางสาววรางคณา พยอมยงค์ นักศึกษาสาขาวิชารัฐศาสตร์ วิทยาลัยบริหารศาสตร์ หนึ่งในผู้ได้รับเหรียญรางวัลเรียนดี ได้คะแนนเฉลี่ยสะสม 4.00 เผยว่า เทคนิคการเรียนดี เรียนเก่ง คือต้องตั้งใจ เข้าเรียนทุกชั่วโมง และพยายามนั่งด้านหน้าของชั้นเรียนเพื่อให้มีสมาธิจดจ่อกับการเรียน ไม่วอกแวก
"เราต้องกล้าซักถามหากไม่เข้าใจบทเรียนค่ะ และที่สำคัญคือ ต้องแบ่งเวลาให้เป็น เพราะนอกจากจะทำให้เราเรียนดีแล้ว เวลาทำกิจกรรม เราก็ทำได้หลากหลาย เพื่อนๆก็บอกว่าเป็นเรานักกิจกรรม เพราะได้รับเกียรติให้เป็นหัวหน้าสาขาวิชารัฐศาสตร์ด้วย เพราะฉะนั้นการรู้จักแบ่งเวลาคืออีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้สามารถพิชิตเกรดเฉลี่ย 4.00 ได้สำเร็จค่ะ"
“จ๋า” หรือ นางสาวพรทิพย์ อมรสิทธิ์
และคนเก่งอีกคนที่ได้คะแนนเฉลี่ยสะสม 4.00 อย่าง “จ๋า” หรือ นางสาวพรทิพย์ อมรสิทธิ์ นักศึกษาสาขาวิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ - แพร่ฯ ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับเธอเคล็ดลับการได้รับผลการเรียนดีนั้นคือ การจดบันทึกย่อ การขยันหมั่นทบทวนบทเรียน เข้าห้องสมุดศึกษาเพิ่มเติม อีกทั้งเธอนั้นเป็นนักกิจกรรมตัวยง จึงต้องขยันมากกว่าคนอื่นเป็นสองเท่า
"ส่วนตัวเป็นทั้งประธานชมรม นักศึกษา เป็นนักกีฬาทั้งแบดมินตัน บาสเกตบอล ทำให้บางครั้งไม่สามารถเข้าเรียนในชั้นเรียนได้ตามปกติค่ะ ดังนั้นการหมั่นทบทวน และศึกษาเพิ่มเติมจึงสำคัญมาก และเราก็ต้องทำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้เรียนได้ทันเพื่อนๆคนอื่น เหรียญรางวัลเรียนดีที่ได้รับจึงเป็นเหมือนรางวัลแห่งความมุ่งมั่น ตั้งใจ เป็นขวัญและกำลังใจ เป็นแรงจูงใจ ให้เราได้ทำหน้าที่ของการเป็นนักศึกษาที่ดี ก็เป็นก้าวแรกของการเป็นบัณฑิตที่มีคุณภาพต่อไปในอนาคตด้วยค่ะ" จ๋า กล่าวทิ้งท้าย
ผศ.ดร.จำเนียร ยศราช อธิการบดีม.แม่โจ้ เปิดเผยว่า มหาวิทยาลัยแม่โจ้ได้มีการพิจารณามอบเหรียญรางวัลเรียนดีเป็นประจำทุกปี โดยมอบหมายให้สำนักบริหารและพัฒนาวิชาการเป็นผู้ดำเนินการพิจารณานักศึกษาตามหลักเกณฑ์ คือ นักศึกษาต้องลงทะเบียนเรียนทั้งสองภาคการศึกษาปกติไม่น้อยกว่า 35 หน่วยกิต แล้วได้ระดับคะแนนเฉลี่ยสะสมทั้งหมดทุกภาคการศึกษาที่ผ่านมาไม่น้อยกว่า 3.50 โดยต้องไม่ได้รับอักษร F หรือ U ในรายวิชาใด และเป็นผู้ที่มีความประพฤติเรียบร้อย และไม่เคยถูกลงโทษทางวินัยนักศึกษา
โดยในปีการศึกษา 2553 มีนักศึกษาที่ผ่านการพิจารณา ทั้งสิ้น จำนวน 353 คน แบ่งเป็น คณะผลิตกรรมการเกษตร 28 คน, คณะวิศวกรรมและอุตสาหกรรมเกษตร 38 คน, คณะวิทยาศาสตร์ 24 คน, วิทยาลัยบริหารศาสตร์ 27 คน, คณะบริหารธุรกิจ 53 คน, คณะพัฒนาการท่องเที่ยว 21 คน, คณะเศรษฐศาสตร์ 32 คน, คณะศิลปะศาสตร์ 24 คน, คณะสารสนเทศและการสื่อสาร 8 คน, คณะสถาปัตยกรรมและการออกแบบสิ่งแวดล้อม 3 คน, คณะสัตวศาสตร์และเทคโนโลยี 5 คน, มหาวิทยาลัยแม่โจ้ - แพร่ เฉลิมพระเกียรติ 43 คน และมหาวิทยาลัยแม่โจ้ - ชุมพร 47 คน
“ตำลึง” หรือนางสาววรางคณา พยอมยงค์
สาวเรียนเก่ง อย่าง “ตำลึง” หรือนางสาววรางคณา พยอมยงค์ นักศึกษาสาขาวิชารัฐศาสตร์ วิทยาลัยบริหารศาสตร์ หนึ่งในผู้ได้รับเหรียญรางวัลเรียนดี ได้คะแนนเฉลี่ยสะสม 4.00 เผยว่า เทคนิคการเรียนดี เรียนเก่ง คือต้องตั้งใจ เข้าเรียนทุกชั่วโมง และพยายามนั่งด้านหน้าของชั้นเรียนเพื่อให้มีสมาธิจดจ่อกับการเรียน ไม่วอกแวก
"เราต้องกล้าซักถามหากไม่เข้าใจบทเรียนค่ะ และที่สำคัญคือ ต้องแบ่งเวลาให้เป็น เพราะนอกจากจะทำให้เราเรียนดีแล้ว เวลาทำกิจกรรม เราก็ทำได้หลากหลาย เพื่อนๆก็บอกว่าเป็นเรานักกิจกรรม เพราะได้รับเกียรติให้เป็นหัวหน้าสาขาวิชารัฐศาสตร์ด้วย เพราะฉะนั้นการรู้จักแบ่งเวลาคืออีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้สามารถพิชิตเกรดเฉลี่ย 4.00 ได้สำเร็จค่ะ"
“จ๋า” หรือ นางสาวพรทิพย์ อมรสิทธิ์
และคนเก่งอีกคนที่ได้คะแนนเฉลี่ยสะสม 4.00 อย่าง “จ๋า” หรือ นางสาวพรทิพย์ อมรสิทธิ์ นักศึกษาสาขาวิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ - แพร่ฯ ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับเธอเคล็ดลับการได้รับผลการเรียนดีนั้นคือ การจดบันทึกย่อ การขยันหมั่นทบทวนบทเรียน เข้าห้องสมุดศึกษาเพิ่มเติม อีกทั้งเธอนั้นเป็นนักกิจกรรมตัวยง จึงต้องขยันมากกว่าคนอื่นเป็นสองเท่า
"ส่วนตัวเป็นทั้งประธานชมรม นักศึกษา เป็นนักกีฬาทั้งแบดมินตัน บาสเกตบอล ทำให้บางครั้งไม่สามารถเข้าเรียนในชั้นเรียนได้ตามปกติค่ะ ดังนั้นการหมั่นทบทวน และศึกษาเพิ่มเติมจึงสำคัญมาก และเราก็ต้องทำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้เรียนได้ทันเพื่อนๆคนอื่น เหรียญรางวัลเรียนดีที่ได้รับจึงเป็นเหมือนรางวัลแห่งความมุ่งมั่น ตั้งใจ เป็นขวัญและกำลังใจ เป็นแรงจูงใจ ให้เราได้ทำหน้าที่ของการเป็นนักศึกษาที่ดี ก็เป็นก้าวแรกของการเป็นบัณฑิตที่มีคุณภาพต่อไปในอนาคตด้วยค่ะ" จ๋า กล่าวทิ้งท้าย
วิธีดับกลิ่นคาวเครื่องในหมู
วิธีดับกลิ่นคาวเครื่องในหมู คือ เอาเครื่องในมาขยำกับเกลือ แล้วล้างด้วยน้ำปูนใสหรือน้ำแกว่งสารส้มหลายๆครั้ง จะหมดเมือกและหมดกลิ่น
จาก SMS FarmerInfo - DTAC - 24 ก.ค.2554 - 13.07 น.
จาก SMS FarmerInfo - DTAC - 24 ก.ค.2554 - 13.07 น.
พี่ใหญ่ มทร.ธัญบุรี ใจดี คิดค้น"หนังสือเสียง"แด่น้องผู้พิการทางสายตา
เพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา การผลิตสื่อทางเลือก สำหรับผู้พิการทางสายตาที่ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลเป็นรูปเล่มได้ ดังนั้นนักศึกษาชั้นปีที่ 4 สาขาวิชาเทคโนโลยีการโทรทัศน์และวิทยุกระจายเสียง คณะเทคโนโลยีสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) ธัญบุรี ประกอบด้วย “หญิง” นางสาวทิพวัลย์ เชี่ยวชาญกิจแก้ว “ลูกกิ๊ก” นางสาวกัณจนาณัฏ พัฒนะสิริกุลชัย “แซม” นายอนันต์ ล้อมแพน “นิว” นายเตวิช เพียรเจริญ “เปิ้ล” นางสาวรัตติกาล แก้วเจริญ และ “บูล” นางสาวนงนภัส เดชธรรมรงค์ สร้าง "หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ระบบ DAISY สำหรับเด็กพิการทางสายตา" โดยใช้เทคนิคการสร้างเสียงประกอบและการใช้เสียงดนตรีเพื่อสร้างความน่าสนใจ ขึ้นมา โดยมี ดร.ภัสสร สังข์ศรี เป็นที่ปรึกษาและคอยให้คำแนะนำ
“นิว” ตัวแทนกลุ่ม เล่าว่า การสร้างหนังสือเสียงอิเล็กทรอนิกส์ระบบ DAISY สำหรับเด็กผู้พิการทางสายตาโดยใช้เทคนิคการสร้างเสียงประกอบและการใช้เสียงดนตรีเพื่อสร้างความน่าสนใจนี้ ได้นำนิทานชาดกมาประกอบ เพื่อปลูกฝั่งคติธรรม คำสอน ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่มีอยู่ในนิทานชาดก "ทางคณะผู้จัดทำ ได้สร้างเสียงประกอบและใส่เสียงดนตรีเพื่อให้น่าฟังและน่าสนใจ และทำให้เด็ก ๆ เหล่านี้ขยายโอกาสในการรับข่าวสาร และได้รับความสนุกสนานเพิ่มขึ้น ทางคณะผู้จัดทำได้ฝึกปฏิบัติ การสร้างและใส่เสียงประกอบ การเขียนบท สำหรับหนังสือเสียงอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งจะเป็นแนวทางสำหรับการพัฒนาการสร้างหนังสือเสียงอิเล็กทรอนิกส์ระบบ DAISY สำหรับเด็กผู้พิการทางสายตาในระดับชั้นประถมศึกษาตอนปลายในโอกาสต่อไปอีกด้วย"
ซึ่งโรงเรียนสอนคนตาบอดแห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์นั้นไม่มีหลักสูตรการสอนเกี่ยวกับระบบ DAISY แต่นักเรียนผู้พิการทางสายตาตั้งแต่กำเนิด ระดับประถมศึกษาตอนปลาย สามารถใช้ระบบ DAISY เนื่องจากนักเรียนจะเข้าไปฟังหนังสือเสียงที่ห้องสมุดและจะมีบรรณารักษ์เป็นผู้สอน
"ส่วนใหญ่นักเรียนที่เรียนอยู่โรงเรียนสอนคนตาบอดแห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์ โดยเฉพาะเด็กที่เรียนระดับชั้นประถมศึกษาตอนปลายแล้ว จะใช้ระบบ DAISY เป็นทุกคน เพราะทางโรงเรียนได้จัดให้มีการสอนวิชาคอมพิวเตอร์ในหลักสูตรการเรียน ในชั้นประถมศึกษาตอนปลายและทางโรงเรียนยังมีมาตรฐานในการสอนและสามารถประเมินผลนักเรียนผู้พิการทางสายตาเป็นอย่างดีจึงเชื่อได้ว่าเด็กผู้พิการทางสายตาระดับประถมศึกษาตอนปลายสามารถใช้คอมพิวเตอร์และสามารถใช้ระบบ DAISY ได้"
โดยคณะผู้จัดทำได้เลือกนิทานชาดกจำนวน 12 ตอน ได้แก่ ตอนที่ 1 รางวัลแก้เผ็ด ตอนที่ 2 แพะใช้กรรม ตอนที่ 3 ลิงกับจระเข้ ตอนที่ 4 ลูกชายสอนพ่อ ตอนที่ 5 นกกระยางกับปู ตอนที่ 6 ชายหนุ่มกับแม่มด ตอนที่ 7 หนูกับสนุขจิ้งจอก ตอนที่ 8 โคนันทวิสาส ตอนที่ 9 แม่นกกับช้างเกเร ตอนที่ 10 เต่าบิน ตอนที่ 11 เศรษฐีขี้งก และตอนที่ 12 พญาลิงผู้ยอมสละชีวิต มาจัดทำเป็นหนังสือเสียงอิเล็กทรอนิกส์ระบบ DAISY ซึ่งมีความยาว 59 นาที ที่มีเนื้อหาสอดแทรกความรู้และคติสอนใจแก่ผู้ฟัง โดยนำนิทานชาดกที่มีผู้แต่งไว้แล้วมาแปลงเป็นบทใหม่โดยอ้างอิงจากเล่มเดิม ต่อจากนั้นทำการบันทึกเสียง ในห้องบันทึกเสียงด้วยไมโครโฟนชนิด Condenser ขยายสัญญาณเสียงไปสู่ลำโพงด้วยเครื่องขยายเสียง จากนั้นแปลงเป็นสัญญาณไฟฟ้าให้เป็นสัญญาณเสียงด้วยลำโพง ESI และปรับแต่งสัญญาณเสียงด้วยเครื่องผสมเสียง บันทึกและตัดต่อด้วยการใช้โปรแกรม ADOBE AUDITION 1.0 บนเครื่องคอมพิวเตอร์
จากนั้นแปลงเป็นหนังสือเสียงอิเล็กทรอนิกส์ระบบ DAISY ด้วยโปรแกรม My Studio PC แล้วบันทึกผลงานลงคอมแพ็คดิส (CD) สำหรับการประเมินผลออกเป็น 2 ขั้นตอนคือ การประเมินผลเชิงปริมาณ โดยทำการประเมินผลจากนักเรียนผู้พิการทางสายาตาในระดับประถมศึกษาตอนปลายจากโรงเรียนสอนคนตาบอดแห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์ และจะทำการประเมินผลเชิงคุณภาพโดยผู้เชี่ยวชาญ 4 ด้านด้วยกันคือผู้เชี่ยวชาญด้านเสียงจำนวน 1 คน อาจารย์ผู้สอนเด็กนักเรียนผู้พิการทางสายตาจำนวน 1 คน ผู้ผลิตหนังสือเสียงอิเล็กทรอนิกส์ระบบ DAISY จำนวน 1 คน และผู้เชี่ยวชาญด้านนิทานสำหรับเด็กจำนวน 1 คน
ต้องขอปรบมือดังๆให้กับนักศึกษาทั้ง 6 คนใน การสร้างหนังสือเสียงอิเล็กทรอนิกส์ระบบ DAISY สำหรับเด็กผู้พิการทางสายตา ด้วยการใช้เทคนิคการสร้างเสียงประกอบและการใช้เสียงดนตรีเพื่อสร้างความน่าสนใจ ในส่วนของกลุ่มตัวอย่างสามารถสร้างความน่าสนใจได้ดีเนื่องจากมีการใช้เสียงประกอบและเสียงดนตรีที่สร้างขึ้นเองมาประกอบในบทนิทานชาดก เพื่อช่วยให้บทนิทานชาดกมีความเหมือนจริงเพิ่มมากยิ่งขึ้น และยังสามารถเปิดโอกาสทางการศึกษาให้เด็กผู้พิการทางสายตาเข้าถึงสื่อได้ง่ายขึ้น อีกทั้งยังถือว่าเป็นการพัฒนาการเรียนการสอนด้วย เพราะหนังสือเสียงอิเล็กทรอนิกส์ระบบ DAISY ชุดนิทานชาดก สามารถสร้างจินตนาการ พร้อมทั้งยังมีคติธรรมที่ดีเพื่อให้เด็กผู้พิการทางสายตานำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดี
“นิว” ตัวแทนกลุ่ม เล่าว่า การสร้างหนังสือเสียงอิเล็กทรอนิกส์ระบบ DAISY สำหรับเด็กผู้พิการทางสายตาโดยใช้เทคนิคการสร้างเสียงประกอบและการใช้เสียงดนตรีเพื่อสร้างความน่าสนใจนี้ ได้นำนิทานชาดกมาประกอบ เพื่อปลูกฝั่งคติธรรม คำสอน ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่มีอยู่ในนิทานชาดก "ทางคณะผู้จัดทำ ได้สร้างเสียงประกอบและใส่เสียงดนตรีเพื่อให้น่าฟังและน่าสนใจ และทำให้เด็ก ๆ เหล่านี้ขยายโอกาสในการรับข่าวสาร และได้รับความสนุกสนานเพิ่มขึ้น ทางคณะผู้จัดทำได้ฝึกปฏิบัติ การสร้างและใส่เสียงประกอบ การเขียนบท สำหรับหนังสือเสียงอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งจะเป็นแนวทางสำหรับการพัฒนาการสร้างหนังสือเสียงอิเล็กทรอนิกส์ระบบ DAISY สำหรับเด็กผู้พิการทางสายตาในระดับชั้นประถมศึกษาตอนปลายในโอกาสต่อไปอีกด้วย"
ซึ่งโรงเรียนสอนคนตาบอดแห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์นั้นไม่มีหลักสูตรการสอนเกี่ยวกับระบบ DAISY แต่นักเรียนผู้พิการทางสายตาตั้งแต่กำเนิด ระดับประถมศึกษาตอนปลาย สามารถใช้ระบบ DAISY เนื่องจากนักเรียนจะเข้าไปฟังหนังสือเสียงที่ห้องสมุดและจะมีบรรณารักษ์เป็นผู้สอน
"ส่วนใหญ่นักเรียนที่เรียนอยู่โรงเรียนสอนคนตาบอดแห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์ โดยเฉพาะเด็กที่เรียนระดับชั้นประถมศึกษาตอนปลายแล้ว จะใช้ระบบ DAISY เป็นทุกคน เพราะทางโรงเรียนได้จัดให้มีการสอนวิชาคอมพิวเตอร์ในหลักสูตรการเรียน ในชั้นประถมศึกษาตอนปลายและทางโรงเรียนยังมีมาตรฐานในการสอนและสามารถประเมินผลนักเรียนผู้พิการทางสายตาเป็นอย่างดีจึงเชื่อได้ว่าเด็กผู้พิการทางสายตาระดับประถมศึกษาตอนปลายสามารถใช้คอมพิวเตอร์และสามารถใช้ระบบ DAISY ได้"
โดยคณะผู้จัดทำได้เลือกนิทานชาดกจำนวน 12 ตอน ได้แก่ ตอนที่ 1 รางวัลแก้เผ็ด ตอนที่ 2 แพะใช้กรรม ตอนที่ 3 ลิงกับจระเข้ ตอนที่ 4 ลูกชายสอนพ่อ ตอนที่ 5 นกกระยางกับปู ตอนที่ 6 ชายหนุ่มกับแม่มด ตอนที่ 7 หนูกับสนุขจิ้งจอก ตอนที่ 8 โคนันทวิสาส ตอนที่ 9 แม่นกกับช้างเกเร ตอนที่ 10 เต่าบิน ตอนที่ 11 เศรษฐีขี้งก และตอนที่ 12 พญาลิงผู้ยอมสละชีวิต มาจัดทำเป็นหนังสือเสียงอิเล็กทรอนิกส์ระบบ DAISY ซึ่งมีความยาว 59 นาที ที่มีเนื้อหาสอดแทรกความรู้และคติสอนใจแก่ผู้ฟัง โดยนำนิทานชาดกที่มีผู้แต่งไว้แล้วมาแปลงเป็นบทใหม่โดยอ้างอิงจากเล่มเดิม ต่อจากนั้นทำการบันทึกเสียง ในห้องบันทึกเสียงด้วยไมโครโฟนชนิด Condenser ขยายสัญญาณเสียงไปสู่ลำโพงด้วยเครื่องขยายเสียง จากนั้นแปลงเป็นสัญญาณไฟฟ้าให้เป็นสัญญาณเสียงด้วยลำโพง ESI และปรับแต่งสัญญาณเสียงด้วยเครื่องผสมเสียง บันทึกและตัดต่อด้วยการใช้โปรแกรม ADOBE AUDITION 1.0 บนเครื่องคอมพิวเตอร์
จากนั้นแปลงเป็นหนังสือเสียงอิเล็กทรอนิกส์ระบบ DAISY ด้วยโปรแกรม My Studio PC แล้วบันทึกผลงานลงคอมแพ็คดิส (CD) สำหรับการประเมินผลออกเป็น 2 ขั้นตอนคือ การประเมินผลเชิงปริมาณ โดยทำการประเมินผลจากนักเรียนผู้พิการทางสายาตาในระดับประถมศึกษาตอนปลายจากโรงเรียนสอนคนตาบอดแห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์ และจะทำการประเมินผลเชิงคุณภาพโดยผู้เชี่ยวชาญ 4 ด้านด้วยกันคือผู้เชี่ยวชาญด้านเสียงจำนวน 1 คน อาจารย์ผู้สอนเด็กนักเรียนผู้พิการทางสายตาจำนวน 1 คน ผู้ผลิตหนังสือเสียงอิเล็กทรอนิกส์ระบบ DAISY จำนวน 1 คน และผู้เชี่ยวชาญด้านนิทานสำหรับเด็กจำนวน 1 คน
ต้องขอปรบมือดังๆให้กับนักศึกษาทั้ง 6 คนใน การสร้างหนังสือเสียงอิเล็กทรอนิกส์ระบบ DAISY สำหรับเด็กผู้พิการทางสายตา ด้วยการใช้เทคนิคการสร้างเสียงประกอบและการใช้เสียงดนตรีเพื่อสร้างความน่าสนใจ ในส่วนของกลุ่มตัวอย่างสามารถสร้างความน่าสนใจได้ดีเนื่องจากมีการใช้เสียงประกอบและเสียงดนตรีที่สร้างขึ้นเองมาประกอบในบทนิทานชาดก เพื่อช่วยให้บทนิทานชาดกมีความเหมือนจริงเพิ่มมากยิ่งขึ้น และยังสามารถเปิดโอกาสทางการศึกษาให้เด็กผู้พิการทางสายตาเข้าถึงสื่อได้ง่ายขึ้น อีกทั้งยังถือว่าเป็นการพัฒนาการเรียนการสอนด้วย เพราะหนังสือเสียงอิเล็กทรอนิกส์ระบบ DAISY ชุดนิทานชาดก สามารถสร้างจินตนาการ พร้อมทั้งยังมีคติธรรมที่ดีเพื่อให้เด็กผู้พิการทางสายตานำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดี
สูตรปุ๋ย เพิ่มผลผลิตอ้อย
สูตรปุ๋ย เพิ่มผลผลิตอ้อย ใช้น้ำนมดิบ 200 ลิตร + พด.2 จำนวน 1 ซอง +กากน้ำตาลปึก 5 ลิตร หมัก 3-4 เดือน ก่อนนำไปใช้ 4 ลิตร / น้ำ 400 ลิตร ฉีดพ่นช่วยอ้อยแตกกอ
จาก SMS FarmerInfo - DTAC - 22 ก.ค.2554 - 11.09 น.
จาก SMS FarmerInfo - DTAC - 22 ก.ค.2554 - 11.09 น.
การเลี้ยงไก่ไข่ ควรเลี้ยงคู่กับการเลี้ยงปลา
การเลี้ยงไก่ไข่ ควรเลี้ยงคู่กับการเลี้ยงปลา เพราะเศษอาหารของไก่และมูลไก่ เป็นอาหารปลาได้เป็นอย่างดี ช่วยเพิ่มรายได้อีกทางหนึ่ง
จาก SMS FarmerInfo - DTAC - 21 ก.ค.2554 - 11.17 น.
จาก SMS FarmerInfo - DTAC - 21 ก.ค.2554 - 11.17 น.
'สุดยอดคำคม!! จาก Dr.Pop แรงดี มีสไตล์
วันนี้ จขกท. มีคำคมดีๆมาฝาก อ่านแล้วมีกำลังใจในการใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้ต่อไป มันอาจจะยาวไปหน่อยแต่อยากให้เพื่อนๆชาวโพสต์จังอ่านตั้งแต่ต้นจนจบ เพราะไม่แน่บางข้ออาจจะเปลี่ยนชีวิตเราให้เป็นอีกคนนึงเลยก็ได้ จขกท.อ่านแล้วรู้สึกชอบคำคมเหล่านี้มาก ติดตามอ่านจากfacebook Dr.pop ทุกวัน อ่านแล้วรู้สึกมีกำลังใจเพิ่มมากขึ้น
❥ใครจะทอดทิ้งเราก็ช่างหัวมัน แต่คนที่เรียกว่าเพื่อนสนิท เพื่อนซี้อย่าทิ้งเรา แค่นั้นพอ
❥เพื่อนที่ดี เมื่อเห็นเราผิดปกติ มีปัญหา เศร้า เขาจะถามว่า เป็นอะไรหรือเปล่า ถ้าเพื่อนไม่ดี มันก็จะแค่มองผ่าน
❥บางทีเจ็บ น้อยใจ แต่เรียกร้องไม่ได้ เพราะรู้ว่าพูดไป ก็ไม่สำคัญพอที่ใครจะฟังอยู่ดี
❥คน บางคนสามารถทำร้ายหรือทำเรื่องเลวๆ กับคนอื่น แต่พอโดนเรื่องร้ายๆ ในชีิวิตกลับโวยวายจะเป็นจะตาย สิ่งที่เราทำได้คือนั่งเท้าคาง จ้องมอง หรี่ตา ส่งเสียงฮึฮึ และบอกว่า 'สมควร
❥การที่ฉันไม่ยอมเธอตลอด ใช่ว่าฉันผยองเย่อหยิ่ง ฉันแค่คิดเป็น และแยกว่าตอนไหนควรยอมหรือไม่ควร
❥บางทีเราก็สำคัญตัวเองผิดไป เราอาจไม่ได้สำคัญอะไรกับใคร อย่างที่เราคิด เขาไม่ผิด เราผิดเอง
❥คุณควรจะรู้ตัวว่าใครที่คุณงอนได้ น้อยใจได้ โกรธได้ เพราะบางคนก็ไม่ได้แคร์หรอกว่าคุณจะคิดยังไง อย่าสำคัญตัวเองผิด
❥อยากจะทำร้ายเธอแบบที่เธอทำร้ายฉัน แต่จิตใจฉันไม่ต่ำแบบนั้น ฉันเลียนแบบคุณสมบัตินี้ของเธอไม่ได้จริงๆ
❥บางคนก็ดีแต่แหกปากด่าว่าคนอื่นเรื่อยไป ไม่เคยมีใครดีในสายตาเขา อาจเพราะตัวเขาเองก็หาดีอะไรไม่ได้เลย
❥บางครั้งการตอบโต้โดยการไม่สนใจ ไม่ใส่ใจ ก็เป็นการโต้ตอบที่โหดร้ายและถึงใจที่สุด
❥บาง ทีเวลาถูกเพื่อนทำร้ายความรู้สึก เราก็อยากจะทำร้ายเขากลับไปบ้าง แต่ก็ทำไม่ได้ ไม่ใช่เพราะเราไม่กล้าหาญ แค่รู้สึกว่าตัวเองหน้า.ด้านไม่พอ
❥บนทางสู่ความสำเร็จมักเต็มไปด้วยพวกจิตบกพร่อง 'จ้อง' ทำร้าย อย่าท้อ อย่ากลัว เดินหน้าต่อไป เพราะเมื่อคุณถึงจุดหมาย คนเหล่านั้นก็ทำได้แค่ 'จ้อง' คุณ อยู่ดี"
❥อย่าด่าใครด้วยคำหยาบ จงใช้คำสุภาพ ที่นิ่มนวล บาดลึก ให้เขาเจ็บ ให้จำ และไม่ลืมจนตายก็พอ
❥จงหมั่นทักทาย กด like และคอมเมนต์เพื่อนสนิท อย่าให้เขาติดตามคุณฝ่ายเดียว เพราะคุณอาจเสียเพื่อนไปโดยไม่รู้ตัว
❥บางครั้งการทำตามต่างชาติมากไป แทนที่จะดูอินเตอร์ กลับยิ่งดูพยายามและเสร่อ ที่เป็นคนไทยแบบนึ้ก็โดดเด่นเลิศเลออยู่แล้ว พอใจในชาติพันธุ์ตัวเองบ้างก็ได้ ไม่น่าอายหรอก เอาจากเขามาใช้แค่พอเหมาะก็พอ
❥คนที่หลอกคนอื่นให้หลงเชื่อได้บ่อยๆ ใช่ว่าเขาฉลาดกว่าคนอื่นอย่างเดียว เขายังพ่วงตำแหน่งเลวกว่าคนอื่น
❥อย่าคิดกระทืบคนแย่ๆ คนเสื่อมๆ เพราะโมโหหรือสะใจ บอกตัวเองไว้ รองเท้าเราสวย ดี และแพง ไม่คุ้มจะเหยียบย่ำคนแบบนั้น
❥ไม่ว่าคุณจะสูงส่งมาจากไหน แต่จงปฏิบัติกับเพื่อนคุณแบบคนที่อยู่ระดับเดียวกัน
❥เวลาเราอัพสเตตัส เราล้วนหวังให้มีคนมาโต้ตอบ ไม่มีใครอยากพูดคนเดียว เราล้วนอยากรู้สึกว่ามีคนได้ยิน รับฟัง และตอบสนอง พร้อมจะเคียงข้างเรา แม้จะเป็นคำสั้นๆ ก็ยังดีกว่าปล่อยให้สเตตัสนั้นว่างเปล่า - สรุป จงหมั่นคอมเมนต์ หมั่นทักทาย หมั่น Like และติดตามเพื่อนสนิทของคุณ เชื่อเถอะ มันมีผลต่อมิตรภาพและความรู้สึกอย่างคาดไม่ถึงจริงๆ
❥กับคนบางคน เราไม่ได้หวังให้เขามาพูดมาคุยกับเรา แต่หวังให้เขาไม่หายไปไหน แค่อยู่ใกล้ๆ ให้เราเห็นก็พอ
❥รู้ตัวว่ามันไม่มีหวัง แต่ก็ยังแอบหวัง โกหกว่ามีหวัง แม้จะรู้ว่ามันเป็นความหวังลมๆ แล้งๆ ก็ตาม
❥อย่าหวังให้ฉันเป็นทุกสิ่งที่เธอต้องการ ยอมรับในตัวตนของฉันบ้าง ฉันอาจไม่ถูกใจเธอไปซะทุกอย่าง แต่ฉันเป็นคนรักของเธอ
❥กำลังใจไม่ว่าจะมาในรูปแบบคำพูด ตัวหนังสือ แววตา รอยยิ้ม หรือการสัมผัส ล้วนมีความหมายและยิ่งใหญ่เสมอ
❥คนบางคนรู้ว่าทำอะไรแล้วเราจะเจ็บจะไม่พอใจก็ยังจะทำ ถ้าต่อมสามัญสำนึกบกพร่อง ก็อย่าบอกว่ารักกันให้เปลืองน้ำลาย
❥บางคนเจ็บ เพราะมัวลากข้อความที่คนอื่นโพสมาโยงเข้าตัวเอง ทั้งที่เขาไม่ได้พูดอะไรถึงคุณเลย บ้าเจ็บ เจ็บเอง ก็สมควร
❥คนไม่มีใจ จะรั้งไว้ทำไมให้เสียเวลา เสียสุขภาพจิต เสียเกียรติ เสียศักดิศรี?
❥ถ้าก่อนหน้านี้เราเคยเคารพคุณ เคยทักคุณ เคยยิ้มให้คุณ แต่วันหนึ่งเราเมินเฉย ให้รู้ไว้เลย คุณทำอะไรบางอย่างผิดกับเรา
❥คุณไม่มีทางรู้ว่าพระเจ้าจะส่งให้คุณรักใคร คุณก็แค่ต้องรักและทำเพื่อเขาให้ดีที่สุด เพราะเวลาที่ได้อยู่ด้วยกันอาจสั้นเหลือเกิน
❥มีหลายค นสนใจคุณ เวลาต้องการความสุขจากคุณ แต่มีไม่กี่คนหรอก ที่สนใจคุณเวลาคุณเจอปัญหา รักษาเขาให้ดีๆ ล่ะ
❥กับบางคน เราก็แค่อยากคุย แค่อยากเห็น แค่อยากอยู่ใกล้ แต่ไม่ได้อยากจะจีบ เพราะรู้ตัว เจียมตัวว่าเป็นแฟนไม่ได้ จบ
❥อย่าสนสายตาคนว่าเขาจะมองมิตรภาพเราเป็นยังไง แค่เรามั่นใจ เชื่อใจ เหนียวแน่นกันเข้าไว้ แค่นั้นพอ
❥คนบางคนก็ดีแต่พูดถึงเราเสียๆ หายๆ ใส่ไฟให้เราดูเลวร้าย ที่น่าตลกคือ เราไม่เคยพูดถึงเขาเลย เพราะเขาไม่สำคัญ
❥เราอยู่ข้างเธอตลอดเวลาไม่ได้ แต่เมื่อไหร่ที่ไม่มีเราข้างกาย อย่าลืมว่าเราเคยอยู่ข้างกัน และมันจะเป็นอย่างนั้นตลอดไป
❥บางคนมีค่าและสำคัญกับเรา มากกว่าที่เขาจะรู้ตัว
❥ถึงการคุยกันผ่าน Social Network จะไม่เห็นหน้ากัน ไม่ได้ยินเสียงกัน แต่ความผูกพันธ์ที่เกิดขึ้นกับบางคน ก็มากมายจนบรรยายไม่ได้จริงๆ
❥บางคนไม่ใช่เพื่อน ไม่ใช่แฟน ไม่ใช่กิ๊ก แต่อยู่ฐานะพิเศษที่เราทำทุกอย่างเพื่อเขาได้ ยอมจะทุ่มเทเพื่อเขาโดยไม่มีเงื่อนไข และไม่ต้องการอะไรตอบแทน ไม่รู้ว่าเราคบเขาในฐานะอะไร แต่มันเป็นอะไรที่สุขใจจริง
❥ความสุขมหาศาล อาจเกิดจากการที่ได้อยู่ใกล้ใครบางคนเพียงเสี้ยวนาที จากการเห็นรอยยิ้มของเขาเพียงผ่านๆ หรือว่าได้ยินเสียงหัวเราะของเขา แม้เขากับเราจะไม่รู้จักกันเลยก็ตาม
❥ความสุขอาจเกิดขึ้นช่วงสั้นๆ แต่ความทรงจำถึงมันจะอยู่นานเท่านาน
❥แก่นสารไม่มี หาดีไม่ได้ อาร์ตเกินใครเข้าใจ แต่รักใครรักจริง
❥บางทีเจ็บ น้อยใจ แต่เรียกร้องไม่ได้ เพราะรู้ว่าพูดไป ก็ไม่สำคัญพอที่ใครจะฟังอยู่ดี
❥หมา คือ ตัวแทนของความรักที่ซื่อสัตย์ ดังนั้น คนรักที่ไม่ซื่อสัตย์ ก็ควรจะอายหมา
❥เราควรเลียนแบบสุนัขเรื่องความซื่อสัตย์ รักจริง ไม่พูดมาก แต่ไม่ควรเลียนแบบมันเรื่องเห่าหรือกัดใครมั่วๆ
❥ความรักไม่ใช่สินค้า บางทีให้รักไป ใช่ว่าจะได้รักกลับมา แต่ว่าสุขใจที่ได้ให้ไปก็พอ
❥ถูกคนรักทำร้ายจิตใจครั้งสองครั้งเราพออภัย แต่ถ้ามากไป วันหนึ่งเราหมดใจ ไม่เหลือเยื่อใย เราไม่ทน ก็อย่ามาโอดโอย
❥คนที่รักเราน้อยๆ หรือไม่ค่อยรักเรา ก็ยังดีกว่าคนที่แสร้งว่ารักเรา แต่จริงๆ ไม่ได้รักเราเลย
❥เวลาทะเลาะกัน ต่างฝ่ายก็ต่างขุดเรื่องแย่ๆ ของอีกฝ่ายมาแย้งกัน จนลืมว่าส่ิงดีๆ ที่มีให้กันมาตลอดมันมากมายขนาดไหน"
❥"แรง" ไม่ได้แปลว่า "ถ่อยหรือหยาบคาย" แต่หมายถึงการเป็นตัวเองและสามารถแสดงออกอย่างมั่นใจโดยไม่ระรานใครต่างหาก
❥คนบางคนเราลืมไม่ได้ แต่เราเลือกจะไม่ให้สำคัญกับเขาได้
❥รักของเรา ไม่ใช่รักของใคร คนอื่นไม่เข้าใจ แต่เราเข้าใจ แล้วใครจะทำไม?
❥มีความสุข แค่ได้เห็นว่าทวีตหรือสเตตัสของเขามีความสุข แม้เขาจะไม่รู้ว่าเรามีความสุข ที่ได้แอบมองเขาห่างๆ ก็ตาม
❥คนบางคน สมควรบอกเขา ว่าเรารักรัก แต่กับบางคน แม้จะรักแสนรัก ก็ไม่ควรบอกรัก เพราะคำว่ารัก อาจทำให้เราสูญเสียเขาไป
❥บาง คนเราไม่เคยรู้จัก บางคนไ่ม่แม้แต่จะสนิทสนม และไม่รู้เพราะอะไร เวลาได้อยู่ใกล้ๆ มันเขิน ทำตัวไม่ถูก ไม่กล้าสบตา ไม่รู้ว่าจะเอามือไม้ไปวางตรงไหน...เขาอาจไม่รู้ว่าเราเป็นใคร แต่เรารู้ว่าเขาคือคนที่ใช่....แม้จะฟุ้งซ่านไปเองคนเดียวก็เถอะ
❥ไม่ว่าคุณจะสูงส่งมาจากไหน แต่จงปฏิบัติกับเพื่อนคุณแบบคนที่อยู่ระดับเดียวกัน
❥อยากเป็นมากกว่าเพื่อนกัน แต่ก็รู้หากตัวฉันพูดมันออกไป ฉันอาจเสียใจ อาจต้องเสียเธอไป
❥ทำเมินเฉยไม่ใช่ว่าหมางเมิน บังเอิญเขินจนไม่กล้าสบตาก็แค่นั้น
❥คุณจะเลือกโดดเด่นท่ามกลางคนมากมาย หรือ เลือกจะใกล้ชิดกับเพื่อนไม่กี่สิบ เพื่อรักษาความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับเพื่อน
❥บ่อยครั้งที่แสดงตัวว่า โอเค ทั้งที่จริง เราไม่โอเคเลย
❥แฟน เขา ไม่ใช่แฟนเรา แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะแอบมองแฟนเขา และแอบรู้สึกดีๆ กับแฟนเขาไม่ได้ เขาเรียกว่าแอบ Share สิ่งดีๆ ทางใจ ถ้าไม่สัมผัสกาย ไม่ถลำลึกเกินไป ไม่เป็นไรหรอก
❥ทุกคนล้วนมีคำถาม แต่มารยาทและสามัญสำนึกจะสอนเราว่า อะไรควรถาม และอะไรไม่ควรถาม
❥ความเจ็บนึ้ไม่มีเสียง เรียกร้องไม่ได้ เพราะไม่สำคัญพอที่ใครจะรับฟัง เป็นได้แค่คนที่ทุ่มเทลับหลัง และมันก็แค่นั้น..
❥ถ้าไม่มีดี แล้วอวดดี คือไม่รู้จักตัวเองดี - ถ้ามีดี แล้วอวดดี คือโ.ง่สิ้นดี - จะมีดี หรือไม่มีดี ถ้าไม่อวดดี จะได้ดี
❥หยุดด่าคนที่เรียนไม่เก่ง หรือ คนที่ทำอะไรไม่ถูกใจคุณว่าโ.ง่ เพราะคนฉลาดจะไม่พ่นคำว่าโ.ง่ใส่คนอื่น
❥คำว่า ขอโทษ พูดง่ายๆ พูดแล้วไม่ตาย แค่บางคนอาจตายไปจากใจเราง่ายๆ เพียงเพราะไม่พูดคำว่า ขอโทษ
❥ความรักไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าคนสองคนเหมือนหรือต่างกันแค่ไหน แต่ขี้นอยู่กับว่าทั้งสองคนปรับตัวเข้ากันได้ดีเพียงใด
❥ชีวิต อาจไม่เป็นอย่างที่คุณคิด แต่ชีวิต จะเป็นอย่างที่คุณทำ
ขอขอบคุณผู้รวบรวมข้อคิดดีๆ
❥ใครจะทอดทิ้งเราก็ช่างหัวมัน แต่คนที่เรียกว่าเพื่อนสนิท เพื่อนซี้อย่าทิ้งเรา แค่นั้นพอ
❥เพื่อนที่ดี เมื่อเห็นเราผิดปกติ มีปัญหา เศร้า เขาจะถามว่า เป็นอะไรหรือเปล่า ถ้าเพื่อนไม่ดี มันก็จะแค่มองผ่าน
❥บางทีเจ็บ น้อยใจ แต่เรียกร้องไม่ได้ เพราะรู้ว่าพูดไป ก็ไม่สำคัญพอที่ใครจะฟังอยู่ดี
❥คน บางคนสามารถทำร้ายหรือทำเรื่องเลวๆ กับคนอื่น แต่พอโดนเรื่องร้ายๆ ในชีิวิตกลับโวยวายจะเป็นจะตาย สิ่งที่เราทำได้คือนั่งเท้าคาง จ้องมอง หรี่ตา ส่งเสียงฮึฮึ และบอกว่า 'สมควร
❥การที่ฉันไม่ยอมเธอตลอด ใช่ว่าฉันผยองเย่อหยิ่ง ฉันแค่คิดเป็น และแยกว่าตอนไหนควรยอมหรือไม่ควร
❥บางทีเราก็สำคัญตัวเองผิดไป เราอาจไม่ได้สำคัญอะไรกับใคร อย่างที่เราคิด เขาไม่ผิด เราผิดเอง
❥คุณควรจะรู้ตัวว่าใครที่คุณงอนได้ น้อยใจได้ โกรธได้ เพราะบางคนก็ไม่ได้แคร์หรอกว่าคุณจะคิดยังไง อย่าสำคัญตัวเองผิด
❥อยากจะทำร้ายเธอแบบที่เธอทำร้ายฉัน แต่จิตใจฉันไม่ต่ำแบบนั้น ฉันเลียนแบบคุณสมบัตินี้ของเธอไม่ได้จริงๆ
❥บางคนก็ดีแต่แหกปากด่าว่าคนอื่นเรื่อยไป ไม่เคยมีใครดีในสายตาเขา อาจเพราะตัวเขาเองก็หาดีอะไรไม่ได้เลย
❥บางครั้งการตอบโต้โดยการไม่สนใจ ไม่ใส่ใจ ก็เป็นการโต้ตอบที่โหดร้ายและถึงใจที่สุด
❥บาง ทีเวลาถูกเพื่อนทำร้ายความรู้สึก เราก็อยากจะทำร้ายเขากลับไปบ้าง แต่ก็ทำไม่ได้ ไม่ใช่เพราะเราไม่กล้าหาญ แค่รู้สึกว่าตัวเองหน้า.ด้านไม่พอ
❥บนทางสู่ความสำเร็จมักเต็มไปด้วยพวกจิตบกพร่อง 'จ้อง' ทำร้าย อย่าท้อ อย่ากลัว เดินหน้าต่อไป เพราะเมื่อคุณถึงจุดหมาย คนเหล่านั้นก็ทำได้แค่ 'จ้อง' คุณ อยู่ดี"
❥อย่าด่าใครด้วยคำหยาบ จงใช้คำสุภาพ ที่นิ่มนวล บาดลึก ให้เขาเจ็บ ให้จำ และไม่ลืมจนตายก็พอ
❥จงหมั่นทักทาย กด like และคอมเมนต์เพื่อนสนิท อย่าให้เขาติดตามคุณฝ่ายเดียว เพราะคุณอาจเสียเพื่อนไปโดยไม่รู้ตัว
❥บางครั้งการทำตามต่างชาติมากไป แทนที่จะดูอินเตอร์ กลับยิ่งดูพยายามและเสร่อ ที่เป็นคนไทยแบบนึ้ก็โดดเด่นเลิศเลออยู่แล้ว พอใจในชาติพันธุ์ตัวเองบ้างก็ได้ ไม่น่าอายหรอก เอาจากเขามาใช้แค่พอเหมาะก็พอ
❥คนที่หลอกคนอื่นให้หลงเชื่อได้บ่อยๆ ใช่ว่าเขาฉลาดกว่าคนอื่นอย่างเดียว เขายังพ่วงตำแหน่งเลวกว่าคนอื่น
❥อย่าคิดกระทืบคนแย่ๆ คนเสื่อมๆ เพราะโมโหหรือสะใจ บอกตัวเองไว้ รองเท้าเราสวย ดี และแพง ไม่คุ้มจะเหยียบย่ำคนแบบนั้น
❥ไม่ว่าคุณจะสูงส่งมาจากไหน แต่จงปฏิบัติกับเพื่อนคุณแบบคนที่อยู่ระดับเดียวกัน
❥เวลาเราอัพสเตตัส เราล้วนหวังให้มีคนมาโต้ตอบ ไม่มีใครอยากพูดคนเดียว เราล้วนอยากรู้สึกว่ามีคนได้ยิน รับฟัง และตอบสนอง พร้อมจะเคียงข้างเรา แม้จะเป็นคำสั้นๆ ก็ยังดีกว่าปล่อยให้สเตตัสนั้นว่างเปล่า - สรุป จงหมั่นคอมเมนต์ หมั่นทักทาย หมั่น Like และติดตามเพื่อนสนิทของคุณ เชื่อเถอะ มันมีผลต่อมิตรภาพและความรู้สึกอย่างคาดไม่ถึงจริงๆ
❥กับคนบางคน เราไม่ได้หวังให้เขามาพูดมาคุยกับเรา แต่หวังให้เขาไม่หายไปไหน แค่อยู่ใกล้ๆ ให้เราเห็นก็พอ
❥รู้ตัวว่ามันไม่มีหวัง แต่ก็ยังแอบหวัง โกหกว่ามีหวัง แม้จะรู้ว่ามันเป็นความหวังลมๆ แล้งๆ ก็ตาม
❥อย่าหวังให้ฉันเป็นทุกสิ่งที่เธอต้องการ ยอมรับในตัวตนของฉันบ้าง ฉันอาจไม่ถูกใจเธอไปซะทุกอย่าง แต่ฉันเป็นคนรักของเธอ
❥กำลังใจไม่ว่าจะมาในรูปแบบคำพูด ตัวหนังสือ แววตา รอยยิ้ม หรือการสัมผัส ล้วนมีความหมายและยิ่งใหญ่เสมอ
❥คนบางคนรู้ว่าทำอะไรแล้วเราจะเจ็บจะไม่พอใจก็ยังจะทำ ถ้าต่อมสามัญสำนึกบกพร่อง ก็อย่าบอกว่ารักกันให้เปลืองน้ำลาย
❥บางคนเจ็บ เพราะมัวลากข้อความที่คนอื่นโพสมาโยงเข้าตัวเอง ทั้งที่เขาไม่ได้พูดอะไรถึงคุณเลย บ้าเจ็บ เจ็บเอง ก็สมควร
❥คนไม่มีใจ จะรั้งไว้ทำไมให้เสียเวลา เสียสุขภาพจิต เสียเกียรติ เสียศักดิศรี?
❥ถ้าก่อนหน้านี้เราเคยเคารพคุณ เคยทักคุณ เคยยิ้มให้คุณ แต่วันหนึ่งเราเมินเฉย ให้รู้ไว้เลย คุณทำอะไรบางอย่างผิดกับเรา
❥คุณไม่มีทางรู้ว่าพระเจ้าจะส่งให้คุณรักใคร คุณก็แค่ต้องรักและทำเพื่อเขาให้ดีที่สุด เพราะเวลาที่ได้อยู่ด้วยกันอาจสั้นเหลือเกิน
❥มีหลายค นสนใจคุณ เวลาต้องการความสุขจากคุณ แต่มีไม่กี่คนหรอก ที่สนใจคุณเวลาคุณเจอปัญหา รักษาเขาให้ดีๆ ล่ะ
❥กับบางคน เราก็แค่อยากคุย แค่อยากเห็น แค่อยากอยู่ใกล้ แต่ไม่ได้อยากจะจีบ เพราะรู้ตัว เจียมตัวว่าเป็นแฟนไม่ได้ จบ
❥อย่าสนสายตาคนว่าเขาจะมองมิตรภาพเราเป็นยังไง แค่เรามั่นใจ เชื่อใจ เหนียวแน่นกันเข้าไว้ แค่นั้นพอ
❥คนบางคนก็ดีแต่พูดถึงเราเสียๆ หายๆ ใส่ไฟให้เราดูเลวร้าย ที่น่าตลกคือ เราไม่เคยพูดถึงเขาเลย เพราะเขาไม่สำคัญ
❥เราอยู่ข้างเธอตลอดเวลาไม่ได้ แต่เมื่อไหร่ที่ไม่มีเราข้างกาย อย่าลืมว่าเราเคยอยู่ข้างกัน และมันจะเป็นอย่างนั้นตลอดไป
❥บางคนมีค่าและสำคัญกับเรา มากกว่าที่เขาจะรู้ตัว
❥ถึงการคุยกันผ่าน Social Network จะไม่เห็นหน้ากัน ไม่ได้ยินเสียงกัน แต่ความผูกพันธ์ที่เกิดขึ้นกับบางคน ก็มากมายจนบรรยายไม่ได้จริงๆ
❥บางคนไม่ใช่เพื่อน ไม่ใช่แฟน ไม่ใช่กิ๊ก แต่อยู่ฐานะพิเศษที่เราทำทุกอย่างเพื่อเขาได้ ยอมจะทุ่มเทเพื่อเขาโดยไม่มีเงื่อนไข และไม่ต้องการอะไรตอบแทน ไม่รู้ว่าเราคบเขาในฐานะอะไร แต่มันเป็นอะไรที่สุขใจจริง
❥ความสุขมหาศาล อาจเกิดจากการที่ได้อยู่ใกล้ใครบางคนเพียงเสี้ยวนาที จากการเห็นรอยยิ้มของเขาเพียงผ่านๆ หรือว่าได้ยินเสียงหัวเราะของเขา แม้เขากับเราจะไม่รู้จักกันเลยก็ตาม
❥ความสุขอาจเกิดขึ้นช่วงสั้นๆ แต่ความทรงจำถึงมันจะอยู่นานเท่านาน
❥แก่นสารไม่มี หาดีไม่ได้ อาร์ตเกินใครเข้าใจ แต่รักใครรักจริง
❥บางทีเจ็บ น้อยใจ แต่เรียกร้องไม่ได้ เพราะรู้ว่าพูดไป ก็ไม่สำคัญพอที่ใครจะฟังอยู่ดี
❥หมา คือ ตัวแทนของความรักที่ซื่อสัตย์ ดังนั้น คนรักที่ไม่ซื่อสัตย์ ก็ควรจะอายหมา
❥เราควรเลียนแบบสุนัขเรื่องความซื่อสัตย์ รักจริง ไม่พูดมาก แต่ไม่ควรเลียนแบบมันเรื่องเห่าหรือกัดใครมั่วๆ
❥ความรักไม่ใช่สินค้า บางทีให้รักไป ใช่ว่าจะได้รักกลับมา แต่ว่าสุขใจที่ได้ให้ไปก็พอ
❥ถูกคนรักทำร้ายจิตใจครั้งสองครั้งเราพออภัย แต่ถ้ามากไป วันหนึ่งเราหมดใจ ไม่เหลือเยื่อใย เราไม่ทน ก็อย่ามาโอดโอย
❥คนที่รักเราน้อยๆ หรือไม่ค่อยรักเรา ก็ยังดีกว่าคนที่แสร้งว่ารักเรา แต่จริงๆ ไม่ได้รักเราเลย
❥เวลาทะเลาะกัน ต่างฝ่ายก็ต่างขุดเรื่องแย่ๆ ของอีกฝ่ายมาแย้งกัน จนลืมว่าส่ิงดีๆ ที่มีให้กันมาตลอดมันมากมายขนาดไหน"
❥"แรง" ไม่ได้แปลว่า "ถ่อยหรือหยาบคาย" แต่หมายถึงการเป็นตัวเองและสามารถแสดงออกอย่างมั่นใจโดยไม่ระรานใครต่างหาก
❥คนบางคนเราลืมไม่ได้ แต่เราเลือกจะไม่ให้สำคัญกับเขาได้
❥รักของเรา ไม่ใช่รักของใคร คนอื่นไม่เข้าใจ แต่เราเข้าใจ แล้วใครจะทำไม?
❥มีความสุข แค่ได้เห็นว่าทวีตหรือสเตตัสของเขามีความสุข แม้เขาจะไม่รู้ว่าเรามีความสุข ที่ได้แอบมองเขาห่างๆ ก็ตาม
❥คนบางคน สมควรบอกเขา ว่าเรารักรัก แต่กับบางคน แม้จะรักแสนรัก ก็ไม่ควรบอกรัก เพราะคำว่ารัก อาจทำให้เราสูญเสียเขาไป
❥บาง คนเราไม่เคยรู้จัก บางคนไ่ม่แม้แต่จะสนิทสนม และไม่รู้เพราะอะไร เวลาได้อยู่ใกล้ๆ มันเขิน ทำตัวไม่ถูก ไม่กล้าสบตา ไม่รู้ว่าจะเอามือไม้ไปวางตรงไหน...เขาอาจไม่รู้ว่าเราเป็นใคร แต่เรารู้ว่าเขาคือคนที่ใช่....แม้จะฟุ้งซ่านไปเองคนเดียวก็เถอะ
❥ไม่ว่าคุณจะสูงส่งมาจากไหน แต่จงปฏิบัติกับเพื่อนคุณแบบคนที่อยู่ระดับเดียวกัน
❥อยากเป็นมากกว่าเพื่อนกัน แต่ก็รู้หากตัวฉันพูดมันออกไป ฉันอาจเสียใจ อาจต้องเสียเธอไป
❥ทำเมินเฉยไม่ใช่ว่าหมางเมิน บังเอิญเขินจนไม่กล้าสบตาก็แค่นั้น
❥คุณจะเลือกโดดเด่นท่ามกลางคนมากมาย หรือ เลือกจะใกล้ชิดกับเพื่อนไม่กี่สิบ เพื่อรักษาความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับเพื่อน
❥บ่อยครั้งที่แสดงตัวว่า โอเค ทั้งที่จริง เราไม่โอเคเลย
❥แฟน เขา ไม่ใช่แฟนเรา แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะแอบมองแฟนเขา และแอบรู้สึกดีๆ กับแฟนเขาไม่ได้ เขาเรียกว่าแอบ Share สิ่งดีๆ ทางใจ ถ้าไม่สัมผัสกาย ไม่ถลำลึกเกินไป ไม่เป็นไรหรอก
❥ทุกคนล้วนมีคำถาม แต่มารยาทและสามัญสำนึกจะสอนเราว่า อะไรควรถาม และอะไรไม่ควรถาม
❥ความเจ็บนึ้ไม่มีเสียง เรียกร้องไม่ได้ เพราะไม่สำคัญพอที่ใครจะรับฟัง เป็นได้แค่คนที่ทุ่มเทลับหลัง และมันก็แค่นั้น..
❥ถ้าไม่มีดี แล้วอวดดี คือไม่รู้จักตัวเองดี - ถ้ามีดี แล้วอวดดี คือโ.ง่สิ้นดี - จะมีดี หรือไม่มีดี ถ้าไม่อวดดี จะได้ดี
❥หยุดด่าคนที่เรียนไม่เก่ง หรือ คนที่ทำอะไรไม่ถูกใจคุณว่าโ.ง่ เพราะคนฉลาดจะไม่พ่นคำว่าโ.ง่ใส่คนอื่น
❥คำว่า ขอโทษ พูดง่ายๆ พูดแล้วไม่ตาย แค่บางคนอาจตายไปจากใจเราง่ายๆ เพียงเพราะไม่พูดคำว่า ขอโทษ
❥ความรักไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าคนสองคนเหมือนหรือต่างกันแค่ไหน แต่ขี้นอยู่กับว่าทั้งสองคนปรับตัวเข้ากันได้ดีเพียงใด
❥ชีวิต อาจไม่เป็นอย่างที่คุณคิด แต่ชีวิต จะเป็นอย่างที่คุณทำ
ขอขอบคุณผู้รวบรวมข้อคิดดีๆ
การใช้ใบมันสำปะหลังให้ไก่กิน
การใช้ใบมันสำปะหลังให้ไก่กิน เพื่อเสริมโปรตีน ต้องนำใบมันสำปะหลังมาสับเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วตากแดดให้แห้งก่อน เพื่อลดสารพิษและเก็บไว้ใช้ได้นาน
จาก SMS FarmerInfo - DTAC - 26 ก.ค.2554 - 11.14 น.
จาก SMS FarmerInfo - DTAC - 26 ก.ค.2554 - 11.14 น.
การหิ้วหูกระต่าย เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ
การหิ้วหูกระต่าย เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ เพราะบริเวณหูมีเส้นเลืิอดเยอะมาก หากไปหิ้วหูจะทำให้เส้นเลือดบริเวณนั้น ฉีดขาด หูจะช้ำ
จาก SMS FarmerInfo - DTAC - 30 ก.ค.2554 - 13.17 น.
จาก SMS FarmerInfo - DTAC - 30 ก.ค.2554 - 13.17 น.
ว่านสาวหลง
ว่านสาวหลง เหมาะต่อการปลูกในดินทรายไหล นำมาแปรรูปขายได้ราคา
จาก SMS FarmerInfo - DTAC - 30 ก.ค.2554 - 11.15 น.
จาก SMS FarmerInfo - DTAC - 30 ก.ค.2554 - 11.15 น.
ว่านสาวหลง
ว่านสาวหลง เหมาะต่อการปลูกในดินทรายไหล นำมาแปรรูปขายได้ราคา
จาก SMS FarmerInfo - DTAC - 30 ก.ค.2554 - 11.15 น.
จาก SMS FarmerInfo - DTAC - 30 ก.ค.2554 - 11.15 น.
ความสุขที่ปลายจมูก พระไพศาล วิสาโล
ความสุขที่ปลายจมูก
พระไพศาล วิสาโล
พิมพ์ครั้งที่ ๑ :
กรกฏาคม ๒๕๕๓
เรียบเรียงโดย :
พระไพศาล วิสาโล
รูปเล่ม/ปก :
วทัญญู พรอัมรา
จัดทำาโดย :
เครือข่ายพุทธิกา
๔๕/๔ ซ.อรุณอมรินทร์ ๓๙
แขวงอรุณอมรินทร์ เขตบางกอกน้อย
กรุงเทพฯ ๑๐๗๐๐
โทรศัพท์ : ๐๒-๘๘๒-๕๐๔๓
๐๒-๘๘๒-๔๓๘๗, ๐๘๖-๓๐๐๕๔๕๘
โทรสาร : ๐๒-๘๘๒-๕๐๔๓
อีเมล์ : b_netmail@yahoo.com
เว็บไซต์: http://www.budnet.org
สนใจสนับสนุนการพิมพ์เผยแพร่ โปรดติดต่อเครือข่ายพุทธิกา
Page 2
ค�าน�า
ใคร ๆ ก็ต้องการความสุข และพยายามท�า
ทุกอย่างเพื่อไขว่คว้าหาความสุข แต่แล้วคนส่วนใหญ่
กลับไม่พบสิ่งที่ต้องการ ยิ่งดิ้นรนแสวงหา ก็ยิ่งเป็น
ทุกข์มากขึ้น
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะผู้คนมักเข้าใจว่าความสุข
นั้นอยู่นอกตัว แต่แท้จริงแล้ว ความสุขมิได้อยู่ไกลตัว
และมิใช่สิ่งที่ต้องแสวงหา ความสุขที่แท้นั้นอยู่กับเรา
แล้วทุกขณะ และตามเราไปทุกหนแห่ง แต่เรามอง
ไม่เห็นเองเพราะมันอยู่ใกล้อย่างยิ่ง ไม่ต่างจากปลาย
จมูกที่มักถูกมองข้าม
เพียงแค่รู้จักชื่นชมสิ่งดี ๆ ที่เรามีอยู่ ก็จะ
สุขได้ไม่ยาก หากพอใจในสิ่งที่มี ยินดีในสิ่งที่ได้ และ
ภูมิใจในสิ่งที่เป็น ก็จะแย้มยิ้มเบิกบานได้ตลอดเวลา
ยิ่งได้ท�าความดี เอื้อเฟื้อเกื้อกูลผู้อื่น รวมทั้งได้สัมผัส
กับความสงบเย็นภายใน ก็จะพบว่าความสุขที่แท้นั้น
อยู่กลางใจเรานี้เอง
หนังสือเล่มเล็กๆ นี้ประกอบด้วยสามบทความ
แม้เคยตีพิมพ์มาก่อนแล้ว แต่เชื่อว่าการน�ามารวม
พิมพ์ใหม่จะช่วยให้ผู้อ่านรู้จักกับความสุขที่มีอยู่คู่กับ
ลมหายใจของตนมาช้านานแล้ว ได้มากขึ้น
พระไพศาล วิสาโล
๒๑ กรกฏาคม ๒๕๕๓
Page 3
สารบัญ
ความสุขที่ถูกมองข้าม
๑
ความสุขที่แท้
๑๐
ชีวิตพอเพียง
๒๖
Page 4
Page 5
1
พระไพศาล วิสาโล
ความสุขที่ถูกมองข้าม
คุณเป็นคนหนึ่งหรือไม่ที่เชื่อว่า ยิ่งมีเงิน
ทองมากเท่าไร ก็ยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น ความ
เชื่อดังกล่าวดูเผินๆ ก็น่าจะถูกต้องโดยไม่ต้องเสีย
เวลาพิสูจน์ แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ประเทศไทยน่า
จะมีคนป่วยด้วยโรคจิตน้อยลง มิใช่เพิ่มมากขึ้น
ทั้งๆ ที่รายได้ของคนไทยสูงขึ้นทุกปี ในท�านอง
เดียวกันผู้จัดการก็น่าจะมีความสุขมากกว่า
พนักงานระดับล่างๆ เนื่องจากมีเงินเดือนมากกว่า
แต่ความจริงมิได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป
Page 6
2
ความสุขที่ปลายจมูก
หลายปีก่อนมหาเศรษฐีคนหนึ่งของไทยได้
ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ว่า เขารู้สึกเบื่อหน่าย
กับชีวิต เขาพูดถึงตัวเองว่า “ชีวิต(ของผม)เริ่ม
หมดค่าทางธุรกิจ” ลึกลงไปกว่านั้นเขายังรู้สึกว่า
ตัวเองไม่มีความหมาย เขาเคยพูดว่า “ผมจะมี
ความหมายอะไร ก็เป็นแค่...มหาเศรษฐีหมื่นล้าน
คนหนึ่ง”
เมื่อเงินหมื่นล้านไม่ท�าให้มีความสุข เขา
จึงอยู่เฉยไม่ได้ ในที่สุดวิ่งเต้นจนได้เป็นรัฐมนตรี
ขณะที่เศรษฐีหมื่นล้านคนอื่น ๆ ยังคงมุ่งหน้า
หาเงินต่อไป ด้วยความหวังว่าถ้าเป็นเศรษฐีแสน
ล้านจะมีความสุขมากกว่านี้ ค�าถามก็คือ เขาจะ
มีความสุขเพิ่มขึ้นจริงหรือ ?
ค�าถามข้างต้นคงมีประโยชน์ไม่มากนัก
ส�าหรับคนทั่วไป เพราะชาตินี้คงไม่มีวาสนาแม้แต่
จะเป็นเศรษฐีร้อยล้านด้วยซ�้า แต่อย่างน้อยก็คง
ตอบค�าถามที่อยู่ในใจของคนจ�านวนไม่น้อยได้
บ้างว่า ท�าไมอัครมหาเศรษฐีทั้งหลาย รวมทั้ง
บิล เกตส์ จึงไม่หยุดหาเงินเสียที ทั้งๆ ที่มีสมบัติ
มหาศาล ขนาดนั่งกินนอนกินไป ๗ ชาติก็ยัง
ไม่หมด
Page 7
3
พระไพศาล วิสาโล
แต่ถ้าเราอยากจะค้นพบค�าตอบให้มาก
กว่านี้ ก็น่าจะย้อนถามตัวเองด้วยว่า ท�าไมถึง
ไม่หยุดซื้อแผ่นซีดีเสียทีทั้ง ๆ ที่มีอยู่แล้วนับ
หมื่นแผ่น ท�าไมถึงไม่หยุดซื้อเสื้อผ้าเสียทีทั้งๆ ที่
มีอยู่แล้วเกือบพันตัว ท�าไมถึงไม่หยุดซื้อรองเท้า
เสียทีทั้งๆ ที่มีอยู่แล้วนับร้อยคู่
แผ่นซีดีที่มีอยู่มากมายนั้น บางคนฟังทั้ง
ชาติก็ยังไม่หมด ในท�านองเดียวกัน เสื้อผ้า หรือ
รองเท้า ที่มีอยู่มากมายนั้น บางคนก็เอามาใส่ไม่
ครบทุกตัวหรือทุกคู่ด้วยซ�้า มีหลายตัวหลายคู่ที่
ซื้อมาโดยไม่ได้ใช้เลย แต่ท�าไมเราถึงยังอยากจะ
ได้อีกไม่หยุดหย่อน
Page 8
4
ความสุขที่ปลายจมูก
ใช่หรือไม่ว่า สิ่งที่เรามีอยู่แล้วในมือนั้นไม่
ท�าให้เรามีความสุขได้มากกว่าสิ่งที่ได้มาใหม่ มี
เสื้อผ้าอยู่แล้วนับร้อยก็ไม่ท�าให้จิตใจเบ่งบานได้
เท่ากับเสื้อ ๑ ตัวที่ได้มาใหม่ มีซีดีอยู่แล้วนับ
พันก็ไม่ท�าให้รู้สึกตื่นเต้นได้เท่ากับซีดี ๑ แผ่นที่
ได้มาใหม่ ในท�านองเดียวกันมีเงินนับร้อยล้าน
ในธนาคารก็ไม่ท�าให้รู้สึกปลาบปลื้มใจเท่ากับเมื่อ
ได้มาใหม่อีก ๑ ล้าน
พูดอีกอย่างก็คือ คนเรานั้นมักมีความสุข
จากการได้ มากกว่าความสุขจากการมี มีเท่าไร
ก็ยังอยากจะได้มาใหม่ เพราะเรามักคิดว่าของ
ใหม่จะให้ความสุขแก่เราได้มากกว่าสิ่งที่มีอยู่เดิม
บ่อยครั้งของที่ได้มาใหม่นั้นก็เหมือนกับของเดิม
ไม่ผิดเพี้ยน แต่เพียงเพราะว่ามันเป็นของใหม่ ก็
ท�าให้เราดีใจแล้วที่ได้มา
จะว่าไปนี่อาจเป็นสัญชาตญาณที่มีอยู่กับ
สัตว์หลายชนิดไม่เฉพาะแต่มนุษย์เท่านั้น ถ้าโยน
น่องไก่ให้หมา หมาก็จะวิ่งไปคาบ แต่ถ้าโยนน่อง
ไก่ชิ้นใหม่ไปให้ มันจะรีบคายของเก่าและคาบชิ้น
ใหม่แทน ทั้งๆ ที่ทั้งสองชิ้นก็มีขนาดเท่ากัน ไม่ว่า
หมาตัวไหนก็ตาม ของเก่าที่มีอยู่ในปากไม่น่า
สนใจเท่ากับของใหม่ที่ได้มา
Page 9
5
พระไพศาล วิสาโล
ถ้าหากว่าของใหม่ให้ความสุขได้มากกว่า
ของเก่าจริงๆ เรื่องก็น่าจะจบลงด้วยดี แต่ปัญหา
ก็คือของใหม่นั้นไม่นานก็กลายเป็นของเก่า และ
ความสุขที่ได้มานั้นในที่สุดก็จางหายไป ผลก็คือ
กลับมารู้สึก “เฉยๆ” เหมือนเดิม และดังนั้น
จึงต้องไล่ล่าหาของใหม่มาอีก เพื่อหวังจะให้มี
ความสุขมากกว่าเดิม แต่แล้วก็วกกลับมาสู่จุดเดิม
เป็นเช่นนี้ไม่รู้จบ น่าคิดว่าชีวิตเช่นนี้จะมีความสุข
จริงหรือ ? เพราะไล่ล่าแต่ละครั้งก็ต้องเหนื่อย
ไหนจะต้องขวนขวายหาเงินหาทอง ไหนจะต้อง
แข่งกับผู้อื่นเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ ครั้นได้
มาแล้วก็ต้องรักษาเอาไว้ให้ได้ ไม่ให้ใครมาแย่งไป
Page 10
6
ความสุขที่ปลายจมูก
แถมยังต้องเปลืองสมองหาเรื่องใช้มันเพื่อให้รู้สึก
คุ้มค่า ยิ่งมีมากชิ้นก็ยิ่งต้องเสียเวลาในการเลือก
ว่าจะใช้อันไหนก่อน ท�านองเดียวกับคนที่มีเงิน
มากๆ ก็ต้องยุ่งยากกับการตัดสินใจว่าจะไปเที่ยว
ลอนดอน นิวยอร์ค เวกัส โตเกียว มาเก๊า หรือ
ซิดนีย์ดี
ถ้าเราเพียงแต่รู้จักแสวงหาความสุขจาก
สิ่งที่มีอยู่แล้ว ชีวิตจะยุ่งยากน้อยลงและโปร่งเบา
มากขึ้น อันที่จริงความพอใจในสิ่งที่เรามีนั้นไม่ใช่
เรื่องยาก แต่ที่เป็นปัญหาก็เพราะเราชอบมองออก
ไปนอกตัว และเอาสิ่งใหม่มาเทียบกับของที่เรา
Page 11
7
พระไพศาล วิสาโล
มีอยู่ หาไม่ก็เอาตัวเองไปเปรียบ
เทียบกับคนอื่น เมื่อเห็นเขามี
ของใหม่ ก็อยากมีบ้าง คงไม่มี
อะไรที่จะท�าให้เราทุกข์ได้บ่อยครั้ง
เท่ากับการชอบเปรียบเทียบตัวเอง
กับคนอื่น การเปรียบเทียบจึงเป็น
หนทางลัดไปสู่ความทุกข์ที่ใครๆ ก็นิยมใช้กัน
นิสัยชอบเปรียบเทียบกับคนอื่น ท�าให้เรา
ไม่เคยมีความพอใจในสิ่งที่ตนมีเสียที แม้มีแฟน
ที่ดี ก็ยังไม่พอใจ เพราะรู้สึกว่าแฟนของคนอื่น
สวยกว่า หล่อกว่า หรือเอาใจเก่งกว่า แม้มีลูกที่
น่ารัก ก็ยังไม่พอใจเพราะรู้สึกว่าสู้ลูกของคนอื่น
ไม่ได้ แม้จะมีหน้าตาดี ก็ยังรู้สึกว่าตัวเองไม่
สวย เพราะไปเปรียบเทียบตัวเองกับดาราหรือ
พรีเซนเตอร์ในหนังโฆษณา
การมองแบบนี้ท�าให้ “ขาดทุน” สองสถาน
คือนอกจากจะไม่มีความสุขกับสิ่งที่มีอยู่แล้ว ยัง
เป็นทุกข์เพราะไม่ได้สิ่งที่อยาก พูดอีกอย่างคือ
ไม่มีความสุขกับปัจจุบัน แถมยังเป็นทุกข์เพราะ
อนาคตที่พึงปรารถนายังมาไม่ถึง ไม่มีอะไรที่
เป็นอุทาหรณ์สอนใจได้ดีเท่ากับนิทานอีสปเรื่อง
Page 12
8
ความสุขที่ปลายจมูก
หมาคาบเนื้อ คงจ�าได้ว่า มีหมาตัวหนึ่งได้เนื้อชิ้น
ใหญ่มา ขณะที่ก�าลังเดินข้ามสะพาน มันมอง
ลงมาที่ล�าธาร เห็นเงาของหมาตัวหนึ่ง (ซึ่งก็คือ
ตัวมันเอง) ก�าลังคาบเนื้อชิ้นใหญ่ เนื้อชิ้นนั้นดู
ใหญ่กว่าชิ้นที่มันก�าลังคาบเสียอีก ด้วยความโลภ
(และหลง) มันจึงคายเนื้อที่คาบอยู่ เพื่อจะไปคาบ
ชิ้นเนื้อที่เห็นในน�้า ผลก็คือเมื่อเนื้อตกน�้า ชิ้นเนื้อ
ในน�้าก็หายไป มันจึงสูญทั้งเนื้อที่คาบอยู่และเนื้อที่
เห็นในน�้า
บ่อเกิดแห่งความสุขมีอยู่กับเราทุกคนใน
ขณะนี้อยู่แล้ว เพียงแต่เรามองข้ามไปหรือไม่รู้จัก
ใช้เท่านั้น เมื่อใดที่เรามีความทุกข์ แทนที่จะมอง
หาสิ่งนอกตัว ลองพิจารณาสิ่งที่เรามีอยู่และเป็น
อยู่ ไม่ว่า มิตรภาพ ครอบครัว สุขภาพ ทรัพย์สิน
รวมทั้งจิตใจของเรา ล้วนสามารถบันดาลความสุข
ให้แก่เราได้ทั้งนั้น ขอเพียงแต่เรารู้จักชื่นชม รู้จัก
มอง และจัดการอย่างถูกต้องเท่านั้น
แทนที่จะแสวงหาแต่ความสุขจากการได้
ลองหันมาแสวงหาความสุขจากการ มี หรือจาก
สิ่งที่ มี ขั้นต่อไปคือการแสวงหาความสุขจากการ
ให้ กล่าวคือยิ่งให้ความสุข ก็ยิ่งได้รับความสุข
Page 13
9
พระไพศาล วิสาโล
สุขเพราะเห็นน�้าตาของผู้อื่นเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม
และสุขเพราะภาคภูมิใจที่ได้ท�าความดีและท�าให้
ชีวิตมีความหมาย จากจุดนั้นแหละก็ไม่ยากที่เรา
จะค้นพบความสุขจากการ ไม่มี นั่นคือสุขจาก
การปล่อยวาง ไม่ยึดถือในสิ่งที่มี และเพราะเหตุ
นั้น แม้ไม่มีหรือสูญเสียไป ก็ยังเป็นสุขอยู่ได้
เกิดมาทั้งที น่าจะมีโอกาสได้สัมผัสกับ
ความสุขจากการ ให้ และ การ ไม่มี เพราะนั่น
คือสุขที่สงบเย็นและยั่งยืนอย่างแท้จริง
Page 14
10
ความสุขที่ปลายจมูก
ความสุขที่แท้
อาจารย์พานักศึกษากลุ่มใหญ่ไปสัมผัสชีวิต
วัดป่าในภาคอีสาน ตลอด ๒ คืน ๓ วัน นักศึกษา
ไม่ได้เจอน�้าอัดลม ขนมขบเคี้ยว หรืออาหาร
ถูกปากเลย ได้กินแต่ข้าวเหนียว น�้าพริกกับอาหาร
พื้นบ้าน น�้ากินก็มีแต่น�้าฝน ยิ่งกว่านั้น โทรทัศน์
ก็ไม่ได้ดู เพลงก็ไม่ได้ฟัง ไฟฟ้าก็ไม่มี ต้องอาศัย
แสงเทียนในยามค�่าคืน ดังนั้นวินาทีที่ขึ้นรถตู้กลับ
กรุงเทพฯ นักศึกษาจึงดีใจกันมาก และเมื่อรถวิ่ง
เข้าเมือง จุดแรกที่จอดก็คือช็อปปิ้งมอลล์ ทุกคน
Page 15
11
พระไพศาล วิสาโล
ตรงรี่ไปซื้ออาหารในซูเปอร์มาร์เก็ตแล้วขนขึ้นมา
กินบนรถ กินไปก็คุยกันไปด้วยความรื่นเริง
บรรยากาศผิดกับตอนที่อยู่ในวัดอย่างหน้ามือเป็น
หลังมือ แล้วคนหนึ่งก็พูดขึ้นมาว่า “การได้กินของ
อร่อยเป็นความสุขที่สุดในชีวิต”
การได้กินของอร่อยเป็นความสุขอย่าง
แน่นอน แต่ความสุขที่เหนือกว่านั้นยังมีอีกมาก
หลายคนอาจนึกถึงความสุขจากการดูหนัง ฟัง
เพลง ท่องเที่ยว ผจญภัย และบางคนก็นึกถึงความ
สุขทางเพศ และความสุขจากการมีทรัพย์สมบัติ
และอ�านาจ คนกลุ่มหลังอาจไม่สนใจเรื่องอาหาร
การกินเลย แต่มีความสุขกับการมีคู่นอนคนใหม่
รถคันใหม่ หรือต�าแหน่งใหม่ๆ ที่สูงขึ้นเรื่อยๆ
อย่างไรก็ตาม ความสุขทั้งหมดที่กล่าวมา
แม้จะมีแหล่งที่มาแตกต่างกัน แต่ก็มีลักษณะอย่าง
หนึ่งที่เหมือนกัน นั่นคือเป็นความสุขที่เกิดจาก
การเร้าจิตและกระตุ้นผัสสะ อาหารให้ความสุข
แก่เราก็เพราะมันมีรสชาติที่กระตุ้นลิ้น อาหาร
ต้องมีรสเปรี้ยว หวาน เค็ม เผ็ด จึงจะถือว่าอร่อย
ในทางตรงข้ามถ้าเป็นอาหารจืดๆ ก็เบือนหน้าหนี
เลย เพลงที่ถึงใจคือเพลงที่มีจังหวะที่เร็วและเสียง
Page 16
12
ความสุขที่ปลายจมูก
ที่หลากหลาย กระตุ้นใจให้ขึ้นลงตามจังหวะ ถ้า
มีแต่จังหวะเดียวด้วยเครื่องเล่นชิ้นเดียวจะถือว่า
เพราะได้อย่างไร ส่วนหนังที่สนุกก็ต้องมีพล็อต
เรื่องและเทคนิคที่ปลุกเร้าให้เกิดอารมณ์ที่หลาก
หลาย ทั้งตื่นเต้น ร่าเริง เศร้าสลด หรือแม้แต่
ความสยดสยอง และหวาดกลัว หนังที่ไม่มีฉาก
ทะเลาะวิวาท บู๊ล้างผลาญ ฆ่าฟันกัน ขับรถไล่ล่า
และฉากวาบหวิว ย่อมถือว่าไม่สนุก ดูแล้วชวนให้
ง่วงนอน
ในท�านองเดียวกัน ความสุขจากเพศรสคือ
อะไร หากไม่ใช่ความสุขจากการกระตุ้นเร้าให้ตื่น
เต้นทั้งกายและใจจนถึงขีดสุดที่เรียกว่าไคลแม็กซ์
เป็นเพราะความสุขมักจะแยกไม่ออกจากความตื่น
เต้น หลายคนจึงชอบผจญภัย หรือท�าสิ่งที่เสี่ยง
กับอันตราย เช่น ปีนเขา ขับรถซิ่ง รวมไปถึงเล่น
การพนัน เบาลงมาหน่อยก็คือการดูกีฬาซึ่งต้อง
มีการ“ลุ้น”ให้ฝ่ายของตนชนะ และเพื่อเพิ่มความ
ตื่นเต้นให้มากขึ้นจึงต้องมีการพนันขันต่อด้วย
ความสุขจากความตื่นเต้นยังท�าให้หลายคนชอบดู
หนังผี แม้จะกลัวผีก็ตาม ทั้งนี้เพราะชีวิตประจ�า
วันค่อนข้างจืดชืดหรือขาดสิ่งเร้าใจให้ตื่นเต้น
Page 17
13
พระไพศาล วิสาโล
มองให้ลึกลงไปจะพบว่า ความสุขจากการ
ได้ทรัพย์ก็เป็นเรื่องของการเร้าจิตกระตุ้นผัสสะ
เช่นกัน ทันทีที่ได้ของใหม่มาเราย่อมรู้สึกตื่นเต้น
ดีใจ บางคนถึงกับนอนไม่หลับถึงกับลูบคล�าทั้งวัน
ทั้งคืน ในขณะที่ของเดิมที่มีอยู่แล้วไม่สามารถ
ท�าให้เกิดความสุขได้มากเท่า เนื่องจากขาด
มนต์ขลังที่จะปลุกใจให้ตื่นเต้นได้อีกแล้ว เป็น
เพราะความสุขเกิดจากการได้ของใหม่มาเชยชม
คนเป็นอันมากจึงกลายเป็นนักช็อปปิ้งอย่างเอา
จริงจัง ทั้งๆ ที่รู้ว่าซื้อมาแล้วก็อาจไม่มีเวลาได้ใช้
เพราะมีของเต็มบ้าน อันที่จริงเพียงแค่ได้เห็น
ของใหม่ที่แปลกหูแปลกตา ก็ท�าให้มีความสุขแล้ว
Page 18
14
ความสุขที่ปลายจมูก
ด้วยเหตุนี้หลายคนจึงนิยมเที่ยวห้าง ทั้งๆ ที่ไม่
ค่อยมีเงิน จนกลายเป็นติดเที่ยวห้างไปในที่สุด
ความสุขชนิดนี้ท�าให้ชีวิตไม่น่าเบื่อหน่าย
เพราะมีรสชาติแปลกใหม่มาเร้าจิตกระตุ้นใจเสมอ
แต่ปัญหาก็คือความสุขชนิดนี้ท�าให้เราต้องพึ่งพา
วัตถุสิ่งเสพ ซึ่งในยุคปัจจุบันหมายถึงการต้องมี
เงินใกล้มือเพื่อจะได้มีสิ่งเสพอยู่เสมอ ไม่มีเงินก็
ไม่มีความสุข ที่เป็นปัญหายิ่งกว่านั้นก็คือ ไม่ว่ามี
เงินเท่าไรก็ไม่พอเสียที เพราะความสุขชนิดนี้
ต้องการของใหม่อยู่เสมอไม่หยุดหย่อน เพราะ
ของใหม่เท่านั้นที่จะสามารถเร้าจิตกระตุ้นใจได้
ส่วนของเก่านั้นมีแต่จะท�าให้รู้สึกซ�้าซากจ�าเจ
อาหารที่อร่อยนั้น ให้ความสุขก็แต่ในมื้อ
แรกๆ แต่ถ้ากินอาหารจานนั้นอยู่ทุกวันๆ ก็จะ
รู้สึกเบื่อและเอียนในที่สุด เพลงจะไพเราะก็
ต่อเมื่อฟังใหม่ๆ แต่ใครบ้างที่จะฟังเป็น
ร้อยๆ เที่ยว ไม่ช้าไม่นานก็ต้องไป
หาเพลงใหม่มาฟังแทน หนังก็
เช่นกัน ยิ่งดูก็ยิ่งไม่สนุก
เพราะรู้แล้วว่าจะ
ลงเอยอย่างไร
Page 19
15
พระไพศาล วิสาโล
ไม่ตื่นเต้นอีกแล้ว ต้องไปหาเรื่องใหม่มาดู
ความสุขจากเพศรสนั้นก็ต้องการความแปลกใหม่
ด้วยเหมือนกัน ถ้าซ�้าซากเมื่อไร ก็ไม่น่าสนใจ
นี้คือเหตุผลที่คนจ�านวนไม่น้อยต้องไปหาคู่ใหม่
เพื่อหลีกหนีความจ�าเจ หาไม่ก็ต้องมีเทคนิคแปลก
ใหม่ไม่ซ�้าเดิม เพื่อจะได้เพิ่มความสุขจากเพศรส
นอกจากต้องการของใหม่อยู่เสมอแล้ว
บ่อยครั้งก็ต้องเพิ่มปริมาณให้มากขึ้นด้วย ไม่ต่าง
จากคนติดเหล้า บุหรี่ หรือกาแฟ ซึ่งไม่เคยเสพ
เท่าเดิมหรือน้อยกว่าเดิม เพราะเมื่อกายหรือจิต
ถูกกระตุ้นมากขึ้น ก็จะด้านชามากขึ้น รู้สึกได้
น้อยลง ท�านองเดียวกับผิวหนังที่ยิ่งถูกสัมผัส
Page 20
16
ความสุขที่ปลายจมูก
เสียดสีก็ยิ่งหนาและด้าน ดังนั้นถ้าจะกระตุ้นให้
รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาเหมือนเดิมก็ต้องเพิ่มสิ่งเร้าให้
มากขึ้น ดังนั้นนักช็อปปิ้งจึงมักจ่ายหนักขึ้น
เพราะซื้อของแพงกว่าเดิมและมากกว่าเดิม พวก
ที่นิยมความสุขจากเพศรสก็ยิ่งหมกมุ่นกับเรื่อง
เพศมากขึ้น เพิ่มคู่นอนมากขึ้น และมีรสนิยม
พิสดารผาดโผนมากขึ้นจนกลายเป็นความวิปริต
ไป ส่วนนักผจญภัยก็มักไปในที่อันตรายมากขึ้น
และถี่ขึ้น กล่าวอีกนัยหนึ่ง ความสุขจากสิ่งเร้า
ได้กลายเป็นสิ่งเสพติดอย่างหนึ่งไปแล้ว
ผู้ที่พึ่งความสุขชนิดนี้ย่อมไม่รู้จักพอและ
ความพอดี และในเมื่อต้องอาศัยเงินมาซื้อสิ่งเสพ
เพื่อให้ความสุขชนิดนี้ จึงต้องแสวงหาเงินไม่รู้จัก
หยุดหย่อน และได้เงินมาเท่าไรก็ไม่รู้จักพอเสียที
เคยมีการสอบถามชาวอเมริกันว่า “เงินจ�านวน
เท่าใดถึงจะท�าให้คุณมีความสุข” มากกว่าครึ่ง
ตอบว่า “มากกว่าที่มีอยู่ตอนนี้” ถ้าถามคนไทย
โดยเฉพาะในเมือง ก็คงได้ค�าตอบคล้ายกัน แต่มี
ใครบ้างที่จะเฉลียวใจถามตัวเองว่าทุกวันนี้แม้ตน
มีเงินมากกว่าเมื่อหลายปีก่อน แต่มีความสุข
มากกว่าแต่ก่อนหรือไม่ และถึงจะมีความสุขมาก
ขึ้นก็ไม่เคยพอใจเสียที
Page 21
17
พระไพศาล วิสาโล
เป็นเพราะได้เงินมาเท่าไรก็ไม่รู้สึกพอใจกับ
ความสุขที่เกิดขึ้นเสียที การหาเงินจึงกลายเป็น
เรื่องใหญ่ของชีวิต จนอาจกลบความส�าคัญของ
สิ่งอื่น ซึ่งมีความหมายต่อชีวิต เช่น สุขภาพ
สัมพันธภาพ ครอบครัว และความสุขทางจิตใจ
ความสุขแบบนี้ท�าให้เราเป็นทาสของวัตถุ
สิ่งเสพและเงินทองไปได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งยัง
ท�าให้ชีวิตเหนื่อยล้ากับการไล่ล่าหาสิ่งเสพและ
เงินทอง แม้ได้มาแล้วก็ยังต้องคอยปกปักรักษา
มิให้ใครมาแย่งชิง รวมทั้งคอยดูแลรักษามิให้
เสื่อมสลาย บางครั้งซื้อมาแล้วก็เสียดายที่ไม่ได้ใช้
ดังนั้นจึงต้องหาเรื่องและหาโอกาสใช้ กลาย
Page 22
18
ความสุขที่ปลายจมูก
เป็นการเสียเวลาและเพิ่มภาระให้อีก แถมยัง
ตัดสินใจยากเพราะมีของให้เลือกมากมาย
สุดท้ายเมื่อทรัพย์ที่มีอยู่เกิดมีอันเป็นไป เพราะถูก
แย่งชิงหรือเสื่อมไปตามกาลเวลา ก็ต้องมากลัด
กลุ้มเสียใจไปกับมัน
ความสุขแบบนี้จะว่าไปแล้วมีโทษมากกว่า
คุณ เปรียบไปก็ไม่ต่างจากหญ้าแห้งที่แม้สามารถ
จุดไฟให้แสงสว่างได้ แต่ก็ปล่อยควันมามากมาย
ท�าให้เคืองตา ถ้าทั้งชีวิตมีแต่ความสุขชนิดนี้ ก็คง
เหนื่อยยากไม่น้อย แต่อันที่จริงแล้วยังมีความสุข
อีกชนิดหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะตรงข้ามกับความสุข
ชนิดแรก คือแทนที่จะเกิดจากการเร้าจิตกระตุ้น
ใจให้ตื่นเต้น กลับเกิดจากความสงบ ยิ่งจิตถูก
เร้าน้อยเท่าไร ก็ยิ่งสัมผัสกับความสงบและเป็นสุข
มากเท่านั้น
เวลาเรานั่งอยู่บนหาดทรายยามเช้า หรือ
อยู่บนยอดดอยเหนือเมฆ หรืออยู่ริมล�าธารอัน
ใสเย็น ทีแรกเราอาจรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับธรรมชาติ
อันงดงาม แต่เมื่อนั่งเงียบๆ อยู่คนเดียวสักพัก
เราจะเริ่มพบกับความสงบในใจ จะรู้สึกโปร่งเบา
และผ่อนคลายอยู่ภายใน เป็นความสุขที่ดูเรียบ
Page 23
19
พระไพศาล วิสาโล
แต่ลุ่มลึก ตรึงใจให้อยากอยู่ ณ ที่นั้นนานๆ จน
อาจลืมเวลาไปเลย
ในยามนั้นเราได้สัมผัสกับความสุขอีก
ชนิดหนึ่ง ซึ่งจะเข้าถึงได้ก็โดยอาศัยจิตที่สงบ
เท่านั้น ยิ่งสงบมากเท่าไร ก็ยิ่งเป็นสุขมากเท่านั้น
ความสุขชนิดนี้จึงไม่ต้องการสิ่งเร้า แต่อาจอาศัย
สิ่งกล่อมใจเป็นเครื่องช่วย เช่น เสียงดนตรีที่
ละเมียดละไม บทกวีที่ไพเราะงดงาม ดวงดาว
ระยิบระยับในคืนเดือนมืด สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้ใจ
ที่วุ่นวายยุ่งเหยิงค่อยๆ สงบลง จนสัมผัสได้ถึง
ความสุขที่ลึกซึ้ง
Page 24
20
ความสุขที่ปลายจมูก
ความสุขชนิดนี้เราจะรับรู้ได้ก็ต่อเมื่อมีจิตที่
ประณีตละเอียดอ่อน ส�าหรับคนที่มีจิตหยาบ
กระด้างย่อมยากที่จะสัมผัสกับความสุขชนิดนี้ได้
ด้วยเหตุนั้นจึงต้องหันไปหาความสุขที่เกิดจากการ
เร้าจิตกระตุ้นผัสสะ แต่ยิ่งกระตุ้นมากเท่าไร จิต
ก็ยิ่งหยาบ และท�าให้ต้องเข้าหาอารมณ์ที่หยาบ
มากเท่านั้น เช่น เสียงเพลงที่กระแทกกระทั้น
หนังที่เต็มไปด้วยความรุนแรง ตรงกันข้ามคนที่มี
จิตประณีต ย่อมสัมผัสกับความสุขที่ประณีต
ได้ง่าย และยิ่งสัมผัสคุ้นเคยมากเท่าไร จิตก็ยิ่ง
ประณีตขึ้นไปเรื่อยๆ จนแม้แต่ความสงบและ
ความเรียบง่ายที่ไร้การปรุงแต่งก็สามารถท�าให้ใจ
เป็นสุขได้
ความสุขที่เกิดจากความสงบนั้น ทีแรกต้อง
อาศัยความสงบจากสิ่งแวดล้อมเป็นเครื่องช่วย
เช่น อยู่ในป่า หรือในห้องที่ไร้ผู้คน แน่นอนว่าผู้ที่
คุ้นกับความสุขจากสิ่งเร้า เมื่อมาอยู่ป่าอันเงียบ
สงบ ไม่มีหนังดู ไม่มีเพลงฟัง และไม่มีใครคุยด้วย
ใหม่ๆ ก็ย่อมกระสับกระส่าย ยิ่งไม่ค่อยมีอะไร
ให้ท�า จิตก็ยิ่งฟุ้งซ่าน ปรุงแต่งสารพัด แต่เมื่ออยู่
ไปนานๆ จนคุ้นกับความเงียบสงบ จิตก็จะค่อยๆ
Page 25
21
พระไพศาล วิสาโล
สงบ ทีนี้ก็จะเริ่มมีความสุขท่ามกลางบรรยากาศ
ดังกล่าว และอยู่นิ่งๆ ได้นานขึ้น
อย่างไรก็ตามความสงบของจิตที่อาศัย
สิ่งแวดล้อมช่วยนั้น ต้องอาศัยเวลา อีกทั้งเป็น
ความสงบที่ไม่สู้ยั่งยืน เมื่อใดที่ออกจากป่าหรือ
ออกจากห้อง ไปเจอผู้คนมากมายและงานการ
สารพัด ความสงบที่มีก็จะมลายหายไป จิตจะกลับ
มาวุ่นวาย ฟุ้งซ่าน หรือกระเจิดกระเจิงเหมือนเดิม
อีก ดังนั้นจึงจ�าเป็นที่จะต้องมีวิธีการที่ช่วยให้จิต
สงบได้เร็วขึ้นและอยู่ได้นาน
Page 26
22
ความสุขที่ปลายจมูก
วิธีหนึ่งก็คือการฝึกให้จิตจดจ่ออยู่กับสิ่งใด
สิ่งหนึ่ง เพื่อจะได้ไม่ไปเพ่นพ่านฟุ้งซ่านกับเรื่อง
ภายนอก เช่น ให้จิตจดจ่ออยู่กับลมหายใจเข้า
และออก โดยอาจมีการนับตามไปด้วย วิธีนี้เปรียบ
เสมือนการปักจิตให้อยู่กับที่ เมื่อไม่เพ่นพ่านออก
ไปนอกตัว หรือไปขุดคุ้ยเรื่องเก่ามาคิด หรือปรุง
แต่งจินตนาการเรื่องที่ยังมาไม่ถึง จิตก็จะสงบลง
ในที่สุด
การที่จิตสงบเพราะจดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่ง
หนึ่ง เราเรียกว่าจิตเป็นสมาธิ เป็นความสงบที่เกิด
จากการไม่มีเรื่องอะไรให้รับรู้มาก วิธีนี้ต้องอาศัย
ÍÍ¡
Page 27
23
พระไพศาล วิสาโล
สิ่งแวดล้อมช่วยด้วยในระดับหนึ่ง เช่นอยู่ในที่ๆ
ไม่มีเสียงอึกทึกครึกโครม หรือไม่มีงานที่ต้อง
เกี่ยวข้องกับผู้คนมาก ค�าถามก็คือถ้ามีเรื่องที่จะ
ต้องรับรู้หรือมีคนที่จะต้องเข้าไปเกี่ยวข้อง เราจะ
สามารถรักษาจิตให้สงบได้หรือไม่ ค�าตอบคือได้
แต่ต้องอาศัยสติเข้าช่วย
สติช่วยให้เราสามารถรับรู้สิ่งต่างๆ โดยที่
ใจยังสงบได้ เพราะไม่ว่ารับรู้อะไรก็ตาม สติช่วย
ให้ใจปล่อยวางสิ่งต่างๆ ลงไปได้ ไม่ปรุงแต่งจน
วุ่นวาย หรือไม่เข้าไปในอารมณ์หงุดหงิดร�าคาญใจ
ทันทีที่รู้ว่าจิตก�าลังฟุ้งซ่านหรือเริ่มจะขุ่นเคืองใจ
สติก็ดึงจิตออกจากอาการดังกล่าว กลับมาสู่ภาวะ
ปกติ จิตที่มีสติเป็นเครื่องป้องกันจึงปลอดพ้นจาก
สิ่งรบกวน ดังนั้นจึงมีความสงบ และสามารถ
จดจ่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้อย่างต่อเนื่อง จึงเกิดเป็น
สมาธิได้ง่าย
ความสงบของจิตนั้นเกิดขึ้นได้เพราะรู้จัก
ปล่อยวาง เราปล่อยวางได้เพราะสติช่วยให้เรา
รู้ทันว่าก�าลังเกิดขึ้นอะไรกับจิต ช่วยให้ไม่เผลอ
เข้าไปในความฟุ้งซ่าน แต่ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ช่วยให้
เราปล่อยวางได้อย่างรวดเร็ว นั่นก็คือปัญญา
Page 28
24
ความสุขที่ปลายจมูก
ได้แก่ ความรู้เท่าทันในความเป็นจริงของชีวิต
ความสูญเสียพลัดพรากจากคนรักไม่ท�าให้เรา
เศร้าโศกกลุ้มใจจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ นั่นก็
เพราะเรามีปัญญาตระหนักชัดว่านี้เป็นธรรมดา
ของชีวิต เมื่อถูกต�าหนิติเตียนเราก็ไม่โกรธ เพราะ
รู้ว่ามีสรรเสริญก็ต้องมีนินทาเป็นธรรมดาของโลก
ปัญญาช่วยให้เราไม่ทุกข์ไปกับความผันผวน
ปรวนแปรของชีวิตและโลก จึงสามารถรักษาใจให้
สงบได้
สติและปัญญา ท�าให้เราสามารถรักษาใจ
ให้สงบได้ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด ในสถานการณ์อะไร
ก็ตาม จึงน�าความสุขอันประณีตมาให้แก่เราได้
ในทุกโอกาส แม้จะอยู่บนท้องถนน ในเมือง หรือ
ท่ามกลางฝูงชน ไม่ว่าจะประสบความส�าเร็จหรือ
ความล้มเหลวก็ยังเป็นปกติอยู่ได้ จึงเป็นความ
สุขที่ไม่ต้องพึ่งพาสิ่งภายนอก และประเสริฐกว่า
ความสุขที่เกิดจากการเร้าจิตกระตุ้นใจซึ่งต้อง
อาศัยสิ่งเร้า เป็นความสุขที่ท�าให้เราไม่ต้องดิ้นรน
ไล่ล่าหรือเหนื่อยยากกับการรักษาทรัพย์สมบัติ
จึงท�าให้เราเป็นอิสระอย่างแท้จริง นี้ใช่ไหมที่เป็น
ความสุขที่เราควรมีโอกาสสัมผัสขณะที่ยังมีลม
หายใจอยู่
Page 29
25
พระไพศาล วิสาโล
ความสุขชนิดนี้มิใช่สิ่งไกลเกินเอื้อม หากมี
อยู่แล้วในทุกขณะ และสามารถพบได้กลางใจของ
เรานี้เอง
Page 30
26
ความสุขที่ปลายจมูก
ชีวิตพอเพียง
คุณอยากได้กล้องถ่ายรูปแบบดิจิตอลสัก
ตัวหนึ่ง หลังจากหาข้อมูลมาหลายวันทั้งจาก
หนังสือพิมพ์และคนรู้จัก ก็ตัดสินใจได้ว่าจะซื้อ
ยี่ห้อและรุ่นอะไร คุณใช้เวลา ๒-๓ วันในการหา
ร้านที่ขายถูกที่สุด แล้วคุณก็พบร้านหนึ่งซึ่งขาย
ต�่ากว่าราคาทั่วไปถึง ๒๕% คุณตัดสินใจควัก
เงิน ๗,๕๐๐ บาท แล้วพากล้องใหม่กลับบ้านด้วย
ความปลื้มใจที่ได้ทั้งของดีและราคาถูก
Page 31
27
พระไพศาล วิสาโล
แต่เมื่อกลับถึงบ้าน ตั้งใจว่าจะไปเล่าให้
เพื่อนบ้านฟัง แต่กลับพบว่าเขาเพิ่งซื้อกล้องยี่ห้อ
และรุ่นเดียวกับคุณ แต่ซื้อได้ถูกกว่านั้น คือจ่ายไป
เพียง ๕,๐๐๐ บาทเท่านั้น คุณจะรู้สึกอย่างไร?
ยังจะยิ้มได้อีกหรือไม่ ?
ถ้าคุณยิ้มไม่ออก ก็น่าถามตัวเองว่าท�าไม
ถึงเป็นเช่นนั้น? ก็คุณเพิ่งได้ของใหม่มา แถม
จ่ายน้อยกว่าคนทั่วไป อีกทั้งสินค้าก็มีคุณภาพ
และถูกใจคุณเสียด้วย ทั้งหมดนี้เป็นเหตุผลที่คุณ
น่าจะดีใจมิใช่หรือ? แต่ท�าไมคุณถึงเสียใจหรือถึง
กับโมโหตัวเอง เป็นเพราะคุณไปเปรียบเทียบกับ
เพื่อนบ้านใช่หรือไม่?
คุณมีกล้องดีที่น่าพอใจ แต่ทันทีที่คุณไป
เปรียบเทียบกับกล้องของคนอื่น ความรู้สึกไม่
พอใจก็เข้ามาแทนที่ คนเราไม่พอใจกับสิ่งที่ตนมี
ก็เพราะเหตุนี้ จึงมีผู้กล่าวว่าการเปรียบเทียบกับ
คนอื่นเป็นหนทางลัดไปสู่ความทุกข์ เคยสังเกต
หรือไม่ว่า มีคนจ�านวนไม่น้อยที่มักคิดว่ารถของคน
อื่นดีกว่ารถของตัว แฟนของคนอื่นสวย(หรือหล่อ)
กว่าแฟนของตัว ลูกของคนอื่นเก่งกว่าลูกของตัว
และอาหารที่คนอื่นสั่งมักน่ากินกว่าจานของตัว
Page 32
28
ความสุขที่ปลายจมูก
ถ้าคุณเป็นหนึ่งในจ�านวนนั้น ชีวิตจะหาความสุข
ได้ยาก แม้จะได้มามากเท่าไร ก็ไม่พอใจเสียที
อย่าว่าแต่ของที่ซื้อมาด้วยเงินของตัวเลย
แม้ของที่เราได้มาฟรีๆ เช่น ได้โทรศัพท์มือถือ
มาฟรีๆ ๑ เครื่อง ที่จริงน่าจะดีใจ แต่เมื่อรู้ว่าคน
อื่นได้รับแจกรุ่นที่ดีกว่าและแพงกว่า จากเดิมที่
เคยยิ้มจะหุบทันที แถมยังจะทุกข์ยิ่งกว่าตอนที่ยัง
ไม่ได้รับแจกด้วยซ�้า นั่นเป็นเพราะไปเปรียบเทียบ
กับคนอื่นใช่ไหม? ทั้งๆ ที่ตนมีโชคแล้ว แต่ก็ยัง
รู้สึกว่าตนโชคไม่ดีเหมือนคนอื่น
Page 33
29
พระไพศาล วิสาโล
ความทุกข์ของผู้คนสมัยนี้ส่วนใหญ่เกิด
ขึ้นเพราะไปมองคนอื่นมากเกินไป เราจึงไม่เคย
พอใจกับสิ่งที่มีหรือเป็นเสียที แม้ว่าจะสวยหรือ
หุ่นดีเพียงใด ก็ยังรู้สึกว่าตัวเองขี้เหร่ ผมไม่สลวย
ผิวคล�้าไป แถมวงแขนก็ไม่ขาวนวลเหมือนดารา
แต่เมื่อใดที่เราหันมาพอใจกับสิ่งที่ตนมี มองเห็น
แง่ดีของสิ่งที่มีอยู่และเป็นอยู่ ความสุขจะเพิ่มพูน
ขึ้นมามากมายทันที จิตใจจะเบาขึ้น และชีวิตจะ
หายเหนื่อย เพราะไม่เห็นความจ�าเป็นที่จะต้องวิ่ง
ไล่ล่าหาซื้อสิ่งของต่างๆ มากมายเพียงเพื่อจะได้มี
เหมือนคนอื่นเขา
พอใจในสิ่งที่เรามี ภูมิใจในสิ่งที่เราเป็น
เห็นคุณค่าของสิ่งที่มีอยู่กับตัว นี้คือเคล็ดลับสู่ชีวิต
ที่เบาสบายและสงบเย็น ด้วยเหตุนี้ “สันโดษ” จึง
เป็นสิ่งที่มีความส�าคัญอย่างยิ่งต่อชีวิต
สันโดษไม่ได้หมายถึงการอยู่คนเดียวไม่
สุงสิงกับใคร และไม่ได้หมายถึงความเฉื่อยเนือย
ไม่กระตือรือร้น แต่คือความพอใจในสิ่งที่เรามีและ
ยินดีในสิ่งที่เราเป็น ไม่ปรารถนาสิ่งที่อยู่ไกลตัว
หรือเป็นของคนอื่น ถ้ามีสันโดษก็จะพบกับความ
สุขในปัจจุบันทันที แต่ถ้าไม่มีสันโดษ ก็ต้องหวัง
Page 34
30
ความสุขที่ปลายจมูก
ความสุขจากอนาคต ซึ่งก็ไม่แน่ว่าจะมาถึงหรือ
ไม่ แต่จะมาหรือไม่มา ที่แน่ๆ ก็คือไม่มีความสุข
กับปัจจุบัน
คนที่ไม่รู้จักสันโดษจึง “ขาดทุน” สอง
สถาน คือนอกจากจะไม่มีความสุขกับสิ่งที่มีอยู่
แล้ว ยังเป็นทุกข์เพราะสิ่งที่ปรารถนายังมาไม่ถึง
ในทางตรงข้าม คนที่พอใจในสิ่งที่มีอยู่หรือเป็น
อยู่ แม้สิ่งที่ดีกว่ายังมาไม่ถึง ก็ยังมีความสุขอยู่
·Ó
äÁ
·Ó
äÁ
·Ó
äÁ
·Ó
äÁ
·Ó
äÁ
Page 35
31
พระไพศาล วิสาโล
กับตัว และเมื่อสิ่งที่ดีกว่ามา
ถึง ก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้น ผู้
ที่รู้จักสันโดษจึงมีความสุขในทุก
สถาน แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะ
งอมืองอเท้าหรือนั่งเล่นนอนเล่นอยู่เฉยๆ เขายังมี
ความขยันหมั่นเพียร ปรับปรุงตนเองและงานการ
ให้เจริญก้าวหน้าอยู่เสมอ แต่ขณะที่ท�านั้นก็ยังมี
ความสุขกับสิ่งที่มีอยู่เป็นอยู่ โดยไม่หวังความสุข
จากสิ่งที่คอยอยู่ข้างหน้า
เมื่อรู้จักพอใจในสิ่งที่มีหรือเป็น เราก็รู้
ว่าเมื่อไรควรพอเสียที ในทางตรงกันข้ามคนที่
ไม่พอใจในสิ่งที่มีหรือเป็น ได้เท่าไรก็ไม่รู้จักพอ
จริงอยู่ตอนได้มาใหม่ๆ ก็มีความสุขดีอยู่หรอก
แต่ไม่นานความสุขนั้นก็เลือนหายไป ของใหม่
นั้นเมื่อกลายเป็นของเก่า เสน่ห์ดึงดูดใจก็มักจะ
จางลง ยิ่งชอบเปรียบเทียบกับคนอื่น เห็นเขามี
ของดีกว่าสวยกว่า ความรู้สึกไม่พอใจกับสิ่งที่ตน
มีอยู่ก็เพิ่มมากขึ้น ท�าให้ต้องหามาใหม่ แต่เมื่อ
ได้มาแล้วก็เข้าสู่วงจรเดิม จึงไม่แปลกที่บางคน
แม้มีรองเท้า ๓๐๐ คู่แล้วก็ยังไม่รู้จักพอเสียที ยัง
อยากได้คู่ใหม่อยู่อีก มีซีดีเพลงนับพันแผ่นแล้ว
Page 36
32
ความสุขที่ปลายจมูก
ก็ยังอยากได้แผ่นใหม่อยู่อีก ในท�านองเดียวกัน
เศรษฐีแม้มีเงินหมื่นล้านแล้วก็ยังอยากได้เพิ่มอีก
หนึ่งล้าน แน่นอนว่าเมื่อได้มาแล้วก็ยังอยากได้
เรื่อยไป ค�าถามก็คือแล้วเมื่อไรจึงจะพอเสียที?
ชีวิตที่ไม่รู้จักพอใจสิ่งที่มีหรือเป็น คือชีวิต
ที่ต้องวิ่งไม่หยุดเหมือนคนที่วิ่งหนีเงากลางแดด
วิ่งเท่าไรๆ เงาก็ยังวิ่งไล่ตาม ไม่ว่าจะวิ่งไปได้
ไกลแค่ไหน เงาก็ยังตามอยู่ดี มิหน�าซ�้ายิ่งวิ่งก็
ÅÒÀ
ÂÈ
Page 37
33
พระไพศาล วิสาโล
ยิ่งเหนื่อย แดดก็ยิ่งเผา ท�าอย่างไรดีถึงจะหนีเงา
พ้น? ค�าตอบก็คือเข้ามานั่งนิ่งๆ อยู่ใต้ร่มไม้ ไม่
ต้องวิ่ง เพียงแต่รู้จักหยุดให้เป็น ไม่เพียงเงาจะ
หายไป ยังได้สัมผัสกับความสงบเย็น อีกทั้งยัง
หายเมื่อยล้าด้วย
ชีวิตที่รู้จักพอย่อมมีความสุขกว่าชีวิตที่
ดิ้นรนไม่หยุด ขณะเดียวกันก็มีเวลาส�าหรับการท�า
สิ่งที่มีคุณค่าต่อชีวิต แทนที่จะตั้งหน้าตั้งตาหาเงิน
ไล่ล่าหาสินค้ารุ่นใหม่ หรือเอาแต่เที่ยวช็อปปิ้ง ก็มี
เวลาอยู่กับครอบครัวมากขึ้น ได้ท�างานช่วยเหลือ
ชุมชน ศึกษาหาความรู้ และฝึกฝนพัฒนาจิตใจ
คุณภาพชีวิตจะเจริญงอกงามมากขึ้นและมีความ
สุขมากขึ้นด้วย
ชีวิตที่รู้จักพอนั้นนอกจากจะเกิดขึ้นได้
เพราะมีความพอใจในสิ่งที่มีอยู่และเป็นอยู่ดังได้
กล่าวมาแล้ว อีกปัจจัยหนึ่งที่ส�าคัญมากก็คือ การ
ตระหนักชัดในคุณและโทษของวัตถุสิ่งเสพ วัตถุ
หรือสิ่งเสพรวมไปถึงทรัพย์สมบัติทั้งหลายนั้น มี
ประโยชน์ตรงที่ให้ความสุขในทางกาย เช่น ท�าให้
มีความเป็นอยู่ที่สุขสบาย ท�าให้สามารถท�ากิจการ
งานต่างๆ ได้อย่างสะดวก เช่น รถยนต์ช่วยให้
Page 38
34
ความสุขที่ปลายจมูก
เดินทางได้รวดเร็ว เป็นต้น แต่ในเวลาเดียวกัน
มันก็มีโทษอยู่ด้วย ประการแรกก็คือภาระในทาง
จิตใจ เช่น ท�าให้เกิดความห่วงกังวลอยู่เสมอว่า
จะมีใครขโมยไปหรือไม่ และถ้าหายไปก็ยิ่งทุกข์
ประการต่อมาคือภาระในการดูแลรักษาและ
ป้องกัน บ่อยครั้งยังเป็นภาระในการใช้ด้วย เพราะ
เมื่อซื้อมาแล้วถ้าไม่ใช้ก็รู้สึกเสียดาย จึงต้องเจียด
เวลามาใช้มัน ท�าให้มีเวลาว่างเหลือน้อยลง
วัตถุสิ่งเสพนั้นไม่ได้ดึงเงินไปจากกระเป๋า
ของเราเท่านั้น แต่ยังแย่งชิงเวลาและพลังงาน
จากเราไป ยิ่งมีวัตถุสิ่งเสพมากเท่าไร เวลาและ
พลังงานส�าหรับเรื่องอื่นก็มีน้อยลง สมบัติบาง
อย่างนั้นดูเผินๆ เหมือนกับท�าให้เรามีเวลามาก
ขึ้น เช่น รถยนต์ แต่หากพิจารณาให้ถี่ถ้วนอาจ
พบว่ารถยนต์นั้นช่วยประหยัดเวลาให้แก่เราไม่ได้
มากอย่างที่นึก เคยมีผู้ค�านวณเวลาทั้งหมดที่ใช้
ไปกับรถยนต์ เริ่มตั้งแต่เวลาที่ใช้ในการ
หาเงินมาซื้อรถ ซื้อน�้ามัน จ่ายค่า
อะไหล่ ค่าซ่อมรถ ค่าประกัน
และค่าภาษี รวมทั้งเวลาที่
ใช้ไปกับการดูแลรักษารถ
OIL
Page 39
35
พระไพศาล วิสาโล
เช่น ล้างรถ น�ารถไปตรวจสภาพ น�ารถไปซ่อม
ตลอดจนเวลาที่ใช้ในการขับรถและหาที่จอดรถ
เมื่อเอาเวลาทั้งหมดไปหารกับระยะทางที่เดินทาง
ด้วยรถยนต์ ค�าตอบที่ได้คือ ๘ กิโลเมตรต่อชั่วโมง
หมายความว่า แม้ว่าเราจะขับรถด้วยความเร็ว
๘๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ในความเป็นจริงแล้ว
๘ กิโลเมตรต่อชั่วโมงคือตัวเลขสุทธิจากการเดิน
ทางด้วยรถยนต์ พูดอีกอย่างคือรถยนต์ไม่ได้ช่วย
ให้เราเดินทางเร็วกว่ารถจักรยานสักเท่าไรเลย
เวลาที่สูญเสียไปกับรถยนต์ตลอดจนวัตถุ
สิ่งเสพทั้งหลายนั้น มีมากกว่าที่เราคิด สิ่งที่
àÇÅÒ
Page 40
36
ความสุขที่ปลายจมูก
ช่วยประหยัดเวลานั้นบ่อยครั้งก็ไม่ได้ช่วยให้เรา
มีเวลาว่างมากขึ้นเลย ดังเห็นได้ว่ายิ่งมีรถยนต์
มากเท่าไร คนก็ยิ่งเสียเวลาอยู่บนรถยนต์มาก
เท่านั้น และมีเวลาอยู่ในบ้านน้อยลง การพัฒนา
ความเร็วของรถยนต์ให้เพิ่มมากขึ้น ไม่ได้ช่วยให้
คนมีเวลาเป็นของตนเองเพิ่มขึ้นเลย กลับมีน้อยลง
ด้วยซ�้า น่าแปลกใจไหมว่าคนในสังคมสมัยใหม่
แม้มีอุปกรณ์ประหยัดเวลาอยู่เต็มบ้าน แต่เหตุใด
กลับมีเวลาว่างน้อยกว่าคนในชนบทซึ่งไม่มีแม้แต่
รถยนต์ หม้อหุงข้าวไฟฟ้า หรือมาม่า ในขณะที่
คนชนบทมีเวลานั่งเล่นอยู่กับลูกหลานและกินข้าว
พร้อมหน้ากับคนในบ้าน แต่คนในเมืองกลับแทบ
ไม่มีเวลาท�าเช่นนั้นเลย
มองให้ถี่ถ้วนแล้ว “ต้นทุน” ที่ต้องจ่ายให้แก่
วัตถุสิ่งเสพนั้นไม่ได้มีแค่ เงิน เวลา พลังงาน และ
ภาระทางจิตใจเท่านั้น มันอาจรวมไปถึงวิถีชีวิตที่
พึงปรารถนาด้วย
หนุ่มผู้หนึ่งได้ไปฝึกบ�าเพ็ญพรตกับครู
ผู้เฒ่า การปฏิบัติของเขาเจริญก้าวหน้าเป็นล�าดับ
จนอาจารย์ไม่มีอะไรจะสอนเขาอีกแล้ว จึงแนะ
ให้เขาแยกไปปฏิบัติแต่ผู้เดียวในอีกด้านหนึ่งของ
หุบเขา
Page 41
37
พระไพศาล วิสาโล
ชายหนุ่มตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติธรรม แต่แล้ว
วันหนึ่งก็พบว่าเสื้อของเขาซึ่งมีอยู่ตัวเดียวถูกหนู
กัดจนเป็นริ้วขณะผึ่งลม เขาไปขอเสื้ออีกตัวจาก
ชาวบ้าน แต่หนูก็กัดอีกจนเป็นรู เขาจึงไปขอแมว
มาตัวหนึ่ง ปัญหาจากหนูหมดไป แต่มีปัญหาใหม่
เกิดขึ้นมา แมวต้องกินนม ดังนั้นนอกจากขอ
อาหารแล้วเขายังต้องขอนมจากชาวบ้าน ในที่สุด
เขาแก้ปัญหาด้วยการเอาวัวมาเลี้ยง แต่ก็
ท�าให้เขามีเวลาภาวนาน้อยลงเพราะ
ต้องไปตัดหญ้ามาเลี้ยงวัว เขาจึง
ไปจ้างคนงานมาดายหญ้า
Page 42
38
ความสุขที่ปลายจมูก
ท�าไปได้สักพักเงินก็ร่อยหรอ จึงต้องไป
จาริกขอเงินจากชาวบ้านถี่ขึ้นและไกลขึ้น กลาย
เป็นเรื่องยุ่งยากขึ้นมา สุดท้ายเขาก็แก้ปัญหาด้วย
การแต่งงานกับสาวคนงานเสียเลย นอกจากจะ
ไม่เสียเงินแล้ว ยังได้ภรรยามาช่วยงานบ้านและ
ช่วยท�ามาหากินให้ด้วย ไม่นานเขาก็กลายเป็น
เศรษฐีในหมู่บ้าน
หลายปีต่อมาอาจารย์เฒ่าผ่านมาเยี่ยมเขา
อาจารย์ตกใจที่เห็นคฤหาสน์หลังใหญ่มาแทนที่
กระท่อม เมื่อพบลูกศิษย์ อาจารย์ถามว่าเกิด
อะไรขึ้น ค�าตอบของลูกศิษย์ก็คือ “อาจารย์อาจ
ไม่เชื่อผม แต่ไม่มีวิธีอื่นอีกแล้วที่ผมจะรักษาเสื้อ
ของผมไว้ได้”
Page 43
39
พระไพศาล วิสาโล
ชายหนุ่มเริ่มต้นด้วยชีวิตนักพรตแต่
สุดท้ายก็ลงเอยด้วยการแต่งงานและกลายเป็น
เศรษฐี ทั้งหมดนี้เริ่มต้นที่การหาแมวมาเลี้ยงที่
บ้านเพื่อแก้ปัญหาหนูกัดเสื้อ วิธีนี้สะดวกก็จริง แต่
ที่เขานึกไม่ถึงก็คือมันมีภาระติดตามมาด้วย คือ
ต้องหานมมาเลี้ยงแมว ทุกครั้งที่เขาแก้ปัญหาด้วย
วิธีที่สะดวกแรง ก็จะมีปัญหาอื่นติดตามมาเป็น
ลูกโซ่ จนชีวิตเหินห่างจากจุดหมายที่ตั้งไว้ หาก
เขาเพียงแต่ลงแรงท�ากับดักหนู หรือหาวิธีแขวน
เสื้อให้ไกลหนู ชีวิตก็คงไม่กลับตาลปัตรเช่นนั้น
เรื่องนี้ไม่ได้เป็นอุทาหรณ์ส�าหรับนักพรต
หรือผู้ปฏิบัติธรรมเท่านั้น แต่ยังเป็นบทเรียน
ส�าหรับทุกคนว่า ความสะดวกสบายนั้นไม่ใช่สิ่งที่
ได้มาเปล่าๆ แต่ต้องแลกมาด้วยบางสิ่งบางอย่าง
ที่อาจมีคุณค่าต่อชีวิตของเรา และสิ่งนั้นอาจหมาย
ถึงจุดหมายหรือวิถีชีวิตที่พึงปรารถนา ตัวอย่าง
ที่ชัดเจนคือ โทรศัพท์มือถือ และอินเตอร์เน็ต
เทคโนโลยีทั้งสองช่วยให้เราติดต่อสื่อสารกับผู้อื่น
ที่อยู่ไกลได้สะดวกขึ้น แต่ยิ่งติดต่อได้สะดวก ก็
ยิ่งชวนให้ใช้บ่อยขึ้น จนในที่สุดผู้ใช้กลับไม่มีเวลา
ที่จะให้กับครอบครัวหรือคนที่บ้าน ความสัมพันธ์
Page 44
40
ความสุขที่ปลายจมูก
เหินห่างจนหมางเมิน ซึ่งเท่ากับผลักดันให้ไป
หมกมุ่นกับเทคโนโลยีมากขึ้น จนเกิดช่องว่างใน
การสื่อสารกับผู้คนโดยเฉพาะคนใกล้ชิด ดังเห็น
ได้จากหนุ่มสาวจ�านวนมากในปัจจุบัน
ความตระหนักถึงโทษหรือภาระที่เกิดจาก
วัตถุสิ่งเสพ ไม่ว่าจะสะดวกสบายหรือสนุกสนาน
เอร็ดอร่อยเพียงใด ช่วยให้เรามีความระมัดระวัง
ในการใช้สอยและครอบครองวัตถุสิ่งเสพทั้งหลาย
ไม่ส�าคัญผิดไปว่ายิ่งมีมากเท่าไรยิ่งดี มีความ
ใคร่ครวญมากขึ้นว่ามีเท่าไรถึงจะพอดี บริโภค
แค่ไหนถึงจะเป็นคุณมากกว่าโทษ
MINDOWS LIVE MESSENGER
Page 45
41
พระไพศาล วิสาโล
ความพอใจในสิ่งที่มีอยู่เป็นอยู่นั้นเป็นเรื่อง
คุณภาพจิต ส่วนความเข้าใจหรือตระหนักถึงคุณ
และโทษของวัตถุสิ่งเสพนั้นเป็นเรื่องของปัญญา
ทั้งคุณภาพจิตและปัญญาดังกล่าวช่วยให้ชีวิตรู้จัก
พอและเกิดความพอดีในการบริโภคและใช้สอย
อย่างไรก็ตามบางครั้งแม้จะรู้ว่าเท่าไรถึงจะพอดี
แต่ใจไม่คล้อยตาม ยังติดในความสะดวกสบาย
หรือเอร็ดอร่อย ท�าให้ไม่รู้จักพอในการบริโภค
หรือครอบครอง
ในกรณีเช่นนี้สิ่งหนึ่งที่จะช่วยได้คือการ
ก�าหนดขอบเขตให้แก่ตนเอง ว่าจะบริโภคเท่าไรใน
แต่ละวัน หรือซื้อได้เท่าไรในแต่ละเดือน เช่น
คนที่ติดอินเตอร์เน็ตหรือโทรทัศน์ ควรก�าหนด
ว่าจะใช้หรือดูอย่างมากที่สุดวันละกี่ชั่วโมง ส่วน
คนที่ติดช็อปปิ้งก็อาจก�าหนดวินัยให้ตัวเองว่าจะ
เข้าห้างเพียงสัปดาห์ละครั้ง และจะเข้าก็ต่อเมื่อ
มีรายการสินค้าอยู่ในมือแล้วเท่านั้น และจะไม่
ซื้อสิ่งที่อยู่นอกรายการ ดียิ่งกว่านั้นก็คือ จะงด
ใช้บัตรเครดิตช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ หรือมีบัตร
เครดิตไม่เกิน ๒ ใบ เป็นต้น
Page 46
42
ความสุขที่ปลายจมูก
การมีวินัย ความพอใจในสิ่งที่มี และการ
มีปัญญาเห็นถึงคุณและโทษของสิ่งเสพ คือปัจจัย
สามประการที่ช่วยให้เกิดทั้งความรู้จักพอและ
ความพอดีในการบริโภคใช้สอย
น�าพาชีวิตสู่มิติใหม่ที่เป็นนายเหนือวัตถุ
เพราะสามารถรู้จักใช้ให้เป็นเครื่องมือสร้างความ
เจริญงอกงามแก่ชีวิตได้ โดยไม่ต้องตกเป็นทาส
ของมันดังแต่ก่อน
Page 47
สื่อและหนังสือ จาก
เครือข่ายพุทธิกา
๑. เป็นไทย เป็นพุทธ และเป็นสุข
พระไพศาล วิสาโล ราคา ๗๕ บาท
๒. ซีดีเสียง บทพิจารณาตายก่อนตาย
ราคาแผ่นละ ๕๐ บาท
๓. ซีดี รวมบทความมองย้อนศร
ราคาแผ่นละ ๓๐ บาท
๔. ซีดี รวมบทความมองอย่างพุทธ
ราคาแผ่นละ ๓๐ บาท
๕. ดีวีดี สู่ความสงบที่ปลายทางบทเรียนชีวิต
ในยามเจ็บป่วย
ราคาแผ่นละ ๕๐ บาท
๖. ระลึกถึงความตายสบายนัก พระไพศาล วิสาโล
เขียน/เรียบเรียง ราคา ๔๐ บาท
๗. ชีวิตและความตายในสังคมสมัยใหม่
พระไพศาล วิสาโล, สุลักษณ์ ศิวรักษ์, นิธิ เอียวศรีวงศ์
และพรทิพย์ โรจนสุนันท์
เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ด�าเนินรายการ ราคา ๕๕ บาท
๘. ความตายในทัศนะของพุทธทาสภิกขุ
โดย พระดุษฎี เมธังกุโร, สันต์ หัตถีรัตน์,
เอกวิทย์ ณ ถลาง, นิธิพัฒน์ เจียรกุล,
สุวรรณา สถาอานันท์ และประชา หุตานุวัตร
ราคา ๗๐ บาท
Page 48
๙. บทเรียนจากผู้จากไป
น.พ.เต็มศักดิ์ พึ่งรัศมี และอโนทัย เจียรสถาวงศ์
บรรณาธิการ ราคา ๑๐๐ บาท
๑๐. เผชิญความตายอย่างสงบ :
สาระและกระบวนการเรียนรู้ เล่ม ๒
พระไพศาล วิสาโล และคณะเขียน
นงลักษณ์ ตรงศีลสัตย์ บรรณาธิการ ราคา ๙๙ บาท
๑๑. ฝ่าพ้นวิกฤตศีลธรรมด้วยทัศนะใหม่
พระไพศาล วิสาโล เขียน/เรียบเรียง ราคา ๘๐ บาท
๑๒. สุขสุดท้ายที่ปลายทาง
กรรณจริยา สุขรุ่ง เขียน ราคา ๑๙๐ บาท
๑๓. รุ่งอรุณที่สุคะโต
พระไพศาล วิสาโล ราคา ๖๐ บาท
๑๔. วิถีพุทธ วิถีไท ในยุคบริโภคนิยม
พระไพศาล วิสาโล สมทบค่าพิมพ์ ๑๐ บาท
๑๕. เหนือความตาย : จากวิกฤตสู่โอกาส
พระไพศาล วิสาโล เขียน/เรียบเรียง ราคา ๑๒๐
บาท
๑๖. ฉลาดทำาใจ หนักแค่ไหนก็ไม่ทุกข์
สุขเพียงใดก็ไม่พลั้ง
พระไพศาล วิสาโล ราคา ๙๙ บาท
๑๗. มองอย่างพุทธ เพื่อความเข้าใจในชีวิต
และสังคม
พระไพศาล วิสาโล, อรศรี งามวิทยาพงศ์
และสมเกียรติ มีธรรม, พจน์ กริชไกรวรรณ
บรรณาธิการ ราคา ๗๕ บาท
พระไพศาล วิสาโล
พิมพ์ครั้งที่ ๑ :
กรกฏาคม ๒๕๕๓
เรียบเรียงโดย :
พระไพศาล วิสาโล
รูปเล่ม/ปก :
วทัญญู พรอัมรา
จัดทำาโดย :
เครือข่ายพุทธิกา
๔๕/๔ ซ.อรุณอมรินทร์ ๓๙
แขวงอรุณอมรินทร์ เขตบางกอกน้อย
กรุงเทพฯ ๑๐๗๐๐
โทรศัพท์ : ๐๒-๘๘๒-๕๐๔๓
๐๒-๘๘๒-๔๓๘๗, ๐๘๖-๓๐๐๕๔๕๘
โทรสาร : ๐๒-๘๘๒-๕๐๔๓
อีเมล์ : b_netmail@yahoo.com
เว็บไซต์: http://www.budnet.org
สนใจสนับสนุนการพิมพ์เผยแพร่ โปรดติดต่อเครือข่ายพุทธิกา
Page 2
ค�าน�า
ใคร ๆ ก็ต้องการความสุข และพยายามท�า
ทุกอย่างเพื่อไขว่คว้าหาความสุข แต่แล้วคนส่วนใหญ่
กลับไม่พบสิ่งที่ต้องการ ยิ่งดิ้นรนแสวงหา ก็ยิ่งเป็น
ทุกข์มากขึ้น
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะผู้คนมักเข้าใจว่าความสุข
นั้นอยู่นอกตัว แต่แท้จริงแล้ว ความสุขมิได้อยู่ไกลตัว
และมิใช่สิ่งที่ต้องแสวงหา ความสุขที่แท้นั้นอยู่กับเรา
แล้วทุกขณะ และตามเราไปทุกหนแห่ง แต่เรามอง
ไม่เห็นเองเพราะมันอยู่ใกล้อย่างยิ่ง ไม่ต่างจากปลาย
จมูกที่มักถูกมองข้าม
เพียงแค่รู้จักชื่นชมสิ่งดี ๆ ที่เรามีอยู่ ก็จะ
สุขได้ไม่ยาก หากพอใจในสิ่งที่มี ยินดีในสิ่งที่ได้ และ
ภูมิใจในสิ่งที่เป็น ก็จะแย้มยิ้มเบิกบานได้ตลอดเวลา
ยิ่งได้ท�าความดี เอื้อเฟื้อเกื้อกูลผู้อื่น รวมทั้งได้สัมผัส
กับความสงบเย็นภายใน ก็จะพบว่าความสุขที่แท้นั้น
อยู่กลางใจเรานี้เอง
หนังสือเล่มเล็กๆ นี้ประกอบด้วยสามบทความ
แม้เคยตีพิมพ์มาก่อนแล้ว แต่เชื่อว่าการน�ามารวม
พิมพ์ใหม่จะช่วยให้ผู้อ่านรู้จักกับความสุขที่มีอยู่คู่กับ
ลมหายใจของตนมาช้านานแล้ว ได้มากขึ้น
พระไพศาล วิสาโล
๒๑ กรกฏาคม ๒๕๕๓
Page 3
สารบัญ
ความสุขที่ถูกมองข้าม
๑
ความสุขที่แท้
๑๐
ชีวิตพอเพียง
๒๖
Page 4
Page 5
1
พระไพศาล วิสาโล
ความสุขที่ถูกมองข้าม
คุณเป็นคนหนึ่งหรือไม่ที่เชื่อว่า ยิ่งมีเงิน
ทองมากเท่าไร ก็ยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น ความ
เชื่อดังกล่าวดูเผินๆ ก็น่าจะถูกต้องโดยไม่ต้องเสีย
เวลาพิสูจน์ แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ประเทศไทยน่า
จะมีคนป่วยด้วยโรคจิตน้อยลง มิใช่เพิ่มมากขึ้น
ทั้งๆ ที่รายได้ของคนไทยสูงขึ้นทุกปี ในท�านอง
เดียวกันผู้จัดการก็น่าจะมีความสุขมากกว่า
พนักงานระดับล่างๆ เนื่องจากมีเงินเดือนมากกว่า
แต่ความจริงมิได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป
Page 6
2
ความสุขที่ปลายจมูก
หลายปีก่อนมหาเศรษฐีคนหนึ่งของไทยได้
ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ว่า เขารู้สึกเบื่อหน่าย
กับชีวิต เขาพูดถึงตัวเองว่า “ชีวิต(ของผม)เริ่ม
หมดค่าทางธุรกิจ” ลึกลงไปกว่านั้นเขายังรู้สึกว่า
ตัวเองไม่มีความหมาย เขาเคยพูดว่า “ผมจะมี
ความหมายอะไร ก็เป็นแค่...มหาเศรษฐีหมื่นล้าน
คนหนึ่ง”
เมื่อเงินหมื่นล้านไม่ท�าให้มีความสุข เขา
จึงอยู่เฉยไม่ได้ ในที่สุดวิ่งเต้นจนได้เป็นรัฐมนตรี
ขณะที่เศรษฐีหมื่นล้านคนอื่น ๆ ยังคงมุ่งหน้า
หาเงินต่อไป ด้วยความหวังว่าถ้าเป็นเศรษฐีแสน
ล้านจะมีความสุขมากกว่านี้ ค�าถามก็คือ เขาจะ
มีความสุขเพิ่มขึ้นจริงหรือ ?
ค�าถามข้างต้นคงมีประโยชน์ไม่มากนัก
ส�าหรับคนทั่วไป เพราะชาตินี้คงไม่มีวาสนาแม้แต่
จะเป็นเศรษฐีร้อยล้านด้วยซ�้า แต่อย่างน้อยก็คง
ตอบค�าถามที่อยู่ในใจของคนจ�านวนไม่น้อยได้
บ้างว่า ท�าไมอัครมหาเศรษฐีทั้งหลาย รวมทั้ง
บิล เกตส์ จึงไม่หยุดหาเงินเสียที ทั้งๆ ที่มีสมบัติ
มหาศาล ขนาดนั่งกินนอนกินไป ๗ ชาติก็ยัง
ไม่หมด
Page 7
3
พระไพศาล วิสาโล
แต่ถ้าเราอยากจะค้นพบค�าตอบให้มาก
กว่านี้ ก็น่าจะย้อนถามตัวเองด้วยว่า ท�าไมถึง
ไม่หยุดซื้อแผ่นซีดีเสียทีทั้ง ๆ ที่มีอยู่แล้วนับ
หมื่นแผ่น ท�าไมถึงไม่หยุดซื้อเสื้อผ้าเสียทีทั้งๆ ที่
มีอยู่แล้วเกือบพันตัว ท�าไมถึงไม่หยุดซื้อรองเท้า
เสียทีทั้งๆ ที่มีอยู่แล้วนับร้อยคู่
แผ่นซีดีที่มีอยู่มากมายนั้น บางคนฟังทั้ง
ชาติก็ยังไม่หมด ในท�านองเดียวกัน เสื้อผ้า หรือ
รองเท้า ที่มีอยู่มากมายนั้น บางคนก็เอามาใส่ไม่
ครบทุกตัวหรือทุกคู่ด้วยซ�้า มีหลายตัวหลายคู่ที่
ซื้อมาโดยไม่ได้ใช้เลย แต่ท�าไมเราถึงยังอยากจะ
ได้อีกไม่หยุดหย่อน
Page 8
4
ความสุขที่ปลายจมูก
ใช่หรือไม่ว่า สิ่งที่เรามีอยู่แล้วในมือนั้นไม่
ท�าให้เรามีความสุขได้มากกว่าสิ่งที่ได้มาใหม่ มี
เสื้อผ้าอยู่แล้วนับร้อยก็ไม่ท�าให้จิตใจเบ่งบานได้
เท่ากับเสื้อ ๑ ตัวที่ได้มาใหม่ มีซีดีอยู่แล้วนับ
พันก็ไม่ท�าให้รู้สึกตื่นเต้นได้เท่ากับซีดี ๑ แผ่นที่
ได้มาใหม่ ในท�านองเดียวกันมีเงินนับร้อยล้าน
ในธนาคารก็ไม่ท�าให้รู้สึกปลาบปลื้มใจเท่ากับเมื่อ
ได้มาใหม่อีก ๑ ล้าน
พูดอีกอย่างก็คือ คนเรานั้นมักมีความสุข
จากการได้ มากกว่าความสุขจากการมี มีเท่าไร
ก็ยังอยากจะได้มาใหม่ เพราะเรามักคิดว่าของ
ใหม่จะให้ความสุขแก่เราได้มากกว่าสิ่งที่มีอยู่เดิม
บ่อยครั้งของที่ได้มาใหม่นั้นก็เหมือนกับของเดิม
ไม่ผิดเพี้ยน แต่เพียงเพราะว่ามันเป็นของใหม่ ก็
ท�าให้เราดีใจแล้วที่ได้มา
จะว่าไปนี่อาจเป็นสัญชาตญาณที่มีอยู่กับ
สัตว์หลายชนิดไม่เฉพาะแต่มนุษย์เท่านั้น ถ้าโยน
น่องไก่ให้หมา หมาก็จะวิ่งไปคาบ แต่ถ้าโยนน่อง
ไก่ชิ้นใหม่ไปให้ มันจะรีบคายของเก่าและคาบชิ้น
ใหม่แทน ทั้งๆ ที่ทั้งสองชิ้นก็มีขนาดเท่ากัน ไม่ว่า
หมาตัวไหนก็ตาม ของเก่าที่มีอยู่ในปากไม่น่า
สนใจเท่ากับของใหม่ที่ได้มา
Page 9
5
พระไพศาล วิสาโล
ถ้าหากว่าของใหม่ให้ความสุขได้มากกว่า
ของเก่าจริงๆ เรื่องก็น่าจะจบลงด้วยดี แต่ปัญหา
ก็คือของใหม่นั้นไม่นานก็กลายเป็นของเก่า และ
ความสุขที่ได้มานั้นในที่สุดก็จางหายไป ผลก็คือ
กลับมารู้สึก “เฉยๆ” เหมือนเดิม และดังนั้น
จึงต้องไล่ล่าหาของใหม่มาอีก เพื่อหวังจะให้มี
ความสุขมากกว่าเดิม แต่แล้วก็วกกลับมาสู่จุดเดิม
เป็นเช่นนี้ไม่รู้จบ น่าคิดว่าชีวิตเช่นนี้จะมีความสุข
จริงหรือ ? เพราะไล่ล่าแต่ละครั้งก็ต้องเหนื่อย
ไหนจะต้องขวนขวายหาเงินหาทอง ไหนจะต้อง
แข่งกับผู้อื่นเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ ครั้นได้
มาแล้วก็ต้องรักษาเอาไว้ให้ได้ ไม่ให้ใครมาแย่งไป
Page 10
6
ความสุขที่ปลายจมูก
แถมยังต้องเปลืองสมองหาเรื่องใช้มันเพื่อให้รู้สึก
คุ้มค่า ยิ่งมีมากชิ้นก็ยิ่งต้องเสียเวลาในการเลือก
ว่าจะใช้อันไหนก่อน ท�านองเดียวกับคนที่มีเงิน
มากๆ ก็ต้องยุ่งยากกับการตัดสินใจว่าจะไปเที่ยว
ลอนดอน นิวยอร์ค เวกัส โตเกียว มาเก๊า หรือ
ซิดนีย์ดี
ถ้าเราเพียงแต่รู้จักแสวงหาความสุขจาก
สิ่งที่มีอยู่แล้ว ชีวิตจะยุ่งยากน้อยลงและโปร่งเบา
มากขึ้น อันที่จริงความพอใจในสิ่งที่เรามีนั้นไม่ใช่
เรื่องยาก แต่ที่เป็นปัญหาก็เพราะเราชอบมองออก
ไปนอกตัว และเอาสิ่งใหม่มาเทียบกับของที่เรา
Page 11
7
พระไพศาล วิสาโล
มีอยู่ หาไม่ก็เอาตัวเองไปเปรียบ
เทียบกับคนอื่น เมื่อเห็นเขามี
ของใหม่ ก็อยากมีบ้าง คงไม่มี
อะไรที่จะท�าให้เราทุกข์ได้บ่อยครั้ง
เท่ากับการชอบเปรียบเทียบตัวเอง
กับคนอื่น การเปรียบเทียบจึงเป็น
หนทางลัดไปสู่ความทุกข์ที่ใครๆ ก็นิยมใช้กัน
นิสัยชอบเปรียบเทียบกับคนอื่น ท�าให้เรา
ไม่เคยมีความพอใจในสิ่งที่ตนมีเสียที แม้มีแฟน
ที่ดี ก็ยังไม่พอใจ เพราะรู้สึกว่าแฟนของคนอื่น
สวยกว่า หล่อกว่า หรือเอาใจเก่งกว่า แม้มีลูกที่
น่ารัก ก็ยังไม่พอใจเพราะรู้สึกว่าสู้ลูกของคนอื่น
ไม่ได้ แม้จะมีหน้าตาดี ก็ยังรู้สึกว่าตัวเองไม่
สวย เพราะไปเปรียบเทียบตัวเองกับดาราหรือ
พรีเซนเตอร์ในหนังโฆษณา
การมองแบบนี้ท�าให้ “ขาดทุน” สองสถาน
คือนอกจากจะไม่มีความสุขกับสิ่งที่มีอยู่แล้ว ยัง
เป็นทุกข์เพราะไม่ได้สิ่งที่อยาก พูดอีกอย่างคือ
ไม่มีความสุขกับปัจจุบัน แถมยังเป็นทุกข์เพราะ
อนาคตที่พึงปรารถนายังมาไม่ถึง ไม่มีอะไรที่
เป็นอุทาหรณ์สอนใจได้ดีเท่ากับนิทานอีสปเรื่อง
Page 12
8
ความสุขที่ปลายจมูก
หมาคาบเนื้อ คงจ�าได้ว่า มีหมาตัวหนึ่งได้เนื้อชิ้น
ใหญ่มา ขณะที่ก�าลังเดินข้ามสะพาน มันมอง
ลงมาที่ล�าธาร เห็นเงาของหมาตัวหนึ่ง (ซึ่งก็คือ
ตัวมันเอง) ก�าลังคาบเนื้อชิ้นใหญ่ เนื้อชิ้นนั้นดู
ใหญ่กว่าชิ้นที่มันก�าลังคาบเสียอีก ด้วยความโลภ
(และหลง) มันจึงคายเนื้อที่คาบอยู่ เพื่อจะไปคาบ
ชิ้นเนื้อที่เห็นในน�้า ผลก็คือเมื่อเนื้อตกน�้า ชิ้นเนื้อ
ในน�้าก็หายไป มันจึงสูญทั้งเนื้อที่คาบอยู่และเนื้อที่
เห็นในน�้า
บ่อเกิดแห่งความสุขมีอยู่กับเราทุกคนใน
ขณะนี้อยู่แล้ว เพียงแต่เรามองข้ามไปหรือไม่รู้จัก
ใช้เท่านั้น เมื่อใดที่เรามีความทุกข์ แทนที่จะมอง
หาสิ่งนอกตัว ลองพิจารณาสิ่งที่เรามีอยู่และเป็น
อยู่ ไม่ว่า มิตรภาพ ครอบครัว สุขภาพ ทรัพย์สิน
รวมทั้งจิตใจของเรา ล้วนสามารถบันดาลความสุข
ให้แก่เราได้ทั้งนั้น ขอเพียงแต่เรารู้จักชื่นชม รู้จัก
มอง และจัดการอย่างถูกต้องเท่านั้น
แทนที่จะแสวงหาแต่ความสุขจากการได้
ลองหันมาแสวงหาความสุขจากการ มี หรือจาก
สิ่งที่ มี ขั้นต่อไปคือการแสวงหาความสุขจากการ
ให้ กล่าวคือยิ่งให้ความสุข ก็ยิ่งได้รับความสุข
Page 13
9
พระไพศาล วิสาโล
สุขเพราะเห็นน�้าตาของผู้อื่นเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม
และสุขเพราะภาคภูมิใจที่ได้ท�าความดีและท�าให้
ชีวิตมีความหมาย จากจุดนั้นแหละก็ไม่ยากที่เรา
จะค้นพบความสุขจากการ ไม่มี นั่นคือสุขจาก
การปล่อยวาง ไม่ยึดถือในสิ่งที่มี และเพราะเหตุ
นั้น แม้ไม่มีหรือสูญเสียไป ก็ยังเป็นสุขอยู่ได้
เกิดมาทั้งที น่าจะมีโอกาสได้สัมผัสกับ
ความสุขจากการ ให้ และ การ ไม่มี เพราะนั่น
คือสุขที่สงบเย็นและยั่งยืนอย่างแท้จริง
Page 14
10
ความสุขที่ปลายจมูก
ความสุขที่แท้
อาจารย์พานักศึกษากลุ่มใหญ่ไปสัมผัสชีวิต
วัดป่าในภาคอีสาน ตลอด ๒ คืน ๓ วัน นักศึกษา
ไม่ได้เจอน�้าอัดลม ขนมขบเคี้ยว หรืออาหาร
ถูกปากเลย ได้กินแต่ข้าวเหนียว น�้าพริกกับอาหาร
พื้นบ้าน น�้ากินก็มีแต่น�้าฝน ยิ่งกว่านั้น โทรทัศน์
ก็ไม่ได้ดู เพลงก็ไม่ได้ฟัง ไฟฟ้าก็ไม่มี ต้องอาศัย
แสงเทียนในยามค�่าคืน ดังนั้นวินาทีที่ขึ้นรถตู้กลับ
กรุงเทพฯ นักศึกษาจึงดีใจกันมาก และเมื่อรถวิ่ง
เข้าเมือง จุดแรกที่จอดก็คือช็อปปิ้งมอลล์ ทุกคน
Page 15
11
พระไพศาล วิสาโล
ตรงรี่ไปซื้ออาหารในซูเปอร์มาร์เก็ตแล้วขนขึ้นมา
กินบนรถ กินไปก็คุยกันไปด้วยความรื่นเริง
บรรยากาศผิดกับตอนที่อยู่ในวัดอย่างหน้ามือเป็น
หลังมือ แล้วคนหนึ่งก็พูดขึ้นมาว่า “การได้กินของ
อร่อยเป็นความสุขที่สุดในชีวิต”
การได้กินของอร่อยเป็นความสุขอย่าง
แน่นอน แต่ความสุขที่เหนือกว่านั้นยังมีอีกมาก
หลายคนอาจนึกถึงความสุขจากการดูหนัง ฟัง
เพลง ท่องเที่ยว ผจญภัย และบางคนก็นึกถึงความ
สุขทางเพศ และความสุขจากการมีทรัพย์สมบัติ
และอ�านาจ คนกลุ่มหลังอาจไม่สนใจเรื่องอาหาร
การกินเลย แต่มีความสุขกับการมีคู่นอนคนใหม่
รถคันใหม่ หรือต�าแหน่งใหม่ๆ ที่สูงขึ้นเรื่อยๆ
อย่างไรก็ตาม ความสุขทั้งหมดที่กล่าวมา
แม้จะมีแหล่งที่มาแตกต่างกัน แต่ก็มีลักษณะอย่าง
หนึ่งที่เหมือนกัน นั่นคือเป็นความสุขที่เกิดจาก
การเร้าจิตและกระตุ้นผัสสะ อาหารให้ความสุข
แก่เราก็เพราะมันมีรสชาติที่กระตุ้นลิ้น อาหาร
ต้องมีรสเปรี้ยว หวาน เค็ม เผ็ด จึงจะถือว่าอร่อย
ในทางตรงข้ามถ้าเป็นอาหารจืดๆ ก็เบือนหน้าหนี
เลย เพลงที่ถึงใจคือเพลงที่มีจังหวะที่เร็วและเสียง
Page 16
12
ความสุขที่ปลายจมูก
ที่หลากหลาย กระตุ้นใจให้ขึ้นลงตามจังหวะ ถ้า
มีแต่จังหวะเดียวด้วยเครื่องเล่นชิ้นเดียวจะถือว่า
เพราะได้อย่างไร ส่วนหนังที่สนุกก็ต้องมีพล็อต
เรื่องและเทคนิคที่ปลุกเร้าให้เกิดอารมณ์ที่หลาก
หลาย ทั้งตื่นเต้น ร่าเริง เศร้าสลด หรือแม้แต่
ความสยดสยอง และหวาดกลัว หนังที่ไม่มีฉาก
ทะเลาะวิวาท บู๊ล้างผลาญ ฆ่าฟันกัน ขับรถไล่ล่า
และฉากวาบหวิว ย่อมถือว่าไม่สนุก ดูแล้วชวนให้
ง่วงนอน
ในท�านองเดียวกัน ความสุขจากเพศรสคือ
อะไร หากไม่ใช่ความสุขจากการกระตุ้นเร้าให้ตื่น
เต้นทั้งกายและใจจนถึงขีดสุดที่เรียกว่าไคลแม็กซ์
เป็นเพราะความสุขมักจะแยกไม่ออกจากความตื่น
เต้น หลายคนจึงชอบผจญภัย หรือท�าสิ่งที่เสี่ยง
กับอันตราย เช่น ปีนเขา ขับรถซิ่ง รวมไปถึงเล่น
การพนัน เบาลงมาหน่อยก็คือการดูกีฬาซึ่งต้อง
มีการ“ลุ้น”ให้ฝ่ายของตนชนะ และเพื่อเพิ่มความ
ตื่นเต้นให้มากขึ้นจึงต้องมีการพนันขันต่อด้วย
ความสุขจากความตื่นเต้นยังท�าให้หลายคนชอบดู
หนังผี แม้จะกลัวผีก็ตาม ทั้งนี้เพราะชีวิตประจ�า
วันค่อนข้างจืดชืดหรือขาดสิ่งเร้าใจให้ตื่นเต้น
Page 17
13
พระไพศาล วิสาโล
มองให้ลึกลงไปจะพบว่า ความสุขจากการ
ได้ทรัพย์ก็เป็นเรื่องของการเร้าจิตกระตุ้นผัสสะ
เช่นกัน ทันทีที่ได้ของใหม่มาเราย่อมรู้สึกตื่นเต้น
ดีใจ บางคนถึงกับนอนไม่หลับถึงกับลูบคล�าทั้งวัน
ทั้งคืน ในขณะที่ของเดิมที่มีอยู่แล้วไม่สามารถ
ท�าให้เกิดความสุขได้มากเท่า เนื่องจากขาด
มนต์ขลังที่จะปลุกใจให้ตื่นเต้นได้อีกแล้ว เป็น
เพราะความสุขเกิดจากการได้ของใหม่มาเชยชม
คนเป็นอันมากจึงกลายเป็นนักช็อปปิ้งอย่างเอา
จริงจัง ทั้งๆ ที่รู้ว่าซื้อมาแล้วก็อาจไม่มีเวลาได้ใช้
เพราะมีของเต็มบ้าน อันที่จริงเพียงแค่ได้เห็น
ของใหม่ที่แปลกหูแปลกตา ก็ท�าให้มีความสุขแล้ว
Page 18
14
ความสุขที่ปลายจมูก
ด้วยเหตุนี้หลายคนจึงนิยมเที่ยวห้าง ทั้งๆ ที่ไม่
ค่อยมีเงิน จนกลายเป็นติดเที่ยวห้างไปในที่สุด
ความสุขชนิดนี้ท�าให้ชีวิตไม่น่าเบื่อหน่าย
เพราะมีรสชาติแปลกใหม่มาเร้าจิตกระตุ้นใจเสมอ
แต่ปัญหาก็คือความสุขชนิดนี้ท�าให้เราต้องพึ่งพา
วัตถุสิ่งเสพ ซึ่งในยุคปัจจุบันหมายถึงการต้องมี
เงินใกล้มือเพื่อจะได้มีสิ่งเสพอยู่เสมอ ไม่มีเงินก็
ไม่มีความสุข ที่เป็นปัญหายิ่งกว่านั้นก็คือ ไม่ว่ามี
เงินเท่าไรก็ไม่พอเสียที เพราะความสุขชนิดนี้
ต้องการของใหม่อยู่เสมอไม่หยุดหย่อน เพราะ
ของใหม่เท่านั้นที่จะสามารถเร้าจิตกระตุ้นใจได้
ส่วนของเก่านั้นมีแต่จะท�าให้รู้สึกซ�้าซากจ�าเจ
อาหารที่อร่อยนั้น ให้ความสุขก็แต่ในมื้อ
แรกๆ แต่ถ้ากินอาหารจานนั้นอยู่ทุกวันๆ ก็จะ
รู้สึกเบื่อและเอียนในที่สุด เพลงจะไพเราะก็
ต่อเมื่อฟังใหม่ๆ แต่ใครบ้างที่จะฟังเป็น
ร้อยๆ เที่ยว ไม่ช้าไม่นานก็ต้องไป
หาเพลงใหม่มาฟังแทน หนังก็
เช่นกัน ยิ่งดูก็ยิ่งไม่สนุก
เพราะรู้แล้วว่าจะ
ลงเอยอย่างไร
Page 19
15
พระไพศาล วิสาโล
ไม่ตื่นเต้นอีกแล้ว ต้องไปหาเรื่องใหม่มาดู
ความสุขจากเพศรสนั้นก็ต้องการความแปลกใหม่
ด้วยเหมือนกัน ถ้าซ�้าซากเมื่อไร ก็ไม่น่าสนใจ
นี้คือเหตุผลที่คนจ�านวนไม่น้อยต้องไปหาคู่ใหม่
เพื่อหลีกหนีความจ�าเจ หาไม่ก็ต้องมีเทคนิคแปลก
ใหม่ไม่ซ�้าเดิม เพื่อจะได้เพิ่มความสุขจากเพศรส
นอกจากต้องการของใหม่อยู่เสมอแล้ว
บ่อยครั้งก็ต้องเพิ่มปริมาณให้มากขึ้นด้วย ไม่ต่าง
จากคนติดเหล้า บุหรี่ หรือกาแฟ ซึ่งไม่เคยเสพ
เท่าเดิมหรือน้อยกว่าเดิม เพราะเมื่อกายหรือจิต
ถูกกระตุ้นมากขึ้น ก็จะด้านชามากขึ้น รู้สึกได้
น้อยลง ท�านองเดียวกับผิวหนังที่ยิ่งถูกสัมผัส
Page 20
16
ความสุขที่ปลายจมูก
เสียดสีก็ยิ่งหนาและด้าน ดังนั้นถ้าจะกระตุ้นให้
รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาเหมือนเดิมก็ต้องเพิ่มสิ่งเร้าให้
มากขึ้น ดังนั้นนักช็อปปิ้งจึงมักจ่ายหนักขึ้น
เพราะซื้อของแพงกว่าเดิมและมากกว่าเดิม พวก
ที่นิยมความสุขจากเพศรสก็ยิ่งหมกมุ่นกับเรื่อง
เพศมากขึ้น เพิ่มคู่นอนมากขึ้น และมีรสนิยม
พิสดารผาดโผนมากขึ้นจนกลายเป็นความวิปริต
ไป ส่วนนักผจญภัยก็มักไปในที่อันตรายมากขึ้น
และถี่ขึ้น กล่าวอีกนัยหนึ่ง ความสุขจากสิ่งเร้า
ได้กลายเป็นสิ่งเสพติดอย่างหนึ่งไปแล้ว
ผู้ที่พึ่งความสุขชนิดนี้ย่อมไม่รู้จักพอและ
ความพอดี และในเมื่อต้องอาศัยเงินมาซื้อสิ่งเสพ
เพื่อให้ความสุขชนิดนี้ จึงต้องแสวงหาเงินไม่รู้จัก
หยุดหย่อน และได้เงินมาเท่าไรก็ไม่รู้จักพอเสียที
เคยมีการสอบถามชาวอเมริกันว่า “เงินจ�านวน
เท่าใดถึงจะท�าให้คุณมีความสุข” มากกว่าครึ่ง
ตอบว่า “มากกว่าที่มีอยู่ตอนนี้” ถ้าถามคนไทย
โดยเฉพาะในเมือง ก็คงได้ค�าตอบคล้ายกัน แต่มี
ใครบ้างที่จะเฉลียวใจถามตัวเองว่าทุกวันนี้แม้ตน
มีเงินมากกว่าเมื่อหลายปีก่อน แต่มีความสุข
มากกว่าแต่ก่อนหรือไม่ และถึงจะมีความสุขมาก
ขึ้นก็ไม่เคยพอใจเสียที
Page 21
17
พระไพศาล วิสาโล
เป็นเพราะได้เงินมาเท่าไรก็ไม่รู้สึกพอใจกับ
ความสุขที่เกิดขึ้นเสียที การหาเงินจึงกลายเป็น
เรื่องใหญ่ของชีวิต จนอาจกลบความส�าคัญของ
สิ่งอื่น ซึ่งมีความหมายต่อชีวิต เช่น สุขภาพ
สัมพันธภาพ ครอบครัว และความสุขทางจิตใจ
ความสุขแบบนี้ท�าให้เราเป็นทาสของวัตถุ
สิ่งเสพและเงินทองไปได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งยัง
ท�าให้ชีวิตเหนื่อยล้ากับการไล่ล่าหาสิ่งเสพและ
เงินทอง แม้ได้มาแล้วก็ยังต้องคอยปกปักรักษา
มิให้ใครมาแย่งชิง รวมทั้งคอยดูแลรักษามิให้
เสื่อมสลาย บางครั้งซื้อมาแล้วก็เสียดายที่ไม่ได้ใช้
ดังนั้นจึงต้องหาเรื่องและหาโอกาสใช้ กลาย
Page 22
18
ความสุขที่ปลายจมูก
เป็นการเสียเวลาและเพิ่มภาระให้อีก แถมยัง
ตัดสินใจยากเพราะมีของให้เลือกมากมาย
สุดท้ายเมื่อทรัพย์ที่มีอยู่เกิดมีอันเป็นไป เพราะถูก
แย่งชิงหรือเสื่อมไปตามกาลเวลา ก็ต้องมากลัด
กลุ้มเสียใจไปกับมัน
ความสุขแบบนี้จะว่าไปแล้วมีโทษมากกว่า
คุณ เปรียบไปก็ไม่ต่างจากหญ้าแห้งที่แม้สามารถ
จุดไฟให้แสงสว่างได้ แต่ก็ปล่อยควันมามากมาย
ท�าให้เคืองตา ถ้าทั้งชีวิตมีแต่ความสุขชนิดนี้ ก็คง
เหนื่อยยากไม่น้อย แต่อันที่จริงแล้วยังมีความสุข
อีกชนิดหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะตรงข้ามกับความสุข
ชนิดแรก คือแทนที่จะเกิดจากการเร้าจิตกระตุ้น
ใจให้ตื่นเต้น กลับเกิดจากความสงบ ยิ่งจิตถูก
เร้าน้อยเท่าไร ก็ยิ่งสัมผัสกับความสงบและเป็นสุข
มากเท่านั้น
เวลาเรานั่งอยู่บนหาดทรายยามเช้า หรือ
อยู่บนยอดดอยเหนือเมฆ หรืออยู่ริมล�าธารอัน
ใสเย็น ทีแรกเราอาจรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับธรรมชาติ
อันงดงาม แต่เมื่อนั่งเงียบๆ อยู่คนเดียวสักพัก
เราจะเริ่มพบกับความสงบในใจ จะรู้สึกโปร่งเบา
และผ่อนคลายอยู่ภายใน เป็นความสุขที่ดูเรียบ
Page 23
19
พระไพศาล วิสาโล
แต่ลุ่มลึก ตรึงใจให้อยากอยู่ ณ ที่นั้นนานๆ จน
อาจลืมเวลาไปเลย
ในยามนั้นเราได้สัมผัสกับความสุขอีก
ชนิดหนึ่ง ซึ่งจะเข้าถึงได้ก็โดยอาศัยจิตที่สงบ
เท่านั้น ยิ่งสงบมากเท่าไร ก็ยิ่งเป็นสุขมากเท่านั้น
ความสุขชนิดนี้จึงไม่ต้องการสิ่งเร้า แต่อาจอาศัย
สิ่งกล่อมใจเป็นเครื่องช่วย เช่น เสียงดนตรีที่
ละเมียดละไม บทกวีที่ไพเราะงดงาม ดวงดาว
ระยิบระยับในคืนเดือนมืด สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้ใจ
ที่วุ่นวายยุ่งเหยิงค่อยๆ สงบลง จนสัมผัสได้ถึง
ความสุขที่ลึกซึ้ง
Page 24
20
ความสุขที่ปลายจมูก
ความสุขชนิดนี้เราจะรับรู้ได้ก็ต่อเมื่อมีจิตที่
ประณีตละเอียดอ่อน ส�าหรับคนที่มีจิตหยาบ
กระด้างย่อมยากที่จะสัมผัสกับความสุขชนิดนี้ได้
ด้วยเหตุนั้นจึงต้องหันไปหาความสุขที่เกิดจากการ
เร้าจิตกระตุ้นผัสสะ แต่ยิ่งกระตุ้นมากเท่าไร จิต
ก็ยิ่งหยาบ และท�าให้ต้องเข้าหาอารมณ์ที่หยาบ
มากเท่านั้น เช่น เสียงเพลงที่กระแทกกระทั้น
หนังที่เต็มไปด้วยความรุนแรง ตรงกันข้ามคนที่มี
จิตประณีต ย่อมสัมผัสกับความสุขที่ประณีต
ได้ง่าย และยิ่งสัมผัสคุ้นเคยมากเท่าไร จิตก็ยิ่ง
ประณีตขึ้นไปเรื่อยๆ จนแม้แต่ความสงบและ
ความเรียบง่ายที่ไร้การปรุงแต่งก็สามารถท�าให้ใจ
เป็นสุขได้
ความสุขที่เกิดจากความสงบนั้น ทีแรกต้อง
อาศัยความสงบจากสิ่งแวดล้อมเป็นเครื่องช่วย
เช่น อยู่ในป่า หรือในห้องที่ไร้ผู้คน แน่นอนว่าผู้ที่
คุ้นกับความสุขจากสิ่งเร้า เมื่อมาอยู่ป่าอันเงียบ
สงบ ไม่มีหนังดู ไม่มีเพลงฟัง และไม่มีใครคุยด้วย
ใหม่ๆ ก็ย่อมกระสับกระส่าย ยิ่งไม่ค่อยมีอะไร
ให้ท�า จิตก็ยิ่งฟุ้งซ่าน ปรุงแต่งสารพัด แต่เมื่ออยู่
ไปนานๆ จนคุ้นกับความเงียบสงบ จิตก็จะค่อยๆ
Page 25
21
พระไพศาล วิสาโล
สงบ ทีนี้ก็จะเริ่มมีความสุขท่ามกลางบรรยากาศ
ดังกล่าว และอยู่นิ่งๆ ได้นานขึ้น
อย่างไรก็ตามความสงบของจิตที่อาศัย
สิ่งแวดล้อมช่วยนั้น ต้องอาศัยเวลา อีกทั้งเป็น
ความสงบที่ไม่สู้ยั่งยืน เมื่อใดที่ออกจากป่าหรือ
ออกจากห้อง ไปเจอผู้คนมากมายและงานการ
สารพัด ความสงบที่มีก็จะมลายหายไป จิตจะกลับ
มาวุ่นวาย ฟุ้งซ่าน หรือกระเจิดกระเจิงเหมือนเดิม
อีก ดังนั้นจึงจ�าเป็นที่จะต้องมีวิธีการที่ช่วยให้จิต
สงบได้เร็วขึ้นและอยู่ได้นาน
Page 26
22
ความสุขที่ปลายจมูก
วิธีหนึ่งก็คือการฝึกให้จิตจดจ่ออยู่กับสิ่งใด
สิ่งหนึ่ง เพื่อจะได้ไม่ไปเพ่นพ่านฟุ้งซ่านกับเรื่อง
ภายนอก เช่น ให้จิตจดจ่ออยู่กับลมหายใจเข้า
และออก โดยอาจมีการนับตามไปด้วย วิธีนี้เปรียบ
เสมือนการปักจิตให้อยู่กับที่ เมื่อไม่เพ่นพ่านออก
ไปนอกตัว หรือไปขุดคุ้ยเรื่องเก่ามาคิด หรือปรุง
แต่งจินตนาการเรื่องที่ยังมาไม่ถึง จิตก็จะสงบลง
ในที่สุด
การที่จิตสงบเพราะจดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่ง
หนึ่ง เราเรียกว่าจิตเป็นสมาธิ เป็นความสงบที่เกิด
จากการไม่มีเรื่องอะไรให้รับรู้มาก วิธีนี้ต้องอาศัย
ÍÍ¡
Page 27
23
พระไพศาล วิสาโล
สิ่งแวดล้อมช่วยด้วยในระดับหนึ่ง เช่นอยู่ในที่ๆ
ไม่มีเสียงอึกทึกครึกโครม หรือไม่มีงานที่ต้อง
เกี่ยวข้องกับผู้คนมาก ค�าถามก็คือถ้ามีเรื่องที่จะ
ต้องรับรู้หรือมีคนที่จะต้องเข้าไปเกี่ยวข้อง เราจะ
สามารถรักษาจิตให้สงบได้หรือไม่ ค�าตอบคือได้
แต่ต้องอาศัยสติเข้าช่วย
สติช่วยให้เราสามารถรับรู้สิ่งต่างๆ โดยที่
ใจยังสงบได้ เพราะไม่ว่ารับรู้อะไรก็ตาม สติช่วย
ให้ใจปล่อยวางสิ่งต่างๆ ลงไปได้ ไม่ปรุงแต่งจน
วุ่นวาย หรือไม่เข้าไปในอารมณ์หงุดหงิดร�าคาญใจ
ทันทีที่รู้ว่าจิตก�าลังฟุ้งซ่านหรือเริ่มจะขุ่นเคืองใจ
สติก็ดึงจิตออกจากอาการดังกล่าว กลับมาสู่ภาวะ
ปกติ จิตที่มีสติเป็นเครื่องป้องกันจึงปลอดพ้นจาก
สิ่งรบกวน ดังนั้นจึงมีความสงบ และสามารถ
จดจ่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้อย่างต่อเนื่อง จึงเกิดเป็น
สมาธิได้ง่าย
ความสงบของจิตนั้นเกิดขึ้นได้เพราะรู้จัก
ปล่อยวาง เราปล่อยวางได้เพราะสติช่วยให้เรา
รู้ทันว่าก�าลังเกิดขึ้นอะไรกับจิต ช่วยให้ไม่เผลอ
เข้าไปในความฟุ้งซ่าน แต่ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ช่วยให้
เราปล่อยวางได้อย่างรวดเร็ว นั่นก็คือปัญญา
Page 28
24
ความสุขที่ปลายจมูก
ได้แก่ ความรู้เท่าทันในความเป็นจริงของชีวิต
ความสูญเสียพลัดพรากจากคนรักไม่ท�าให้เรา
เศร้าโศกกลุ้มใจจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ นั่นก็
เพราะเรามีปัญญาตระหนักชัดว่านี้เป็นธรรมดา
ของชีวิต เมื่อถูกต�าหนิติเตียนเราก็ไม่โกรธ เพราะ
รู้ว่ามีสรรเสริญก็ต้องมีนินทาเป็นธรรมดาของโลก
ปัญญาช่วยให้เราไม่ทุกข์ไปกับความผันผวน
ปรวนแปรของชีวิตและโลก จึงสามารถรักษาใจให้
สงบได้
สติและปัญญา ท�าให้เราสามารถรักษาใจ
ให้สงบได้ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด ในสถานการณ์อะไร
ก็ตาม จึงน�าความสุขอันประณีตมาให้แก่เราได้
ในทุกโอกาส แม้จะอยู่บนท้องถนน ในเมือง หรือ
ท่ามกลางฝูงชน ไม่ว่าจะประสบความส�าเร็จหรือ
ความล้มเหลวก็ยังเป็นปกติอยู่ได้ จึงเป็นความ
สุขที่ไม่ต้องพึ่งพาสิ่งภายนอก และประเสริฐกว่า
ความสุขที่เกิดจากการเร้าจิตกระตุ้นใจซึ่งต้อง
อาศัยสิ่งเร้า เป็นความสุขที่ท�าให้เราไม่ต้องดิ้นรน
ไล่ล่าหรือเหนื่อยยากกับการรักษาทรัพย์สมบัติ
จึงท�าให้เราเป็นอิสระอย่างแท้จริง นี้ใช่ไหมที่เป็น
ความสุขที่เราควรมีโอกาสสัมผัสขณะที่ยังมีลม
หายใจอยู่
Page 29
25
พระไพศาล วิสาโล
ความสุขชนิดนี้มิใช่สิ่งไกลเกินเอื้อม หากมี
อยู่แล้วในทุกขณะ และสามารถพบได้กลางใจของ
เรานี้เอง
Page 30
26
ความสุขที่ปลายจมูก
ชีวิตพอเพียง
คุณอยากได้กล้องถ่ายรูปแบบดิจิตอลสัก
ตัวหนึ่ง หลังจากหาข้อมูลมาหลายวันทั้งจาก
หนังสือพิมพ์และคนรู้จัก ก็ตัดสินใจได้ว่าจะซื้อ
ยี่ห้อและรุ่นอะไร คุณใช้เวลา ๒-๓ วันในการหา
ร้านที่ขายถูกที่สุด แล้วคุณก็พบร้านหนึ่งซึ่งขาย
ต�่ากว่าราคาทั่วไปถึง ๒๕% คุณตัดสินใจควัก
เงิน ๗,๕๐๐ บาท แล้วพากล้องใหม่กลับบ้านด้วย
ความปลื้มใจที่ได้ทั้งของดีและราคาถูก
Page 31
27
พระไพศาล วิสาโล
แต่เมื่อกลับถึงบ้าน ตั้งใจว่าจะไปเล่าให้
เพื่อนบ้านฟัง แต่กลับพบว่าเขาเพิ่งซื้อกล้องยี่ห้อ
และรุ่นเดียวกับคุณ แต่ซื้อได้ถูกกว่านั้น คือจ่ายไป
เพียง ๕,๐๐๐ บาทเท่านั้น คุณจะรู้สึกอย่างไร?
ยังจะยิ้มได้อีกหรือไม่ ?
ถ้าคุณยิ้มไม่ออก ก็น่าถามตัวเองว่าท�าไม
ถึงเป็นเช่นนั้น? ก็คุณเพิ่งได้ของใหม่มา แถม
จ่ายน้อยกว่าคนทั่วไป อีกทั้งสินค้าก็มีคุณภาพ
และถูกใจคุณเสียด้วย ทั้งหมดนี้เป็นเหตุผลที่คุณ
น่าจะดีใจมิใช่หรือ? แต่ท�าไมคุณถึงเสียใจหรือถึง
กับโมโหตัวเอง เป็นเพราะคุณไปเปรียบเทียบกับ
เพื่อนบ้านใช่หรือไม่?
คุณมีกล้องดีที่น่าพอใจ แต่ทันทีที่คุณไป
เปรียบเทียบกับกล้องของคนอื่น ความรู้สึกไม่
พอใจก็เข้ามาแทนที่ คนเราไม่พอใจกับสิ่งที่ตนมี
ก็เพราะเหตุนี้ จึงมีผู้กล่าวว่าการเปรียบเทียบกับ
คนอื่นเป็นหนทางลัดไปสู่ความทุกข์ เคยสังเกต
หรือไม่ว่า มีคนจ�านวนไม่น้อยที่มักคิดว่ารถของคน
อื่นดีกว่ารถของตัว แฟนของคนอื่นสวย(หรือหล่อ)
กว่าแฟนของตัว ลูกของคนอื่นเก่งกว่าลูกของตัว
และอาหารที่คนอื่นสั่งมักน่ากินกว่าจานของตัว
Page 32
28
ความสุขที่ปลายจมูก
ถ้าคุณเป็นหนึ่งในจ�านวนนั้น ชีวิตจะหาความสุข
ได้ยาก แม้จะได้มามากเท่าไร ก็ไม่พอใจเสียที
อย่าว่าแต่ของที่ซื้อมาด้วยเงินของตัวเลย
แม้ของที่เราได้มาฟรีๆ เช่น ได้โทรศัพท์มือถือ
มาฟรีๆ ๑ เครื่อง ที่จริงน่าจะดีใจ แต่เมื่อรู้ว่าคน
อื่นได้รับแจกรุ่นที่ดีกว่าและแพงกว่า จากเดิมที่
เคยยิ้มจะหุบทันที แถมยังจะทุกข์ยิ่งกว่าตอนที่ยัง
ไม่ได้รับแจกด้วยซ�้า นั่นเป็นเพราะไปเปรียบเทียบ
กับคนอื่นใช่ไหม? ทั้งๆ ที่ตนมีโชคแล้ว แต่ก็ยัง
รู้สึกว่าตนโชคไม่ดีเหมือนคนอื่น
Page 33
29
พระไพศาล วิสาโล
ความทุกข์ของผู้คนสมัยนี้ส่วนใหญ่เกิด
ขึ้นเพราะไปมองคนอื่นมากเกินไป เราจึงไม่เคย
พอใจกับสิ่งที่มีหรือเป็นเสียที แม้ว่าจะสวยหรือ
หุ่นดีเพียงใด ก็ยังรู้สึกว่าตัวเองขี้เหร่ ผมไม่สลวย
ผิวคล�้าไป แถมวงแขนก็ไม่ขาวนวลเหมือนดารา
แต่เมื่อใดที่เราหันมาพอใจกับสิ่งที่ตนมี มองเห็น
แง่ดีของสิ่งที่มีอยู่และเป็นอยู่ ความสุขจะเพิ่มพูน
ขึ้นมามากมายทันที จิตใจจะเบาขึ้น และชีวิตจะ
หายเหนื่อย เพราะไม่เห็นความจ�าเป็นที่จะต้องวิ่ง
ไล่ล่าหาซื้อสิ่งของต่างๆ มากมายเพียงเพื่อจะได้มี
เหมือนคนอื่นเขา
พอใจในสิ่งที่เรามี ภูมิใจในสิ่งที่เราเป็น
เห็นคุณค่าของสิ่งที่มีอยู่กับตัว นี้คือเคล็ดลับสู่ชีวิต
ที่เบาสบายและสงบเย็น ด้วยเหตุนี้ “สันโดษ” จึง
เป็นสิ่งที่มีความส�าคัญอย่างยิ่งต่อชีวิต
สันโดษไม่ได้หมายถึงการอยู่คนเดียวไม่
สุงสิงกับใคร และไม่ได้หมายถึงความเฉื่อยเนือย
ไม่กระตือรือร้น แต่คือความพอใจในสิ่งที่เรามีและ
ยินดีในสิ่งที่เราเป็น ไม่ปรารถนาสิ่งที่อยู่ไกลตัว
หรือเป็นของคนอื่น ถ้ามีสันโดษก็จะพบกับความ
สุขในปัจจุบันทันที แต่ถ้าไม่มีสันโดษ ก็ต้องหวัง
Page 34
30
ความสุขที่ปลายจมูก
ความสุขจากอนาคต ซึ่งก็ไม่แน่ว่าจะมาถึงหรือ
ไม่ แต่จะมาหรือไม่มา ที่แน่ๆ ก็คือไม่มีความสุข
กับปัจจุบัน
คนที่ไม่รู้จักสันโดษจึง “ขาดทุน” สอง
สถาน คือนอกจากจะไม่มีความสุขกับสิ่งที่มีอยู่
แล้ว ยังเป็นทุกข์เพราะสิ่งที่ปรารถนายังมาไม่ถึง
ในทางตรงข้าม คนที่พอใจในสิ่งที่มีอยู่หรือเป็น
อยู่ แม้สิ่งที่ดีกว่ายังมาไม่ถึง ก็ยังมีความสุขอยู่
·Ó
äÁ
·Ó
äÁ
·Ó
äÁ
·Ó
äÁ
·Ó
äÁ
Page 35
31
พระไพศาล วิสาโล
กับตัว และเมื่อสิ่งที่ดีกว่ามา
ถึง ก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้น ผู้
ที่รู้จักสันโดษจึงมีความสุขในทุก
สถาน แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะ
งอมืองอเท้าหรือนั่งเล่นนอนเล่นอยู่เฉยๆ เขายังมี
ความขยันหมั่นเพียร ปรับปรุงตนเองและงานการ
ให้เจริญก้าวหน้าอยู่เสมอ แต่ขณะที่ท�านั้นก็ยังมี
ความสุขกับสิ่งที่มีอยู่เป็นอยู่ โดยไม่หวังความสุข
จากสิ่งที่คอยอยู่ข้างหน้า
เมื่อรู้จักพอใจในสิ่งที่มีหรือเป็น เราก็รู้
ว่าเมื่อไรควรพอเสียที ในทางตรงกันข้ามคนที่
ไม่พอใจในสิ่งที่มีหรือเป็น ได้เท่าไรก็ไม่รู้จักพอ
จริงอยู่ตอนได้มาใหม่ๆ ก็มีความสุขดีอยู่หรอก
แต่ไม่นานความสุขนั้นก็เลือนหายไป ของใหม่
นั้นเมื่อกลายเป็นของเก่า เสน่ห์ดึงดูดใจก็มักจะ
จางลง ยิ่งชอบเปรียบเทียบกับคนอื่น เห็นเขามี
ของดีกว่าสวยกว่า ความรู้สึกไม่พอใจกับสิ่งที่ตน
มีอยู่ก็เพิ่มมากขึ้น ท�าให้ต้องหามาใหม่ แต่เมื่อ
ได้มาแล้วก็เข้าสู่วงจรเดิม จึงไม่แปลกที่บางคน
แม้มีรองเท้า ๓๐๐ คู่แล้วก็ยังไม่รู้จักพอเสียที ยัง
อยากได้คู่ใหม่อยู่อีก มีซีดีเพลงนับพันแผ่นแล้ว
Page 36
32
ความสุขที่ปลายจมูก
ก็ยังอยากได้แผ่นใหม่อยู่อีก ในท�านองเดียวกัน
เศรษฐีแม้มีเงินหมื่นล้านแล้วก็ยังอยากได้เพิ่มอีก
หนึ่งล้าน แน่นอนว่าเมื่อได้มาแล้วก็ยังอยากได้
เรื่อยไป ค�าถามก็คือแล้วเมื่อไรจึงจะพอเสียที?
ชีวิตที่ไม่รู้จักพอใจสิ่งที่มีหรือเป็น คือชีวิต
ที่ต้องวิ่งไม่หยุดเหมือนคนที่วิ่งหนีเงากลางแดด
วิ่งเท่าไรๆ เงาก็ยังวิ่งไล่ตาม ไม่ว่าจะวิ่งไปได้
ไกลแค่ไหน เงาก็ยังตามอยู่ดี มิหน�าซ�้ายิ่งวิ่งก็
ÅÒÀ
ÂÈ
Page 37
33
พระไพศาล วิสาโล
ยิ่งเหนื่อย แดดก็ยิ่งเผา ท�าอย่างไรดีถึงจะหนีเงา
พ้น? ค�าตอบก็คือเข้ามานั่งนิ่งๆ อยู่ใต้ร่มไม้ ไม่
ต้องวิ่ง เพียงแต่รู้จักหยุดให้เป็น ไม่เพียงเงาจะ
หายไป ยังได้สัมผัสกับความสงบเย็น อีกทั้งยัง
หายเมื่อยล้าด้วย
ชีวิตที่รู้จักพอย่อมมีความสุขกว่าชีวิตที่
ดิ้นรนไม่หยุด ขณะเดียวกันก็มีเวลาส�าหรับการท�า
สิ่งที่มีคุณค่าต่อชีวิต แทนที่จะตั้งหน้าตั้งตาหาเงิน
ไล่ล่าหาสินค้ารุ่นใหม่ หรือเอาแต่เที่ยวช็อปปิ้ง ก็มี
เวลาอยู่กับครอบครัวมากขึ้น ได้ท�างานช่วยเหลือ
ชุมชน ศึกษาหาความรู้ และฝึกฝนพัฒนาจิตใจ
คุณภาพชีวิตจะเจริญงอกงามมากขึ้นและมีความ
สุขมากขึ้นด้วย
ชีวิตที่รู้จักพอนั้นนอกจากจะเกิดขึ้นได้
เพราะมีความพอใจในสิ่งที่มีอยู่และเป็นอยู่ดังได้
กล่าวมาแล้ว อีกปัจจัยหนึ่งที่ส�าคัญมากก็คือ การ
ตระหนักชัดในคุณและโทษของวัตถุสิ่งเสพ วัตถุ
หรือสิ่งเสพรวมไปถึงทรัพย์สมบัติทั้งหลายนั้น มี
ประโยชน์ตรงที่ให้ความสุขในทางกาย เช่น ท�าให้
มีความเป็นอยู่ที่สุขสบาย ท�าให้สามารถท�ากิจการ
งานต่างๆ ได้อย่างสะดวก เช่น รถยนต์ช่วยให้
Page 38
34
ความสุขที่ปลายจมูก
เดินทางได้รวดเร็ว เป็นต้น แต่ในเวลาเดียวกัน
มันก็มีโทษอยู่ด้วย ประการแรกก็คือภาระในทาง
จิตใจ เช่น ท�าให้เกิดความห่วงกังวลอยู่เสมอว่า
จะมีใครขโมยไปหรือไม่ และถ้าหายไปก็ยิ่งทุกข์
ประการต่อมาคือภาระในการดูแลรักษาและ
ป้องกัน บ่อยครั้งยังเป็นภาระในการใช้ด้วย เพราะ
เมื่อซื้อมาแล้วถ้าไม่ใช้ก็รู้สึกเสียดาย จึงต้องเจียด
เวลามาใช้มัน ท�าให้มีเวลาว่างเหลือน้อยลง
วัตถุสิ่งเสพนั้นไม่ได้ดึงเงินไปจากกระเป๋า
ของเราเท่านั้น แต่ยังแย่งชิงเวลาและพลังงาน
จากเราไป ยิ่งมีวัตถุสิ่งเสพมากเท่าไร เวลาและ
พลังงานส�าหรับเรื่องอื่นก็มีน้อยลง สมบัติบาง
อย่างนั้นดูเผินๆ เหมือนกับท�าให้เรามีเวลามาก
ขึ้น เช่น รถยนต์ แต่หากพิจารณาให้ถี่ถ้วนอาจ
พบว่ารถยนต์นั้นช่วยประหยัดเวลาให้แก่เราไม่ได้
มากอย่างที่นึก เคยมีผู้ค�านวณเวลาทั้งหมดที่ใช้
ไปกับรถยนต์ เริ่มตั้งแต่เวลาที่ใช้ในการ
หาเงินมาซื้อรถ ซื้อน�้ามัน จ่ายค่า
อะไหล่ ค่าซ่อมรถ ค่าประกัน
และค่าภาษี รวมทั้งเวลาที่
ใช้ไปกับการดูแลรักษารถ
OIL
Page 39
35
พระไพศาล วิสาโล
เช่น ล้างรถ น�ารถไปตรวจสภาพ น�ารถไปซ่อม
ตลอดจนเวลาที่ใช้ในการขับรถและหาที่จอดรถ
เมื่อเอาเวลาทั้งหมดไปหารกับระยะทางที่เดินทาง
ด้วยรถยนต์ ค�าตอบที่ได้คือ ๘ กิโลเมตรต่อชั่วโมง
หมายความว่า แม้ว่าเราจะขับรถด้วยความเร็ว
๘๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ในความเป็นจริงแล้ว
๘ กิโลเมตรต่อชั่วโมงคือตัวเลขสุทธิจากการเดิน
ทางด้วยรถยนต์ พูดอีกอย่างคือรถยนต์ไม่ได้ช่วย
ให้เราเดินทางเร็วกว่ารถจักรยานสักเท่าไรเลย
เวลาที่สูญเสียไปกับรถยนต์ตลอดจนวัตถุ
สิ่งเสพทั้งหลายนั้น มีมากกว่าที่เราคิด สิ่งที่
àÇÅÒ
Page 40
36
ความสุขที่ปลายจมูก
ช่วยประหยัดเวลานั้นบ่อยครั้งก็ไม่ได้ช่วยให้เรา
มีเวลาว่างมากขึ้นเลย ดังเห็นได้ว่ายิ่งมีรถยนต์
มากเท่าไร คนก็ยิ่งเสียเวลาอยู่บนรถยนต์มาก
เท่านั้น และมีเวลาอยู่ในบ้านน้อยลง การพัฒนา
ความเร็วของรถยนต์ให้เพิ่มมากขึ้น ไม่ได้ช่วยให้
คนมีเวลาเป็นของตนเองเพิ่มขึ้นเลย กลับมีน้อยลง
ด้วยซ�้า น่าแปลกใจไหมว่าคนในสังคมสมัยใหม่
แม้มีอุปกรณ์ประหยัดเวลาอยู่เต็มบ้าน แต่เหตุใด
กลับมีเวลาว่างน้อยกว่าคนในชนบทซึ่งไม่มีแม้แต่
รถยนต์ หม้อหุงข้าวไฟฟ้า หรือมาม่า ในขณะที่
คนชนบทมีเวลานั่งเล่นอยู่กับลูกหลานและกินข้าว
พร้อมหน้ากับคนในบ้าน แต่คนในเมืองกลับแทบ
ไม่มีเวลาท�าเช่นนั้นเลย
มองให้ถี่ถ้วนแล้ว “ต้นทุน” ที่ต้องจ่ายให้แก่
วัตถุสิ่งเสพนั้นไม่ได้มีแค่ เงิน เวลา พลังงาน และ
ภาระทางจิตใจเท่านั้น มันอาจรวมไปถึงวิถีชีวิตที่
พึงปรารถนาด้วย
หนุ่มผู้หนึ่งได้ไปฝึกบ�าเพ็ญพรตกับครู
ผู้เฒ่า การปฏิบัติของเขาเจริญก้าวหน้าเป็นล�าดับ
จนอาจารย์ไม่มีอะไรจะสอนเขาอีกแล้ว จึงแนะ
ให้เขาแยกไปปฏิบัติแต่ผู้เดียวในอีกด้านหนึ่งของ
หุบเขา
Page 41
37
พระไพศาล วิสาโล
ชายหนุ่มตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติธรรม แต่แล้ว
วันหนึ่งก็พบว่าเสื้อของเขาซึ่งมีอยู่ตัวเดียวถูกหนู
กัดจนเป็นริ้วขณะผึ่งลม เขาไปขอเสื้ออีกตัวจาก
ชาวบ้าน แต่หนูก็กัดอีกจนเป็นรู เขาจึงไปขอแมว
มาตัวหนึ่ง ปัญหาจากหนูหมดไป แต่มีปัญหาใหม่
เกิดขึ้นมา แมวต้องกินนม ดังนั้นนอกจากขอ
อาหารแล้วเขายังต้องขอนมจากชาวบ้าน ในที่สุด
เขาแก้ปัญหาด้วยการเอาวัวมาเลี้ยง แต่ก็
ท�าให้เขามีเวลาภาวนาน้อยลงเพราะ
ต้องไปตัดหญ้ามาเลี้ยงวัว เขาจึง
ไปจ้างคนงานมาดายหญ้า
Page 42
38
ความสุขที่ปลายจมูก
ท�าไปได้สักพักเงินก็ร่อยหรอ จึงต้องไป
จาริกขอเงินจากชาวบ้านถี่ขึ้นและไกลขึ้น กลาย
เป็นเรื่องยุ่งยากขึ้นมา สุดท้ายเขาก็แก้ปัญหาด้วย
การแต่งงานกับสาวคนงานเสียเลย นอกจากจะ
ไม่เสียเงินแล้ว ยังได้ภรรยามาช่วยงานบ้านและ
ช่วยท�ามาหากินให้ด้วย ไม่นานเขาก็กลายเป็น
เศรษฐีในหมู่บ้าน
หลายปีต่อมาอาจารย์เฒ่าผ่านมาเยี่ยมเขา
อาจารย์ตกใจที่เห็นคฤหาสน์หลังใหญ่มาแทนที่
กระท่อม เมื่อพบลูกศิษย์ อาจารย์ถามว่าเกิด
อะไรขึ้น ค�าตอบของลูกศิษย์ก็คือ “อาจารย์อาจ
ไม่เชื่อผม แต่ไม่มีวิธีอื่นอีกแล้วที่ผมจะรักษาเสื้อ
ของผมไว้ได้”
Page 43
39
พระไพศาล วิสาโล
ชายหนุ่มเริ่มต้นด้วยชีวิตนักพรตแต่
สุดท้ายก็ลงเอยด้วยการแต่งงานและกลายเป็น
เศรษฐี ทั้งหมดนี้เริ่มต้นที่การหาแมวมาเลี้ยงที่
บ้านเพื่อแก้ปัญหาหนูกัดเสื้อ วิธีนี้สะดวกก็จริง แต่
ที่เขานึกไม่ถึงก็คือมันมีภาระติดตามมาด้วย คือ
ต้องหานมมาเลี้ยงแมว ทุกครั้งที่เขาแก้ปัญหาด้วย
วิธีที่สะดวกแรง ก็จะมีปัญหาอื่นติดตามมาเป็น
ลูกโซ่ จนชีวิตเหินห่างจากจุดหมายที่ตั้งไว้ หาก
เขาเพียงแต่ลงแรงท�ากับดักหนู หรือหาวิธีแขวน
เสื้อให้ไกลหนู ชีวิตก็คงไม่กลับตาลปัตรเช่นนั้น
เรื่องนี้ไม่ได้เป็นอุทาหรณ์ส�าหรับนักพรต
หรือผู้ปฏิบัติธรรมเท่านั้น แต่ยังเป็นบทเรียน
ส�าหรับทุกคนว่า ความสะดวกสบายนั้นไม่ใช่สิ่งที่
ได้มาเปล่าๆ แต่ต้องแลกมาด้วยบางสิ่งบางอย่าง
ที่อาจมีคุณค่าต่อชีวิตของเรา และสิ่งนั้นอาจหมาย
ถึงจุดหมายหรือวิถีชีวิตที่พึงปรารถนา ตัวอย่าง
ที่ชัดเจนคือ โทรศัพท์มือถือ และอินเตอร์เน็ต
เทคโนโลยีทั้งสองช่วยให้เราติดต่อสื่อสารกับผู้อื่น
ที่อยู่ไกลได้สะดวกขึ้น แต่ยิ่งติดต่อได้สะดวก ก็
ยิ่งชวนให้ใช้บ่อยขึ้น จนในที่สุดผู้ใช้กลับไม่มีเวลา
ที่จะให้กับครอบครัวหรือคนที่บ้าน ความสัมพันธ์
Page 44
40
ความสุขที่ปลายจมูก
เหินห่างจนหมางเมิน ซึ่งเท่ากับผลักดันให้ไป
หมกมุ่นกับเทคโนโลยีมากขึ้น จนเกิดช่องว่างใน
การสื่อสารกับผู้คนโดยเฉพาะคนใกล้ชิด ดังเห็น
ได้จากหนุ่มสาวจ�านวนมากในปัจจุบัน
ความตระหนักถึงโทษหรือภาระที่เกิดจาก
วัตถุสิ่งเสพ ไม่ว่าจะสะดวกสบายหรือสนุกสนาน
เอร็ดอร่อยเพียงใด ช่วยให้เรามีความระมัดระวัง
ในการใช้สอยและครอบครองวัตถุสิ่งเสพทั้งหลาย
ไม่ส�าคัญผิดไปว่ายิ่งมีมากเท่าไรยิ่งดี มีความ
ใคร่ครวญมากขึ้นว่ามีเท่าไรถึงจะพอดี บริโภค
แค่ไหนถึงจะเป็นคุณมากกว่าโทษ
MINDOWS LIVE MESSENGER
Page 45
41
พระไพศาล วิสาโล
ความพอใจในสิ่งที่มีอยู่เป็นอยู่นั้นเป็นเรื่อง
คุณภาพจิต ส่วนความเข้าใจหรือตระหนักถึงคุณ
และโทษของวัตถุสิ่งเสพนั้นเป็นเรื่องของปัญญา
ทั้งคุณภาพจิตและปัญญาดังกล่าวช่วยให้ชีวิตรู้จัก
พอและเกิดความพอดีในการบริโภคและใช้สอย
อย่างไรก็ตามบางครั้งแม้จะรู้ว่าเท่าไรถึงจะพอดี
แต่ใจไม่คล้อยตาม ยังติดในความสะดวกสบาย
หรือเอร็ดอร่อย ท�าให้ไม่รู้จักพอในการบริโภค
หรือครอบครอง
ในกรณีเช่นนี้สิ่งหนึ่งที่จะช่วยได้คือการ
ก�าหนดขอบเขตให้แก่ตนเอง ว่าจะบริโภคเท่าไรใน
แต่ละวัน หรือซื้อได้เท่าไรในแต่ละเดือน เช่น
คนที่ติดอินเตอร์เน็ตหรือโทรทัศน์ ควรก�าหนด
ว่าจะใช้หรือดูอย่างมากที่สุดวันละกี่ชั่วโมง ส่วน
คนที่ติดช็อปปิ้งก็อาจก�าหนดวินัยให้ตัวเองว่าจะ
เข้าห้างเพียงสัปดาห์ละครั้ง และจะเข้าก็ต่อเมื่อ
มีรายการสินค้าอยู่ในมือแล้วเท่านั้น และจะไม่
ซื้อสิ่งที่อยู่นอกรายการ ดียิ่งกว่านั้นก็คือ จะงด
ใช้บัตรเครดิตช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ หรือมีบัตร
เครดิตไม่เกิน ๒ ใบ เป็นต้น
Page 46
42
ความสุขที่ปลายจมูก
การมีวินัย ความพอใจในสิ่งที่มี และการ
มีปัญญาเห็นถึงคุณและโทษของสิ่งเสพ คือปัจจัย
สามประการที่ช่วยให้เกิดทั้งความรู้จักพอและ
ความพอดีในการบริโภคใช้สอย
น�าพาชีวิตสู่มิติใหม่ที่เป็นนายเหนือวัตถุ
เพราะสามารถรู้จักใช้ให้เป็นเครื่องมือสร้างความ
เจริญงอกงามแก่ชีวิตได้ โดยไม่ต้องตกเป็นทาส
ของมันดังแต่ก่อน
Page 47
สื่อและหนังสือ จาก
เครือข่ายพุทธิกา
๑. เป็นไทย เป็นพุทธ และเป็นสุข
พระไพศาล วิสาโล ราคา ๗๕ บาท
๒. ซีดีเสียง บทพิจารณาตายก่อนตาย
ราคาแผ่นละ ๕๐ บาท
๓. ซีดี รวมบทความมองย้อนศร
ราคาแผ่นละ ๓๐ บาท
๔. ซีดี รวมบทความมองอย่างพุทธ
ราคาแผ่นละ ๓๐ บาท
๕. ดีวีดี สู่ความสงบที่ปลายทางบทเรียนชีวิต
ในยามเจ็บป่วย
ราคาแผ่นละ ๕๐ บาท
๖. ระลึกถึงความตายสบายนัก พระไพศาล วิสาโล
เขียน/เรียบเรียง ราคา ๔๐ บาท
๗. ชีวิตและความตายในสังคมสมัยใหม่
พระไพศาล วิสาโล, สุลักษณ์ ศิวรักษ์, นิธิ เอียวศรีวงศ์
และพรทิพย์ โรจนสุนันท์
เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ด�าเนินรายการ ราคา ๕๕ บาท
๘. ความตายในทัศนะของพุทธทาสภิกขุ
โดย พระดุษฎี เมธังกุโร, สันต์ หัตถีรัตน์,
เอกวิทย์ ณ ถลาง, นิธิพัฒน์ เจียรกุล,
สุวรรณา สถาอานันท์ และประชา หุตานุวัตร
ราคา ๗๐ บาท
Page 48
๙. บทเรียนจากผู้จากไป
น.พ.เต็มศักดิ์ พึ่งรัศมี และอโนทัย เจียรสถาวงศ์
บรรณาธิการ ราคา ๑๐๐ บาท
๑๐. เผชิญความตายอย่างสงบ :
สาระและกระบวนการเรียนรู้ เล่ม ๒
พระไพศาล วิสาโล และคณะเขียน
นงลักษณ์ ตรงศีลสัตย์ บรรณาธิการ ราคา ๙๙ บาท
๑๑. ฝ่าพ้นวิกฤตศีลธรรมด้วยทัศนะใหม่
พระไพศาล วิสาโล เขียน/เรียบเรียง ราคา ๘๐ บาท
๑๒. สุขสุดท้ายที่ปลายทาง
กรรณจริยา สุขรุ่ง เขียน ราคา ๑๙๐ บาท
๑๓. รุ่งอรุณที่สุคะโต
พระไพศาล วิสาโล ราคา ๖๐ บาท
๑๔. วิถีพุทธ วิถีไท ในยุคบริโภคนิยม
พระไพศาล วิสาโล สมทบค่าพิมพ์ ๑๐ บาท
๑๕. เหนือความตาย : จากวิกฤตสู่โอกาส
พระไพศาล วิสาโล เขียน/เรียบเรียง ราคา ๑๒๐
บาท
๑๖. ฉลาดทำาใจ หนักแค่ไหนก็ไม่ทุกข์
สุขเพียงใดก็ไม่พลั้ง
พระไพศาล วิสาโล ราคา ๙๙ บาท
๑๗. มองอย่างพุทธ เพื่อความเข้าใจในชีวิต
และสังคม
พระไพศาล วิสาโล, อรศรี งามวิทยาพงศ์
และสมเกียรติ มีธรรม, พจน์ กริชไกรวรรณ
บรรณาธิการ ราคา ๗๕ บาท
ว.วชิรเมธี...เพราะฉันขัน ตะวันจึงขึ้น
...อย่าทำงานจนป่วยตาย อย่าหลงใหลตัวเอง
...โดย ว.วชิรเมธี ผู้อำนวยการสถาบันวิมุตตยาลัย
ที่วัดเซนแห่งหนึ่งในประเทศญี่ปุ่น มีไก่อยู่ครอบครัวหนึ่ง
หัวหน้าครอบครัวเป็นผู้บริหารที่เก่งมาก กางปีก
ปกป้องภรรยาและลูกทุกตัว อยู่กันมาอย่างมีความสุข
ทุกๆ เช้าเวลาตีห้าไก่ผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวจะบินขึ้นไปเกาะอยู่บนกิ่งไม้
และโก่งคอขันเสียงก้องไปทั้งพงไพร
ประมาณหกโมงเช้า พระอาทิตย์ก็จะ
อรุโณทัยฉายแสงขึ้นมาส่องแสงสว่างไปทั่วทั้งสากลโลก
ไก่สี่ตัวนี้จะมีความสุขมากที่ได้เห็นตะวันค่อยๆ ทอแสงสุขสว่างขึ้นมา
เขาจะยืนชื่นชมแสงตะวัน และก็ยืนภาคภูมิใจว่า
เพราะฉันขันตะวันจึงขึ้น มีความสุข นี่คือผลงานของฉัน
ทุกๆ เช้าไก่ตัวนี้ก็จะบินขึ้นมาเกาะกิ่งไม้
และเมื่อขันเสร็จแล้วก็รอดูตะวันขึ้นที่เหนือยอดเขา พอตะวันขึ้น
เสร็จแล้วก็บินกลับลงมาหาอยู่หากินกับลูกกับเมีย เขามีความสุขมาก
ต่อมาวันหนึ่ง เนื่องจากตรากตรำภาระหนักเหลือเกิน ร่างกายทนไม่ไหวก็ป่วย
เช้าตรู่วันนั้นไก่ตัวนั้นก็บินขึ้นไปเกาะกิ่งไม้ที่เดิม ขณะจะขันเพื่อเรียกตะวันขึ้น
ก็ร่วงตกลงมา รู้สึกไม่มีเรี่ยวไม่มีแรง ลูกชายซึ่งเป็น
ไก่โต้งคนรุ่นใหม่ไฟแรงเดินเข้ามาประคองพ่อ
"พ่อ ผมว่าถ้าพ่อขันไม่ไหว วันนี้ผมขันแทนเอาไหม"
ไก่พ่อซึ่งเป็นซีอีโอ ก็ยืดอกขึ้นมาชี้หน้าลูก
"น้ำหน้าอย่างแก ถ้าขันตะวันมันจะขึ้นไหม หัดดูเงาหัวตัวเองซะบ้างสิ"
เจอผู้ใหญ่ดับฝันแบบนี้ลูกหัวหดเลย
เช้าตรู่วันนั้นทั้งๆ ที่ป่วย ไก่ซีอีโอตัวนี้ก็บินขึ้นไปเกาะบนกิ่งไม้
และก็ขันครั้งสุดท้าย ขันได้ครั้งเดียว ตกลงมาดิ้นพราดๆ
ก่อนจะขาดใจตาย เรียกประชุมผู้ถือหุ้นด่วน
ทั้งภรรยาและลูกมากันครบ สั่งเสียว่า
"เธอที่รัก ลูกพ่อ ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไปพี่คงไม่มีชีวิตอยู่ต่ออีกแล้ว
และจากนี้เป็นต้นไป พอพี่ไม่ขัน ตะวันก็จะไม่ขึ้น โลกก็จะเข้าสู่กลียุค
ฉะนั้นขอให้เธอและลูกดูแลบริษัทของเราให้ดีๆ
ถ้าไม่มีพี่แล้วจะอยู่กันด้วยความยากลำบาก มนุษยชาติก็จะถึงคราววิบัติ
ดูแลกันดีๆ นะที่รัก"
เสร็จแล้วก็ล่วงลับดับขันธ์ไป พร้อมกับความเข้าใจผิดว่า
เพราะฉันขันตะวันจึงขึ้น หารู้ไม่ว่าวันรุ่งขึ้น พอ
ไก่ตัวนี้ตายไปแล้ว ตะวันก็ยังขึ้นเหมือนเดิม
โลกดำเนินต่อไปไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ไก่ตัวนั้นไม่ได้นำเอาตะวันไปด้วยสักนิด
พระอาทิตย์ยังคงอุทัย พระจันทร์ยังคงทอแสง สายน้ำยังคงไหลเอื่อย
ดอกไม้ยังคงผลิบาน โลกนี้ยังคงมีข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์
นกก็ยังมีข้าวปลาอาหาร คนต่างๆ ก็ยังคงทำงานต่อไปได้เหมือนเดิม
ฉะนั้นผู้บริหารทุกคน เมื่อเราบริหารงานไปได้ระดับหนึ่งแล้ว
อย่าหลงตัวเองว่าองค์กรนั้นถ้าขาดฉันแล้วไปต่อไม่ได้
ควรเตือนตัวเองเอาไว้บ่อยๆ ว่า ถ้าขาดฉันแล้วมันจะไปได้ดี
เพื่อจะได้ไม่หลงตัวเอง
ผู้บริหารจำนวนมาก ทันทีที่ประสบความสำเร็จก็ล้มเหลวในวันนั้น
เพราะทันทีที่ประสบผลสำเร็จก็เริ่มหลงตัวเอง และนี่แหละคือจุดจบของผู้บริหาร
ฉะนั้นจำนิทานเรื่องนี้ไว้
วันหนึ่งถ้าเราประสบความสำเร็จ
ก็อย่าไปหลงตัวเองว่าเราต้องเป็นหนึ่งในตองอูเท่านั้น
จนไม่ยอมบริหารจัดการอำนาจความรับผิดชอบให้กับผู้อื่นเลย
ผู้บริหารที่ดีจึงไม่ใช่ผู้ที่แบกหนักที่สุด
ผู้บริหารที่ดีคือผู้ที่แบกหนักพอสมควร และกระจายภาระให้คนอื่นแบก
และประการสำคัญที่สุด ผู้บริหารจะไม่ทำงานจนป่วยตาย
-----------
--
Best Regards & Have a Nice Day.
สมรัก เทียนสุวรรณ ( จ้อ )
Somrak Thiansuwan ( Jor )
...โดย ว.วชิรเมธี ผู้อำนวยการสถาบันวิมุตตยาลัย
ที่วัดเซนแห่งหนึ่งในประเทศญี่ปุ่น มีไก่อยู่ครอบครัวหนึ่ง
หัวหน้าครอบครัวเป็นผู้บริหารที่เก่งมาก กางปีก
ปกป้องภรรยาและลูกทุกตัว อยู่กันมาอย่างมีความสุข
ทุกๆ เช้าเวลาตีห้าไก่ผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวจะบินขึ้นไปเกาะอยู่บนกิ่งไม้
และโก่งคอขันเสียงก้องไปทั้งพงไพร
ประมาณหกโมงเช้า พระอาทิตย์ก็จะ
อรุโณทัยฉายแสงขึ้นมาส่องแสงสว่างไปทั่วทั้งสากลโลก
ไก่สี่ตัวนี้จะมีความสุขมากที่ได้เห็นตะวันค่อยๆ ทอแสงสุขสว่างขึ้นมา
เขาจะยืนชื่นชมแสงตะวัน และก็ยืนภาคภูมิใจว่า
เพราะฉันขันตะวันจึงขึ้น มีความสุข นี่คือผลงานของฉัน
ทุกๆ เช้าไก่ตัวนี้ก็จะบินขึ้นมาเกาะกิ่งไม้
และเมื่อขันเสร็จแล้วก็รอดูตะวันขึ้นที่เหนือยอดเขา พอตะวันขึ้น
เสร็จแล้วก็บินกลับลงมาหาอยู่หากินกับลูกกับเมีย เขามีความสุขมาก
ต่อมาวันหนึ่ง เนื่องจากตรากตรำภาระหนักเหลือเกิน ร่างกายทนไม่ไหวก็ป่วย
เช้าตรู่วันนั้นไก่ตัวนั้นก็บินขึ้นไปเกาะกิ่งไม้ที่เดิม ขณะจะขันเพื่อเรียกตะวันขึ้น
ก็ร่วงตกลงมา รู้สึกไม่มีเรี่ยวไม่มีแรง ลูกชายซึ่งเป็น
ไก่โต้งคนรุ่นใหม่ไฟแรงเดินเข้ามาประคองพ่อ
"พ่อ ผมว่าถ้าพ่อขันไม่ไหว วันนี้ผมขันแทนเอาไหม"
ไก่พ่อซึ่งเป็นซีอีโอ ก็ยืดอกขึ้นมาชี้หน้าลูก
"น้ำหน้าอย่างแก ถ้าขันตะวันมันจะขึ้นไหม หัดดูเงาหัวตัวเองซะบ้างสิ"
เจอผู้ใหญ่ดับฝันแบบนี้ลูกหัวหดเลย
เช้าตรู่วันนั้นทั้งๆ ที่ป่วย ไก่ซีอีโอตัวนี้ก็บินขึ้นไปเกาะบนกิ่งไม้
และก็ขันครั้งสุดท้าย ขันได้ครั้งเดียว ตกลงมาดิ้นพราดๆ
ก่อนจะขาดใจตาย เรียกประชุมผู้ถือหุ้นด่วน
ทั้งภรรยาและลูกมากันครบ สั่งเสียว่า
"เธอที่รัก ลูกพ่อ ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไปพี่คงไม่มีชีวิตอยู่ต่ออีกแล้ว
และจากนี้เป็นต้นไป พอพี่ไม่ขัน ตะวันก็จะไม่ขึ้น โลกก็จะเข้าสู่กลียุค
ฉะนั้นขอให้เธอและลูกดูแลบริษัทของเราให้ดีๆ
ถ้าไม่มีพี่แล้วจะอยู่กันด้วยความยากลำบาก มนุษยชาติก็จะถึงคราววิบัติ
ดูแลกันดีๆ นะที่รัก"
เสร็จแล้วก็ล่วงลับดับขันธ์ไป พร้อมกับความเข้าใจผิดว่า
เพราะฉันขันตะวันจึงขึ้น หารู้ไม่ว่าวันรุ่งขึ้น พอ
ไก่ตัวนี้ตายไปแล้ว ตะวันก็ยังขึ้นเหมือนเดิม
โลกดำเนินต่อไปไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ไก่ตัวนั้นไม่ได้นำเอาตะวันไปด้วยสักนิด
พระอาทิตย์ยังคงอุทัย พระจันทร์ยังคงทอแสง สายน้ำยังคงไหลเอื่อย
ดอกไม้ยังคงผลิบาน โลกนี้ยังคงมีข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์
นกก็ยังมีข้าวปลาอาหาร คนต่างๆ ก็ยังคงทำงานต่อไปได้เหมือนเดิม
ฉะนั้นผู้บริหารทุกคน เมื่อเราบริหารงานไปได้ระดับหนึ่งแล้ว
อย่าหลงตัวเองว่าองค์กรนั้นถ้าขาดฉันแล้วไปต่อไม่ได้
ควรเตือนตัวเองเอาไว้บ่อยๆ ว่า ถ้าขาดฉันแล้วมันจะไปได้ดี
เพื่อจะได้ไม่หลงตัวเอง
ผู้บริหารจำนวนมาก ทันทีที่ประสบความสำเร็จก็ล้มเหลวในวันนั้น
เพราะทันทีที่ประสบผลสำเร็จก็เริ่มหลงตัวเอง และนี่แหละคือจุดจบของผู้บริหาร
ฉะนั้นจำนิทานเรื่องนี้ไว้
วันหนึ่งถ้าเราประสบความสำเร็จ
ก็อย่าไปหลงตัวเองว่าเราต้องเป็นหนึ่งในตองอูเท่านั้น
จนไม่ยอมบริหารจัดการอำนาจความรับผิดชอบให้กับผู้อื่นเลย
ผู้บริหารที่ดีจึงไม่ใช่ผู้ที่แบกหนักที่สุด
ผู้บริหารที่ดีคือผู้ที่แบกหนักพอสมควร และกระจายภาระให้คนอื่นแบก
และประการสำคัญที่สุด ผู้บริหารจะไม่ทำงานจนป่วยตาย
-----------
--
Best Regards & Have a Nice Day.
สมรัก เทียนสุวรรณ ( จ้อ )
Somrak Thiansuwan ( Jor )
วิธีใช้หนี้พ่อแม่ : ฉบับหลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน
1.จงสร้างความดีให้กับตัวเอง
และ นี่ก็เป็นการใช้หนี้ตัวเอง ตัวเราพ่อให้หัวใจ แม่ให้น้ำเลือดน้ำเหลืองอยู่ในตัวแล้ว จะไปแสวงหาพ่อที่ไหน จะไปแสวงหาแม่ที่ไหน บางคนรังเกียจแม่ ว่าแก่เฒ่าไม่สวยไม่งาม พอตัวเองแก่ก็เลยถูกลูกหลานรังเกียจ จึงเป็นกงกรรมกงเกวียนยืดเยื้อกันต่อไปอีก
2. ใครที่คุณแม่ล่วงลับไปแล้ว
ก็ ให้หมั่นทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ท่าน และถ้าจะทำบุญด้วยการเจริญกรรมฐาน แล้วอุทิศส่วนกุศลไป การทำเช่นนี้ถือว่าได้บุญมากที่สุด ทั้งฝ่ายผู้ให้และผู้รับ
3. ผู้ใดก็ตาม
ที่ คุณแม่ยังมีชีวิตอยู่ ก็ให้กลับไปหาแม่ ไปกราบเท้าขอพรจากท่าน จะได้มั่งมีศรีสุข ส่วนคนที่เคยทำไม่ดีไว้กับท่าน ก็นำเทียนแพไปกราบขออโหสิกรรม ล้างเท้าให้ท่านด้วย เป็นการขอขมาลาโทษฯ
4. ขอฝากท่านไว้ไปสอนลูกหลาน
อย่า คิดไม่ดีกับพ่อแม่เลย ไม่ต้องถึงกับฆ่าหรอก แค่คิดว่าพ่อแม่เราไม่ดี จะทำมาหากินไม่ขึ้น เจ๊ง ท่านต้องแก้ปัญหาก่อนคือ ถอนคำพูด ไปขอสมาลาโทษเสีย แล้วมาเจริญกรรมฐาน รับรองสำเร็จแน่ มรรคผลเกิดแน่ ฯ
5. บางคนลืมพ่อลืมแม่
อย่าลืมนะการเถียงพ่อเถียงแม่ไม่ดี ขอบิณฑบาต สอนลูกหลานอย่าเถียงพ่อเถียงแม่ อย่าคิดไม่ดีกับพ่อกับแม่ ไม่อย่างนั้นจะก้าวหน้าได้อย่างไร ก้าวถอยหลังดำน้ำไม่โผล่ ฯ ท่านยกตัวอย่าง (เรื่องจริงนะจ๊ะ)
ตัวอย่าง ที่ 1
บ้านหนึ่งพ่อมีเมีย ๔ คน เมียหลวงบอกลูกว่าพ่อเจ้าไม่ดี ลูกก็ไปด่าพ่อว่าพ่อ
แล้วมาบวชวัดนี้ บวชแล้วเดี๋ยวเป็นโน่นเป็นนี่ จนจะกลายเป็นโรคประสาท
นี่แหละบวชก็ไม่ได้ผล หลวงพ่อก็ให้ไปถอน คำพูด และขอสมาลาโทษกับพ่อเขาก่อน แล้วกลับมานั่งกรรมฐานจึงได้ผล
(กรณีนี้ หลวงพ่อจะเตือนผู้เป็นลูกบ่อยๆไม่ให้ว่าพ่อ) แต่ให้เป็นเรื่องของแม่ที่จะแก้ปัญหานี้ ซึ่งหลวงพ่อสอนไว้แล้ว
ตัวอย่าง ที่ 2
เมื่อ เร็วๆนี้ลูกฆ่าพ่อ แม่สงสารพามาเจริญกรรมฐานพอเข้าวัดมันร้อนไปหมด ปวดหัวเข้าไม่ได้นี่เวรกรรมตามสนอง ปิตุฆาต มาตุฆาต ห้ามสวรรค์ ห้ามนิพพาน ทำกรรมฐานไม่ได้แน่นอน ต้องหันรถกลับ นี่เรื่องจริงในวัดนี้ ฯ
6. คนที่มีบุญวาสนา จะกตัญญูกับพ่อแม่ คนเถียงพ่อเถียงแม่เอาดีไม่ได้
คน ไม่พูดกับพ่อแม่ นั่งกรรมฐานร้อยปี ก็ไม่ได้อะไร? ถ้าไม่ขออโหสิกรรม ฯขออโหสิกรรม ที่คิดไม่ดีกับพ่อแม่ คิดไม่ดีกับครูบาอาจารย์ คิดไม่ดีกับพี่ๆน้องๆ
จะไม่เอาอีกแล้ว เอาน้ำไปขันหนึ่ง เอาดอกม ะลิโรย กายกัมมัง วจีกัมมัง มโนกัมมัง โยโทโส
อัน ว่าโทษทัณฑ์ใด ความผิดอันใด ที่ข้าพเจ้าพลั้งเผลอสติไป ด้วยกายก็ดี ด้วยวาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ขอให้คุณพ่อคุณแม่ คุณปู่คุณย่า คุณตาคุณยาย
คุณพี่คุณน้อง อโหสิกรรมให้ด้วย แล้วเอาน้ำรดมือรดเท้า ฯ
นี่ แหละ ท่านทั้งหลายเอ๋ย เป็นหนี้บุญคุณพ่อแม่มากมาย ยังจะไปทวงนาทวงไร่ ทวงตึก มาเป็นของเราอีกหรือ ตัวเองก็พึ่งตัวเองไม่ได้ สอนตัวเองไม่ได้ เป็นคนอัปรีย์จัญไรในโลกมนุษย์ไปทวงหนี้พ่อแม่ พ่อแม่ให้แล้ว (ให้ชีวิต ให้…ให้… ให้….ฯลฯ ) เรียนสำเร็จแล้ว ยังช่วยตัวเองไม่ได้ มีหนี้ติดค้าง รับรองทำมาหากินไม่ขึ้น ฯ
หนี้บุญคุณอันยิ่งใหญ่ เหลือจะนับประมาณ นั่นคือหนี้บุญคุณของบิดา มารดา
ตัวอย่าง ที่ 3
"หนามแหลมใครเสี้ยม มะนาวกลมเกลี้ยงใครไปกลึง"
เด็กประถม ๔ พ่อเมาเหล้า เมากัญชาเล่นการพนัน แม่เล่นหวย ปัจจุบันเป็นดอกเตอร์อยู่อเมริกา หลวงพ่ อสอนครั้งเดียวจำได้
บอกวันเกิด หนูซื้อขนม ๒ ห่อ เรียกพ่อแม่มานั่งคู่กัน แล้วกราบนะลูกนะ
แล้วก็บอกพ่อแม่ว่า ความผิดอันใดที่ลูกพลั้งเผลอ ด้วยกาย วาจา ใจ ที่คิดไม่ดีต่อคุณพ่อคุณแม่
ขอให้คุณพ่อคุณแม่อโหสิกรรมให้ แล้วล้างเท้าให้พ่อแม่ ลูกไม่มีสตางค์ ลูกซื้อขนมมา ๒ ห่อ
ให้ แม่ก่อน ๑ ห่อ เพราะอุ้มท้องมา แล้วจึงให้พ่ออีก ๑ ห่อ ลูกขอปฏิญาณตนว่า ลูกขอเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ แล้วจะเป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ ลูกจะไม่ทำให้พ่อแม่ผิดหวัง...
พ่อฟังแล้วน้ำตาร่วงสร่างเมา ส่วนแม่ก็ร้องไห้เลย พ่อแม่ก็ให้สัญญากับลูกเลิกอบายมุขทั้งหมด
7. ลูกหลานโปรดจำไว้
เมื่อแยกครอบครัวไปมีสามีภรรยาแล้ว อย่าลืมไปหาพ่อแม่ ถึงวันว่างเมื่อไรต้องไปหาพ่อแม่
ถึงวันเกิดของลูกหลาน อย่าลืมเอาของไปให้พ่อแม่รับประทาน อย่ากินเหล้า เข้าโฮเต็ล
8. ชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้เป็นมงคลนาม
ไม่ จำเป็นต้องเปลี่ยน เพราะชื่อเป็นเพียงนามสมมุติแทนตัวเรา อย่างหลวงพ่อชื่อจรัญ ปู่ตั้งให้ หมอดูบอกเป็นกาลกิณี แต่ทำไมเจริญรุ่งเรือง ขอให้เชื่อพระพุทธเจ้าทำดีได้ดี
9. ของดี ของ ปู่ ย่า ตา ยาย อย่าไปทำลายเลย
ของ พ่อแม่อย่าไปทำลายนะ หนีได้แน่นอน โยมมีกรรมฐาน มีทรัพย์ มีชื่อเสียง ความรัก บูชาทรัพย์ บูชาชื่อเสียง ความรักของพ่อแม่ได้ เงินจะไหลนองทองจะไหลมา.........
พ่อแม่ให้อะไรเอาไว้ก่อน อย่าไปทำลายเสีย ถึงจะเป็นถ้วยพ่อแม่ให้มา ก็ไว้เป็นที่ระลึกก็ยังดีอย่าเอาไปทิ้งขว้าง ฯ
10. ถ้าต้องการเจริญก้าวหน้าขอฝากไว้ด้วย
คนเรามี ๒ ก้าว จะก้าวขึ้นหรือก้าวลงดำน้ำไม่โผล่ ก้าวลงมันง่ายดี ก้าวขึ้นมันต้องยาก ของชั่วมันง่าย หลั่งไหลไปตามที่ต่ำ
นี่บอกสอนลูกหลาน ต้องการจะบรรจุงานไม่ต้องไปวิ่งเต้น ดูลูกเสียก่อน กุศลเพียงพอหรือเปล่า ต้องเพิ่มกุศล
ตัวอย่าง เรียนจบครู สวดมนตร์เข้าเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นครู ทำงานธนาคารก็ได้ บริษัทก็ได้เดี๋ยวมีคนรับ &nbs p;บางรายทั้งสอบทั้งสมัครหลายแห่งไม่เคยเรียกเลย อาตมาให้นั่งกรรมฐาน พอ ๗ วันผ่านไปพวกมาตามให้เข้าไปทำงานแล้ว
ถ้าส่งต่อก็จะเป็นบุญแก่ตัวเองนะ
ไม่ได้บังคับ
และ นี่ก็เป็นการใช้หนี้ตัวเอง ตัวเราพ่อให้หัวใจ แม่ให้น้ำเลือดน้ำเหลืองอยู่ในตัวแล้ว จะไปแสวงหาพ่อที่ไหน จะไปแสวงหาแม่ที่ไหน บางคนรังเกียจแม่ ว่าแก่เฒ่าไม่สวยไม่งาม พอตัวเองแก่ก็เลยถูกลูกหลานรังเกียจ จึงเป็นกงกรรมกงเกวียนยืดเยื้อกันต่อไปอีก
2. ใครที่คุณแม่ล่วงลับไปแล้ว
ก็ ให้หมั่นทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ท่าน และถ้าจะทำบุญด้วยการเจริญกรรมฐาน แล้วอุทิศส่วนกุศลไป การทำเช่นนี้ถือว่าได้บุญมากที่สุด ทั้งฝ่ายผู้ให้และผู้รับ
3. ผู้ใดก็ตาม
ที่ คุณแม่ยังมีชีวิตอยู่ ก็ให้กลับไปหาแม่ ไปกราบเท้าขอพรจากท่าน จะได้มั่งมีศรีสุข ส่วนคนที่เคยทำไม่ดีไว้กับท่าน ก็นำเทียนแพไปกราบขออโหสิกรรม ล้างเท้าให้ท่านด้วย เป็นการขอขมาลาโทษฯ
4. ขอฝากท่านไว้ไปสอนลูกหลาน
อย่า คิดไม่ดีกับพ่อแม่เลย ไม่ต้องถึงกับฆ่าหรอก แค่คิดว่าพ่อแม่เราไม่ดี จะทำมาหากินไม่ขึ้น เจ๊ง ท่านต้องแก้ปัญหาก่อนคือ ถอนคำพูด ไปขอสมาลาโทษเสีย แล้วมาเจริญกรรมฐาน รับรองสำเร็จแน่ มรรคผลเกิดแน่ ฯ
5. บางคนลืมพ่อลืมแม่
อย่าลืมนะการเถียงพ่อเถียงแม่ไม่ดี ขอบิณฑบาต สอนลูกหลานอย่าเถียงพ่อเถียงแม่ อย่าคิดไม่ดีกับพ่อกับแม่ ไม่อย่างนั้นจะก้าวหน้าได้อย่างไร ก้าวถอยหลังดำน้ำไม่โผล่ ฯ ท่านยกตัวอย่าง (เรื่องจริงนะจ๊ะ)
ตัวอย่าง ที่ 1
บ้านหนึ่งพ่อมีเมีย ๔ คน เมียหลวงบอกลูกว่าพ่อเจ้าไม่ดี ลูกก็ไปด่าพ่อว่าพ่อ
แล้วมาบวชวัดนี้ บวชแล้วเดี๋ยวเป็นโน่นเป็นนี่ จนจะกลายเป็นโรคประสาท
นี่แหละบวชก็ไม่ได้ผล หลวงพ่อก็ให้ไปถอน คำพูด และขอสมาลาโทษกับพ่อเขาก่อน แล้วกลับมานั่งกรรมฐานจึงได้ผล
(กรณีนี้ หลวงพ่อจะเตือนผู้เป็นลูกบ่อยๆไม่ให้ว่าพ่อ) แต่ให้เป็นเรื่องของแม่ที่จะแก้ปัญหานี้ ซึ่งหลวงพ่อสอนไว้แล้ว
ตัวอย่าง ที่ 2
เมื่อ เร็วๆนี้ลูกฆ่าพ่อ แม่สงสารพามาเจริญกรรมฐานพอเข้าวัดมันร้อนไปหมด ปวดหัวเข้าไม่ได้นี่เวรกรรมตามสนอง ปิตุฆาต มาตุฆาต ห้ามสวรรค์ ห้ามนิพพาน ทำกรรมฐานไม่ได้แน่นอน ต้องหันรถกลับ นี่เรื่องจริงในวัดนี้ ฯ
6. คนที่มีบุญวาสนา จะกตัญญูกับพ่อแม่ คนเถียงพ่อเถียงแม่เอาดีไม่ได้
คน ไม่พูดกับพ่อแม่ นั่งกรรมฐานร้อยปี ก็ไม่ได้อะไร? ถ้าไม่ขออโหสิกรรม ฯขออโหสิกรรม ที่คิดไม่ดีกับพ่อแม่ คิดไม่ดีกับครูบาอาจารย์ คิดไม่ดีกับพี่ๆน้องๆ
จะไม่เอาอีกแล้ว เอาน้ำไปขันหนึ่ง เอาดอกม ะลิโรย กายกัมมัง วจีกัมมัง มโนกัมมัง โยโทโส
อัน ว่าโทษทัณฑ์ใด ความผิดอันใด ที่ข้าพเจ้าพลั้งเผลอสติไป ด้วยกายก็ดี ด้วยวาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ขอให้คุณพ่อคุณแม่ คุณปู่คุณย่า คุณตาคุณยาย
คุณพี่คุณน้อง อโหสิกรรมให้ด้วย แล้วเอาน้ำรดมือรดเท้า ฯ
นี่ แหละ ท่านทั้งหลายเอ๋ย เป็นหนี้บุญคุณพ่อแม่มากมาย ยังจะไปทวงนาทวงไร่ ทวงตึก มาเป็นของเราอีกหรือ ตัวเองก็พึ่งตัวเองไม่ได้ สอนตัวเองไม่ได้ เป็นคนอัปรีย์จัญไรในโลกมนุษย์ไปทวงหนี้พ่อแม่ พ่อแม่ให้แล้ว (ให้ชีวิต ให้…ให้… ให้….ฯลฯ ) เรียนสำเร็จแล้ว ยังช่วยตัวเองไม่ได้ มีหนี้ติดค้าง รับรองทำมาหากินไม่ขึ้น ฯ
หนี้บุญคุณอันยิ่งใหญ่ เหลือจะนับประมาณ นั่นคือหนี้บุญคุณของบิดา มารดา
ตัวอย่าง ที่ 3
"หนามแหลมใครเสี้ยม มะนาวกลมเกลี้ยงใครไปกลึง"
เด็กประถม ๔ พ่อเมาเหล้า เมากัญชาเล่นการพนัน แม่เล่นหวย ปัจจุบันเป็นดอกเตอร์อยู่อเมริกา หลวงพ่ อสอนครั้งเดียวจำได้
บอกวันเกิด หนูซื้อขนม ๒ ห่อ เรียกพ่อแม่มานั่งคู่กัน แล้วกราบนะลูกนะ
แล้วก็บอกพ่อแม่ว่า ความผิดอันใดที่ลูกพลั้งเผลอ ด้วยกาย วาจา ใจ ที่คิดไม่ดีต่อคุณพ่อคุณแม่
ขอให้คุณพ่อคุณแม่อโหสิกรรมให้ แล้วล้างเท้าให้พ่อแม่ ลูกไม่มีสตางค์ ลูกซื้อขนมมา ๒ ห่อ
ให้ แม่ก่อน ๑ ห่อ เพราะอุ้มท้องมา แล้วจึงให้พ่ออีก ๑ ห่อ ลูกขอปฏิญาณตนว่า ลูกขอเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ แล้วจะเป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ ลูกจะไม่ทำให้พ่อแม่ผิดหวัง...
พ่อฟังแล้วน้ำตาร่วงสร่างเมา ส่วนแม่ก็ร้องไห้เลย พ่อแม่ก็ให้สัญญากับลูกเลิกอบายมุขทั้งหมด
7. ลูกหลานโปรดจำไว้
เมื่อแยกครอบครัวไปมีสามีภรรยาแล้ว อย่าลืมไปหาพ่อแม่ ถึงวันว่างเมื่อไรต้องไปหาพ่อแม่
ถึงวันเกิดของลูกหลาน อย่าลืมเอาของไปให้พ่อแม่รับประทาน อย่ากินเหล้า เข้าโฮเต็ล
8. ชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้เป็นมงคลนาม
ไม่ จำเป็นต้องเปลี่ยน เพราะชื่อเป็นเพียงนามสมมุติแทนตัวเรา อย่างหลวงพ่อชื่อจรัญ ปู่ตั้งให้ หมอดูบอกเป็นกาลกิณี แต่ทำไมเจริญรุ่งเรือง ขอให้เชื่อพระพุทธเจ้าทำดีได้ดี
9. ของดี ของ ปู่ ย่า ตา ยาย อย่าไปทำลายเลย
ของ พ่อแม่อย่าไปทำลายนะ หนีได้แน่นอน โยมมีกรรมฐาน มีทรัพย์ มีชื่อเสียง ความรัก บูชาทรัพย์ บูชาชื่อเสียง ความรักของพ่อแม่ได้ เงินจะไหลนองทองจะไหลมา.........
พ่อแม่ให้อะไรเอาไว้ก่อน อย่าไปทำลายเสีย ถึงจะเป็นถ้วยพ่อแม่ให้มา ก็ไว้เป็นที่ระลึกก็ยังดีอย่าเอาไปทิ้งขว้าง ฯ
10. ถ้าต้องการเจริญก้าวหน้าขอฝากไว้ด้วย
คนเรามี ๒ ก้าว จะก้าวขึ้นหรือก้าวลงดำน้ำไม่โผล่ ก้าวลงมันง่ายดี ก้าวขึ้นมันต้องยาก ของชั่วมันง่าย หลั่งไหลไปตามที่ต่ำ
นี่บอกสอนลูกหลาน ต้องการจะบรรจุงานไม่ต้องไปวิ่งเต้น ดูลูกเสียก่อน กุศลเพียงพอหรือเปล่า ต้องเพิ่มกุศล
ตัวอย่าง เรียนจบครู สวดมนตร์เข้าเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นครู ทำงานธนาคารก็ได้ บริษัทก็ได้เดี๋ยวมีคนรับ &nbs p;บางรายทั้งสอบทั้งสมัครหลายแห่งไม่เคยเรียกเลย อาตมาให้นั่งกรรมฐาน พอ ๗ วันผ่านไปพวกมาตามให้เข้าไปทำงานแล้ว
ถ้าส่งต่อก็จะเป็นบุญแก่ตัวเองนะ
ไม่ได้บังคับ
จับอุบาทว์
จับอุบาทว์
ครั้งหนึ่งเคยได้ยินเขาเล่าว่า สมัยก่อนพุทธกาลนั้น ทางเหนือสุดของแม่น้ำคงคาเลยแคว้นมคธไกลขึ้นไป พื้นที่ส่วนมากเป็นทุ่งหญ้า ป่าไม้ ดงตาล พื้นที่แถบนั้นค่อยๆ ลาดสูงขึ้นไปเรื่อยจนบรรจบกับเนินเขาหิมาลัย อันเป็นทางต้นน้ำของแม่น้ำสายนี้ แลเห็นทะเลหมอกและหิมะทาทาบปกคลุมทุ่งหญ้า ขุนเขา อันสูง ตระหง่าน จนสุดลูกหูลูกตา ฝูงแพะ แกะ และเล็มหญ้าอ่อนอยู่เป็นกลุ่มๆ
นครชัยบุรี เป็นราชธานีของแคว้นหิมวันตประเทศ ตั้งอยู่ทางเหนือของแม่น้ำคงคา พระราชาแห่งนครนี้ ทรงปกครองไพร่ฟ้าประชาชนให้ร่มเย็นเป็นสุขด้วยทศพิธราชธรรม
มีวันหนึ่ง องค์ราชาเสด็จออกจากวังอย่างเงียบๆ เพื่อสำรวจตรวจตราความทุกข์สุข ของเหล่าประชาราษฎร์ ของพระองค์ การเสด็จวันนั้นมีเสนาอำมาตย์ใกล้ชิดติดตามเพียงไม่กี่คน รถพระที่นั่งผ่านไปตามถนน สายต่างๆ สองฟากเนืองแน่นไปด้วยบ้านเรือน ร้านค้า และเทวสถาน แสงไฟจากดวงโคมส่องแสงสลัว ออกมา ถึงท้องถนนเป็นระยะๆ เสียงผู้คนสรวลเสเฮฮา เสียงขับกล่อม และเสียงดนตรี เคล้าคละ ประสานกันอึงมี่ ทำให้พระราชาทรงเบิกบานพระทัยยิ่งนัก พอใจในสันติสุข ของไพร่ฟ้า ข้าแผ่นดิน ของพระองค์
รถพระที่นั่งผ่านเลยไปเรื่อยๆ....
แต่ครั้นถึงหมู่บ้านคฤหบดี พระราชาได้ทอดพระเนตรเห็นบ้านร้างหลังหนึ่งใหญ่โตโอ่อ่า แต่เงียบเหงา ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่ในนั้น ไม่มีแสงไฟ ไม่มีแม้แต่คนที่จะคอยปิดหน้าต่าง ซึ่งถูกตีด้วยแรงลม เสียงดังปึงปัง อยู่หลายบานให้สนิทเรียบร้อย พระองค์ทอดพระเนตร แล้วทรงรับ สั่งให้หยุดรถ พระที่นั่ง เพื่อที่จะไต่ถาม ใครสักคนที่อยู่ใกล้เคียง ซึ่งพอจะทราบเรื่องราว ของบ้านใหญ่ ที่รกร้างหลังนี้บ้าง และพระองค์ ก็ทรง ทอดพระเนตร เห็นปากทาง เข้าบ้านหลังนั้น ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับที่รถพระที่นั่งจอดอยู่ และข้างๆ ทางนั้นเอง เห็นตายายสูงอายุคู่หนึ่ง กำลังนั่ง รับประทานอาหาร อยู่ในกระท่อมหลังเล็กๆ ท่ามกลาง แสงสว่าง จากโคมอันริบหรี่ จนแทบจะมอง ไม่เห็นหน้ากัน พระราชาทรงเสด็จเข้าไปประทับยืน ข้างกระท่อม ของตายาย เพื่อทรงสนทนาด้วย
"ทำอะไรจ๊ะ คุณตา?" พระราชาทรงทักทาย
"กินข้าวกันจ้ะ" ตอบอย่างไม่สนใจอาคันตุกะ
"การทำมาหากิน หมู่นี้เป็นอย่างไรบ้างครับคุณตา?"
"แย่...หมู่นี้ท่านเอ๋ย"
"อ้าว ทำไมล่ะ?"
"ก็จะทำไมเสียอีกเล่า ท่านมองดูที่บ้านหลังใหญ่นั่นซิ เงียบเป็นป่าช้าเห็นไหม?"
"แล้วมันเกี่ยวอะไรกันรึ?"
"โธ่ ลูกหลานเอ๋ย จะไม่ให้เกี่ยวกันได้อย่างไร ฉันตายายสองคนได้อาศัยท่าน การอยู่การกินอาศัยท่านทั้งนั้น เมื่อท่าน ต้องมีอันเป็นไปเสียอย่างนี้แล้วพวกเราตายายก็แย่ ไม่รู้จะอาศัยใคร"
"ฉันไม่เข้าใจจ้ะตา ทำไมบ้านหลังใหญ่ต้องเงียบเหงานักล่ะ?"
"บ้านไม่มีคนมันก็เงียบเหงาซิจ๊ะ"
"แล้วคนเขาไปไหนกันหมดน่ะ?"
"ตาก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะมันกระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง"
"มันเกิดอะไรขึ้นรึ ถึงได้แตกแยกอยู่กันไม่ได้ ดูซิบ้านออกใหญ่โต?"
"ก็มันอยู่ไม่ได้นั่นแหละหลานเอ๋ย เขาถึงไม่อยู่"
"ทำไมถึงอยู่ด้วยกันไม่ได้เล่าครับคุณตา?"
มันจะอยู่ได้อย่างไรเล่า ก็อุบาทว์ลงย่อยยับหมดแล้วนี่จ๊ะ"
หือ...อุบาทว์ลง อุบาทว์ลงแล้วอยู่ด้วยกันไม่ได้เลยหรือตา?"
ไม่ได้ อยู่ด้วยกันไม่ได้ อย่าว่าแต่บ้านหลังใหญ่เท่านี้เลย ต่อให้วังพระเจ้าแผ่นดินก็เถอะ ถ้าอุบาทว์ มันได้ลง แล้วละก็ จะต้องกลายเป็นปราสาทร้างไปเหมือนกัน"
อืมม์ ตัวอุบาทว์ที่ว่านี้มันร้ายนักรึ?"
โอ ลูกเอ๋ยหลานเอ๋ย อะไรมันจะร้ายเท่าอุบาทว์ในโลกนี้ไม่มีอีกแล้ว ขอโทษเถอะ ตัวท่านเองเป็นทหารหลวง ใช่ไหม?"
"ใช่จ้ะลุง"
"ท่านเคยไปเที่ยวที่เมืองคีรีนครหรือเปล่า?"
"เคยไปเหมือนกันสมัยยังเด็ก"
"นั่นแหละ เมืองคีรีนครเดิมเป็นเมืองหลวงของเรา เจ้าได้สังเกตไหมว่าเมืองคีรีเป็นเมืองใหญ่ มีประตูคู่ค่าย และ หอรบ พร้อมบริบูรณ์ทุกอย่าง ข้าศึกพยายามเข้าตีหลายครั้งแต่ก็ต้องพ่ายแพ้กลับไปทุกครั้ง ครั้นต่อมา ในสงครามครั้งสุดท้าย กองบัญชาการป้องกันคีรีนครของเราได้ถูกอุบาทว์ลง จนเสีย บรรดาแม่ทัพ นายกอง แตกกระจัดกระจาย ไม่สามารถประสานบัญชาการรบให้เข้มแข็งได้ ผลสุดท้ายเมืองคีรีก็แตกเสียทีแก่ข้าศึก อย่างง่ายดาย อุบาทว์ลงแล้วใครเล่าจะเอาธุระในการรักษาเมือง ดูแต่บ้านหลังนี้ซิ ยังถูกทิ้งให้รกร้างไป อย่างน่าเสียดาย แม้แต่ประตูหน้าต่างก็ไม่มีใครอยากปิด ก็เพราะเจ้าอุบาทว์จังไรมันทำเหตุแท้ๆ"
"อุบาทว์มันเป็นตัวอย่างไรกันนะ แปลกแท้ๆ"
"ตาก็ไม่เคยเห็นตัวมันสักที รู้แต่ฤทธิ์เดชของมันเท่านั้น"
"ถ้าเรารู้จักตัวมันและจับมันให้ได้คงจะดีนะคุณตา?"
"อ๋อ แน่นอนตาจะสับมันให้แหลกละเอียดเลย"
"เอาละ วันนี้ฉันขอลาคุณตาไปก่อน ว่างๆ จะแวะมาคุยใหม่"
"เจริญๆ นะพ่อนะ"
จากนั้นรถพระที่นั่งก็เคลื่อนต่อไป จนสิ้นสุดเขตพระนคร แล้วก็วกกลับพระราชวัง ราตรีนั้น พระราชา ทรงครุ่นคิด อยู่เกือบตลอดคืน อุบาทว์ตัวมันเป็นเช่นไร หรือว่าเป็นผีชนิดหนึ่ง ที่มองไม่เห็นตัว มันถึง ร้ายแรงนัก จนสภาเมือง สโมสร บ้านวัด และมิตรภาพ ของบุคคล ถึงกับล่มจมแตกแยก กระจัดกระจาย แหลกสลายอย่างไม่เป็นท่าเช่นนี้ อุบาทว์มันอยู่ที่ไหน แม้แต่โหรหลวงก็ยังบอกไม่แน่นอน มีแต่บอกว่า วันนั้นวันนี้ เป็นวันอุบาทว์ อันว่าตัวเรานี้ เป็นพระเจ้าแผ่นดินก็เพื่อบำบัดทุกข์ บำรุงสุข ให้แก่ใต้ฟ้า อาณา ประชาราษฎร์ บัดนี้ใต้ฟ้าข้าแผ่นดิน ได้รับทุกข์เพราะอุบาทว์ลง จะทำอย่างไรกันดี เห็นที เราจะต้อง เล่นงาน ไอ้เจ้าอุบาทว์นี้ให้จริงจังเสียที
เมื่อพระราชาทรงดำริเช่นนั้น วันรุ่งขึ้นพระองค์ทรงรับสั่งให้ประชุมเสนาข้าราชการ ทั้งผู้ใหญ่ผู้น้อย ณ ท้องพระโรงหลวง เช้าวันนั้นพระองค์มีพระพักตร์อ่อนโรยเล็กน้อย ขณะเสด็จออกขุนนาง เพราะทรงคิด อยู่แต่เรื่องนี้ เกือบตลอดคืน เมื่อข้าราชการฝ่ายต่างๆ พร้อมแล้ว พระองค์ก็ทรงเล่าเรื่อง ที่ได้ทรงประสบมา ให้ที่ประชุมฟัง อย่างละเอียดแล้ว จึงรับสั่งถามเป็นรายตัวบุคคล
"ท่านเสนาบดี ท่านเคยเห็นตัวอุบาทว์บ้างมั้ย ตัวมันเป็นยังไงข้าพเจ้าอยากทราบเหลือเกิน" พระองค์ ทรงรับสั่ง ถามเสนาบดีก่อนคนอื่น
"ขอเดชะพระอาญาไม่พ้นเกล้า ข้าพระองค์ไม่เคยเห็นพะยะค่ะ เคยได้ยินแต่ชื่อ"
"ท่านมหาอำมาตย์ล่ะ เคยเห็นบ้างมั้ย?"
"ไม่เคยเหมือนกันพะยะคะ"
"โน่นล่ะ เสนา..... " รับสั่งพร้อมกับชี้พระหัตถ์ไปทางหมู่เสนาที่นั่งเป็นแถวอยู่ด้านหลัง
"ไม่เคยเห็นพะยะค่ะ" เสียงตอบเกือบจะพร้อมกันของหมู่เสนาผู้น้อย
"ตกลงว่าทุกคนที่อยู่ที่นี่ไม่มีใครเคยเห็นตัวอุบาทว์เลย แต่เราก็ยังไม่เคยสืบจับมันให้จริงจังสักที เอาหละ ท่านเสนาอำมาตย์ทั้งหลาย ต่อแต่นี้ไปเราจะออกสืบจับตัวอุบาทว์กันละนะ นี่แน่ะเสนา..." พลางชี้พระหัตถ์ ไปที่เสนาคนหนึ่ง ซึ่งเคยติดตามไปกับขบวนเสด็จตรวจพระนคร "ข้าขอมอบเรื่องนี้ให้เป็นหน้าที่ของเจ้า เจ้าจงรีบ ไปหาจับตัวอุบาทว์มาให้ข้าฯ ให้ได้ภายในเจ็ดวัน เราจะปูนบำเหน็จแก่เจ้าอย่างงามเลยทีเดียว แต่ถ้าไม่ได้ หัวเจ้าจะต้องขาด ตามอาญาแผ่นดิน"
เสนากลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดๆ แล้วก็หมอบ กราบรับพระบรมราชโองการใส่เกล้าใส่กระหม่อม แล้วออก ตระเวน สืบหาจับตัวอุบาทว์ไปตามหมู่บ้านต่างๆ พบใครก็ถามว่าเห็นตัวอุบาทว์บ้างหรือไม่ ยิ่งนานวันเข้า ความหวังที่จะได้พบตัวอุบาทว์ก็ยิ่งน้อยลง ยิ่งถามใครต่อใครมากเข้า ความหวังที่จะมีชีวิตอยู่ ก็ยิ่งลดน้อยล งทุกที อย่าว่าแต่จะมีผู้รู้จักที่อยู่ของมันเลย แม้แต่คนที่เคยเห็นตัวก็ยังไม่มี
ห้าวันผ่านไป พร้อมกับความหวังที่เลื่อนลอย พอย่างเข้าวันที่หก เสนาผู้น่าสงสารก็ฉุกคิดขึ้นมาว่า ตัวอุบาทว์ เห็นจะไม่มีเป็นแน่แท้ แม้จะดั้นด้นตามหาสักเท่าไรก็คงไม่พบ แต่พระมหากษัตริย์ตรัสแล้ว ไม่คืนคำนี่ซิ จะทำอย่างไร พระองค์ว่าประหารก็ต้องประหาร ถ้าเราขืนกลับเข้าเมืองอีกก็มีหวังตาย อย่างเดียว อย่ากระนั้นเลย เราจะเดินไปตาย ในป่าเขาหิมาลัยจะดีกว่า
ครั้นตัดสินใจแน่แล้ว เสนาผู้ซึ่งขณะนี้เป็นเสมือนนักโทษรอวันประหาร ก็เดินทางมุ่งหน้าเข้าสู่ป่า ขณะที่ ใจของเขา เฝ้าพะวักพะวนอยู่กับลูกเมีย และมวลญาติทางเมืองหลวง ส่วนเท้าก็ก้าวไปข้างหน้า อย่างไม่หยุดยั้ง ใจก็คิดว่า จะต้องไปให้ไกลที่สุด เท่าที่แรงขาจะพอมีกำลัง ช่วยให้รอดพ้น จากคมประหาร
พอดวงตะวันคล้อย เขาก็สามารถเดินบุกเข้าไปได้ลึกจนถึงกลางป่า เมื่อมาอยู่กลางป่ากลางดงเช่นนี้ ความวิเวก วังเวง ทำให้เขามีหัวใจที่ว้าวุ่น เหมือนกับคนที่กำลังจะเป็นบ้า บรรยากาศเช่นนี้ ทำให้รู้สึกว่า ชีวิตได้หมดคุณค่าลง ถึงไม่ตายด้วยคมประหารในเมืองหลวง แต่ก็คงต้องตายด้วยความอดอยาก ความเจ็บไข้ หรือไม่ก็เขี้ยวเล็บของสัตว์ร้ายอยู่ดี เขารำพึงอยู่ในใจว่า "ไหนๆ ตัวเราก็จะต้องตาย ไม่ช้าก็เร็ว ชีวิตสิ้นหวัง ไม่หลงเหลือ ความหมายใดๆ อีกต่อไป เป็นมนุษย์แท้ๆ แต่ต้องซุกหัวอยู่อย่างสัตว์ จะกิน จะเที่ยว อย่างสัตว์ในป่านี้ ย่อมเป็นไปไม่ได้ สัตว์มันเกิดที่นี่ ภูมิลำเนาของมันอยู่ที่นี่ พี่น้องลูกเมียของมัน ก็อยู่ที่นี่ มันมีอิสระที่จะท่องเที่ยวไปไหนต่อไหนในป่านี้ได้อย่างเสรี เราเป็นมนุษย์กลับต้องหนีมาหดหัว หลบอาญาแผ่นดิน อยู่กลางดงกลางป่า หาอิสระไม่มีเลย ถ้าเช่นนั้น เราจะอยู่ต่อไป เพื่อประโยชน์อะไร รีบตาย ให้พ้นจากโลก อันโหดร้ายนี้เสียดีกว่า ผ้าขาวม้าผืนเดียวก็เหลือตายแล้ว" ความเงียบเหงาวังเวง ทำให้เขาตัดสินใจ ง่ายขึ้น เขามองหาต้นไม้มีกิ่งพอที่จะยืดตัวขึ้นแขวนคอตัวเองได้แล้ว ก็ไม่ลังเล รีบแก้ ผ้าขาวม้า ที่คาดเอวออกมาสลัดทีหนึ่ง แล้วก็บิดเข้าเป็นเกลียวเล็กน้อย โดยไม่เสียเวลา เขาผูกชายข้างหนึ่ง เข้ากับคอตัวเอง แล้วก็ปีนขึ้นต้นไม้ซึ่งไม่สูงนัก เขาพยายามอีกสองอึดใจ ก็จะสมประสงค์แล้ว
"อืมม์... นั่นใคร?" เสียงของใครคนหนึ่งดังมาจากด้านหลังของต้นไม้ เสนาสะดุ้ง เพราะไม่แน่ว่าหูแว่วไปเอง หรือ เป็นเสียงของภูตผีปีศาจ ผู้จะมาเอาชีวิตเขากันแน่
"กำลังทำอะไรนะ?" เสียงดังขึ้นอีก
เขาหันกลับไปมองทางเจ้าของเสียงนั้น และทันทีก็ได้เห็นท่านนักพรตรูปหนึ่ง กำลังมองมายังเขา ด้วยท่าทาง ที่สงสัย
"ฤาษี..." เขาอุทาน
"ถูกแล้วท่าน อาตมาเป็นฤาษี แล้วท่านล่ะเป็นใคร?"
"พระคุณเจ้า กระผมเป็นเสนาบดีแห่งเมืองชัยบุรี ขอรับ" เขาตอบ
"แล้วท่านเสนาจะทำอะไรกันเล่า?"
"กระผมกำลังจะผูกคอตายขอรับ พระคุณเจ้ามาพบก็ดีแล้ว ช่วยสวดส่งวิญญาณให้กระผมหน่อยเถอะ"
"เดี๋ยวก่อนท่านเสนา ท่านมีเรื่องทุกข์ร้อนมากมายเทียวรึ จึงได้ตัดสินใจอย่างนั้น?"
"กระผมถูกความตายไล่ต้อน จนไม่อาจมีชีวิตอยู่ดูโลกต่อไปได้ กลับเมืองก็จะถูกประหาร ครั้นหนีมาอยู่ป่า ก็คงตาย ด้วยเขี้ยวเล็บของสัตว์ร้าย หรือไม่ก็ไข้ป่าเป็นแท้ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ต่อไปทำไม กระผมจึงตัดสินใจ ผูกคอตายเสียในตอนนี้เสียจะดีกว่า"
"อื่มม์ เช่นนี้นี่เอง อาตมาไม่มีอะไรขัดข้อง เจริญพร แต่ไหนๆ ท่านก็จะตายอยู่แล้ว ก็เล่าเรื่องให้อาตมาฟังไว้ สักหน่อย ไม่ดีรึ เผื่อบางทีญาติพี่น้องมาถามหา จะได้บอกเขาถูก"
"ได้ซิ พระคุณเจ้า กระผมเป็นเสนาเมืองชัยบุรี ในหลวงทรงใคร่ทอดพระเนตรตัวอุบาทว์ เมื่อหาที่ไหนไม่ได้ ก็มีพระราชดำรัส สั่งให้กระผมเที่ยวไปสืบเสาะหาจับตัวอุบาทว์ไปถวายภายในเจ็ดวัน และทรงคาดโทษ เอาไว้ว่า ถ้าหาจับตัวอุบาทว์ไปถวายไม่ได้ จะประหารชีวิตตัวกระผมเสีย"
"อ่อ แล้วยังไง?"
"พระคุณเจ้า กระผมหาสืบที่อยู่ของตัวอุบาทว์มาห้าหกวันแล้ว ไม่พบแม้แต่ผู้ที่รู้จักตัวอุบาทว์ สักคนเดียว มันซุกซ่อน อยู่แห่งหนตำบลใด ก็ไม่มีใครอาจรู้ได้เลย"
"แล้วยังไงต่อไปอีกเล่า?"
"กระผมคิดว่าในโลกนี้คงไม่มีตัวอุบาทว์เสียเป็นแน่แล้ว แต่จะกลับบ้านเมืองก็คงไม่พ้นถูกประหาร ข้าน้อย หมดหนทาง กลับเข้าเมืองก็ตาย อยู่ในป่านี้ก็ตาย จึงตัดสินใจตายเสียเดี๋ยวนี้จะดีกว่า"
"พุทโธ่ ท่านเสนา... เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ทำเป็นเรื่องใหญ่ไปได้ ตัวอุบาทว์มีเยอะแยะไป เต็มบ้านเต็มเมือง หน้าพระที่นั่ง ก็ยังมีท่านเอ๋ย" ฤาษีว่า
"จริงรึพระคุณเจ้า?" เสนาร้องถามเกือบเป็นเสียงตะโกนด้วยความดีใจ
"จริงซิ ว่าแต่ท่านเสนาลงมาจากต้นไม้ก่อนเถิด แล้วอาตมาจะหาตัวอุบาทว์ให้"
เสนาดีใจยิ่งนักรีบไต่ลงจากต้นไม้อย่างตื่นเต้น แล้วมาหมอบกราบลงแทบเท้าของนักพรตอย่างปีติ
"ท่านเสนา รีบไปตัดกระบอกไม้ไผ่มาให้อาตมาสักกระบอกไป๊ เลือกเอาไม้ปล้องที่มันลึกๆ สักหน่อยยิ่งดี" ฤาษีสั่ง
เสนารู้สึกดีใจยิ่งนัก รีบไปหาตัดกระบอกไม้ไผ่มาให้นักพรตอย่างเร่งรีบตามคำสั่ง ส่วนพระฤาษี นั่งเคี้ยวหมาก คอยท่า สักครู่เสนาก็รีบนำกระบอกไม้ไผ่มายื่นให้ ฤาษีรีบรับเอากระบอกจากมือเสนา แล้วเดินหลบ ออกหลังพุ่มไม้ ครู่เดียวก็เดินกลับมาพร้อมกับกระบอกไม้ไผ่ บรรจุตัวอุบาทว์ อุดจุกจนสนิท เรียบร้อยแล้ว ส่งให้เสนา พลางสั่งว่า
"นี่แน่ะท่านเสนา อาตมาจับตัวอุบาทว์ใส่กระบอกไม้ไผ่ให้แล้ว ขอท่านจงรีบนำขึ้นทูลเกล้าถวายเถิด ยังเหลือเวลา พอที่จะเข้าเฝ้าได้มิใช่หรือ ระวังอย่าไปเปิดก่อนล่ะ ประเดี๋ยวตัวอุบาทว์มันจะหนีไปได้ หัวของท่าน ก็จะขาดไปเสียเปล่า แล้วกราบทูลพระราชาของท่านด้วยว่า เวลาทอดพระเนตร อย่าเทออก เป็นอันขาด เดี๋ยวจะทอดพระเนตรไม่ทัน ต้องค่อยๆ เปิดจุกออก แล้วก็ค่อยทอดพระเนตร ลงในกระบอก ทีเดียว จะได้เห็นตัวมันชัดๆ"
เสนาดีใจนัก กราบลาท่านนักพรต สาวเท้าก้าวเดินอย่างรีบเร่ง เพื่อจะได้ทันเข้าเฝ้าก่อนครบกำหนดเจ็ดวัน
ส่วนทางด้านนครชัยบุรี ผู้คนกำลังโจษขานกันเซ็งแซ่ว่า ชะรอยการล่าจับตัวอุบาทว์ จะล้มเหลว เสียเป็นแน่แล้ว แต่ครั้นเสนากลับเข้ามาในเมือง พร้อมกระบอกอุบาทว์ได้ทันเวลา ผู้คนก็แตกตื่น เกรียวกราวกัน เป็นการใหญ่ ฝ่ายเจ้านครชัยบุรี ครั้นได้ทรงทราบข่าวว่า เสนาจับตัวอุบาทว์ มาถวายได้ ก็ทรงดีพระทัย เป็นอันมาก ไม่ทรงรอช้า จึงรับสั่งให้ประชุมเสนาข้าราชการเป็นการด่วน
ชั่วเวลาไม่นาน ท้องพระโรงหลวงก็แออัดไปด้วเสนาอำมาตย์ ข้าราชการต่างๆ ทั้งผู้ใหญ่ผู้น้อย ส่วนรอบนอก เต็มไปด้วยประชาชนพลเมือง เบียดเสียดกันเนืองแน่น ครั้นได้เวลากษัตริย์ชัยบุรี ก็เสด็จออกประทับ แล้วตรัส ให้เสนารีบนำกระบอกอุบาทว์ เข้าถวายโดยเร็ว
ฝ่ายเสนาผู้พิชิตอุบาทว์ก็ไม่รอช้า รีบนำกระบอกไม้ไผ่บรรจุตัวอุบาทว์ขึ้นน้อมเกล้าถวาย อย่างภาคภูมิ ทุกสายตา ในท้องพระโรง รวมสู่จุดเดียวกัน คือกระบอกอุบาทว์นั้น
"ขอเดชะ อาญาไม่พ้นเกล้า อุบาทว์หายากเหลือเกินพะยะค่ะ เวลาพระองค์ทอดพระเนตร อย่าเทออก เป็นอันขาด เพราะถ้าทรงเท มันจะหนีไปเสียก่อน ไม่ทันได้ทอดพระเนตรพะยะค่ะ" เสนากราบทูล อย่างเสียง ห้าวหาญ พร้อมกับน้อมเกล้าถวายกระบอกอุบาทว์
"เอ้อ เอามานี่ ขอดูหน้ามันทีเถอะ ทำไมฤทธิ์เดชมันถึงมากนัก.." รับสั่งพลาง ทรงดึงจุกออก ด้วยความ ระมัดระวัง แล้วก้มพระพักตร์ลงทอดพระเนตรเข้าไปในกระบอกอย่างระวัง ภายในกระบอกมืด ทรงเห็นบ้าง ไม่เห็นบ้าง ครู่หนึ่งก็ทรงอุทานออกมา
"อ่อ.. เอ้าท่านมหาเสนา ดูทีซิ เหมือนตัวอะไร จงดูอย่างระวังหน่อยนะ" แล้วทรงยื่นกระบอกนั้น ให้มหาเสนาดู
มหาเสนารับกระบอกจากพระหัตถ์มาเพ่งมองอย่างพิเคราะห์อยู่สักครู่ แล้วจึงกราบทูลขึ้นว่า "อุบาทว์นี้ ตัวเหมือนอึ่งอ่าง นะพะยะค่ะ" แล้วส่งให้เสนาอำมาตย์ท่านอื่นดูต่อไป กันไปตามลำดับ
เมื่อต่างคนต่างดู ต่างคนต่างพิเคราะห์ ตามความรู้สึกทางจินตภาพของใครของมัน เอาทิฐิมานะเข้าหากัน ก็เลย เป็นเรื่องที่ตกลงกันไม่ได้
"เชื่อฉันเถอะน่า ฉันว่าตัวมันเหมือนด้วงว่ะ"
"เฮ้ย ข้าว่ามันเหมือนกิ้งกือนะ ดูสิ แกว่ามั้ย?" แล้วยื่นไปให้อีกคนหนึ่งดู
"ใช่รึ ฉันพิเคราะห์ดูแล้วเหมือนจิ้งจกมากกว่า"
เฮ่ย จิ้งจก บ้าบอของแกนะซิ เอ้าถ่างตาดูให้มันชัดๆ ซิวะ...." แล้วยื่นกระบอกกลับไปให้คนเดิมสองตาดู "เห็นมั้ยท่าน... มันกิ้งกือดีๆ นี่เอง"
"เฮ่ย ตาเฒ่าเหย เอามานี่ ตาท่านนั้นแก่แล้ว จะมองอะไรรู้เรื่อง ไปนั่งเคี้ยวหมากเลี้ยงหลาน อยู่กับบ้าน เถอะไป๊ อย่ามาออกความเห็นงูๆ ปลาๆ ให้คนอื่นเขารำคาญอยู่เลย" ว่าแล้วก็ดึงกระบอกจากมือมาถือไว้
"อ้าว ท่านพูดจาอะไรควรระวังปากบ้างนะ ถึงข้าแก่ก็แก่งานแก่การมานานเนิ่นนะโว้ย... ใช่อ้อแอ้ หัดขัน เหมือนอย่างแก พุทโธ่ ไอ้นี่ วอนเสียแล้ว..." ผู้เฒ่าชักไม่พอใจ
"ชิชะ หาว่าฉันเด็กน้อยอ่อนงานเรอะ แล้วคนแก่อย่างท่าน มีผลงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันบ้าง?... ท่อ! อย่างดี ก็แค่ทำตัวเป็นที่ปรึกษา พอให้เด็กๆ เขาเยินยอ พอได้หน้าเท่านั้นเองท่านเอ๋ย..."
"อ่อ อ่อ.. นี่แกบังอาจพูดจาดูถูกดูแคลนพวกข้าถึงขนาดนั้นเลยเชียวรึ หน็อย ไอ้จัญไร มึงนะมึง" ว่าแล้ว เสนาผู้เฒ่า ก็ผลุนผลันลุกขึ้นชี้หน้าเสนาหนุ่มอย่างเกรี้ยวกราด พร้อมที่จะวางมวยกันต่อหน้าพระที่นั่ง ทำเอา ทั้งเสนาอำมาตย์ ข้าราชบริพารทั้งหลายต่างตกตะลึงพรึงเพริดไปตามๆ กัน
"แกแน่จริงมาลองกับคนแก่ๆ อย่างข้าสักตั้งมั้ย ? ... เอามั้ย ?..."
"เอาอย่างนั้นเลยรึ ?..."
"เออซิวะ ไอ้อุบาทว์ ไอ้จัญไร ไม่รู้จักผู้ใหญ่ผู้น้อย..ฮึ่มม์..."
"หยุด! ใครยังขืนเอะอะจงลากตัวไปประหารให้หมดเดี๋ยวนี้" พระราชาทรงรับสั่งด้วยความกริ้ว ชี้พระหัตถ์ มาทางเสนาทั้งสอง "ท่านทั้งสองช่างไม่รู้เสียเลยว่าอะไรควร อะไรไม่ควร ข้าให้ดูตัวอุบาทว์เท่านั้น ไม่ได้ให้เจ้า ทะเลาะกัน เอามานี่" พระราชารับสั่งอย่างไม่พอพระทัย
ฝ่ายเสนาทั้งสอง ต่างมองหน้ากันเลิกลั่ก แล้วอีกฝ่ายก็หมอบคลานเข้าถวายคืนกระบอกอุบาทว์ แก่พระองค์ ส่วนเสนาอำมาตย์อื่นๆ และประชาชนทั้งหลาย ที่ส่งเสียงจ้อกแจ้กจอแจ จนฟังไม่ได้ศัพท์ ต่างก็ เงียบเสียงลง พระทรงทอดพระเนตรไปรอบๆ เห็นว่าที่ประชุมสงบลงแล้ว จึงเริ่มตรัสเสียงขุ่นๆ ว่า
"อุบาทว์นี่ร้ายนัก ข้าพอจะรู้ฤทธิ์ของมันแล้ว ว่ามันคืออะไร ขนาดอยู่ในกระบอก ยังแผลงฤทธิ์ได้ อย่างไม่เกรงกลัว แม้แต่พระบรมเดชานุภาพ" ว่าแล้วก็ทรงเงยพระพักตร์ พร้อมรับสั่งอย่างตะโกน
"เอาล่ะนะ ในกระบอกนี้มีตัวอุบาทว์หรือไม่ หน้าตามันเป็นอย่างไร คอยจ้องดูกันให้ดีๆ ข้าจะเทมันออกล่ะ เอ้า ทุกคนเตรียมพร้อม ดูหน้ามันให้แน่ๆ แล้วฆ่ามันให้ตาย"
ว่าแล้วพระราชาชัยบุรีก็ชูกระบอกอุบาทว์ขึ้น ทุกคนจ้องดูด้วยใจระทึก ท้องพระโรงเงียบกริบ เหมือน ปราศจาก สิ่งมีชีวิตใดๆ เมื่อพระราชาคว่ำกระบอกไม้ไผ่ลง ก็มีก้อนวัตถุสิ่งหนึ่ง ตกแผละลงมา ทุกๆ คน ที่พอจะมองเห็น สิ่งนั้นได้ชัดเจน ต่างอุทานออกพร้อมๆ กันอย่างกับนัด...."ชานหมาก..."
แล้วเสียงเอ็ดอึง ระคนกับเสียงหัวเราะก็เริ่มขึ้น พระราชาก้มพระพักตร์ทอดพระเนตรเล็กน้อย แล้วทรง ลุกขึ้นยืน พลางรับสั่งด้วยสุรเสียงอันดังว่า
"ทุกคนฟังทางนี้ เสนาอำมาตย์ ตลอดจนอาณาประชาราษฎร์ทั้งหลาย บัดนี้เราได้เห็นชัดเจนแล้วว่า ตัวอุบาทว์ เป็นอย่างไร กระบอกไม้ไผ่นี้มันก็ไม่อุบาทว์ ชานหมากที่ฤาษีคายใส่กระบอกมาให้ มันก็ไม่อุบาทว์ ใช่ไหม? แต่ตัวอุบาทว์แท้ๆ มันอยู่ในหัวสมองของคนเรานี้เองต่างหาก ใครคิดไม่ดี ทำไม่ดี มีทิฐิมานะ อวดดี ถือดีกัน ไม่ยอมฟังเสียงหาเหตุหาผลซึ่งกันและกัน ว่าใครถูกใครผิด ดื้อรั้น เอาแต่ใจตัวเองถ่ายเดียว โดยไม่ฟังเสียงใครอื่นเลยนั่นแหละ อุบาทว์ล่ะ จงจำกันเอาไว้เถอะ ถ้าใครอยากรอดพ้น จากความอุบาทว์ เหล่านี้ ก็จงหัดจงคิดแต่สิ่งที่ดี คิดในสิ่งที่สร้างสรรค์ เป็นทั้งประโยชน์เขาประโยชน์เรา ไม่เบียดเบียน ให้ร้าย ใส่ไคล้ผู้อื่น ให้เดือดร้อน และแน่ล่ะ ถ้าเราเป็นคนประพฤติปฏิบัติแต่สิ่งดีๆ แล้ว ตัวอุบาทว์ก็จะไม่เกิดขึ้น และโรคอุบาทว์ก็จะไม่มีในสมองของพวกเรา บ้านเมืองและหมู่คณะก็จะอยู่เย็นเป็นสุขทั่วหน้ากัน"
(เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๕๘ กันยายน ๒๕๔๖)
ครั้งหนึ่งเคยได้ยินเขาเล่าว่า สมัยก่อนพุทธกาลนั้น ทางเหนือสุดของแม่น้ำคงคาเลยแคว้นมคธไกลขึ้นไป พื้นที่ส่วนมากเป็นทุ่งหญ้า ป่าไม้ ดงตาล พื้นที่แถบนั้นค่อยๆ ลาดสูงขึ้นไปเรื่อยจนบรรจบกับเนินเขาหิมาลัย อันเป็นทางต้นน้ำของแม่น้ำสายนี้ แลเห็นทะเลหมอกและหิมะทาทาบปกคลุมทุ่งหญ้า ขุนเขา อันสูง ตระหง่าน จนสุดลูกหูลูกตา ฝูงแพะ แกะ และเล็มหญ้าอ่อนอยู่เป็นกลุ่มๆ
นครชัยบุรี เป็นราชธานีของแคว้นหิมวันตประเทศ ตั้งอยู่ทางเหนือของแม่น้ำคงคา พระราชาแห่งนครนี้ ทรงปกครองไพร่ฟ้าประชาชนให้ร่มเย็นเป็นสุขด้วยทศพิธราชธรรม
มีวันหนึ่ง องค์ราชาเสด็จออกจากวังอย่างเงียบๆ เพื่อสำรวจตรวจตราความทุกข์สุข ของเหล่าประชาราษฎร์ ของพระองค์ การเสด็จวันนั้นมีเสนาอำมาตย์ใกล้ชิดติดตามเพียงไม่กี่คน รถพระที่นั่งผ่านไปตามถนน สายต่างๆ สองฟากเนืองแน่นไปด้วยบ้านเรือน ร้านค้า และเทวสถาน แสงไฟจากดวงโคมส่องแสงสลัว ออกมา ถึงท้องถนนเป็นระยะๆ เสียงผู้คนสรวลเสเฮฮา เสียงขับกล่อม และเสียงดนตรี เคล้าคละ ประสานกันอึงมี่ ทำให้พระราชาทรงเบิกบานพระทัยยิ่งนัก พอใจในสันติสุข ของไพร่ฟ้า ข้าแผ่นดิน ของพระองค์
รถพระที่นั่งผ่านเลยไปเรื่อยๆ....
แต่ครั้นถึงหมู่บ้านคฤหบดี พระราชาได้ทอดพระเนตรเห็นบ้านร้างหลังหนึ่งใหญ่โตโอ่อ่า แต่เงียบเหงา ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่ในนั้น ไม่มีแสงไฟ ไม่มีแม้แต่คนที่จะคอยปิดหน้าต่าง ซึ่งถูกตีด้วยแรงลม เสียงดังปึงปัง อยู่หลายบานให้สนิทเรียบร้อย พระองค์ทอดพระเนตร แล้วทรงรับ สั่งให้หยุดรถ พระที่นั่ง เพื่อที่จะไต่ถาม ใครสักคนที่อยู่ใกล้เคียง ซึ่งพอจะทราบเรื่องราว ของบ้านใหญ่ ที่รกร้างหลังนี้บ้าง และพระองค์ ก็ทรง ทอดพระเนตร เห็นปากทาง เข้าบ้านหลังนั้น ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับที่รถพระที่นั่งจอดอยู่ และข้างๆ ทางนั้นเอง เห็นตายายสูงอายุคู่หนึ่ง กำลังนั่ง รับประทานอาหาร อยู่ในกระท่อมหลังเล็กๆ ท่ามกลาง แสงสว่าง จากโคมอันริบหรี่ จนแทบจะมอง ไม่เห็นหน้ากัน พระราชาทรงเสด็จเข้าไปประทับยืน ข้างกระท่อม ของตายาย เพื่อทรงสนทนาด้วย
"ทำอะไรจ๊ะ คุณตา?" พระราชาทรงทักทาย
"กินข้าวกันจ้ะ" ตอบอย่างไม่สนใจอาคันตุกะ
"การทำมาหากิน หมู่นี้เป็นอย่างไรบ้างครับคุณตา?"
"แย่...หมู่นี้ท่านเอ๋ย"
"อ้าว ทำไมล่ะ?"
"ก็จะทำไมเสียอีกเล่า ท่านมองดูที่บ้านหลังใหญ่นั่นซิ เงียบเป็นป่าช้าเห็นไหม?"
"แล้วมันเกี่ยวอะไรกันรึ?"
"โธ่ ลูกหลานเอ๋ย จะไม่ให้เกี่ยวกันได้อย่างไร ฉันตายายสองคนได้อาศัยท่าน การอยู่การกินอาศัยท่านทั้งนั้น เมื่อท่าน ต้องมีอันเป็นไปเสียอย่างนี้แล้วพวกเราตายายก็แย่ ไม่รู้จะอาศัยใคร"
"ฉันไม่เข้าใจจ้ะตา ทำไมบ้านหลังใหญ่ต้องเงียบเหงานักล่ะ?"
"บ้านไม่มีคนมันก็เงียบเหงาซิจ๊ะ"
"แล้วคนเขาไปไหนกันหมดน่ะ?"
"ตาก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะมันกระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง"
"มันเกิดอะไรขึ้นรึ ถึงได้แตกแยกอยู่กันไม่ได้ ดูซิบ้านออกใหญ่โต?"
"ก็มันอยู่ไม่ได้นั่นแหละหลานเอ๋ย เขาถึงไม่อยู่"
"ทำไมถึงอยู่ด้วยกันไม่ได้เล่าครับคุณตา?"
มันจะอยู่ได้อย่างไรเล่า ก็อุบาทว์ลงย่อยยับหมดแล้วนี่จ๊ะ"
หือ...อุบาทว์ลง อุบาทว์ลงแล้วอยู่ด้วยกันไม่ได้เลยหรือตา?"
ไม่ได้ อยู่ด้วยกันไม่ได้ อย่าว่าแต่บ้านหลังใหญ่เท่านี้เลย ต่อให้วังพระเจ้าแผ่นดินก็เถอะ ถ้าอุบาทว์ มันได้ลง แล้วละก็ จะต้องกลายเป็นปราสาทร้างไปเหมือนกัน"
อืมม์ ตัวอุบาทว์ที่ว่านี้มันร้ายนักรึ?"
โอ ลูกเอ๋ยหลานเอ๋ย อะไรมันจะร้ายเท่าอุบาทว์ในโลกนี้ไม่มีอีกแล้ว ขอโทษเถอะ ตัวท่านเองเป็นทหารหลวง ใช่ไหม?"
"ใช่จ้ะลุง"
"ท่านเคยไปเที่ยวที่เมืองคีรีนครหรือเปล่า?"
"เคยไปเหมือนกันสมัยยังเด็ก"
"นั่นแหละ เมืองคีรีนครเดิมเป็นเมืองหลวงของเรา เจ้าได้สังเกตไหมว่าเมืองคีรีเป็นเมืองใหญ่ มีประตูคู่ค่าย และ หอรบ พร้อมบริบูรณ์ทุกอย่าง ข้าศึกพยายามเข้าตีหลายครั้งแต่ก็ต้องพ่ายแพ้กลับไปทุกครั้ง ครั้นต่อมา ในสงครามครั้งสุดท้าย กองบัญชาการป้องกันคีรีนครของเราได้ถูกอุบาทว์ลง จนเสีย บรรดาแม่ทัพ นายกอง แตกกระจัดกระจาย ไม่สามารถประสานบัญชาการรบให้เข้มแข็งได้ ผลสุดท้ายเมืองคีรีก็แตกเสียทีแก่ข้าศึก อย่างง่ายดาย อุบาทว์ลงแล้วใครเล่าจะเอาธุระในการรักษาเมือง ดูแต่บ้านหลังนี้ซิ ยังถูกทิ้งให้รกร้างไป อย่างน่าเสียดาย แม้แต่ประตูหน้าต่างก็ไม่มีใครอยากปิด ก็เพราะเจ้าอุบาทว์จังไรมันทำเหตุแท้ๆ"
"อุบาทว์มันเป็นตัวอย่างไรกันนะ แปลกแท้ๆ"
"ตาก็ไม่เคยเห็นตัวมันสักที รู้แต่ฤทธิ์เดชของมันเท่านั้น"
"ถ้าเรารู้จักตัวมันและจับมันให้ได้คงจะดีนะคุณตา?"
"อ๋อ แน่นอนตาจะสับมันให้แหลกละเอียดเลย"
"เอาละ วันนี้ฉันขอลาคุณตาไปก่อน ว่างๆ จะแวะมาคุยใหม่"
"เจริญๆ นะพ่อนะ"
จากนั้นรถพระที่นั่งก็เคลื่อนต่อไป จนสิ้นสุดเขตพระนคร แล้วก็วกกลับพระราชวัง ราตรีนั้น พระราชา ทรงครุ่นคิด อยู่เกือบตลอดคืน อุบาทว์ตัวมันเป็นเช่นไร หรือว่าเป็นผีชนิดหนึ่ง ที่มองไม่เห็นตัว มันถึง ร้ายแรงนัก จนสภาเมือง สโมสร บ้านวัด และมิตรภาพ ของบุคคล ถึงกับล่มจมแตกแยก กระจัดกระจาย แหลกสลายอย่างไม่เป็นท่าเช่นนี้ อุบาทว์มันอยู่ที่ไหน แม้แต่โหรหลวงก็ยังบอกไม่แน่นอน มีแต่บอกว่า วันนั้นวันนี้ เป็นวันอุบาทว์ อันว่าตัวเรานี้ เป็นพระเจ้าแผ่นดินก็เพื่อบำบัดทุกข์ บำรุงสุข ให้แก่ใต้ฟ้า อาณา ประชาราษฎร์ บัดนี้ใต้ฟ้าข้าแผ่นดิน ได้รับทุกข์เพราะอุบาทว์ลง จะทำอย่างไรกันดี เห็นที เราจะต้อง เล่นงาน ไอ้เจ้าอุบาทว์นี้ให้จริงจังเสียที
เมื่อพระราชาทรงดำริเช่นนั้น วันรุ่งขึ้นพระองค์ทรงรับสั่งให้ประชุมเสนาข้าราชการ ทั้งผู้ใหญ่ผู้น้อย ณ ท้องพระโรงหลวง เช้าวันนั้นพระองค์มีพระพักตร์อ่อนโรยเล็กน้อย ขณะเสด็จออกขุนนาง เพราะทรงคิด อยู่แต่เรื่องนี้ เกือบตลอดคืน เมื่อข้าราชการฝ่ายต่างๆ พร้อมแล้ว พระองค์ก็ทรงเล่าเรื่อง ที่ได้ทรงประสบมา ให้ที่ประชุมฟัง อย่างละเอียดแล้ว จึงรับสั่งถามเป็นรายตัวบุคคล
"ท่านเสนาบดี ท่านเคยเห็นตัวอุบาทว์บ้างมั้ย ตัวมันเป็นยังไงข้าพเจ้าอยากทราบเหลือเกิน" พระองค์ ทรงรับสั่ง ถามเสนาบดีก่อนคนอื่น
"ขอเดชะพระอาญาไม่พ้นเกล้า ข้าพระองค์ไม่เคยเห็นพะยะค่ะ เคยได้ยินแต่ชื่อ"
"ท่านมหาอำมาตย์ล่ะ เคยเห็นบ้างมั้ย?"
"ไม่เคยเหมือนกันพะยะคะ"
"โน่นล่ะ เสนา..... " รับสั่งพร้อมกับชี้พระหัตถ์ไปทางหมู่เสนาที่นั่งเป็นแถวอยู่ด้านหลัง
"ไม่เคยเห็นพะยะค่ะ" เสียงตอบเกือบจะพร้อมกันของหมู่เสนาผู้น้อย
"ตกลงว่าทุกคนที่อยู่ที่นี่ไม่มีใครเคยเห็นตัวอุบาทว์เลย แต่เราก็ยังไม่เคยสืบจับมันให้จริงจังสักที เอาหละ ท่านเสนาอำมาตย์ทั้งหลาย ต่อแต่นี้ไปเราจะออกสืบจับตัวอุบาทว์กันละนะ นี่แน่ะเสนา..." พลางชี้พระหัตถ์ ไปที่เสนาคนหนึ่ง ซึ่งเคยติดตามไปกับขบวนเสด็จตรวจพระนคร "ข้าขอมอบเรื่องนี้ให้เป็นหน้าที่ของเจ้า เจ้าจงรีบ ไปหาจับตัวอุบาทว์มาให้ข้าฯ ให้ได้ภายในเจ็ดวัน เราจะปูนบำเหน็จแก่เจ้าอย่างงามเลยทีเดียว แต่ถ้าไม่ได้ หัวเจ้าจะต้องขาด ตามอาญาแผ่นดิน"
เสนากลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดๆ แล้วก็หมอบ กราบรับพระบรมราชโองการใส่เกล้าใส่กระหม่อม แล้วออก ตระเวน สืบหาจับตัวอุบาทว์ไปตามหมู่บ้านต่างๆ พบใครก็ถามว่าเห็นตัวอุบาทว์บ้างหรือไม่ ยิ่งนานวันเข้า ความหวังที่จะได้พบตัวอุบาทว์ก็ยิ่งน้อยลง ยิ่งถามใครต่อใครมากเข้า ความหวังที่จะมีชีวิตอยู่ ก็ยิ่งลดน้อยล งทุกที อย่าว่าแต่จะมีผู้รู้จักที่อยู่ของมันเลย แม้แต่คนที่เคยเห็นตัวก็ยังไม่มี
ห้าวันผ่านไป พร้อมกับความหวังที่เลื่อนลอย พอย่างเข้าวันที่หก เสนาผู้น่าสงสารก็ฉุกคิดขึ้นมาว่า ตัวอุบาทว์ เห็นจะไม่มีเป็นแน่แท้ แม้จะดั้นด้นตามหาสักเท่าไรก็คงไม่พบ แต่พระมหากษัตริย์ตรัสแล้ว ไม่คืนคำนี่ซิ จะทำอย่างไร พระองค์ว่าประหารก็ต้องประหาร ถ้าเราขืนกลับเข้าเมืองอีกก็มีหวังตาย อย่างเดียว อย่ากระนั้นเลย เราจะเดินไปตาย ในป่าเขาหิมาลัยจะดีกว่า
ครั้นตัดสินใจแน่แล้ว เสนาผู้ซึ่งขณะนี้เป็นเสมือนนักโทษรอวันประหาร ก็เดินทางมุ่งหน้าเข้าสู่ป่า ขณะที่ ใจของเขา เฝ้าพะวักพะวนอยู่กับลูกเมีย และมวลญาติทางเมืองหลวง ส่วนเท้าก็ก้าวไปข้างหน้า อย่างไม่หยุดยั้ง ใจก็คิดว่า จะต้องไปให้ไกลที่สุด เท่าที่แรงขาจะพอมีกำลัง ช่วยให้รอดพ้น จากคมประหาร
พอดวงตะวันคล้อย เขาก็สามารถเดินบุกเข้าไปได้ลึกจนถึงกลางป่า เมื่อมาอยู่กลางป่ากลางดงเช่นนี้ ความวิเวก วังเวง ทำให้เขามีหัวใจที่ว้าวุ่น เหมือนกับคนที่กำลังจะเป็นบ้า บรรยากาศเช่นนี้ ทำให้รู้สึกว่า ชีวิตได้หมดคุณค่าลง ถึงไม่ตายด้วยคมประหารในเมืองหลวง แต่ก็คงต้องตายด้วยความอดอยาก ความเจ็บไข้ หรือไม่ก็เขี้ยวเล็บของสัตว์ร้ายอยู่ดี เขารำพึงอยู่ในใจว่า "ไหนๆ ตัวเราก็จะต้องตาย ไม่ช้าก็เร็ว ชีวิตสิ้นหวัง ไม่หลงเหลือ ความหมายใดๆ อีกต่อไป เป็นมนุษย์แท้ๆ แต่ต้องซุกหัวอยู่อย่างสัตว์ จะกิน จะเที่ยว อย่างสัตว์ในป่านี้ ย่อมเป็นไปไม่ได้ สัตว์มันเกิดที่นี่ ภูมิลำเนาของมันอยู่ที่นี่ พี่น้องลูกเมียของมัน ก็อยู่ที่นี่ มันมีอิสระที่จะท่องเที่ยวไปไหนต่อไหนในป่านี้ได้อย่างเสรี เราเป็นมนุษย์กลับต้องหนีมาหดหัว หลบอาญาแผ่นดิน อยู่กลางดงกลางป่า หาอิสระไม่มีเลย ถ้าเช่นนั้น เราจะอยู่ต่อไป เพื่อประโยชน์อะไร รีบตาย ให้พ้นจากโลก อันโหดร้ายนี้เสียดีกว่า ผ้าขาวม้าผืนเดียวก็เหลือตายแล้ว" ความเงียบเหงาวังเวง ทำให้เขาตัดสินใจ ง่ายขึ้น เขามองหาต้นไม้มีกิ่งพอที่จะยืดตัวขึ้นแขวนคอตัวเองได้แล้ว ก็ไม่ลังเล รีบแก้ ผ้าขาวม้า ที่คาดเอวออกมาสลัดทีหนึ่ง แล้วก็บิดเข้าเป็นเกลียวเล็กน้อย โดยไม่เสียเวลา เขาผูกชายข้างหนึ่ง เข้ากับคอตัวเอง แล้วก็ปีนขึ้นต้นไม้ซึ่งไม่สูงนัก เขาพยายามอีกสองอึดใจ ก็จะสมประสงค์แล้ว
"อืมม์... นั่นใคร?" เสียงของใครคนหนึ่งดังมาจากด้านหลังของต้นไม้ เสนาสะดุ้ง เพราะไม่แน่ว่าหูแว่วไปเอง หรือ เป็นเสียงของภูตผีปีศาจ ผู้จะมาเอาชีวิตเขากันแน่
"กำลังทำอะไรนะ?" เสียงดังขึ้นอีก
เขาหันกลับไปมองทางเจ้าของเสียงนั้น และทันทีก็ได้เห็นท่านนักพรตรูปหนึ่ง กำลังมองมายังเขา ด้วยท่าทาง ที่สงสัย
"ฤาษี..." เขาอุทาน
"ถูกแล้วท่าน อาตมาเป็นฤาษี แล้วท่านล่ะเป็นใคร?"
"พระคุณเจ้า กระผมเป็นเสนาบดีแห่งเมืองชัยบุรี ขอรับ" เขาตอบ
"แล้วท่านเสนาจะทำอะไรกันเล่า?"
"กระผมกำลังจะผูกคอตายขอรับ พระคุณเจ้ามาพบก็ดีแล้ว ช่วยสวดส่งวิญญาณให้กระผมหน่อยเถอะ"
"เดี๋ยวก่อนท่านเสนา ท่านมีเรื่องทุกข์ร้อนมากมายเทียวรึ จึงได้ตัดสินใจอย่างนั้น?"
"กระผมถูกความตายไล่ต้อน จนไม่อาจมีชีวิตอยู่ดูโลกต่อไปได้ กลับเมืองก็จะถูกประหาร ครั้นหนีมาอยู่ป่า ก็คงตาย ด้วยเขี้ยวเล็บของสัตว์ร้าย หรือไม่ก็ไข้ป่าเป็นแท้ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ต่อไปทำไม กระผมจึงตัดสินใจ ผูกคอตายเสียในตอนนี้เสียจะดีกว่า"
"อื่มม์ เช่นนี้นี่เอง อาตมาไม่มีอะไรขัดข้อง เจริญพร แต่ไหนๆ ท่านก็จะตายอยู่แล้ว ก็เล่าเรื่องให้อาตมาฟังไว้ สักหน่อย ไม่ดีรึ เผื่อบางทีญาติพี่น้องมาถามหา จะได้บอกเขาถูก"
"ได้ซิ พระคุณเจ้า กระผมเป็นเสนาเมืองชัยบุรี ในหลวงทรงใคร่ทอดพระเนตรตัวอุบาทว์ เมื่อหาที่ไหนไม่ได้ ก็มีพระราชดำรัส สั่งให้กระผมเที่ยวไปสืบเสาะหาจับตัวอุบาทว์ไปถวายภายในเจ็ดวัน และทรงคาดโทษ เอาไว้ว่า ถ้าหาจับตัวอุบาทว์ไปถวายไม่ได้ จะประหารชีวิตตัวกระผมเสีย"
"อ่อ แล้วยังไง?"
"พระคุณเจ้า กระผมหาสืบที่อยู่ของตัวอุบาทว์มาห้าหกวันแล้ว ไม่พบแม้แต่ผู้ที่รู้จักตัวอุบาทว์ สักคนเดียว มันซุกซ่อน อยู่แห่งหนตำบลใด ก็ไม่มีใครอาจรู้ได้เลย"
"แล้วยังไงต่อไปอีกเล่า?"
"กระผมคิดว่าในโลกนี้คงไม่มีตัวอุบาทว์เสียเป็นแน่แล้ว แต่จะกลับบ้านเมืองก็คงไม่พ้นถูกประหาร ข้าน้อย หมดหนทาง กลับเข้าเมืองก็ตาย อยู่ในป่านี้ก็ตาย จึงตัดสินใจตายเสียเดี๋ยวนี้จะดีกว่า"
"พุทโธ่ ท่านเสนา... เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ทำเป็นเรื่องใหญ่ไปได้ ตัวอุบาทว์มีเยอะแยะไป เต็มบ้านเต็มเมือง หน้าพระที่นั่ง ก็ยังมีท่านเอ๋ย" ฤาษีว่า
"จริงรึพระคุณเจ้า?" เสนาร้องถามเกือบเป็นเสียงตะโกนด้วยความดีใจ
"จริงซิ ว่าแต่ท่านเสนาลงมาจากต้นไม้ก่อนเถิด แล้วอาตมาจะหาตัวอุบาทว์ให้"
เสนาดีใจยิ่งนักรีบไต่ลงจากต้นไม้อย่างตื่นเต้น แล้วมาหมอบกราบลงแทบเท้าของนักพรตอย่างปีติ
"ท่านเสนา รีบไปตัดกระบอกไม้ไผ่มาให้อาตมาสักกระบอกไป๊ เลือกเอาไม้ปล้องที่มันลึกๆ สักหน่อยยิ่งดี" ฤาษีสั่ง
เสนารู้สึกดีใจยิ่งนัก รีบไปหาตัดกระบอกไม้ไผ่มาให้นักพรตอย่างเร่งรีบตามคำสั่ง ส่วนพระฤาษี นั่งเคี้ยวหมาก คอยท่า สักครู่เสนาก็รีบนำกระบอกไม้ไผ่มายื่นให้ ฤาษีรีบรับเอากระบอกจากมือเสนา แล้วเดินหลบ ออกหลังพุ่มไม้ ครู่เดียวก็เดินกลับมาพร้อมกับกระบอกไม้ไผ่ บรรจุตัวอุบาทว์ อุดจุกจนสนิท เรียบร้อยแล้ว ส่งให้เสนา พลางสั่งว่า
"นี่แน่ะท่านเสนา อาตมาจับตัวอุบาทว์ใส่กระบอกไม้ไผ่ให้แล้ว ขอท่านจงรีบนำขึ้นทูลเกล้าถวายเถิด ยังเหลือเวลา พอที่จะเข้าเฝ้าได้มิใช่หรือ ระวังอย่าไปเปิดก่อนล่ะ ประเดี๋ยวตัวอุบาทว์มันจะหนีไปได้ หัวของท่าน ก็จะขาดไปเสียเปล่า แล้วกราบทูลพระราชาของท่านด้วยว่า เวลาทอดพระเนตร อย่าเทออก เป็นอันขาด เดี๋ยวจะทอดพระเนตรไม่ทัน ต้องค่อยๆ เปิดจุกออก แล้วก็ค่อยทอดพระเนตร ลงในกระบอก ทีเดียว จะได้เห็นตัวมันชัดๆ"
เสนาดีใจนัก กราบลาท่านนักพรต สาวเท้าก้าวเดินอย่างรีบเร่ง เพื่อจะได้ทันเข้าเฝ้าก่อนครบกำหนดเจ็ดวัน
ส่วนทางด้านนครชัยบุรี ผู้คนกำลังโจษขานกันเซ็งแซ่ว่า ชะรอยการล่าจับตัวอุบาทว์ จะล้มเหลว เสียเป็นแน่แล้ว แต่ครั้นเสนากลับเข้ามาในเมือง พร้อมกระบอกอุบาทว์ได้ทันเวลา ผู้คนก็แตกตื่น เกรียวกราวกัน เป็นการใหญ่ ฝ่ายเจ้านครชัยบุรี ครั้นได้ทรงทราบข่าวว่า เสนาจับตัวอุบาทว์ มาถวายได้ ก็ทรงดีพระทัย เป็นอันมาก ไม่ทรงรอช้า จึงรับสั่งให้ประชุมเสนาข้าราชการเป็นการด่วน
ชั่วเวลาไม่นาน ท้องพระโรงหลวงก็แออัดไปด้วเสนาอำมาตย์ ข้าราชการต่างๆ ทั้งผู้ใหญ่ผู้น้อย ส่วนรอบนอก เต็มไปด้วยประชาชนพลเมือง เบียดเสียดกันเนืองแน่น ครั้นได้เวลากษัตริย์ชัยบุรี ก็เสด็จออกประทับ แล้วตรัส ให้เสนารีบนำกระบอกอุบาทว์ เข้าถวายโดยเร็ว
ฝ่ายเสนาผู้พิชิตอุบาทว์ก็ไม่รอช้า รีบนำกระบอกไม้ไผ่บรรจุตัวอุบาทว์ขึ้นน้อมเกล้าถวาย อย่างภาคภูมิ ทุกสายตา ในท้องพระโรง รวมสู่จุดเดียวกัน คือกระบอกอุบาทว์นั้น
"ขอเดชะ อาญาไม่พ้นเกล้า อุบาทว์หายากเหลือเกินพะยะค่ะ เวลาพระองค์ทอดพระเนตร อย่าเทออก เป็นอันขาด เพราะถ้าทรงเท มันจะหนีไปเสียก่อน ไม่ทันได้ทอดพระเนตรพะยะค่ะ" เสนากราบทูล อย่างเสียง ห้าวหาญ พร้อมกับน้อมเกล้าถวายกระบอกอุบาทว์
"เอ้อ เอามานี่ ขอดูหน้ามันทีเถอะ ทำไมฤทธิ์เดชมันถึงมากนัก.." รับสั่งพลาง ทรงดึงจุกออก ด้วยความ ระมัดระวัง แล้วก้มพระพักตร์ลงทอดพระเนตรเข้าไปในกระบอกอย่างระวัง ภายในกระบอกมืด ทรงเห็นบ้าง ไม่เห็นบ้าง ครู่หนึ่งก็ทรงอุทานออกมา
"อ่อ.. เอ้าท่านมหาเสนา ดูทีซิ เหมือนตัวอะไร จงดูอย่างระวังหน่อยนะ" แล้วทรงยื่นกระบอกนั้น ให้มหาเสนาดู
มหาเสนารับกระบอกจากพระหัตถ์มาเพ่งมองอย่างพิเคราะห์อยู่สักครู่ แล้วจึงกราบทูลขึ้นว่า "อุบาทว์นี้ ตัวเหมือนอึ่งอ่าง นะพะยะค่ะ" แล้วส่งให้เสนาอำมาตย์ท่านอื่นดูต่อไป กันไปตามลำดับ
เมื่อต่างคนต่างดู ต่างคนต่างพิเคราะห์ ตามความรู้สึกทางจินตภาพของใครของมัน เอาทิฐิมานะเข้าหากัน ก็เลย เป็นเรื่องที่ตกลงกันไม่ได้
"เชื่อฉันเถอะน่า ฉันว่าตัวมันเหมือนด้วงว่ะ"
"เฮ้ย ข้าว่ามันเหมือนกิ้งกือนะ ดูสิ แกว่ามั้ย?" แล้วยื่นไปให้อีกคนหนึ่งดู
"ใช่รึ ฉันพิเคราะห์ดูแล้วเหมือนจิ้งจกมากกว่า"
เฮ่ย จิ้งจก บ้าบอของแกนะซิ เอ้าถ่างตาดูให้มันชัดๆ ซิวะ...." แล้วยื่นกระบอกกลับไปให้คนเดิมสองตาดู "เห็นมั้ยท่าน... มันกิ้งกือดีๆ นี่เอง"
"เฮ่ย ตาเฒ่าเหย เอามานี่ ตาท่านนั้นแก่แล้ว จะมองอะไรรู้เรื่อง ไปนั่งเคี้ยวหมากเลี้ยงหลาน อยู่กับบ้าน เถอะไป๊ อย่ามาออกความเห็นงูๆ ปลาๆ ให้คนอื่นเขารำคาญอยู่เลย" ว่าแล้วก็ดึงกระบอกจากมือมาถือไว้
"อ้าว ท่านพูดจาอะไรควรระวังปากบ้างนะ ถึงข้าแก่ก็แก่งานแก่การมานานเนิ่นนะโว้ย... ใช่อ้อแอ้ หัดขัน เหมือนอย่างแก พุทโธ่ ไอ้นี่ วอนเสียแล้ว..." ผู้เฒ่าชักไม่พอใจ
"ชิชะ หาว่าฉันเด็กน้อยอ่อนงานเรอะ แล้วคนแก่อย่างท่าน มีผลงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันบ้าง?... ท่อ! อย่างดี ก็แค่ทำตัวเป็นที่ปรึกษา พอให้เด็กๆ เขาเยินยอ พอได้หน้าเท่านั้นเองท่านเอ๋ย..."
"อ่อ อ่อ.. นี่แกบังอาจพูดจาดูถูกดูแคลนพวกข้าถึงขนาดนั้นเลยเชียวรึ หน็อย ไอ้จัญไร มึงนะมึง" ว่าแล้ว เสนาผู้เฒ่า ก็ผลุนผลันลุกขึ้นชี้หน้าเสนาหนุ่มอย่างเกรี้ยวกราด พร้อมที่จะวางมวยกันต่อหน้าพระที่นั่ง ทำเอา ทั้งเสนาอำมาตย์ ข้าราชบริพารทั้งหลายต่างตกตะลึงพรึงเพริดไปตามๆ กัน
"แกแน่จริงมาลองกับคนแก่ๆ อย่างข้าสักตั้งมั้ย ? ... เอามั้ย ?..."
"เอาอย่างนั้นเลยรึ ?..."
"เออซิวะ ไอ้อุบาทว์ ไอ้จัญไร ไม่รู้จักผู้ใหญ่ผู้น้อย..ฮึ่มม์..."
"หยุด! ใครยังขืนเอะอะจงลากตัวไปประหารให้หมดเดี๋ยวนี้" พระราชาทรงรับสั่งด้วยความกริ้ว ชี้พระหัตถ์ มาทางเสนาทั้งสอง "ท่านทั้งสองช่างไม่รู้เสียเลยว่าอะไรควร อะไรไม่ควร ข้าให้ดูตัวอุบาทว์เท่านั้น ไม่ได้ให้เจ้า ทะเลาะกัน เอามานี่" พระราชารับสั่งอย่างไม่พอพระทัย
ฝ่ายเสนาทั้งสอง ต่างมองหน้ากันเลิกลั่ก แล้วอีกฝ่ายก็หมอบคลานเข้าถวายคืนกระบอกอุบาทว์ แก่พระองค์ ส่วนเสนาอำมาตย์อื่นๆ และประชาชนทั้งหลาย ที่ส่งเสียงจ้อกแจ้กจอแจ จนฟังไม่ได้ศัพท์ ต่างก็ เงียบเสียงลง พระทรงทอดพระเนตรไปรอบๆ เห็นว่าที่ประชุมสงบลงแล้ว จึงเริ่มตรัสเสียงขุ่นๆ ว่า
"อุบาทว์นี่ร้ายนัก ข้าพอจะรู้ฤทธิ์ของมันแล้ว ว่ามันคืออะไร ขนาดอยู่ในกระบอก ยังแผลงฤทธิ์ได้ อย่างไม่เกรงกลัว แม้แต่พระบรมเดชานุภาพ" ว่าแล้วก็ทรงเงยพระพักตร์ พร้อมรับสั่งอย่างตะโกน
"เอาล่ะนะ ในกระบอกนี้มีตัวอุบาทว์หรือไม่ หน้าตามันเป็นอย่างไร คอยจ้องดูกันให้ดีๆ ข้าจะเทมันออกล่ะ เอ้า ทุกคนเตรียมพร้อม ดูหน้ามันให้แน่ๆ แล้วฆ่ามันให้ตาย"
ว่าแล้วพระราชาชัยบุรีก็ชูกระบอกอุบาทว์ขึ้น ทุกคนจ้องดูด้วยใจระทึก ท้องพระโรงเงียบกริบ เหมือน ปราศจาก สิ่งมีชีวิตใดๆ เมื่อพระราชาคว่ำกระบอกไม้ไผ่ลง ก็มีก้อนวัตถุสิ่งหนึ่ง ตกแผละลงมา ทุกๆ คน ที่พอจะมองเห็น สิ่งนั้นได้ชัดเจน ต่างอุทานออกพร้อมๆ กันอย่างกับนัด...."ชานหมาก..."
แล้วเสียงเอ็ดอึง ระคนกับเสียงหัวเราะก็เริ่มขึ้น พระราชาก้มพระพักตร์ทอดพระเนตรเล็กน้อย แล้วทรง ลุกขึ้นยืน พลางรับสั่งด้วยสุรเสียงอันดังว่า
"ทุกคนฟังทางนี้ เสนาอำมาตย์ ตลอดจนอาณาประชาราษฎร์ทั้งหลาย บัดนี้เราได้เห็นชัดเจนแล้วว่า ตัวอุบาทว์ เป็นอย่างไร กระบอกไม้ไผ่นี้มันก็ไม่อุบาทว์ ชานหมากที่ฤาษีคายใส่กระบอกมาให้ มันก็ไม่อุบาทว์ ใช่ไหม? แต่ตัวอุบาทว์แท้ๆ มันอยู่ในหัวสมองของคนเรานี้เองต่างหาก ใครคิดไม่ดี ทำไม่ดี มีทิฐิมานะ อวดดี ถือดีกัน ไม่ยอมฟังเสียงหาเหตุหาผลซึ่งกันและกัน ว่าใครถูกใครผิด ดื้อรั้น เอาแต่ใจตัวเองถ่ายเดียว โดยไม่ฟังเสียงใครอื่นเลยนั่นแหละ อุบาทว์ล่ะ จงจำกันเอาไว้เถอะ ถ้าใครอยากรอดพ้น จากความอุบาทว์ เหล่านี้ ก็จงหัดจงคิดแต่สิ่งที่ดี คิดในสิ่งที่สร้างสรรค์ เป็นทั้งประโยชน์เขาประโยชน์เรา ไม่เบียดเบียน ให้ร้าย ใส่ไคล้ผู้อื่น ให้เดือดร้อน และแน่ล่ะ ถ้าเราเป็นคนประพฤติปฏิบัติแต่สิ่งดีๆ แล้ว ตัวอุบาทว์ก็จะไม่เกิดขึ้น และโรคอุบาทว์ก็จะไม่มีในสมองของพวกเรา บ้านเมืองและหมู่คณะก็จะอยู่เย็นเป็นสุขทั่วหน้ากัน"
(เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๕๘ กันยายน ๒๕๔๖)
อคติ
โดยธรรมชาติของมนุษย์ที่ยังมีกิเลสย่อมจะมีอคติด้วยกันทุกคน เพราะมนุษย์เราเมื่อจะทำอะไรก็ตาม มักจะคิดถึงประโยชน์ของตนเอง ญาติพี่น้อง หรือพวกพ้องก่อนเสมอ ซึ่งการกระทำในลักษณะดังกล่าวนี้เป็นสาเหตุทำให้ความไม่ถูกใจอยู่เหนือความถูกต้อง ความผิดอยู่เหนือความถูก
1. ความหมายและประเภทของอคติ
อคติ แปลว่า ทางความประพฤติที่ผิด หมายถึง ความลำเอียง ความไม่ยุติธรรม หรือความไม่เป็นธรรม พระพุทธศาสนาแบ่งอคติออกเป็น 4 ประเภท ตามพื้นฐานแห่งจิตใจ คือ
1) ฉันทาคติ คือ ความลำเอียงเพราะรักหรือชอบ หมายถึง การทำให้เกิดความไม่ชอบธรรม หรือการทำให้เสียความยุติธรรม เพราะอ้างเอาความรักหรือความชอบพอกัน ฉันทาคติมักเกิดกับตัวเอง พ่อแม่ ญาติพี่น้อง เพื่อน คนใกล้ชิด และพวกพ้อง ความรักหรือความชอบที่มีต่อบุคคลเหล่านี้อาจเป็นสาเหตุให้เรากลายเป็นคนมีอคติได้ เช่น ถ้าเด็กสองคนทะเลาะกัน พ่อแม่ของเด็กทั้งสองก็มักจะเข้าข้างลูกของตนเองเชื่อไว้ก่อนว่าลูกของตนเองเป็นฝ่ายถูก โดยไม่รับฟังเหตุผลของอีกฝ่ายหนึ่ง นี่เป็นความลำเอียงเพราะรัก
2) โทสาคติ คือความลำเอียงเพราะเกลียดชัง ไม่ชอบ หรือโกรธแค้น หมายถึง การทำให้เกิดความไม่ชอบธรรม หรือการทำให้เกิดเสียความยุติธรรม เพราะเกลียดชัง โกรธ หรือทะลุอำนาจโทสะ โทสาคติมักจะเกิดกับคนที่เราเกลียดมาก ๆ เช่น คู่แข่ง ศัตรู หรือคนที่เคยทำให้เราเจ็บใจ ทำให้เราเสียผลประโยชน์ บุคคลเหล่านี้อาจมีส่วนทำให้เราเป็นคนลำเอียงได้โดยไม่รู้ตัว เช่น ถ้าทหารทะเลาะกันกับตำรวจ คนขับรถรับจ้างมักจะเข้าข้างทหารไว้ก่อน เพราะคนขับรถถูกตำรวจเขียนใบสั่งบ่อย ๆ นี่เป็นความลำเอียงเพราะไม่ชอบหน้ากัน
3) โมหาคติ คือ ความลำเอียงเพราะความไม่รู้ ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ความหลงผิด หรือความเขลา หมายถึง การทำให้เกิดความไม่ชอบธรรม หรือการทำให้เสียความยุติธรรมเพราะความไม่รู้ โมหาคติมักจะเกิดขึ้นโดยไม่ตั้งใจ เนื่องมาจากความสะเพร่า ความไม่ละเอียดถี่ถ้วน รีบตัดสินใจโดยยังมิได้พิจารณาให้รอบคอบเสียก่อน จึงเป็นสาเหตุทำให้คนผิดกลายเป็นคนถูก คนถูกกลายเป็นคนผิด ซึ่งการกระทำในลักษณะดังกล่าวก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นได้ เช่น ผู้ชายสองคน คนหนึ่งแต่งตัวดี ดูภูมิฐาน หน้าตาหล่อเหลา อีกคนหนึ่งนุ่งกางเกงยีนส์เก่า ๆ เสื้อผ้าขาด ๆ ดูโทรม ๆ ไม่น่าไว้วางใจ คนเฝ้าบ้านไว้ใจผู้ชายคนแรกมากกว่าผู้ชายคนหลัง และยอมเปิดประตูบ้านให้เข้าไปนั่งในห้องรับแขก ผู้ชายคนดังกล่าวกลายเป็นโจรผู้ร้าย นี่เป็นความลำเอียงเพราะความเขลา
4) ภยาคติ คือ ความลำเอียงเพราะความกลัว หมายถึง การทำให้เกิดความไม่ชอบธรรม หรือการทำให้เสียความยุติธรรม เพราะมีความหวาดกลัว หรือเกรงกลัวภยันตราย ความกลัวมีหลายรูปแบบ เช่น ความกลัวภัยอันตรายมาถึงตนหรือครอบครัว กลัวเสียหน้า กลัวคนเกลียด กลัวจะได้สิ่งที่ไม่ต้องการ เป็นต้น ความกลัวเหล่านี้เป็นสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้คนเราปฏิบัติหน้าที่ด้วยความลำเอียง เช่น ผู้ใต้บังคับบัญชาสองคน คนหนึ่งเป็นลูกของพ่อค้าขายของชำ อีกคนหนึ่งเป็นลูกเจ้าพ่อมีอิทธิพลเลี้ยงนักเลงไว้มาก ทั้งสองคนทำผิด คนแรกถูกผู้บังคับบัญชาไล่ออกจากงาน ส่วนคนหลังยังคงทำงานต่อไป ไม่มีการลงโทษใด ๆ นี่เป็นความลำเอียงเพราะหวาดกลัวอิทธิพลมืด
2. แนวทางปฏิบัติเพื่อชีวิตและสังคม
มนุษย์เราชอบความยุติธรรม รักความซื่อสัตย์ และเกลียดชังความลำเอียง แต่การที่เราจะสร้างความยุติธรรม ความซื่อสัตย์ และหลีกเลี่ยงความลำเอียงได้นั้นเป็นเรื่องค่อนข้างยาก วิธีเดียวที่ทำได้ คือ การฝึกฝนจิตใจให้หนักแน่น โดยยึดหลัก การเอาใจเขามาใส่ใจเรา เราเกลียดชังความลำเอียงหรือความอยุติธรรมอย่างไร คนอื่นก็เกลียดชังความลำเอียง ความอยุติธรรมเช่นเดียวกับเรา อย่างไรก็ตาม วิธีแก้ไขข้ออคติแต่ละประเภทที่เกิดขึ้นก็สามารถทำได้เช่นกัน ดังนี้
1. ฉันทาคติ แก้ไขโดยการฝึกทำใจให้เป็นกลาง โดยการปฏิบัติต่อทุกคนให้เหมาะสมเหมือนกัน ต้องไม่ประมาท ไม่เผลอ และต้องมีสติอยู่เสมอว่ากำลังทำอะไรกับใคร
2. โทสาคติ แก้ไขโดยการทำใจให้หนักแน่น ใจเย็น ไม่วู่วาม รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา และพยายามแยกเรื่องส่วนตัวกลับเรื่องงานออกจากกัน
3. โมหาคติ แก้ไขได้โดยการเปิดใจให้กว้าง ทำใจให้สงบ มองโลกในแง่ดี ยอมรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น และต้องศึกษาสิ่งที่ตนเข้าไปเกี่ยวข้องให้ดี
4. ภยาคติ แก้ไขได้โดยการพยายามฝึกให้เกิดความกล้าหาญ โดยเฉพาะความกล้าหาญทางจริยธรรม คือ กล้าคิด กล้าพูด และกล้าพูดในสิ่งที่ดีงาม
1. ความหมายและประเภทของอคติ
อคติ แปลว่า ทางความประพฤติที่ผิด หมายถึง ความลำเอียง ความไม่ยุติธรรม หรือความไม่เป็นธรรม พระพุทธศาสนาแบ่งอคติออกเป็น 4 ประเภท ตามพื้นฐานแห่งจิตใจ คือ
1) ฉันทาคติ คือ ความลำเอียงเพราะรักหรือชอบ หมายถึง การทำให้เกิดความไม่ชอบธรรม หรือการทำให้เสียความยุติธรรม เพราะอ้างเอาความรักหรือความชอบพอกัน ฉันทาคติมักเกิดกับตัวเอง พ่อแม่ ญาติพี่น้อง เพื่อน คนใกล้ชิด และพวกพ้อง ความรักหรือความชอบที่มีต่อบุคคลเหล่านี้อาจเป็นสาเหตุให้เรากลายเป็นคนมีอคติได้ เช่น ถ้าเด็กสองคนทะเลาะกัน พ่อแม่ของเด็กทั้งสองก็มักจะเข้าข้างลูกของตนเองเชื่อไว้ก่อนว่าลูกของตนเองเป็นฝ่ายถูก โดยไม่รับฟังเหตุผลของอีกฝ่ายหนึ่ง นี่เป็นความลำเอียงเพราะรัก
2) โทสาคติ คือความลำเอียงเพราะเกลียดชัง ไม่ชอบ หรือโกรธแค้น หมายถึง การทำให้เกิดความไม่ชอบธรรม หรือการทำให้เกิดเสียความยุติธรรม เพราะเกลียดชัง โกรธ หรือทะลุอำนาจโทสะ โทสาคติมักจะเกิดกับคนที่เราเกลียดมาก ๆ เช่น คู่แข่ง ศัตรู หรือคนที่เคยทำให้เราเจ็บใจ ทำให้เราเสียผลประโยชน์ บุคคลเหล่านี้อาจมีส่วนทำให้เราเป็นคนลำเอียงได้โดยไม่รู้ตัว เช่น ถ้าทหารทะเลาะกันกับตำรวจ คนขับรถรับจ้างมักจะเข้าข้างทหารไว้ก่อน เพราะคนขับรถถูกตำรวจเขียนใบสั่งบ่อย ๆ นี่เป็นความลำเอียงเพราะไม่ชอบหน้ากัน
3) โมหาคติ คือ ความลำเอียงเพราะความไม่รู้ ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ความหลงผิด หรือความเขลา หมายถึง การทำให้เกิดความไม่ชอบธรรม หรือการทำให้เสียความยุติธรรมเพราะความไม่รู้ โมหาคติมักจะเกิดขึ้นโดยไม่ตั้งใจ เนื่องมาจากความสะเพร่า ความไม่ละเอียดถี่ถ้วน รีบตัดสินใจโดยยังมิได้พิจารณาให้รอบคอบเสียก่อน จึงเป็นสาเหตุทำให้คนผิดกลายเป็นคนถูก คนถูกกลายเป็นคนผิด ซึ่งการกระทำในลักษณะดังกล่าวก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นได้ เช่น ผู้ชายสองคน คนหนึ่งแต่งตัวดี ดูภูมิฐาน หน้าตาหล่อเหลา อีกคนหนึ่งนุ่งกางเกงยีนส์เก่า ๆ เสื้อผ้าขาด ๆ ดูโทรม ๆ ไม่น่าไว้วางใจ คนเฝ้าบ้านไว้ใจผู้ชายคนแรกมากกว่าผู้ชายคนหลัง และยอมเปิดประตูบ้านให้เข้าไปนั่งในห้องรับแขก ผู้ชายคนดังกล่าวกลายเป็นโจรผู้ร้าย นี่เป็นความลำเอียงเพราะความเขลา
4) ภยาคติ คือ ความลำเอียงเพราะความกลัว หมายถึง การทำให้เกิดความไม่ชอบธรรม หรือการทำให้เสียความยุติธรรม เพราะมีความหวาดกลัว หรือเกรงกลัวภยันตราย ความกลัวมีหลายรูปแบบ เช่น ความกลัวภัยอันตรายมาถึงตนหรือครอบครัว กลัวเสียหน้า กลัวคนเกลียด กลัวจะได้สิ่งที่ไม่ต้องการ เป็นต้น ความกลัวเหล่านี้เป็นสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้คนเราปฏิบัติหน้าที่ด้วยความลำเอียง เช่น ผู้ใต้บังคับบัญชาสองคน คนหนึ่งเป็นลูกของพ่อค้าขายของชำ อีกคนหนึ่งเป็นลูกเจ้าพ่อมีอิทธิพลเลี้ยงนักเลงไว้มาก ทั้งสองคนทำผิด คนแรกถูกผู้บังคับบัญชาไล่ออกจากงาน ส่วนคนหลังยังคงทำงานต่อไป ไม่มีการลงโทษใด ๆ นี่เป็นความลำเอียงเพราะหวาดกลัวอิทธิพลมืด
2. แนวทางปฏิบัติเพื่อชีวิตและสังคม
มนุษย์เราชอบความยุติธรรม รักความซื่อสัตย์ และเกลียดชังความลำเอียง แต่การที่เราจะสร้างความยุติธรรม ความซื่อสัตย์ และหลีกเลี่ยงความลำเอียงได้นั้นเป็นเรื่องค่อนข้างยาก วิธีเดียวที่ทำได้ คือ การฝึกฝนจิตใจให้หนักแน่น โดยยึดหลัก การเอาใจเขามาใส่ใจเรา เราเกลียดชังความลำเอียงหรือความอยุติธรรมอย่างไร คนอื่นก็เกลียดชังความลำเอียง ความอยุติธรรมเช่นเดียวกับเรา อย่างไรก็ตาม วิธีแก้ไขข้ออคติแต่ละประเภทที่เกิดขึ้นก็สามารถทำได้เช่นกัน ดังนี้
1. ฉันทาคติ แก้ไขโดยการฝึกทำใจให้เป็นกลาง โดยการปฏิบัติต่อทุกคนให้เหมาะสมเหมือนกัน ต้องไม่ประมาท ไม่เผลอ และต้องมีสติอยู่เสมอว่ากำลังทำอะไรกับใคร
2. โทสาคติ แก้ไขโดยการทำใจให้หนักแน่น ใจเย็น ไม่วู่วาม รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา และพยายามแยกเรื่องส่วนตัวกลับเรื่องงานออกจากกัน
3. โมหาคติ แก้ไขได้โดยการเปิดใจให้กว้าง ทำใจให้สงบ มองโลกในแง่ดี ยอมรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น และต้องศึกษาสิ่งที่ตนเข้าไปเกี่ยวข้องให้ดี
4. ภยาคติ แก้ไขได้โดยการพยายามฝึกให้เกิดความกล้าหาญ โดยเฉพาะความกล้าหาญทางจริยธรรม คือ กล้าคิด กล้าพูด และกล้าพูดในสิ่งที่ดีงาม
ปลาดุก เวลาล้างให้คลุกแป้งมัน
ปลาดุก เวลาล้างให้คลุกแป้งมันให้ทั่วแล้วจึงล้างออกให้สะอาด ทำให้ปลาไม่ีมีเมือก เมื่อนำไปทอด เนื้อปลาดุกจะสวยและไม่มีกลิ่นคาว
จาก SMS FarmerInfo - DTAC - 23 ก.ค.2554 - 13.14 น.
จาก SMS FarmerInfo - DTAC - 23 ก.ค.2554 - 13.14 น.
วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
ปรัชญาชีวิต
ปรัชญาชีวิต
ชีวิตเกิดมาตั้งอยู่แล้วดับไป... สิ่งที่ต้องทำคือความดี...สิ่งที่ต้องมีคือคุณธรรม...สิ่งที่ต้องจำคือบุญคุณ... ทุกชาติ- ทุกชีวิต- ทุกศาสนา...โครงสร้างของร่างกายประกอบด้วยธาตุ4 ดิน- น้ำ- ลม- ไฟ- ความมั่นคงของร่างกายต้องอาศัยปัจจัย4คืออาหาร- ยารักษาโรค- ที่อยู่อาศัย- เครื่องนุ่งห่ม...คุณภาพและคุณธรรมของมนุษย์4อย่างคือเมตตา- กรุณา- มุทิตา- อุเบกขา- หนทางแห่งความดับทุกข์4อย่างคือรู้ทุกข์- รู้สมุทัย- รู้นิโรธ- รู้มรรค
(ทุกข์เกิดจากการเปลี่ยนแปลง ทุกข์เป็นสิ่งที่ทนได้ยาก)
การดำรงชีวิตโดยมีศีล- สมาธิ- ปัญญา ย่อมมีความสุขถ้วนหน้า….
มนุษย์มีการเรียนรู้ แต่ ไม่เข้าใจในเหตุและผล ทำให้ขาดความรับผิดชอบต่อตนเอง ต่อหน้าที่และต่อสังคมมุ่งหาผลประโยชน์ให้ตัวเอง จึงเป็นเหตุให้...ทรัพยากรธรรมชาติและทรัพยากรมนุษย์ขาดความสมดุลและขาดความสมบูรณ์ ขาดความมั่นคง…
ในปีมหามงคล “ที่พระองค์ท่านได้ครองสิริราชย์ครบ 60 ปี 80 พรรษา “ประชาชนทุกหมู่เหล่าจงร่วมใจกันทำความดีเพื่อถวายพ่อหลวงของเรา และเพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน
ชีวิตเกิดมาตั้งอยู่แล้วดับไป... สิ่งที่ต้องทำคือความดี...สิ่งที่ต้องมีคือคุณธรรม...สิ่งที่ต้องจำคือบุญคุณ... ทุกชาติ- ทุกชีวิต- ทุกศาสนา...โครงสร้างของร่างกายประกอบด้วยธาตุ4 ดิน- น้ำ- ลม- ไฟ- ความมั่นคงของร่างกายต้องอาศัยปัจจัย4คืออาหาร- ยารักษาโรค- ที่อยู่อาศัย- เครื่องนุ่งห่ม...คุณภาพและคุณธรรมของมนุษย์4อย่างคือเมตตา- กรุณา- มุทิตา- อุเบกขา- หนทางแห่งความดับทุกข์4อย่างคือรู้ทุกข์- รู้สมุทัย- รู้นิโรธ- รู้มรรค
(ทุกข์เกิดจากการเปลี่ยนแปลง ทุกข์เป็นสิ่งที่ทนได้ยาก)
การดำรงชีวิตโดยมีศีล- สมาธิ- ปัญญา ย่อมมีความสุขถ้วนหน้า….
มนุษย์มีการเรียนรู้ แต่ ไม่เข้าใจในเหตุและผล ทำให้ขาดความรับผิดชอบต่อตนเอง ต่อหน้าที่และต่อสังคมมุ่งหาผลประโยชน์ให้ตัวเอง จึงเป็นเหตุให้...ทรัพยากรธรรมชาติและทรัพยากรมนุษย์ขาดความสมดุลและขาดความสมบูรณ์ ขาดความมั่นคง…
ในปีมหามงคล “ที่พระองค์ท่านได้ครองสิริราชย์ครบ 60 ปี 80 พรรษา “ประชาชนทุกหมู่เหล่าจงร่วมใจกันทำความดีเพื่อถวายพ่อหลวงของเรา และเพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน
เงิน 10บาท ..... น่าคิด โดยเฉพาะคุณครูและพ่อแม่
ครู คนหนึ่งตั้งคำถามกับเด็กว่า 'ถ้า มีเงินอยู่ 10 บาท ซื้อของ 3 บาท จะได้รับเงินทอนเท่าไร' เด็กส่วนใหญ่ตอบว่า '7 บาท'
แต่มีเด็ก 2คนที่ตอบไม่เหมือนกับคนอื่น คนหนึ่งตอบว่า '2 บาท' อีก คนหนึ่งตอบว่า 'ไม่ ต้องทอน'
ครูถามเด็กคนแรกว่าทำไมถึงได้เงิน ทอน 2 บาท คำตอบที่ได้ก็คือภาพในใจของเขาสำหรับเงิน 10 บาท คือ เหรียญห้า 2 เหรียญ เมื่อซื้อของราคา 3 บาท เขาก็ให้เหรียญห้า 1 เหรียญ ดังนั้น จึงได้เงินทอน 2 บาท
ถามเด็กคนที่สองว่าทำไมไม่เหลือ เงินทอนเลย
คำตอบก็คือเด็กคนนี้คิดว่า ในกระเป๋ามีเหรียญบาท 10 เหรียญ เมื่อซื้อของราคา 3 บาท เขาก็ส่งเหรียญบาทให้ 3 เหรียญ เพราะฉะนั้น คนขายจึงไม่ต้องทอนเงินให้เขา
โชคดีที่เป็นการถาม-ตอบใน ห้องเรียน ลองนึกดูสิครับว่าถ้าโจทย์นี้เป็นข้อสอบที่มีคำตอบเป็น ก-ข-ค-ง เด็ก 2 คน นี้ก็คงไม่ได้คะแนนจากคำตอบที่ผิดเพี้ยนจาก คนส่วนใหญ่
การสร้างโจทย์ที่ 'เสมือนจริง' จินตนาการของ 'ครู' อาจ ถูกจำกัดเพียงแค่ 'ตัว เลข' แต่สำหรับเด็ก จินตนาการของเขาไร้กรอบ 10 บาท จึงสามารถเปลี่ยนเป็นเหรียญสิบ เหรียญห้า หรือเหรียญบาท
เมืองไทยมีเหรียญ 2 บาท เราจึงได้คำตอบเพิ่มอีก 1 คำตอบ คือ ได้เงินทอน 1 บาท
โลกในห้องเรียนกับโลกของความ เป็นจริงนั้นแตกต่างกัน โลกในห้องเรียน ทุกคำถามส่วนใหญ่มีเพียง 1 คำตอบ แต่โลกของความเป็นจริง ทุกคำถามอาจมีคำตอบที่ถูกต้องได้เกิน 1 คำตอบ
'อย่ารีบตัดสินความผิดถูก ของคนๆ นั้น เพียงแค่ คำตอบ ของเรา'
'อย่าหยุดความคิดสร้างสรร ของคนๆ นั้น ด้วยกรอบความคิดของเรา'
S_ccess คำ นี้จะแปลว่า ความสำเร็จ ไม่ได้ หากขาด You (คุณ)
แต่มีเด็ก 2คนที่ตอบไม่เหมือนกับคนอื่น คนหนึ่งตอบว่า '2 บาท' อีก คนหนึ่งตอบว่า 'ไม่ ต้องทอน'
ครูถามเด็กคนแรกว่าทำไมถึงได้เงิน ทอน 2 บาท คำตอบที่ได้ก็คือภาพในใจของเขาสำหรับเงิน 10 บาท คือ เหรียญห้า 2 เหรียญ เมื่อซื้อของราคา 3 บาท เขาก็ให้เหรียญห้า 1 เหรียญ ดังนั้น จึงได้เงินทอน 2 บาท
ถามเด็กคนที่สองว่าทำไมไม่เหลือ เงินทอนเลย
คำตอบก็คือเด็กคนนี้คิดว่า ในกระเป๋ามีเหรียญบาท 10 เหรียญ เมื่อซื้อของราคา 3 บาท เขาก็ส่งเหรียญบาทให้ 3 เหรียญ เพราะฉะนั้น คนขายจึงไม่ต้องทอนเงินให้เขา
โชคดีที่เป็นการถาม-ตอบใน ห้องเรียน ลองนึกดูสิครับว่าถ้าโจทย์นี้เป็นข้อสอบที่มีคำตอบเป็น ก-ข-ค-ง เด็ก 2 คน นี้ก็คงไม่ได้คะแนนจากคำตอบที่ผิดเพี้ยนจาก คนส่วนใหญ่
การสร้างโจทย์ที่ 'เสมือนจริง' จินตนาการของ 'ครู' อาจ ถูกจำกัดเพียงแค่ 'ตัว เลข' แต่สำหรับเด็ก จินตนาการของเขาไร้กรอบ 10 บาท จึงสามารถเปลี่ยนเป็นเหรียญสิบ เหรียญห้า หรือเหรียญบาท
เมืองไทยมีเหรียญ 2 บาท เราจึงได้คำตอบเพิ่มอีก 1 คำตอบ คือ ได้เงินทอน 1 บาท
โลกในห้องเรียนกับโลกของความ เป็นจริงนั้นแตกต่างกัน โลกในห้องเรียน ทุกคำถามส่วนใหญ่มีเพียง 1 คำตอบ แต่โลกของความเป็นจริง ทุกคำถามอาจมีคำตอบที่ถูกต้องได้เกิน 1 คำตอบ
'อย่ารีบตัดสินความผิดถูก ของคนๆ นั้น เพียงแค่ คำตอบ ของเรา'
'อย่าหยุดความคิดสร้างสรร ของคนๆ นั้น ด้วยกรอบความคิดของเรา'
S_ccess คำ นี้จะแปลว่า ความสำเร็จ ไม่ได้ หากขาด You (คุณ)
อ๋อ! ที่ไม่ควรมีศัตรูเพราะอย่างนี้นี่เอง
"อย่ามีศัตรู"(บทที่ 24 จากหนังสือ"30วิธีเอาชนะโชคชะตา")
ศัตรูแค่คนเดียวก็สามารถทำให้เรามี"โชคร้าย"ได้เยอะแยะมากมาย
........
เพราะศัตรูคนนั้นก็มีเพื่อนๆและพรรคพวก
ซึ่งอาจทำให้ชีวิตเรายากลำบากขึ้นมาก
ยิ่งถ้าศัตรูนั้นหรือพรรคพวกเขาเป็นคนมีอำนาจ
อาจทำให้มีความ"ซวย"มากขึ้นหลายเท่า
ข้อที่แย่ที่สุดก็คือ เราไม่อาจจะไม่มีทางรู้ตัวเลยด้วยซ้ำ
ว่าทำไมอยู่ดีๆไม่ได้งานที่ควรจะได้
หรืออยู่ดีๆถูกไล่ออก ฯลฯ
และกว่าจะรู้ตัวก็สายไปเสียแล้ว
......
การมีศัตรูจะทำให้ความก้าวหน้าเราช้าลง
โอกาสที่ควรจะได้ก็ไม่ได้!
... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ...
... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ...
"30 วิธีเอาชนะโชคชะตา"
ผลงานเขียนคุณภาพโดย คุณบัณฑิต อึ้งรังษี
vvv สารบัญ vvv
1. คนโชคดีรู้ว่า"โชค"สามารถเปลี่ยนแปลงได้
2. คนโชคดีเชื่อว่าตัวเขาเองสามารถเปลี่ยนแปลงโชคนั้นได้
3. รู้จัก"กฎพ่อและกฎแม่แห่งโชคลาภ"
4. จง"เคารพ"กฎแห่งเหตุและผล(กฎพ่อแห่งโชคลาภ)
5. จง"บูชา"กฎแห่งแรงดึงดูด(กฎแม่แห่งโชคลาภ)
6. กำจัดความเชื่อที่จำกัด
7. ทำตัวเป็น"หมอดูที่แม่นที่สุดในโลก"
8. คนโชคดีตัดสินใจไขว่คว้าหาโชค
9. คนโชคดีลงมือทำวันนี้
10. รู้จักองค์ประกอบของโชค
11. เพิ่มโอกาสโดยลองสิ่งแปลกใหม่
12. เพิ่มโอกาสโดยเอาตนเองเข้าไปอยู่ในหนทางของโอกาส
13. เพิ่มโอกาสโดยการเพิ่มคุณค่าตนเอง
14. เพิ่มโอกาสโดยการออกไปเจอคน
15. คบคนพาล พาลพาไปหาผิด ...
16 เพิ่มโอกาสโดยการเอาประโยชน์ให้มากที่สุดจากสถานการณ์ปัจจุบัน(ที่ไม่ดีนัก)
17. เตรียมพร้อมสำหรับโอกาสที่กำลังจะมาเสมอ
18. เข้าใจว่าโชคส่วนใหญ่ของคุณมาจากคนอื่น
19. เป็น"คนเก่ง"ทางด้านมนุษย์สัมพันธ์
20. ช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน
21. สร้างชื่อเสียงที่ดี
22. อย่าหาโชคที่การพนัน
23. อย่าแสวงหาโชคที่ลอตเตอรี่
24. อย่ามีศัตรู
25. คนโชคดีคือ คนขยัน
26. หาทางให้คนอื่นได้ประโยชน์ด้วย
27. การอิจฉาจะนำโชคร้ายมาเพิ่ม
28. อย่าพูดว่า คู่แข่งหรือคนที่คุณไม่ชอบ"โชคดี"
29. "ดูดี"เหมือนคนโชคดี
30. จงรู้จักเห็นค่าของสิ่งที่มีอยู่แล้ว
สร้างมิตรดีกว่าสร้างศัตรู
ศัตรูเป็นยากำลังก็จริง
ถ้ามามากไปทำให้กำลังใจเราก็บั่นทอน
โดย พระอาจารย์เผด็จ เมื่อ 2011-07-08 09:46:22
ศัตรูแค่คนเดียวก็สามารถทำให้เรามี"โชคร้าย"ได้เยอะแยะมากมาย
........
เพราะศัตรูคนนั้นก็มีเพื่อนๆและพรรคพวก
ซึ่งอาจทำให้ชีวิตเรายากลำบากขึ้นมาก
ยิ่งถ้าศัตรูนั้นหรือพรรคพวกเขาเป็นคนมีอำนาจ
อาจทำให้มีความ"ซวย"มากขึ้นหลายเท่า
ข้อที่แย่ที่สุดก็คือ เราไม่อาจจะไม่มีทางรู้ตัวเลยด้วยซ้ำ
ว่าทำไมอยู่ดีๆไม่ได้งานที่ควรจะได้
หรืออยู่ดีๆถูกไล่ออก ฯลฯ
และกว่าจะรู้ตัวก็สายไปเสียแล้ว
......
การมีศัตรูจะทำให้ความก้าวหน้าเราช้าลง
โอกาสที่ควรจะได้ก็ไม่ได้!
... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ...
... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ...
"30 วิธีเอาชนะโชคชะตา"
ผลงานเขียนคุณภาพโดย คุณบัณฑิต อึ้งรังษี
vvv สารบัญ vvv
1. คนโชคดีรู้ว่า"โชค"สามารถเปลี่ยนแปลงได้
2. คนโชคดีเชื่อว่าตัวเขาเองสามารถเปลี่ยนแปลงโชคนั้นได้
3. รู้จัก"กฎพ่อและกฎแม่แห่งโชคลาภ"
4. จง"เคารพ"กฎแห่งเหตุและผล(กฎพ่อแห่งโชคลาภ)
5. จง"บูชา"กฎแห่งแรงดึงดูด(กฎแม่แห่งโชคลาภ)
6. กำจัดความเชื่อที่จำกัด
7. ทำตัวเป็น"หมอดูที่แม่นที่สุดในโลก"
8. คนโชคดีตัดสินใจไขว่คว้าหาโชค
9. คนโชคดีลงมือทำวันนี้
10. รู้จักองค์ประกอบของโชค
11. เพิ่มโอกาสโดยลองสิ่งแปลกใหม่
12. เพิ่มโอกาสโดยเอาตนเองเข้าไปอยู่ในหนทางของโอกาส
13. เพิ่มโอกาสโดยการเพิ่มคุณค่าตนเอง
14. เพิ่มโอกาสโดยการออกไปเจอคน
15. คบคนพาล พาลพาไปหาผิด ...
16 เพิ่มโอกาสโดยการเอาประโยชน์ให้มากที่สุดจากสถานการณ์ปัจจุบัน(ที่ไม่ดีนัก)
17. เตรียมพร้อมสำหรับโอกาสที่กำลังจะมาเสมอ
18. เข้าใจว่าโชคส่วนใหญ่ของคุณมาจากคนอื่น
19. เป็น"คนเก่ง"ทางด้านมนุษย์สัมพันธ์
20. ช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน
21. สร้างชื่อเสียงที่ดี
22. อย่าหาโชคที่การพนัน
23. อย่าแสวงหาโชคที่ลอตเตอรี่
24. อย่ามีศัตรู
25. คนโชคดีคือ คนขยัน
26. หาทางให้คนอื่นได้ประโยชน์ด้วย
27. การอิจฉาจะนำโชคร้ายมาเพิ่ม
28. อย่าพูดว่า คู่แข่งหรือคนที่คุณไม่ชอบ"โชคดี"
29. "ดูดี"เหมือนคนโชคดี
30. จงรู้จักเห็นค่าของสิ่งที่มีอยู่แล้ว
สร้างมิตรดีกว่าสร้างศัตรู
ศัตรูเป็นยากำลังก็จริง
ถ้ามามากไปทำให้กำลังใจเราก็บั่นทอน
โดย พระอาจารย์เผด็จ เมื่อ 2011-07-08 09:46:22
การดูแลป้องกัน " ตา "
1. ปรับช่องแอร์ในรถให้ต่ำลง* อย่าให้ลมเย็นพ่นเข่าตาโดยตรง
เพราะลมเย็นพวกนี้จะเป็นสาเหตุให้ตาแห้ง ถ้าปล่อยไว้นานๆ
กระจกตาก็อาจจะถลอกจนกลายเป็นปัญหาเรื้อรังได้*
2. บลูเบอร์รี่เป็นผลไม้ที่ดีต่อสายตามากๆ* และหาซื้อได้ไม่ยากเลย
แค่ซื้อแยมบลูเบอร์รี่มาทาขนมปังทาน คุณก็จะได้รับสารอาหาร
แอนโธไซยาโนไซด์ ซึ่งช่วยบำรุงสายตาแล้ว*
3. อย่ามองข้ามมันเทศ* ของดีราคาย่อมเยาที่พ่อค้าเขาเดินขาย
วิตามินในมันเทศจะช่วยปรับสายตาของคุณให้เห็นได้ชัดในที่มืด*
4. เวลาทำกับข้าวอย่าลืมใส่หัวหอมแดงลงไปด้วย*
เพื่อให้สารต้านอนุมูลอิสระเคอร์ซิทินในหอมแดงจะช่วย
ป้องกันต้อหินให้คุณ
*
5. อย่าขี้เกียจเดิน* เพราะผลการวิจัยบอกว่าเดินอย่างน้อย
สัปดาห์ละ 4 ครั้งจะช่วยลดความดันในกระบอกตา
ทำให้สายตาเป็นปกติ*
6. กินปลาสัปดาห์ละ 2 ครั้ง* เพื่อไม่ให้ร่างกายขาดโอเมก้า-3
ที่จำเป็นสำหรับบำรุงสายตา*
7. ลดขนมหวานๆ และอาหารมันจัด* อาหารพวกนี้เกิดมา
เพื่อเป็นศัตรูกับสุขภาพ รวมทั้งสายตาของคุณด้วย*
8. ก่อนออกจากบ้านอย่าลืมใส่แว่นกันแดดเสมอ*
เพื่อป้องกันทั้งลม แดด ฝุ่นละออง และเชื้อโรค
ที่จะแท็คทีมกันมาทำร้ายสายตาที่รักของเรา*
9. ตรวจวัดความดันโลติตเป็นประจำทุกเดือน*
ความดันที่ผิดปกติมีผลโดยตรงต่อสายตามาก จึงไม่ควร
มองข้ามการวัดความดัน
ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากลจะได้รักษาได้ทันท่วงที*
10. สวมหมวกปีกกว้าง*แว่นกันแดดอย่างเดียวอาจจะ
สู้กับแดดแรงมหาร้อนอย่างบ้านเราไม่ไหว หมวกปีกกว้างจึงเป็น
อุปกรณ์เสริมอีกอย่างที่ขาดไม่ได้ เพื่อป้องกันรังสียูวี
ที่อาจจะเล็ดลอดเข้ามาทางด้านบนของแว่นกันแดด*
11. อย่าละเลยการทำความสะอาดดวงตาด้วยน้ำยาล้าง
เครื่องสำอางค์ทุกคืน* เพื่อป้องกันไม่ให้มาสคาร่าที่อาจจะ
เหลือตกค้างอยู่เข้าไปหมักหมมอยู่ในดวงตาจนเกิดการติดเชื้อ
*
12. กินผักใบเขียวเป็นประจำทุกวัน*ผักใบเขียวเป็นแหล่งรวม
ของสารลูเทอินและซีอาแซนธิน ที่ช่วยลดความเสี่ยง
โรคต้อกระจก และยังซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอในกระบอกตาได้ด้วย
(คนที่เกลียดผักคงต้องพยายามหน่อยน่ะ)*
13. ผักบีตสดๆเป็นของขวัญชั้นดีที่จะมอบให้ดวงตาของตัวเองได้*
ผักชนิดนี้มีสารต้านอนุมูลอิสระ ที่จะช่วยปกป้องหลอดเลือด
ในกระบอกตา ทำให้ตาคุณมีเลือดไปเลี้ยงอย่างสมบูรณ์
ทำให้ตาคุณสวยและใส*
14. เลิกทานอาหารที่เค็มจัด* เพราะคนที่ติดรสเค็มจะมี
โอกาสเป็นโรคต้อกระจกมากกว่าคนที่ชอบอาหารรสจืด
*
15. หมั่นซักผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัวบ่อยๆ* เพื่อให้ผ้าส่วนตัวของคุณ
สะอาด ปราศจากเชื้อโรค ทีสำคัญไม่ควรใช้ผ้าเช็ดหน้าร่วมกับใคร
เพราะในผ้าพวกนั้นอาจจะมีเชื้อโรคตาแดงซ่อนอยู่*
16. น้ำหอมกลิ่นมะลิ วนิลา หรือเปปเปอร์มินต์
มีสรรพคุณช่วยกระตุ้นระบบลิมบิกในสมอง*ซึ่งจะไปกระตุ้นเซลล์
รูปแท่งในจอตาอีกต่อหนึ่ง ทำให้คุณมองเห็นในที่มืดได้ชัดขึ้น
แค่หยดน้ำหอมกลิ่นใดกลิ่นหนึ่งไว้ที่แขนเสื้อ ก็จะมีสายตาดี
ขึ้นได้แล้ว ว้าว!! ง่ายจัง*
17. อย่าเพ่งมองสิ่งใดสิ่งหนึ่งนานเกินไป* แม้การอ่านหนังสือ
ก็ควรถอนสายตามองออกไปที่ไกลๆทุกๆ 30 นาที
เพื่อพักสายตาไม่ให้เพลียหรือล้าถาวร*
18.กินผักโขมสัปดาห์ละ 2 ครั้ง* ผักชนิดนี้มีสารลูเทอิน
ซึ่งจะช่วยป้องกันต้อกระจกและภาวะศูนย์กลางประสาท*
19. เปลี่ยนมาสคาร่าขวดใหม่ทุกๆ 3 เดือน* ทุกครั้งที่
มาสคาร่าสัมผัสตาคุณ จะต้องมีความสกปรกเล็กๆน้อยๆ
ติดมาด้วย เมื่อมาหมักหมมปนกันนานเกิน 3 เดือนขึ้นไป
มาสคาร่าขวดโปรดของคุณก็จะกลายเป็นแหล่งรวมเชื้อโรค
ไปโดยปริยาย
เพราะลมเย็นพวกนี้จะเป็นสาเหตุให้ตาแห้ง ถ้าปล่อยไว้นานๆ
กระจกตาก็อาจจะถลอกจนกลายเป็นปัญหาเรื้อรังได้*
2. บลูเบอร์รี่เป็นผลไม้ที่ดีต่อสายตามากๆ* และหาซื้อได้ไม่ยากเลย
แค่ซื้อแยมบลูเบอร์รี่มาทาขนมปังทาน คุณก็จะได้รับสารอาหาร
แอนโธไซยาโนไซด์ ซึ่งช่วยบำรุงสายตาแล้ว*
3. อย่ามองข้ามมันเทศ* ของดีราคาย่อมเยาที่พ่อค้าเขาเดินขาย
วิตามินในมันเทศจะช่วยปรับสายตาของคุณให้เห็นได้ชัดในที่มืด*
4. เวลาทำกับข้าวอย่าลืมใส่หัวหอมแดงลงไปด้วย*
เพื่อให้สารต้านอนุมูลอิสระเคอร์ซิทินในหอมแดงจะช่วย
ป้องกันต้อหินให้คุณ
*
5. อย่าขี้เกียจเดิน* เพราะผลการวิจัยบอกว่าเดินอย่างน้อย
สัปดาห์ละ 4 ครั้งจะช่วยลดความดันในกระบอกตา
ทำให้สายตาเป็นปกติ*
6. กินปลาสัปดาห์ละ 2 ครั้ง* เพื่อไม่ให้ร่างกายขาดโอเมก้า-3
ที่จำเป็นสำหรับบำรุงสายตา*
7. ลดขนมหวานๆ และอาหารมันจัด* อาหารพวกนี้เกิดมา
เพื่อเป็นศัตรูกับสุขภาพ รวมทั้งสายตาของคุณด้วย*
8. ก่อนออกจากบ้านอย่าลืมใส่แว่นกันแดดเสมอ*
เพื่อป้องกันทั้งลม แดด ฝุ่นละออง และเชื้อโรค
ที่จะแท็คทีมกันมาทำร้ายสายตาที่รักของเรา*
9. ตรวจวัดความดันโลติตเป็นประจำทุกเดือน*
ความดันที่ผิดปกติมีผลโดยตรงต่อสายตามาก จึงไม่ควร
มองข้ามการวัดความดัน
ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากลจะได้รักษาได้ทันท่วงที*
10. สวมหมวกปีกกว้าง*แว่นกันแดดอย่างเดียวอาจจะ
สู้กับแดดแรงมหาร้อนอย่างบ้านเราไม่ไหว หมวกปีกกว้างจึงเป็น
อุปกรณ์เสริมอีกอย่างที่ขาดไม่ได้ เพื่อป้องกันรังสียูวี
ที่อาจจะเล็ดลอดเข้ามาทางด้านบนของแว่นกันแดด*
11. อย่าละเลยการทำความสะอาดดวงตาด้วยน้ำยาล้าง
เครื่องสำอางค์ทุกคืน* เพื่อป้องกันไม่ให้มาสคาร่าที่อาจจะ
เหลือตกค้างอยู่เข้าไปหมักหมมอยู่ในดวงตาจนเกิดการติดเชื้อ
*
12. กินผักใบเขียวเป็นประจำทุกวัน*ผักใบเขียวเป็นแหล่งรวม
ของสารลูเทอินและซีอาแซนธิน ที่ช่วยลดความเสี่ยง
โรคต้อกระจก และยังซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอในกระบอกตาได้ด้วย
(คนที่เกลียดผักคงต้องพยายามหน่อยน่ะ)*
13. ผักบีตสดๆเป็นของขวัญชั้นดีที่จะมอบให้ดวงตาของตัวเองได้*
ผักชนิดนี้มีสารต้านอนุมูลอิสระ ที่จะช่วยปกป้องหลอดเลือด
ในกระบอกตา ทำให้ตาคุณมีเลือดไปเลี้ยงอย่างสมบูรณ์
ทำให้ตาคุณสวยและใส*
14. เลิกทานอาหารที่เค็มจัด* เพราะคนที่ติดรสเค็มจะมี
โอกาสเป็นโรคต้อกระจกมากกว่าคนที่ชอบอาหารรสจืด
*
15. หมั่นซักผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัวบ่อยๆ* เพื่อให้ผ้าส่วนตัวของคุณ
สะอาด ปราศจากเชื้อโรค ทีสำคัญไม่ควรใช้ผ้าเช็ดหน้าร่วมกับใคร
เพราะในผ้าพวกนั้นอาจจะมีเชื้อโรคตาแดงซ่อนอยู่*
16. น้ำหอมกลิ่นมะลิ วนิลา หรือเปปเปอร์มินต์
มีสรรพคุณช่วยกระตุ้นระบบลิมบิกในสมอง*ซึ่งจะไปกระตุ้นเซลล์
รูปแท่งในจอตาอีกต่อหนึ่ง ทำให้คุณมองเห็นในที่มืดได้ชัดขึ้น
แค่หยดน้ำหอมกลิ่นใดกลิ่นหนึ่งไว้ที่แขนเสื้อ ก็จะมีสายตาดี
ขึ้นได้แล้ว ว้าว!! ง่ายจัง*
17. อย่าเพ่งมองสิ่งใดสิ่งหนึ่งนานเกินไป* แม้การอ่านหนังสือ
ก็ควรถอนสายตามองออกไปที่ไกลๆทุกๆ 30 นาที
เพื่อพักสายตาไม่ให้เพลียหรือล้าถาวร*
18.กินผักโขมสัปดาห์ละ 2 ครั้ง* ผักชนิดนี้มีสารลูเทอิน
ซึ่งจะช่วยป้องกันต้อกระจกและภาวะศูนย์กลางประสาท*
19. เปลี่ยนมาสคาร่าขวดใหม่ทุกๆ 3 เดือน* ทุกครั้งที่
มาสคาร่าสัมผัสตาคุณ จะต้องมีความสกปรกเล็กๆน้อยๆ
ติดมาด้วย เมื่อมาหมักหมมปนกันนานเกิน 3 เดือนขึ้นไป
มาสคาร่าขวดโปรดของคุณก็จะกลายเป็นแหล่งรวมเชื้อโรค
ไปโดยปริยาย
“ผู้เฒ่า...ลืมเล่าขาน”
สรุปการบรรยายของอาจารย์ไกร มาศพิมล (นักโภชนาการบำบัด)
ในหัวข้อ “ผู้เฒ่า...ลืมเล่าขาน”
หลัก 3 อ.
1. อารมณ์ต้องดี
2. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
3. อาหาร
การออกกำลังกาย
ควรออกกำลังกายทุกวัน ออกกำลังกายอย่างง่าย ๆ เช่น
1. การขยับนิ้วมือ เป็นการช่วยเรื่องน้ำในข้อ ผลที่ได้กระดูกจะไม่ผุ
2. งอนิ้วมือ ช่วยในเรื่องของอาการนิ้วล็อค
3. กำมือและแบมือสลับข้างกันไปมา ช่วยในเรื่องของโรคหัวใจ และลด Cholesterol
4. นั่งบนเก้าอี้ กำมือ และขยับเท้ายกขึ้นทำท่าวิ่งบนอากาศ
5. นั่งบนเก้าอี้ กำมือ ทุบขาด้านนอก และด้านใน ทุบแขน สลับกันไป
6. การนั่งตรง ๆ นั่งแค่ครึ่งเก้าอี้ ประมาณ 10 นาที ช่วยป้องกันในเรื่องของริดสีดวงทวาร
7. กำมือขวาหมุนเป็นวงกลมออกนอกตัว และกำมือซ้ายหมุนเป็นวงกลมเข้าหาตัว เป็นการบริหารสมองทั้ง 2 ซีก
8. มือประสานกันสองของ ยืดตรงไปข้างหน้า เท้าห่างกันประมาณช่วงไหล มองตรง แล้วหมุนเอวไปรอบ ๆ ทั้งด้านซ้าย และขวา ครั้งละ 5 รอบ ทำตอนเช้า จะช่วยลดส่วนเกินตรงหน้าท้อง
อาหาร
ควรหลีกเลี่ยงอาหารทุกอย่างที่มีส่วนผสมของสารเคมี
การสระผม
ไม่ควรใช้แชมพู เนื่องจากมีส่วนผสมของโซดาไฟ ควรสระผมด้วยสบู่เด็ก ควรสระผมช่วงเช้า ไม่ควรสระผมตอนเย็น เพราะผมจะไม่สามารถแห้งได้ทัน เวลานอนจะเกิดเชื้อรากลางคืน เป็นเหตุของอาการคันศีรษะ
น้ำมันพืช
ควรหยุดกินน้ำมันพืช เนื่องจากมีส่วนผสมของสารเคมีที่ช่วยป้องกันการบูด กันหืน แต่งสี เพราะเมื่อน้ำมันพืชเมื่ออยู่ในอุณหภูมิ 60 องศา จะเปลี่ยนสภาพเป็นไขมันทรานส์ ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง ดังนั้น ควรบริโภคมะพร้าว น้ำมันหมู น้ำมันไก่
ตับจะทำหน้าที่ผลิต Cholesterol โดยที่ Cholesterol LDL จะช่วยป้องกันผิวหนัง และผลิต Cholesterol HDL เพื่อดักจับ LDL ไปทิ้ง
การทำน้ำมันหมู
นำน้ำมันหมูเปลว 1 ก.ก. กับเกลือ 1 ช้อนโต๊ะ เจียวบนกระทะ จะทำให้ไม่ติดกระทะ ไม่กระเด็น ได้น้ำมันเกือบ 2 ลิตร กากหมูจะกรอบมาก เนื่องจากเกลือจะเป็นตัวช่วยดึงน้ำมันออกมาจนหมด
น้ำมันมะพร้าว นำกะทิใส่ถุงแช่ตู้เย็น 3 ช.ม. เพื่อให้เนื้อกับน้ำแยกตัวกัน นำเนื้อมะพร้าวส่วนบนไปเคี่ยวจนเป็นน้ำมัน เก็บไว้ใช้ได้ไม่เกิน 3 เดือน
เกลือ
การบริโภคเกลือ ไม่ได้ทำให้ไตวาย แต่เนื่องจากในอุตสาหกรรมการผลิตเกลือที่ขาวละเอียดมีการเติมโพลิเมอร์ โดยหยดลงบนเกลือ ทำให้โครงสร้างจากเดิมโซเดียมคลอไรด์เปลี่ยนเป็นโซเดียมซัลเฟต ซึ่งมีผลต่อไต เพราะไม่สามารถขับออกได้ ซึ่งเกลือชนิดนี้จะโรยบนอาหารแล้วยังคงทำให้อาหารกรอบ แต่ถ้าเป็นเกลือที่เป็นโซเดียมคลอไรด์นั้น จะมีคุณสมบัติดูดความชื้นทำให้อาหารไม่คงความกรอบ
กะทิ
กะทิไม่มี Cholesterol เนื่องจาก Cholesterol จะเกิดจากการผลิตขึ้นเองโดยร่างกายมนุษย์ ซึ่งตับจะเป็นอวัยวะที่ทำหน้าที่ดังกล่าว สามารถใช้กะทิแทนน้ำมันมะพร้าวได้ กะทิให้แคลเซียมดีกว่านม ลดความอ้วน ป้องกันเบาหวาน โดยให้ดื่มทุกเช้าวันละ 1 กล่อง (สามารถช่วยแก้เจ็บคอได้ด้วย)
ทั้งกะทิชาวเกาะ และอร่อยดี ไม่มีการเติมสารเคมี เนื่องจากส่วนใหญ่ส่งออกต่างประเทศ
น้ำมันมะพร้าว
ช่วยลดความอ้วน โดยกินก่อนอาหาร 4 ช้อนกาแฟ
ใช้เป็น Hair Serum
ใช้ล้างเครื่องสำอาง
ใช้เป็นเดย์ครีม ไนท์ครีมได้
มี SPF 90 (Sun block)
Oil Pulling
ใช้น้ำมันงา น้ำมันมะพร้าว น้ำมันทานตะวัน ที่ผ่านกรรมวิธีแบบหีบเย็น ปริมาณ 2 ช้อน อมไว้ประมาณ 15 นาที แล้วบ้วนทิ้ง จะช่วยนำเชื้อโรคออกจากช่องปาก เนื่องจากเชื้อแบคทีเรีย ไวรัสที่อยู่ในช่องปากจะมีไขมันเกาะอยู่ ช่วยลดอาการทางช่องปากได้
น้ำเปล่า อุณหภูมิห้อง
ควรดื่มครั้งละไม่เกิน 150 ซีซี เนื่องจากกระเพาะจุได้ 400 ซีซี เวลาดื่มน้ำให้ค่อย ๆ จิบ อย่าดื่มรวดเดียว และให้ดื่มให้ได้วันละ 14 ครั้งเป็นอย่างน้อย การดื่มน้ำเย็นครั้งละมาก ๆ จะมีผลให้น้ำซึมเข้าสู่สมอง ซึ่งเป็นเหตุของการเกิดภาวะสมองบวมน้ำ
น้ำตาลปื๊บ
น้ำตาลปี๊บกับน้ำตาลปึกเป็นชนิดเดียวกัน ถ้านำไปเคี่ยวจะกลายเป็นน้ำผึ้ง (น้ำผึ้งเทียม) น้ำตาลปี๊บแท้ที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำตาล เมื่อดมกลิ่น จะได้กลิ่นเหม็นเปรี้ยว
น้ำตาลทราย/น้ำตาลกรวด
เมื่อทานแล้วจะไม่เปลี่ยนเป็นพลังงาน แต่จะสะสมที่ตับเป็นไขมัน ก่อให้เกิดไตรกลีเซอร์ไรด์ สำหรับน้ำตาลที่ฟอกขาวจะใช้สารคลอลีน ซึ่งมีสารก่อมะเร็ง ดังนั้น ท็อฟฟี่ จึงมีน้ำตาลสูง ไม่ควรบริโภค
กาแฟ
การดื่มกาแฟ จะมีผลไปยับยั้งไม่ให้แคลเซียมไปเกาะกระดูก จึงมีโอกาสเป็นโรคกระดูกผุ มะเร็ง แต่กลิ่นของกาแฟจะสามารถช่วยบำบัดโรคได้ ดังนั้นจึงควรสูดกลิ่นกาแฟ แต่ไม่ควรดื่มกาแฟ เพราะคาเฟอีน เป็นตัวกระตุ้นเซลมะเร็ง หากชงกาแฟควรใช้น้ำตาลปี๊บ
ไมโครเวฟ
การใช้ไมโครเวฟ ระวังมะเร็ง เนื่องจากมีการกระจายคลื่นเข้าสู่เซลมีผลทำให้ตายได้
ขนมหวานจากกะทิ
ส่วนผสม กะทิ 4 กล่อง โดยกะทิ 1 กล่องจะใช้เกลือป่น 1 ช้อนกาแฟ (ต้องโยนลงในกะทิที่ตั้งไฟ เพราะช่วยลดการเกิดฟอง) และใช้น้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนโต๊ะต่อกะทิ 1 กล่อง เคี่ยวกะทิให้เดือด แล้วใส่
-กล้วย ต้องเป็นกล้วยสุก (ใช้ได้ทั้งกล้วยหอม กล้วยน้ำว้า กล้วยไข่) แล้วยกขึ้นทันที เนื่องจากถ้าต้มต่อไปจะทำให้กล้วยมีรสเปรี้ยว
-มันเทศ เผือก ฟักทอง ให้แช่น้ำปูนใส 2 นาที แล้วนำไปต้ม 5 นาที จากนั้นค่อยนำไปใส่กะทิเดือดอยู่คนให้ทั่วแล้วยกลง
กล้วยไข่
กล้วยไข่ 1 ผล มีสารป้องกันมะเร็งมากกว่า Apple
กล้วยน้ำว้า
ถ้าห่าม ๆ แก้ท้องเสีย กินลดอาการของแผลสด
ผลสุก 2 ลูก และน้ำอุ่น 1 แก้วก่อนนอน ช่วยลดอาการท้องผูก (ใช้เป็นยาระบาย)
ที่สำคัญ เด็กอายุเกิน 6 เดือนถึงจะกินกล้วยน้ำว้าได้
กล้วยน้ำว้าทั้งหวี หากต้องการเก็บไว้ได้นาน 3 เดือน ให้จุ่มลงในน้ำเดือด 10 วินาที แล้วนำมาผึ่ง
น้ำมะพร้าวอ่อน
ดื่มน้ำมะพร้าวอ่อนวันละ 1 ลูก ช่วยฟอกเลือด และบำรุงไต ส่วนเนื้อมะพร้าวช่วยบำรุงตับ
กล้วยหอม
มีโปแทสเซียม ป้องกันโรคพากินสัน และอัลไซเมอร์ สำหรับผู้สูงอายุให้ทานสัปดาห์ละ 3 ผล เพื่อปรับสมดุลของฮอร์โมน
สับปะรด
มีสารบอบิเรน ป้องกันมะเร็ง มีมากที่แกนสับปะรด โดยให้ดูดแต่น้ำ แล้วคายกากทิ้ง
ตะไคร้แกง
นำมาหั่นแล้วต้มเป็นน้ำตะไคร้ ดื่มเพื่อช่วยลดเบาหวาน
การทำบุหงารำไป
พริกไทดำ 1 ส่วน กานพลู 1 ส่วน โป้ยกั๊ก 1 ส่วน (แก้หวัด 2009) ดอกจันทร์ กลีบใหญ่เอามาเด็ดกลีบ 1 ส่วน นำมาคลุกรวมกัน
แต่ถ้านำมาเติมพิมเสน 1 ส่วน การบูร 1 ส่วน (ครึ่งกระป๋อง) เมนทอล 1 ส่วน คลุกรวมกัน ทิ้งไว้ 1 วัน เทใส่ตะแกง นำเอาส่วนที่แห้ง ๆ มาใส่ขวดเล็ก ๆ ไว้ดมกลิ่น ถ้าไม่หอมให้นำไปตากแดด เก็บไว้ใช้ได้นาน 4 ปี แต่ถ้านำน้ำที่แยกออกมาและเติมสมุนไพรอีก 12 ชนิด หมักไว้ 1 เดือน ก็จะคล้าย ๆ น้ำมันที่มีกลิ่นเหมือนพิมเสนเอาไว้ดม และทา
ไข่
ไข่ต้ม ไข่เค็ม ไข่พะโล้ โดยเฉพาะไข่แดง หากกินวันละ 2 ฟอง จะช่วยลดน้ำตาลในเลือด (ลดเบาหวาน) เนื่องจากไข่แดงมีซิลิเนียม งานวิจัยของฮาวาดร์ พบว่าหากบริโภคไข่วันละ 3 ฟอง (อายุต่ำกว่า 45 ปี) บริโภควันละ 2 ฟอง (อายุ 45 ปี – 50 ปี) และบริโภควันละ 1 ฟอง (อายุเกิน 50 ปี) จะไม่เป็นเบาหวาน
ไข่ต้ม 1 ฟอง มีสรรพคุณสูงกว่านม 5 กล่อง
นม
ไม่ควรดื่มนมข้ามสายพันธุ์ ดังนั้น ไม่ควรดื่มนมวัว นมแพะ
ทุเรียน
กินแล้วไม่อ้วน แต่ช่วยลดความอ้วน และ Cholesterol
ข้าวเหนียว
กินแล้วไม่อ้วน ถ้าไม่มีน้ำตาลทราย
กวาวเครือขาว
สำหรับสุภาพสตรี ช่วยป้องกันมะเร็งเต้านม บริโภคทุกวันวันละ 1 เม็ด จะไม่เป็นวัยทอง
ในหัวข้อ “ผู้เฒ่า...ลืมเล่าขาน”
หลัก 3 อ.
1. อารมณ์ต้องดี
2. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
3. อาหาร
การออกกำลังกาย
ควรออกกำลังกายทุกวัน ออกกำลังกายอย่างง่าย ๆ เช่น
1. การขยับนิ้วมือ เป็นการช่วยเรื่องน้ำในข้อ ผลที่ได้กระดูกจะไม่ผุ
2. งอนิ้วมือ ช่วยในเรื่องของอาการนิ้วล็อค
3. กำมือและแบมือสลับข้างกันไปมา ช่วยในเรื่องของโรคหัวใจ และลด Cholesterol
4. นั่งบนเก้าอี้ กำมือ และขยับเท้ายกขึ้นทำท่าวิ่งบนอากาศ
5. นั่งบนเก้าอี้ กำมือ ทุบขาด้านนอก และด้านใน ทุบแขน สลับกันไป
6. การนั่งตรง ๆ นั่งแค่ครึ่งเก้าอี้ ประมาณ 10 นาที ช่วยป้องกันในเรื่องของริดสีดวงทวาร
7. กำมือขวาหมุนเป็นวงกลมออกนอกตัว และกำมือซ้ายหมุนเป็นวงกลมเข้าหาตัว เป็นการบริหารสมองทั้ง 2 ซีก
8. มือประสานกันสองของ ยืดตรงไปข้างหน้า เท้าห่างกันประมาณช่วงไหล มองตรง แล้วหมุนเอวไปรอบ ๆ ทั้งด้านซ้าย และขวา ครั้งละ 5 รอบ ทำตอนเช้า จะช่วยลดส่วนเกินตรงหน้าท้อง
อาหาร
ควรหลีกเลี่ยงอาหารทุกอย่างที่มีส่วนผสมของสารเคมี
การสระผม
ไม่ควรใช้แชมพู เนื่องจากมีส่วนผสมของโซดาไฟ ควรสระผมด้วยสบู่เด็ก ควรสระผมช่วงเช้า ไม่ควรสระผมตอนเย็น เพราะผมจะไม่สามารถแห้งได้ทัน เวลานอนจะเกิดเชื้อรากลางคืน เป็นเหตุของอาการคันศีรษะ
น้ำมันพืช
ควรหยุดกินน้ำมันพืช เนื่องจากมีส่วนผสมของสารเคมีที่ช่วยป้องกันการบูด กันหืน แต่งสี เพราะเมื่อน้ำมันพืชเมื่ออยู่ในอุณหภูมิ 60 องศา จะเปลี่ยนสภาพเป็นไขมันทรานส์ ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง ดังนั้น ควรบริโภคมะพร้าว น้ำมันหมู น้ำมันไก่
ตับจะทำหน้าที่ผลิต Cholesterol โดยที่ Cholesterol LDL จะช่วยป้องกันผิวหนัง และผลิต Cholesterol HDL เพื่อดักจับ LDL ไปทิ้ง
การทำน้ำมันหมู
นำน้ำมันหมูเปลว 1 ก.ก. กับเกลือ 1 ช้อนโต๊ะ เจียวบนกระทะ จะทำให้ไม่ติดกระทะ ไม่กระเด็น ได้น้ำมันเกือบ 2 ลิตร กากหมูจะกรอบมาก เนื่องจากเกลือจะเป็นตัวช่วยดึงน้ำมันออกมาจนหมด
น้ำมันมะพร้าว นำกะทิใส่ถุงแช่ตู้เย็น 3 ช.ม. เพื่อให้เนื้อกับน้ำแยกตัวกัน นำเนื้อมะพร้าวส่วนบนไปเคี่ยวจนเป็นน้ำมัน เก็บไว้ใช้ได้ไม่เกิน 3 เดือน
เกลือ
การบริโภคเกลือ ไม่ได้ทำให้ไตวาย แต่เนื่องจากในอุตสาหกรรมการผลิตเกลือที่ขาวละเอียดมีการเติมโพลิเมอร์ โดยหยดลงบนเกลือ ทำให้โครงสร้างจากเดิมโซเดียมคลอไรด์เปลี่ยนเป็นโซเดียมซัลเฟต ซึ่งมีผลต่อไต เพราะไม่สามารถขับออกได้ ซึ่งเกลือชนิดนี้จะโรยบนอาหารแล้วยังคงทำให้อาหารกรอบ แต่ถ้าเป็นเกลือที่เป็นโซเดียมคลอไรด์นั้น จะมีคุณสมบัติดูดความชื้นทำให้อาหารไม่คงความกรอบ
กะทิ
กะทิไม่มี Cholesterol เนื่องจาก Cholesterol จะเกิดจากการผลิตขึ้นเองโดยร่างกายมนุษย์ ซึ่งตับจะเป็นอวัยวะที่ทำหน้าที่ดังกล่าว สามารถใช้กะทิแทนน้ำมันมะพร้าวได้ กะทิให้แคลเซียมดีกว่านม ลดความอ้วน ป้องกันเบาหวาน โดยให้ดื่มทุกเช้าวันละ 1 กล่อง (สามารถช่วยแก้เจ็บคอได้ด้วย)
ทั้งกะทิชาวเกาะ และอร่อยดี ไม่มีการเติมสารเคมี เนื่องจากส่วนใหญ่ส่งออกต่างประเทศ
น้ำมันมะพร้าว
ช่วยลดความอ้วน โดยกินก่อนอาหาร 4 ช้อนกาแฟ
ใช้เป็น Hair Serum
ใช้ล้างเครื่องสำอาง
ใช้เป็นเดย์ครีม ไนท์ครีมได้
มี SPF 90 (Sun block)
Oil Pulling
ใช้น้ำมันงา น้ำมันมะพร้าว น้ำมันทานตะวัน ที่ผ่านกรรมวิธีแบบหีบเย็น ปริมาณ 2 ช้อน อมไว้ประมาณ 15 นาที แล้วบ้วนทิ้ง จะช่วยนำเชื้อโรคออกจากช่องปาก เนื่องจากเชื้อแบคทีเรีย ไวรัสที่อยู่ในช่องปากจะมีไขมันเกาะอยู่ ช่วยลดอาการทางช่องปากได้
น้ำเปล่า อุณหภูมิห้อง
ควรดื่มครั้งละไม่เกิน 150 ซีซี เนื่องจากกระเพาะจุได้ 400 ซีซี เวลาดื่มน้ำให้ค่อย ๆ จิบ อย่าดื่มรวดเดียว และให้ดื่มให้ได้วันละ 14 ครั้งเป็นอย่างน้อย การดื่มน้ำเย็นครั้งละมาก ๆ จะมีผลให้น้ำซึมเข้าสู่สมอง ซึ่งเป็นเหตุของการเกิดภาวะสมองบวมน้ำ
น้ำตาลปื๊บ
น้ำตาลปี๊บกับน้ำตาลปึกเป็นชนิดเดียวกัน ถ้านำไปเคี่ยวจะกลายเป็นน้ำผึ้ง (น้ำผึ้งเทียม) น้ำตาลปี๊บแท้ที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำตาล เมื่อดมกลิ่น จะได้กลิ่นเหม็นเปรี้ยว
น้ำตาลทราย/น้ำตาลกรวด
เมื่อทานแล้วจะไม่เปลี่ยนเป็นพลังงาน แต่จะสะสมที่ตับเป็นไขมัน ก่อให้เกิดไตรกลีเซอร์ไรด์ สำหรับน้ำตาลที่ฟอกขาวจะใช้สารคลอลีน ซึ่งมีสารก่อมะเร็ง ดังนั้น ท็อฟฟี่ จึงมีน้ำตาลสูง ไม่ควรบริโภค
กาแฟ
การดื่มกาแฟ จะมีผลไปยับยั้งไม่ให้แคลเซียมไปเกาะกระดูก จึงมีโอกาสเป็นโรคกระดูกผุ มะเร็ง แต่กลิ่นของกาแฟจะสามารถช่วยบำบัดโรคได้ ดังนั้นจึงควรสูดกลิ่นกาแฟ แต่ไม่ควรดื่มกาแฟ เพราะคาเฟอีน เป็นตัวกระตุ้นเซลมะเร็ง หากชงกาแฟควรใช้น้ำตาลปี๊บ
ไมโครเวฟ
การใช้ไมโครเวฟ ระวังมะเร็ง เนื่องจากมีการกระจายคลื่นเข้าสู่เซลมีผลทำให้ตายได้
ขนมหวานจากกะทิ
ส่วนผสม กะทิ 4 กล่อง โดยกะทิ 1 กล่องจะใช้เกลือป่น 1 ช้อนกาแฟ (ต้องโยนลงในกะทิที่ตั้งไฟ เพราะช่วยลดการเกิดฟอง) และใช้น้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนโต๊ะต่อกะทิ 1 กล่อง เคี่ยวกะทิให้เดือด แล้วใส่
-กล้วย ต้องเป็นกล้วยสุก (ใช้ได้ทั้งกล้วยหอม กล้วยน้ำว้า กล้วยไข่) แล้วยกขึ้นทันที เนื่องจากถ้าต้มต่อไปจะทำให้กล้วยมีรสเปรี้ยว
-มันเทศ เผือก ฟักทอง ให้แช่น้ำปูนใส 2 นาที แล้วนำไปต้ม 5 นาที จากนั้นค่อยนำไปใส่กะทิเดือดอยู่คนให้ทั่วแล้วยกลง
กล้วยไข่
กล้วยไข่ 1 ผล มีสารป้องกันมะเร็งมากกว่า Apple
กล้วยน้ำว้า
ถ้าห่าม ๆ แก้ท้องเสีย กินลดอาการของแผลสด
ผลสุก 2 ลูก และน้ำอุ่น 1 แก้วก่อนนอน ช่วยลดอาการท้องผูก (ใช้เป็นยาระบาย)
ที่สำคัญ เด็กอายุเกิน 6 เดือนถึงจะกินกล้วยน้ำว้าได้
กล้วยน้ำว้าทั้งหวี หากต้องการเก็บไว้ได้นาน 3 เดือน ให้จุ่มลงในน้ำเดือด 10 วินาที แล้วนำมาผึ่ง
น้ำมะพร้าวอ่อน
ดื่มน้ำมะพร้าวอ่อนวันละ 1 ลูก ช่วยฟอกเลือด และบำรุงไต ส่วนเนื้อมะพร้าวช่วยบำรุงตับ
กล้วยหอม
มีโปแทสเซียม ป้องกันโรคพากินสัน และอัลไซเมอร์ สำหรับผู้สูงอายุให้ทานสัปดาห์ละ 3 ผล เพื่อปรับสมดุลของฮอร์โมน
สับปะรด
มีสารบอบิเรน ป้องกันมะเร็ง มีมากที่แกนสับปะรด โดยให้ดูดแต่น้ำ แล้วคายกากทิ้ง
ตะไคร้แกง
นำมาหั่นแล้วต้มเป็นน้ำตะไคร้ ดื่มเพื่อช่วยลดเบาหวาน
การทำบุหงารำไป
พริกไทดำ 1 ส่วน กานพลู 1 ส่วน โป้ยกั๊ก 1 ส่วน (แก้หวัด 2009) ดอกจันทร์ กลีบใหญ่เอามาเด็ดกลีบ 1 ส่วน นำมาคลุกรวมกัน
แต่ถ้านำมาเติมพิมเสน 1 ส่วน การบูร 1 ส่วน (ครึ่งกระป๋อง) เมนทอล 1 ส่วน คลุกรวมกัน ทิ้งไว้ 1 วัน เทใส่ตะแกง นำเอาส่วนที่แห้ง ๆ มาใส่ขวดเล็ก ๆ ไว้ดมกลิ่น ถ้าไม่หอมให้นำไปตากแดด เก็บไว้ใช้ได้นาน 4 ปี แต่ถ้านำน้ำที่แยกออกมาและเติมสมุนไพรอีก 12 ชนิด หมักไว้ 1 เดือน ก็จะคล้าย ๆ น้ำมันที่มีกลิ่นเหมือนพิมเสนเอาไว้ดม และทา
ไข่
ไข่ต้ม ไข่เค็ม ไข่พะโล้ โดยเฉพาะไข่แดง หากกินวันละ 2 ฟอง จะช่วยลดน้ำตาลในเลือด (ลดเบาหวาน) เนื่องจากไข่แดงมีซิลิเนียม งานวิจัยของฮาวาดร์ พบว่าหากบริโภคไข่วันละ 3 ฟอง (อายุต่ำกว่า 45 ปี) บริโภควันละ 2 ฟอง (อายุ 45 ปี – 50 ปี) และบริโภควันละ 1 ฟอง (อายุเกิน 50 ปี) จะไม่เป็นเบาหวาน
ไข่ต้ม 1 ฟอง มีสรรพคุณสูงกว่านม 5 กล่อง
นม
ไม่ควรดื่มนมข้ามสายพันธุ์ ดังนั้น ไม่ควรดื่มนมวัว นมแพะ
ทุเรียน
กินแล้วไม่อ้วน แต่ช่วยลดความอ้วน และ Cholesterol
ข้าวเหนียว
กินแล้วไม่อ้วน ถ้าไม่มีน้ำตาลทราย
กวาวเครือขาว
สำหรับสุภาพสตรี ช่วยป้องกันมะเร็งเต้านม บริโภคทุกวันวันละ 1 เม็ด จะไม่เป็นวัยทอง
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)